ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Dhamma2.jpg
      Dhamma2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.7 KB
      เปิดดู:
      794
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]



    [​IMG]
    ความรักของพ่อ...

    แด่ . . . คนที่รักแฟนมากกว่าพ่อแม่

    หลังวาเลนไทน์ วันที่ 14 กุมภาพันธ์

    ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่เหมือนคนทั่วไป

    “กุหลาบ ช็อคโกแลต คำบอกรัก"

    สามสิ่งนี้ต้องเวียนเข้ามาหาชีวิตผม

    เพื่อให้คนคนหนึ่งใน ทุก ๆ ปีของวันนี้

    . . . ก่อนวันที่ 14 กุมภาพันธ์

    ผมเดินออกจากบ้าน

    ในมือมีผ้าเช็ดหน้าสีชมพูที่ต้องการเอาให้แฟนของผม

    เธอเป็นหญิงสวยมาก เป็นดาวคณะของมหาลัยของเรา

    ก่อนผมจะออกไปพบเธอ เธอโทรมาหาผม

    ผมจึงวางผ้าเช็ดหน้าที่ผมบรรจงพับไว้บนโต๊ะ

    หลังจากการพร่ำบอกรักกันด้วยถ้อยคำหวานหูเป็นเวลานานทีเดียว

    ผมปรี่ออกจากบ้านไปหาเธอ

    โดยไม่ลืมผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น

    แต่แล้ว!!

    ผมก็เห็นพ่อของผมถือมันออกมา ในผ้าผืนนั้นมีรอยเลือด

    "พ่อ ทำอะไรหนะ" ผมโพล่งถามด้วยความโมโห

    พ่อหน้าซีดทันที

    " ไอ้<!--ไอ้-->เหมียวหนะ มันโดนกัด พ่อเลยเอาผ้าไปเช็ดเลือด"

    "พ่อรู้ไหม ผมกำลังจะเอาไปให้แฟน"

    พ่อเงียบ . . . ผมเกลียดจริงๆ เวลาพ่อเงียบเมื่อจนกับปัญหา

    ความโหโหสั่งผมให้ทำได้แม้กระทั่งจะตบหน้าพ่อ

    พ่อเบือนหน้า

    "พ่อขอโทษ มานี่ . . . " พ่อยื่นมือมารับผ้าเช็ดหน้า

    "พ่อจะเอาไปซักให้เอง"

    ผมงอนพ่อถึงกับไม่ยอมคุยกับพ่อเป็นเวลานานพอควร

    ไม่ยอมลงจากบ้าน

    เป็นเวลาเกือบทั้งสองวันที่ผมไม่เจอหน้าใคร

    หมกตัวอยู่กับห้อง มีเพียงแม่เท่านั้นที่คอยส่งข้าวให้ผม

    ยามเมื่อผมมองตาแม่ครั้งใดทุกครั้ง ดวงตาแม่จะแดงปรี่ด้วยน้ำตา

    ผมเริ่มรู้สึกว่า บางทีผมอาจจะทำเกินไป

    . . . 14 กุมภาพันธ์

    ตั้งแต่ครั้งที่ผมเห็นแม่เสียใจ

    ผมก็รู้สึกว่าผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า

    ผมยอมออกมาจากห้อง

    ผมไม่เห็นพ่อ

    เดินออกมาที่บริเวณลานซักผ้า กาละมังยังมีผ้าที่ยังไม่ซักหลายผืน

    ข้างๆ มีกองเลือดอยู่ และที่ราวตากผ้ามี ผ้าเช็ดหน้าของผม

    ถึงจะล้างรอยเลือดไม่หมด ก็ยังดีที่พ่อยังห่วงใยผม ยังแคร์ผมอยู่

    "พ่อ ผมอยากขอโทษครับ"

    พอผมหันหน้าจะกลับเข้าบ้าน ก็พบกับแม่ แม่ร้องไห้มาแต่ไกล

    แม่วิ่งมากอดผม "พ่อเสียแล้วนะ"

    ผมอึ้ง!!

    แม่ลำดับเหตุการณ์ และทำให้ผมทราบว่า

    พ่อป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจติดเชื้อ

    รอยเลือดที่เห็นนั้นคือเลือดที่พ่อจามออกมา พ่อมองไม่เห็น

    "พ่อกำชับแม่มาตอนที่ลูกโกรธว่า อย่าบอกลูกเด็ดขาดว่าพ่อป่วย "

    "ทำไมล่ะครับ"

    "พ่อกลัวเราจะเสียใจ แล้วไม่ได้ออกไปเที่ยวกับแฟน"

    ผมอึ้งเป็นครั้งที่สอง!

    "พ่อบอกแม่ด้วยว่า ถ้าพ่อเสียวันนี้ อย่าเพิ่งบอกลูก

    ให้ลูกไปเที่ยวกับแฟนก่อน

    พ่อไม่อยากให้ลูกเป็นทุกข์ พลาดโอกาสอย่างนี้เพราะพ่อคนเดียว

    พ่อบอกด้วยว่าพ่อซักผ้าเช็ดหน้าให้แล้ว มันไม่สะอาดหรอก

    แต่พ่อบอกว่าพ่อของลูกทำดีที่สุดแล้ว"

    ผมกอดแม่ ร้องไห้

    วันนี้จะเป็นวันวาเลนไทน์ที่อยู่ในความทรงจำตลอดไป

    "พ่อครับ ผมขอโทษ . . . "

    นำมาจาก
    http://blog.hunsa.com/ebiharapoyz/blog/6981


    ใครที่อ่านเรื่องนี้ วันนี้วันพ่อรักพ่อซะให้มากหน่อย กอดท่าน ไหว้ท่าน ที่เป็นเนื้อนาบุญให้เรา ผมเองเพิ่งเสียพ่อไปไม่ถึง 2 เดือน ยามสวดมนต์ไหว้พระ ต้องหันหน้าไปมองรูปพ่อ มองโกฐิใส่กระดูกพ่อ วันนี้คิดถึงพ่อ จึงไปซื้อเครื่องสังฆทานตั้งใจอุทิศให้พ่อ ใครที่มีพ่อที่ยังมีชีวิตอยู่ อิจฉาจัง....รักพ่อให้มากน๊ะ...ถ้าพ่อไม่อยู่แล้ว ยามคิดถึงก็คงจะเป็นเช่นผม...ที่ได้เคยไหว้ท่านทุกปี แต่วันนี้ต้องไหว้กระดูกแทน...


    พันวฤทธิ์
    5/12/51

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2008
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    เรื่องเล่าจาก พระพยอม
    &laquo; เมื่อ: 26 มกราคม 2006, 16:27:54 &raquo;



    > >เคยทำอะไรให้พ่อเสียใจบ้างหรือเปล่า
    > >อาตมามีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    หยิบของเก่ามาเล่าใหม่คำสอนจาก "พ่อของแผ่นดิน"





    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center><TBODY><TR><TD align=left>วันที่ ศุกร์ พฤศจิกายน 2550
    [​IMG]



    </TD></TR><TR><TD align=left></TD></TR><TR><TD>


    <CENTER>คำสอนของพ่อ.....แด่ลูกอันเป็นที่รักของพ่อ(คนดี)

    </CENTER>


    [​IMG]


    </FONT /></FONT /></FONT /></SPAN /></FONT /></SPAN />​


    ในปีมหามงคลปีนี้ พสกนิกรชาวไทยมีความปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่ง
    ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และใน
    ปี 2550 นี้ พระองค์ท่านพระเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา เหล่าพสกนิกรชาวไทยต่างถวายความจงรักภักดีแด่พระองค์ท่าน ขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ขอทรงพระเจริญ ทรงพระเกษมสำราญตราบนานเท่านาน และทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนานเพื่อเป็นมิ่งขวัญแก่พสกนิกรชาวไทย​

    ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นข้าราชการ...ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช พระประมุขของชาติไทยสมควรอย่างยิ่งที่จักแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน และเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณ ของพ่อหลวงของแผ่นดินเราจักต้องประพฤติปฏิบัติตามพระบรมราโชวาท และ
    พระราชดำรัสขององค์พระประมุข ที่ทรงมีพระเมตตาพระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทย ในวโรกาสสำคัญต่างๆ ของชาติไทย​
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สุดท้ายเป็นบทกลอนสำหรับวันพ่อในปีนี้จากคุณหิ่งห้อยน้อย และคุณเฟื่องฟ้า กวีธรรมะที่ผมชอบนำมาลงบ่อยๆ ครับ







    [​IMG]


    <TABLE height=400 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สรวมชีพ อาศิรวาท บาทบพิตร
    ธ สถิต ในหทัย ไทยทั้งหล้า
    สยามินทร์ ภูมิพล องค์ราชา
    สืบพงศา รามา จักรีวาร

    สองมือ ธ โอบอุ้ม ไทยทั้งชาติ
    ทั้งสองบาท ก้าวไป ทุกสถาน
    พระเสโท ธ หยาดหยด รดดวงมาลย์
    ดั่งน้ำทิพย์ ที่ประสาน ดวงใจไทย

    วโรกาส เฉลิมพระชนม์ ในปีนี้
    ชาวสยาม ทั่วธานี นี้ผ่องใส
    ข้าพระบาท น้อมเกล้าฯ ถวาย พระพรชัย
    ขอฝ่าพระบาท พระภูวนัย พ้นภัยพาล

    สรวมเดช พระไตรรัตน์ พิพัฒน์ผล
    บันดาลดล ทรงอยู่สุข เกษมศานต์
    เจริญชนม์ จิรสมัย ชั่วกาลนาน
    นิรันดร์กาล ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ



    ด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อมขอเดชะ
    ข้าพระพุทธเจ้า นาม "หิ่งห้อยน้อย"
    ณ บ้านกวีธรรมะ




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center bgColor=#dddddd border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#ffffff><TD><TABLE height=30 cellSpacing=3 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BACKGROUND-POSITION: right bottom; BACKGROUND-IMAGE: url(../bg/pagebg0.jpg); BACKGROUND-REPEAT: no-repeat">[​IMG]


    <TABLE height=400 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

    ณ สยาม แห่งนี้ มีพ่อหลวง
    ที่ทรงห่วง ชาวประชา ใต้ฟ้าใส
    ทรงเสด็จ ทั่วแคว้น เขตแดนไกล
    ธ ทรงเป็น ที่รักใคร่ ไทยทั้งปวง

    ดุจร่มโพธิ์ ร่มไทร ใบไม้ปรก
    ป้องวิหค ให้อยู่เย็น เช่นแดนสรวง
    ดั่งละออง ฝนล้ำ ชื่นฉ่ำทรวง
    เหมือนแสงดาว พราวล้านดวง โชติช่วงเรือง

    ทรงเปี่ยมด้วย ทศพิธ ราชธรรม
    มีกุศล เลิศล้ำ นำลือเลื่อง
    ทรงอุทิศ หยดเหงื่อ เพื่อบ้านเมือง
    พาชาติไทย ให้รุ่งเรือง ต่อเนื่องไกล

    ในวาระ ห้าธันวา เวียนมาถึง
    วันที่ซึ่ง ชาวประชา พากราบไหว้
    ขอเทวา จงปกป้อง คุ้มครองภัย
    เพื่อทรงอยู่ คู่คนไทย ในทุกกาล

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้านามเฟื่องฟ้า สมาชิกธรรมะไทย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงสำหรับ
    http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/view.php?No=2272
     
  6. MEA

    MEA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +660
    วันนี้ 5 ธันวามคม 2551 ผมและแฟนผมได้โอนเงินจำนวน 300 บาท เข้าบัญชี ศ. ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ ขอโมทนาบุญด้วยครับ
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้ได้มีโอกาสประชุมกรรมการทุนนิธิฯ ที่บ้านพี่ใหญ่ ได้มีการคุยกันถึงเรื่องคำว่าเทพโลกอุดร ว่าเป็นอย่างไร และคืออะไร คุยเสร็จคุณโสระได้ควักพระของหลวงปู่สรวงออกมาให้ดู พี่ใหญ่จึงบอกว่า นี่ล่ะเทพโลกอุดร เพราะคำว่าเทพโลกอุดร หมายถึงความเป็นเหนือโลก ซึ่งเป็นมากกว่าคำว่าอรหันต์ ถ้าจะให้แปลตรงตัวก็หมายถึงอรหันต์เหนือโลก เพราะท่านเข้านิพพานแล้วโดยการดับเพลิงกิเลสทั้งปวง แต่ด้วยความเมตตาและความโลดโผนแห่งจิตเป็นทุนเดิมที่มิได้ดับไปพร้อมสมมุติต่างๆ ท่านจึงก้าวข้ามพ้นกาลเวลากลับมาสงเคราะห์โลกอีกในสภาวะอทิสมานกายในระดับต่างๆ ได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะบอกว่าท่านอายุเท่าไร และมีสภาพร่างกายอย่าง พร้อมวัตรปฏิบัติที่แปลกประหลาดเป็นสิ่งสมมุติในทางโลกอย่างไรได้ พี่ใหญ่พูดถึงทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้ประวัติท่านมาก่อน แถมยังบอกว่าหลวงปู่สรวงนี่ล่ะขนาดหลวงปู่หมุนยังเกรงใจเลย เพราะท่านก้าวข้ามจักรวาลก้าวข้ามโลกเป็นว่าเล่น ท่านละไปแล้ว เดี๋ยวท่านก็มาอีก มาในรูปแบบเดิมอีก เป็นยังงี้ตลอด เอาล่ะ เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว เราลองมาดูประวัติท่าน เท่าที่มีการเล่าไว้กันอีกทีนึง ผมต้องขอออกตัวก่อนว่า แต่ก่อนผมไม่รู้จักท่านเลยจริงๆ และพี่ใหญ่ก็ไม่รู้จักท่าน ทุกคนเพิ่งเอ่ยกันมาวันนี้เอง แต่ทำไมเรื่องที่พี่ใหญ่กล่าวออกมาเล่าให้เราฟัง บางส่วนถึงกับตรงกับประวัติที่บันทึกได้ แต่ที่แน่ๆ ท่านชอบหวยด้วย ใครแขวนพระท่าน พี่ใหญ่บอกว่า ลองขอท่านดู แล้วลองบนด้วยว่าว เผื่อท่านเมตตา และที่สำคัญก็คือ นี่ล่ะโลกอุดร ที่ไม่ใช่พวกที่แอบอ้างเพื่อเอา แบรนด์เนมนี้ไปหากินกันอย่างทั่วไป ประเภทของพูดได้น๊ะไม่จริง แต่ของจริงต้องเพี้ยน ๆ อย่างนี้สิเจ๋งนัก เอ้า...พวกเราที่เข้ามาดูในกระทู้นี้ใครยังไม่มีพระท่าน ให้หารุ่นที่ทันท่านเสกก็แล้วกัน แขวนไว้เพราะมีทั้งบู๊และบุ๋น ในตัวเอง ซึ่งพระในปัจจุบัน น่าจะไม่ได้พบเห็นในเรื่องการตั้งธาตุ ผสมธาตุ ได้แบบนี้อีกแล้ว หรือมีก็น้อยเต็มที ผมเองก็ยังไม่มีเหมือนกันครับ พอรู้เรื่องวันนี้ ได้อ่านประวัติท่านเดี๋ยวนี้ กิเลสขึ้น ชักมันมือ อยากมีท่านไว้บูชาบ้าง แล้วนี่ก็ฝากคุณโสระฝากหาของดี ราคาเบา ของท่านอยู่ครับ (เอารุ่นแรกๆ ดีกว่าครับเผื่อเหนียวไว้ก่อน เพราะรุ่นหล้งอาจจะมีปลอมและเป็นพุทธพาณิชย์เกินไป)



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=WorkCenterHeader>บทความเรื่อง : ประวัติ หลวงปู่สรวง </TD></TR><TR><TD class=WorkCenterContent>


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=WorkCenterContentFont style="PADDING-RIGHT: 8px; PADDING-LEFT: 8px; PADDING-BOTTOM: 15px; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 15px; 0px: ; 8px: ">ประวัติหลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล บายติ๊กเจีย


    [​IMG]



    หลวงปู่สรวง พระอริยะสงฆ์ผู้พิสดารที่อยู่เหนือกาลเวลา ได้มีผู้เคยถาม หลวงปู่ฤทธิ์ รตนโชโต วัดชลประทานราชดำริ ว่า หลวงปู่รู้จัก หลวงปู่สรวง แห่งท้องทุ่งศรีสะเกษ หรือเปล่าครับ? หลวงปู่ฤทธิ์ ท่านบอกว่ารู้จัก และรู้จักมานานแล้ว เมื่อ คราวที่หลวงปู่ฤทธิ์ ทำบุญวางศิลาฤกษ์ สร้างศาลาการเปรียญหลังใหญ่ ที่วัดชลประทานราชดำริ หลวงปู่สรวงท่านก็มา เวลาท่านมาท่านก็มาของท่านเองไม่รู้ว่าท่านมาเมื่อไหร่ มารู้อีกทีก็เมื่อตอนที่เห็นท่าน เวลาท่านจะไปท่านก็ไปท่านเดินออกไปทางป่าด้านโน้น อยู่ด้านหน้าศาลาเป็นป่ากว้างมีน้ำท่วมขังเล็กน้อย ท่านเดินตรงไปแต่พอมองออกไปจะเห็นฝูงสัตว์เดินตามท่านเป็นพรวนแล้วสักพักท่านก็หายไป หลวงปู่ฤทธิ์ ท่านยังได้พูดว่า เรื่อง หลวงปู่สรวงพูดไปแล้วก็เหมือนกับนิยาย เป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ท่านก็มีตัวตนจริง เมื่อหลายสิบปีก่อน ได้พบเห็นท่านอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็เห็นท่านเหมือนเดิม ตัวของหลวงพ่อเองนี่ซิแก่ลงไปทุกวันทุกปีนี่ก็อายุ82 แล้วแต่หลวงปู่สรวงท่านก็อยู่ของท่านอย่างนั้น ส่วนเรื่องอายุของ หลวงปู่สรวงนั้น หลวงปู่ฤทธิ์ท่านก็บอกว่า ท่านไม่รู้เหมือนกันว่าเท่าไหร่?.... สถานที่จำวัด เมื่อตอนที่พบ หลวงปู่สรวงก็คือ กระท่อมเฝ้านากลางท้องทุ่งริมถนนหมู่บ้านละลม-สะเดา ชายแดนด้านเขมร เป็นกระท่อมยกพื้นสูงมุงหลังคาด้วยไม้กระดานเก่าๆ กันลมกันฝนไม่ค่อยได้ ในวันนั้นหลวงปู่สรวงท่านนอนอยู่ในกระท่อม มีชายชราผมขาวนั่งเฝ้าอยู่ใกล้ ๆ คอยบีบนวดให้หลวงปู่สรวง นอกกระท่อมมีชายหญิงชาวบ้าน 4-5 คนนั่งคุยกันอยู่เป็นชาวบ้านย่านนั้น ข้างฝากระท่อมมีว่าวจุฬาตัวใหญ่เหน็บข้างฝาอยู่ 1 ตัว มีเตาเล็กๆ แลและหม้อหุ้งข้าวเก่าๆวางอยู่ 1 ชุด และก็มีถังใส่น้ำขุ่นๆเข้าใจว่าจะตักมาจากหนองน้ำกลางทุ่งที่อยู่ใกล้ ๆ หน้ากระท่อมหลวงปู่สรวงมีแคร่ไม้ยาว สำหรับนั่ง พวกเราทุกคนเข้าไปกราบท่าน ท่านก็ลุกขึ้นมาแต่ท่านไม่พูดจาอะไร ในปากของท่าน ก็เคี้ยวใบพลูสดอยู่ตลอดเวลา มีพวกผมคนหนึ่งถามท่านว่า หลวงปู่อายุเท่าไรแล้ว ท่านก็ตอบเป็นภาษาส่วย ซึ่งผมเองและเพื่อนที่ไปจากกรุงเทพ ก็ฟังไม่เข้าใจ แต่พรรคพวกที่ศรีสะเกษแปลว่าให้ฟังว่า เรื่องของอดีตลืมไปหมดแล้ว ชื่ออะไรก็จำไม่ได้ เขาเรียกว่าปู่สรวง ก็ปู่สรวง ชื่อเสียงมันก็ไม่ใช่ตัวของเราจะเรียกยังไงก็ได้ ถ้ามาคิดกันอีกแง่นึงก็เหมือนกับว่า ท่านได้สอนธรรมะชั้นสูงให้กับพวกเราให้รู้ว่า ให้มีแต่ปัจจุบันเพราะสิ่งทั้งหลายมันผ่านไปแล้ว มันเป็นเรื่อง สมมุติทั้งนั้น....



    ว่าวจุฬาตัวใหญ่ที่เหน็บ ไว้ที่ข้างฝากระต๊อบก็เป็นสิ่งที่สะดุดใจของคณะพวกผม จึงไต่ถาม ชาวบ้านที่มาเฝ้าดูแลท่าน ชาวบ้านบอกว่า หลวงปู่ท่านชอบเล่นว่าว และชอบดูเขาตีไก่ชนกัน ตอนหน้าแล้งชาวบ้านทั่งเด็กและผู้ใหญ่จะไปเล่นว่าวกันที่กลางทุ่ง หลวงปู่สรวงท่านจะนั่งดูยิ้มหัวเราะด้วยความชอบอกชอบใจ บางคนยังเล่าว่า บางครั้งหลวงปู่สรวงท่านหายไปว่าวตัวที่เหน็บอยู่ก็หายไปด้วย เมื่อเห็นว่าเหน็บอยู่ที่กระต๊อบนั่นก็คือหลวงปู่ท่านต้องอยู่ที่กระต๊อบอย่างแน่นอน ผมก็เลยถามว่าเวลาหลวงปู่สรวงท่านออกไปไหนทำไมคนที่เฝ้าอยู่ไม่รู้ ? พวกเขาบอกว่ามาดูแลท่านเฉพาะตอนกลางวัน พอกลางคืนต่างคนก็กลับบ้านในกระต๊อบก็จะมีหลวงปู่สรวงท่านอยู่รูปเดียว เมื่อท่านหายไปไหนจึงไม่มีใครรู้ ชาวบ้านในกลุ่มที่เล่าบางคนถึงกับบอกว่า ท่านบินไปพร้อมกับว่าว ส่วนเรื่องที่ท่านชอบดูเขาตีไก่ชนนั้นก็เป็นเรื่องจริง เพราะมีบ่อยครั้งที่ที่มีการตีไก่จะเห็นหลวงปู่สรวงไปนั่งดูอยู่ด้วย และท่านก็จะหัวเราะชอบใจตบมือตบไม้เชียร์ไก่ก็ยังมี การที่มีผู้คนส่วนใหญ่ไปหาท่านมักจะเป็น เรื่องของตัวเลข เพื่อเอาไปแทงหวย ยิ่งใกล้วันที่หวยออกจะมีรถราหลายสิบคันไปจอดเรียงรายอยู่ใกล้ๆกระต๊อบที่ท่านจำวัด ถ้าใครได้ยินหรือได้ฟังว่าหลวงปู่สรวงทำอะไรออกมาเป็นตัวเลข พวกเขาก็จะคิดกันไปต่างๆนาๆบางคนก็ถูกบางคนก็ไม่ถูก มีคนเล่าให้ฟังว่า คนที่ถูกหวยได้เงินจำนวนมากๆ หลายรายนำเงินสดไปถวายท่าน ท่านก็หยิบขึ้นมาดูแล้วก็โยนเข้ารกเข้าพงไปทั้งปึก คนที่เห็นเหตุการณ์ ก็เข้าไปหาแต่ก็หาไม่พบทั้งๆที่เงินจำนวนไม่ใช่น้อยและบางครั้ง ก็มีผู้นำเงินไปถวายท่านเวลาที่เขากลับหลวงปู่สรวงท่านก็ขออาศัยรถเขาไปด้วยเมื่อรถแล่นไปตามถนนที่มีผู้คนมากๆหลวงปู่ท่านก็จะเอาเงินที่พวกเขาถวายออกมาโปรยไปตาม



    ถนนที่รถวิ่งให้กับผู้คนที่ยากจน นับเป็นที่ร่ำลือและฮือฮากันมากสมัยที่มีสงครามช่วงชิงอำนาจของเขมรยังรุ่นแรงอยู่ ก็มีผู้คนอพยพมาตามแนวชายแดนเป็นจำนวนมาก มีคนเล่าว่าหลวงปู่สรวงท่านจะเปลี่ยนเป็นนุ่งขาวห่มขาวออกไปรับผู้ที่อพยพเข้ามาทางชายแดนจุดใดที่ท่านออกไปรับผู้ที่อพยพก็มักจะปลอดภัยจากปืนใหญ่และการติดตาม ของทหารเขมร บางวันหลวงปู่สรวงท่านก็จะเอาผ้าสีขาวปักเป็นธงไว้ในที่สูงให้เห็นกันอย่างชัดเจน ชาวเขมรที่อพยพก็จะไปอยู่กันตรงที่หลวงปู่ปักธงสีขาวเอาไว้ วันนั้นถ้า จะมีปืนใหญ่ถล่ม ยิงมาตามแนวชายแดน ผู้คนที่อพยพมาอยู่ตรงที่หลวงปู่สรวงปักผ้าขาวเอาไว้ก็จะปลอดภัยจากลูกกระสุนปืนใหญ่ภายหลังจากที่สงครามการช่วงชิง อำนาจของเขมรสิ้นสุดลง หลวงปู่สรวงท่านก็พักอยู่ที่กระต๊อบเฝ้านาด้านชายแดนเขมรแถว อำเภอ ขุขันธ์ เวลากลางวันก็มีชาวบ้านแถวนั้นมาคอยดูแลปรนนิบัติรับใช้ท่าน เวลากลางคืนหลวงปู่สรวงก็อยู่ของท่านรูปเดียว บางครั้งท่านก็จะหายไปนานๆ ท่านถึงจะกลับมา เมื่อมีผู้คนเดินทางไปหาท่านเขาก็จะถามร้านตรงที่อยู่ตรงปากทางเข้าบ้านละลม-สะเดา ว่าหลวงปู่อยู่ หรือไม่? ถ้าหลวงปู่สรวงอยู่เขาก็จะบอกว่า ท่านกลับมาแล้วเมื่อคืนนี้ แล้วต่างก็เข้าไปหาท่านที่กระต๊อบเฝ้านา ไม่แห่งใดก็แห่งหนึ่ง ในท้องทุ่งนั้นเคยมีผู้นิมนต์ท่านไปเจิม ร้านวันเปิดร้านทำบุญขึ้นบ้านใหม่ก็มีอย่างปั๊ม ปตท. ปากทางเข้า อำเภอ ขุขันธ์ ที่พวกเราแวะเติมน้ำมันรถและรับประทานอาหารกลางวัน ก็ได้พบรูปหลวงปู่สรวงติดไว้ในร้านทั้งยังมีข้อความใต้ภาพว่า “ หลวงปู่สรวง อายุ 500 ปี จำวัดทั่วจักรวาล” ทางเจ้าของร้านได้นิมนต์หลวงปู่สรวงท่านมาเปิดร้านให้ ปั๊มก็เจริญมาตลอดจนเป็นปั๊มใหญ่ดังที่ได้เห็นอยู่ทุกวันนี้



    - เรื่องของการเปิดป้ายร้านค้า ชาวบ้านผู้หนึ่งที่ได้เฝ้าดูแลหลวงปู่สรวงอยู่เล่าให้ผมฟังว่า มีร้านค้าเปิดใหม่แถวนั้นได้นิมนต์หลวงปู่สรวงเปิดร้าน พอท่านสวดมนต์และฉันอาหารเสร็จท่านก็เดินออกมาหน้าร้านด้านนอกถลกจีวรยืนฉีที่หน้าร้าน เจ้าของร้านรู้ทันจึงได้เข้าไปเอามือรองฉี่ของท่านสะบัดไปทั่วหน้าร้าน เจ้าของร้านที่เอามือรองฉี่เล่าให้ฟังภายหลังว่าฉี่ของหลวงปู่สรวงแทนที่จะร้อนหรืออุ่นๆ ที่มือฉี่ของท่านกลับเย็นเหมือนน้ำแข้งและเมื่อหวยออกงวดนั้น หมายเลขร้านค้า ดังกล่าวตรงกับเลขของหวยที่ออกพอดี หลายคนที่อยู่ในที่นั้นเลยถือโอกาสรวยไปตามๆกัน บางรายได้นิมนต์ท่านสวดมนต์เย็นขึ้นบ้านใหม่ร่วมกับพระสงฆ์ที่มาจากที่อื่น เมื่อสวดมนต์เสร็จแล้วหลวงปู่สรวง ท่านจะลุกมาที่กลางบ้านนั่งถ่ายหนักอย่างหน้าตาเฉย ส่วนใหญ่เจ้าของบ้านก็จะรู้ทันรีบเอามือละเลงอึของท่านจนทั่วบ้าน เพราะเขารู้กันว่าอึของท่านไม่เหม็นแต่มีกลิ่นหอมคล้ายๆน้ำผึ้ง พฤติกรรมแปลกของหลวงปู่สรวง บางคนที่ไม่รู้ก็หาว่าท่านบ้าๆบอๆบางคนก็เห็นว่าท่านอยู่เหนือโลก บางคนเล่าให้ฟังอีกว่า ถ้าหลวงปู่สรวง ท่านจะไปไหนในเวลากลางวันท่านก็จะขอโดยสารรถไปดื้อๆ และก็ไม่มีรถคันไหนปฏิเสธท่าน ถ้ารถคันใดปฏิเสธท่านไม่ยอมให้ท่านไป รถคันนั้นก็จะขัดข้องเครื่องยนต์ก็จะดับบ้างติดบ้างหรือไม่ก็ยางแตกขับไปไหนไม่ได้ ดังนั้นเวลาท่านต้องการที่จะโดยสารรถคันไหนไปจึงไม่มีใครที่จะกล้าปฏิเสธ บางรายก็บอกว่าเมื่อท่านนั่งรถไปแล้วก็จะให้คนขับๆไปเรื่อยๆ ถ้าท่านให้หยุดส่งท่านตรงไหนท่านก็จะลงตรงนั้นแล้วท่านก็จะเดินหายไปเฉยๆ ไม่มีใครรู้ว่าท่านไปทำอะไรที่ไหน บางคนก็บอกว่าท่านกลับไปจำวัดที่กระต๊อบเฝ้านากลางทุ่งละลม-สะเดา แต่บางครั้งท่านก็จะหายไปนานๆ หลายๆวันแต่ก็ไม่มีใครทราบว่าท่านไปไหน จึงมีบางคนที่ถามท่านว่าท่านไปไหน ท่านก็ไม่ตอบ



    [​IMG]



    วัตถุมงคลของหลวงปู่สรวงทุกชนิด โดดเด่นหลายทางตามคำอธิฐานดังนี้

    1. บูชา 1 อาทิตย์ เห็นฤทธิ์ ทางเมตตามหานิยม เจ้านายรัก ติดต่อการงานดี

    2. บูชา 2 อาทิตย์ เห็นฤทธิ์ ด้านโชคลาภ ค้าขาย ขายของดี ขายคล่อง เงินมาไม่ขาดสาย

    3. บูชา 3 อาทิตย์ เห็นฤทธิ์ ด้านเสี่ยงโชค เล่นการพนัน เสี่ยงดวง หวยล็อตเตอรี่ เห็นผลแน่นอน หากผู้นั้นบูชาด้วยความศรัทธาแน่วแน่

    4. เรื่องความปลอดภัยทางรถยนต์ แคล้วคลาด ไม่มีตายโหง

    5. ขอได้ดังใจนึกทางด้านค้าขายธุรกิจเจริญรุ่งเรือง เวลาเดือดร้อนทางการเงิน ให้ทำพิธีบอกกล่าวจุดธูปบอกท่านและอาราธนาขอพรเช้าเย็น 9 จบ ท่านจะช่วยให้เห็นผลได้รับความสำเร็จสมหวังมามากแล้วไม่เชื่อทดลองเถิด

    6. คงกระพันชาตรี ไว้ใจได้เห็นอภินิหารบ่อยๆ

    7. ป้องกันคุณไสย์ แก้อาถรรพณ์ ป้องกัน ผีสางนางไม้ เจ้าที่เจ้าทางได้

    8. เสริมดวง หนุนดวงชะตา

    9. ป้องฟ้าผ่า ไฟไหม้ ได้
    </TD></TR><TR><TD class=WorkCenterContentFont style="PADDING-RIGHT: 8px; PADDING-LEFT: 8px; PADDING-BOTTOM: 8px; PADDING-TOP: 8px" align=right>
    วันที่ 01/07/2008
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​








    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    http://kungsiam.igetweb.com/index.php?mo=3&art=169630
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2008
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 28 พฤษภาคม 2551 10:39:29 น.-->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๘๒ : พระพุทธองค์ทรงประทานโอวาทปาติโมกข์
    <!-- Main -->[SIZE=-1]พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๘๒ : พระพุทธองค์ทรงประทานโอวาทปาติโมกข์

    พระพุทธองค์ทรงประทานโอวาทปาติโมกข์
    แก่พระอรหันตสงฆ์ในวันเพ็ญมาฆบูชา
    เนื่องจากวันที่พระสารีบุตรเถระเจ้า ได้บรรลุพระอรหัต เป็นวันมาฆปรุณมี เพ็ญเดือน ๓ เวลาบ่าย พระบรมศาสดาเสด็จมาประทับที่เวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ซึ่งในขณะนั้น ถือเป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธที่เกิดขึ้นใหม่ เมื่อพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่นี่ บรรดาพระสาวกพระอรหันต์ขีณาสพเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ องค์ ที่แยกย้ายกันออกไปประกาศพระศาสนา เมื่อเสร็จกิจประกาศพระศาสนาจึงต่างจาริกมาเฝ้า เมื่อมาพร้อมหน้ากันมากตั้งพันกว่าองค์ คือ พระอรหันต์ซึ่งอยู่ในคณะของพระอุรุเวลกัสสปเถระ พระนทีกัสสปเถระ พระคยากัสสปเถระ รวม ๑,๐๐๐ องค์ กับพระอรหันต์ซึ่งอยู่ในคณะของพระสารีบุตรเถระ พระโมคคัลลานะเถระ รวม ๒๕๐ องค์ รวมทั้งสองคณะ ๑,๒๕๐ องค์ ได้พร้อมกันไปเฝ้าพระบรมศาสดา พระองค์ทรงเห็นเป็นนิมิตอันดี จึงได้เสด็จในท่ามกลางพระสงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์นั้น แสดงโอวาทปาติโมกข์ ทรงทำวิสุทธิอุโบสถ ประทานธรรมอันเป็นหลักแห่งพระศาสนา เพื่อเป็นหลักในการประกาศพระพุทธศาสนาสำหรับพระสาวกสืบไป


    [​IMG]

    การประชุมพระสาวกครั้งนี้ ผู้นับถือศาสนาพุทธในสมัยต่อมาเห็นเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญมาก จึงกำหนดถือวันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ในวันเพ็ญเดือน 3 ที่เรียกกันอยู่ทุกวันนี้ว่า "วันมาฆบูชา"
    การประชุมพระสาวกของพระพุทธเจ้าครั้งนี้ แปลกกว่าทุกคราวที่มีอยู่ในสมัยพุทธกาล คือ พระสาวกจำนวน ๑,๒๕๐ รูปนั้น แต่ละรูป แต่ละองค์ล้วนบวชกับพระพุทธเจ้า มีพระอุปัชฌาย์องค์เดียวกัน คือ พระพุทธเจ้า ล้วนเป็นพระอรหันต์ ต่างมาประชุมโดยไม่ได้นัดหมาย และพระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุม การประชุมพระสาวกครั้งนี้ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่ง ตามลักษณะแปลก ๔ ประการนี้ว่า "จาตุรงคสันนิบาต" คือการประชุมที่มีองค์ 4 อันได้แก่
    1) เป็นวันเพ็ญเดือน 3 พระจันทร์เสวยมาฆะฤกษ์
    2) พระสงฆ์สาวก 1250 รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
    3) พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนสำเร็จอรหัตตผล
    4) พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นเอหิภิกขุ

    พระพุทธองค์ทรงประทานโอวาทปาติโมกข์
    แก่พระอรหันตสงฆ์ในวันเพ็ญมาฆบูชา

    สมัยที่กล่าวนี้ พระพุทธเจ้ายังไม่ทรงบัญญัติวินัยปกครองสงฆ์ เพราะพุทธศาสนาเพิ่งเริ่มก่อตั้ง เหล่าอรหันต์สาวกยังไม่มีการประพฤติผิด หรือทำความเสียหายใดๆขึ้น แต่พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงทรงวางหลักปกครองสงฆ์ไว้แต่โดยย่อ เทียบให้เห็น คือ เมืองไทยสมัยไม่กี่ปีมานี้ ไม่มีรัฐธรรมนูญปกครองราชอาณาจักร แต่มีธรรมนูญเป็นหลักปกครองแทน ธรรมนูญนี้เทียบได้กับโอวาทปาติโมกข์ ส่วนรัฐธรรมนูญปกครองราชอาณาจักรก็เทียบได้กับวินัยพุทธบัญญัติทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้นในเวลาต่อมา

    [​IMG]


    เมื่อเป็นโอกาสอันดีครั้งนี้ พระพุทธองค์จึงประชุมพระสาวกแล้วแสดงโอวาทปาติโมกข์ แก่พระสาวกจำนวน ๑,๒๕๐ รูปนั้น "โอวาทปาติโมกข์" คือ หลักการโดยสรุปของศาสนาพุทธ เพื่อให้ออกเผยแพร่ มีทั้งหลักคำสอน และหลักการปกครองคณะสงฆ์ มีทั้งหมด ๑๓ ข้อด้วยกันเช่น เป็นต้นว่า ศาสนาพุทธสอนว่า ละชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม ทำจิตบริสุทธิ์ผ่องใส สุดยอดของคำสอนอยู่ที่นิพพาน ดับกิเลสพ้นทุกข์ และเป็นพระสงฆ์ต้องสำรวม กินอยู่พอประมาณ อดทน ไม่กล่าวร้ายป้ายสีคนอื่น และไม่เบียดเบียนคนอื่น[/SIZE]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ตอนนี้เป็นตอนที่ 82 แล้วเหลืออีกไม่เท่าไรก็จบพุทธประวัติแล้วต้องขอขอบพระคุณอย่างเป็นที่สุดสำหรับความรู้เรื่องพุทธประวัติจากเวบข้างล่างนี้ครับ

    http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=travelaround&date=28-05-2008&group=29&gblog=39
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    จดหมายของหลวงปู่สิม 5 ฉบับ สุดท้ายครับ แต่ไปๆ มาๆ ฉบับที่ 19 หายไป คงกระโดดข้ามไปเลยครับ

    [​IMG]

    ธรรมเมตตา ฉบับที่ ๑๕<?:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:
    วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๖ <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    ตั้งจิตให้มั่นอย่าหวั่นไหวไปตามโลก โลกนี้ทั้งโลกไม่มีสิ่งใดเป็นของใหม่ ดินฟ้าอากาศก็ของเก่า คนและสัตว์ในโลกทั้งปวงก็ดวงจิตวิญญาณอันเก่า กิเลสราคะก็อันเก่า กิเลสโทสะก็อันเก่า กิเลสโมหะก็อันเก่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ก็ล้วนแล้วสิ่งอันเก่า ทำไมเล่า จิตนี้จึงได้หลงของเก่า เหตุสำคัญที่จิตหลงก็คือ จิตคนไม่กล้าแข็งพอ ถ้าจิตคนทุกคนกล้าพอแล้ว ก็จะไปหวั่นไหวมันทำไม ให้ตั้งจิตเจตนาอันแรงกล้า รักษาศีลของตนให้บริสุทธิ์เต็มที่ แล้วจิตดวงนี้ก็จะใสสะอาดฉลาดรู้ ไม่หมกมุ่นอยู่ในโลกอันแสนทุกข์นี้เลย <O:p></O:p>

    ด้วยความเมตตาถึงเสมอ <O:p></O:p>


    พระครูสันติวรญาณ


    ธรรมเมตตา ฉบับที่ ๑๖<O:p></O:p>
    วันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๖ <O:p></O:p>
    เกิดมาเป็นคนในชาตินี้ อย่าเป็นคนใจสั้นคันเคร่ง จงมีใจกว้างขวางเผื่อแผ่เจือจาน จิตใจให้เบิกบาน หน้าตาให้ยิ้มแย้มแจ่มใสนั่งที่ไหนอยู่ที่ใด ก็ให้มีจิตเมตตากรุณาแก่บุคคลและสัตว์โลกทั้งปวงมุ่งหวังให้บุคคลสัตว์โลกทั้งปวงอยู่เย็นเป็นสุข พ้นจากความทุกข์ ผู้ตั้งจิตอย่างนี้ และฝึกหัดจิตของเขาให้เจริญภาวนาเมตตาแก่สัตว์อยู่เนืองนิจ ติดต่อกันไปจนเคยชิน ก็จะถอนใจสั้น ใจเห็นแต่ประโยชน์ตน ใจแคบ ใจน้อย ใจเบา ใจไม่เอาถ่าน ใจขี้คร้านภาวนา ทั้งหมดก็จะถอดถอนออกจนหมดสิ้น แล้วใจดวงนี้ก็จะใสสะอาด สามารถสร้างบารมีให้เต็มที่ในชาตินี้เลย ฉะนั้นผู้ใดใจสั้นก็ให้ยาว ใจดำก็ให้ขาว จงทำใจของตน นานจนหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงเทอญ <O:p></O:p>

    ขอให้ท่านทั้งปวงจงเห็นแจ้งซึ่งพระนิพพานเทอญ <O:p></O:p>



    พระครูสันติวรญาณ


    ธรรมเมตตา ฉบับที่ ๑๗<O:p></O:p>
    วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๖ <O:p></O:p>
    คนเราทุกคนหลงกลกิเลส ดูแต่กิเลสราคะสั่งให้ทำ ก็ทำตามกิเลสโทสะสั่งให้ทำ ก็ทำเลย กิเลสโมหะสั่งให้ทำ ก็เป็นอันว่าทำตามไปทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าผู้ใดทำตามอำนาจกิเลสอยู่เรื่อยไปอย่างนี้ละก็บุคคลผู้นั้นไม่มีหนทางใดที่จะละกิเลสออกจากจิตได้ เพราะจิตผู้นั้นไม่ยกขึ้นสู่กรรมฐาน แค่อสุภะกรรมฐานที่ถ่ายออกมาทุก ๆ วันก็ไม่กำหนด กำหนดก็ไม่เห็น ปล่อยให้กรรมฐานเสียไปทุกวัน ๆ ให้พากันตั้งจิตให้สูงขึ้น อย่าปล่อยให้จิตต่ำ ตั้งขึ้นมาให้ได้ทุกลมหายใจ ว่านี่เราใกล้จะตายเข้ามาทุกทีแล้ว อย่าประมาท <O:p></O:p>

    อาจารย์ส่งจิตมาช่วยเสมอ <O:p></O:p>



    พระครูสันติวรญาณ


    ธรรมเมตตา ฉบับที่ ๑๘<?:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    วันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๖ <O:p></O:p>
    การทำความเพียรละกิเลสนั้น อยู่ที่เพียรทำจิตให้เป็นสมาธิไม่ว่าเวลาใด ให้จดจ่ออยู่ในการรักษาจิต ไม่ปล่อยให้อำนาจกิเลสใด ๆ มาสิงสู่ในจิตได้ ตั้งจิตให้มั่นคงที่สุด เมื่ออารมณ์ใดมากระทบ ไม่ให้จิตนี้หลงไปตาม รู้อยู่เฉพาะจิตดวงที่รู้อยู่นั้น ถ้าจิตดวงนี้ยังหลงใหลไปได้ ก็แสดงว่าความเพียรยังอ่อน ให้เพียรพยายามให้มากขึ้นไปอีกให้ความประพฤติปฏิบัติทุกส่วนก้าวไปข้างหน้าอย่าถอยหลัง จงคอยระวังตัวสังขารมารจะมากั้นกลาง ไม่ให้ทำความเพียรอันเยี่ยมยอดนี้มารสังขารตัวนี้มันจะยึดให้อยู่กับที่นั่นหนึ่ง และมันจะดึงถอยหลังคืนไปหากิเลสโทสะ โมหะอีกหนึ่ง ผู้ทำความเพียรเพื่อละกิเลสทั้งหลายอย่าหลงใหลไปตามกิเลสทั้งหลายอย่างหลงใหลไปตามกิเลสนั้น ๆ เลย <O:p></O:p>

    โดยความเมตตาถึงทุกคนอยู่เสมอ <O:p></O:p>



    พระครูสันติวรญาณ


    ธรรมเมตตา ฉบับที่ ๒๐<O:p></O:p>
    วันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๖ <O:p></O:p>
    ใจมนุษย์ขุดให้ถึง ใจคนเราทุกคนเพราะขุดค้นไม่ถึง เปรียบอุปมาเหมือนน้ำที่มีอยู่ในพื้นแผ่นดินทุกแห่งหน เมื่อคนไม่ขุดค้นลงไปหาน้ำ ก็ไม่ได้รับน้ำฉันนั้น ใจมนุษย์ก็เช่นกัน มันก็มีอยู่ในรูปร่างกายทุก ๆ คน ฉะนั้นทุกคนจึงจำเป็นจะต้องพิจารณาให้ทั่วถึงในรูปร่างกายนี้ มีผม ขน เล็บ เป็นต้น ตลอดไปทั่วสรรพร่างกาย ให้ดวงจิตดวงนี้กำหนดขึ้นมาพิจารณาลงไป ภายนอกมีหนังหุ้มอยู่ทั่วตัว ภายในหนังหุ้ม มีอะไรกำหนดให้ได้ ไม่ให้จิตไปคิดที่อื่น ให้จิตคิดค้นในตนของตน เรื่องของคนอื่นอย่าเอามาคิด จงเพียรขุดค้นลงไปถึงดวงจิต ที่เป็นผู้ค้นอยู่ปัจจุบันนั้น อยู่ที่ไหนก็ให้พินิจคิดค้นอยู่ในดวงจิตนั้น จนรู้แจ้งเห็นจริงด้วยธรรมจักษุ คือดวงตาญาณแจ่มแจ้งแสงสว่างทางธรรมนี่แหละใจมนุษย์ ขุดให้ได้ทุกคนไป <O:p></O:p>

    [FONT=Angsana New][COLOR=#993300]โดยความเมตตาถึงทุกคนอยู่เสมอ [/COLOR][COLOR=#993300]<O:p></O:p>[/COLOR][/FONT]



    [FONT=Angsana New][COLOR=#993300]พระครูสันติวรญาณ[/COLOR][/FONT]


    ขอขอบคุณ



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2008
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    จิตเป็นนาย
    <!-- Main -->[SIZE=-1]
    [/SIZE]
    ชายไม่มีสมอง กับ เกียรตินิยมอันดับ1



    Professor John Lorber of Sheffield University เป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านกะโหลกศีรษะมนุษย์ เขาได้เก็บข้อมูลและค้นคว้า เรื่องเกี่ยวกับสมองของคน


    วันหนึ่งเขาได้เจอ นักศึกษาชายคนหนึ่ง ในสายตาคนอื่นเขาดูเป็นปรกติ แต่
    โปรเฟสเซ่อร์ มองปราดเดียวก็ รู้ว่ามีบางอย่างผิดปรกติ กับ กะโหลกศีรษะของนักเรียนคนนี้ เขาได้เข้าไปพูดคุยและพบว่า นักศึกษาคนนี้เป็นนักเรียนที่เรียนเก่งมาก เขาได้เกียรตินิยมอันดับ1 สาขาคณิตศาสตร์ เขาขอให้นักศึกษามาเป็นตัวอย่างในงานวิจัย


    เขานำเด็กคนนี้ไปทำ ซีทีสแกน สมอง และพบว่า นักศึกษาคนนี้ไม่มี
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ใครที่รู้ว่าตัวเองท้อแท้ เบื่อแล้วเว้ยโลกนี้...เอ้าดูนี่

    ใครที่ท้อแท้มาดูนี่เลย
    <!-- Main -->[SIZE=-1]ถ้าวันไหน เราเศร้ามากๆ ... ก็ให้มองดูคนพิการเอาไว้นะ พวกเค้าพยายามต่อสู้ชีวิต เพื่อที่จะอยู่ได้ในสังคมของคนปกติ ทั้งๆ ที่บางคนเค้ามีความยากลำบากมากมายที่จะมีชีวิตอยู่ไปวันๆ แต่เค้าก็ยังอยู่ได้ คนพิการที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นอะไร และ ไม่ท้อแท้ต่อชีวิต เค้าจะมีความสุข และเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์มากมาย มีคนพิการอีกมากมายที่เค้าสู้ชีวิต และ ประสบความสำเร็จในหลายๆ สาขาอาชีพ มีครอบครัวที่มีความสุขอีกด้วย

    แล้วทำไม ... คนปกติธรรมดาอย่างเราๆ จะไม่พยายามหาวิธีแก้ไขปัญหาของเราอย่างสร้างสรรค์ต่อสังคมและตัวเองบ้าง ทำไมจึงชอบที่จะคิดแต่ในทางลบให้กับชีวิต ชีวิตก็ตกต่ำไปตามที่คิดได้ทุกวัน เราควรซื่อสัตย์กับสิ่งที่เรายึดมั่น ความแข็งแกร่ง และ พลังในการมีชีวิต และ ภาพที่เรานึกฝันอยากจะเป็น เกิดจากสิ่งต่างๆ ที่เราให้คุณค่าอย่างมุ่งมั่น และ จริงจัง

    ทุกชีวิตในโลกนี้ ... มีความสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ง่ายๆ อยู่แล้ว
    ในวิกฤติย่อมมีโอกาสอื่นๆ รออยู่เสมอ ลองตั้งใจดูดีๆ นะ

    พาไปดูชีวิตของน้องหมวยเพื่อจะปลุกแรงสู้ได้บ้าง

    [​IMG][/SIZE]


    ยัง ยังไม่หมด มาดูต่ออีกที่นี่

    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=anuraket&month=04-12-2008&group=1&gblog=8


    ทีนี้ล่ะ เดินหน้าได้รึยัง...สู้เว้ย....ถ้าไม่สู้ ก็กราบน้องหมวยข้างบนก็แล้วกัน
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ตามมาด้วยข้อคิดดีๆ จากน้องหมวยข้างบน


    ฉุกคิด... เพื่อชีวิตเปี่ยมสุข
    <!-- Main -->


    จงทำดี... อย่าหวังค่าตอบแทน ถึงแม้จะเป็นเพียงคำสรรเสริญก็ตาม
    จงทำดี... ให้มันดี ถึงแม้ผลงานออกมาไม่ดี ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว
    จงทำดี.... แต่อย่าอวดดี เพราะทุกคนก็มีดีไม่เหมือนกัน


    "คนโง่ไม่มีความพยายามที่จะเข้าใจอะไรได้เลย
    ได้แต่เอะอะโวยวายว่า.. "ทำไมถึงเป็นแบบนี้"..."


    คนเราเจอทั้งสุขและทุกข์.... เพราะว่าทำทั้งดี ทำทั้งชั่ว


    "ถ้าหากเราอยากให้คนอื่นมาเข้าใจหรือเอาใจในตัวเรา
    เหมือนกับว่าเรายังเป็นเด็กไร้เดียงสา...ไม่รู้จักเติบโตเลย ..."



    "เราพยายามที่จะเข้าใจคนอื่น มากกว่าที่จะให้คนอื่นมาเข้าใจ
    ตอนนี้เรากำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว..."


    "เราอย่าเข้าใจว่า..มีความทุกข์มากกว่าคนอื่น
    คนอื่นมีความทุกข์มากกว่าเราก็ยังมี..."


    "การร้องไห้เป็นการแสแสร้งที่แบบเนียนเหลือเกินในวันนี้..
    เพราะพรุ่งนี้เราจะร้องเพลงก็ได้..."


    "คนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้นทุกอย่างไม่มีเลย
    เพียงแต่เรายอมรับเขาอยู่ในฐานะใดฐานะหนึ่งเท่านั้น..."


    หากยึดถือมาก.. ให้ความสำคัญมันมาก... ทุกข์มาก
    หากยึดถือน้อย.. ให้ความสำคัญมันน้อย ...ทุกข์น้อย


    ยินดีไปตามความอยาก... คือความมักมากไม่มีสิ้นสุด


    อุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น... กับความรับผิดชอบ... มันคนละอย่างกัน


    ทำดีในวันนี้... พรุ่งนี้จะดีของมันเอง


    คนโง่จะเสียใจ... ร้องไห้ตลอดวัน โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
    ส่วนคนฉลาด... จะรีบแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น... เท่าที่จะทำได้


    เรารักในสิ่งใด... จะต้องจากในสิ่งนั้น... ช้าหรือเร็วมันอีกเรื่องหนึ่ง


    "เรายืนอยู่บนสนามชีวิต... ต้องต่อสู้อุปสรรคทุกรูปแบบ
    จนกว่าจะปิดฉากละครแห่งชีวิต.. ด้วยการตายลงไป..."


    บทเรียนในตำราเรียน... กับบทเรียนในชีวิตจริง...มันคงละอย่างกัน


    "ไม่มีตำราเล่มไหน... ที่จะสอนเราทุกย่างก้าว
    ว่าวันนี้เราจะต้องเจออะไรบ้างและจะต้องแก้อย่างไร ?..."


    เสียเงินทอง.. เสียสิ่งของ.. เสียเวลา.. และก็เสียใจ.. เป็นการจ่ายค่าเทอมชีวิต


    "ที่จริงคนตาบอด... พิกลพิการเขาน่าจะเป็นทุกข์มากกว่าเรา
    ทำไม ? เขายังยิ้มแย้มแจ่มใสได้..."


    "คนอื่นสามารถบังคับเราเป็นเพียงบางเวลา
    ส่วนใจของเรานั้น ไม่มีใครสามารถบังคับได้นอกจากตัวของเราเท่านั้น..."


    "ทำไมเราจึงทุกข์กว่าคนพิกลพิการเล่า...
    กายพิการ แต่ใจไม่ พิการ ใจพิการ แต่กายไม่พิการ อย่างไหนดีกว่ากัน ?..."

    พิจารณาได้รึยัง เรากับน้องหมวย ชีวิตใครเลวร้ายกว่ากัน

    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aoyyada&month=04-12-2008&group=4&gblog=2

    [​IMG]
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>...อิทธิพลของสมาธิ... <HR width="100%" color=#dddddd SIZE=1></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff><CENTER>[​IMG]</CENTER>

    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>โ ด ย : พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
    วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา


    ขณะใดที่เราภาวนา แล้วจิตของเราสงบ นิ่ง สว่าง
    หรือไปรู้สึกนิ่งแจ่มๆ อยู่ในจิตในใจก็ตาม

    นั่นแสดงว่า จิตใต้สำนึกของเรากำลังเริ่มตื่นขึ้นแล้ว
    ทีนี้เมื่อเราฝึกต่อเนื่องกันทุกวัน จนคล่องชำนิชำนาญ
    เราสามารถทำจิตให้สงบได้ ตามที่เราต้องการ
    เมื่อจิตสงบลงนิดหน่อย เราจะน้อม
    ไปใช้ประโยชน์ในทางไหนก็ได้
    อยากจะเป็นหมอรักษาคนไข้
    ก็สำรวมจิต อธิษฐานแผ่เมตตาให้คนไข้
    แม้เพื่อนฝูงของเราเจ็บไข้ อยู่ในที่ห่างไกล
    เรานั่งสมาธิสำรวมจิต แล้วอธิษฐานจิตแผ่เมตตาให้เพื่อนของเรา
    ที่กำลังป่วยไข้ ก็สามารถที่จะหายได้</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา : http://www.thaitv3.com/drama/tamma/trick12.html

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>เด็กอนุบาลก็ผิดศีลข้อกาเมฯได้ <HR width="100%" color=#dddddd SIZE=1></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    พระพุทธทาสภิกขุ
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    [​IMG]


    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>.....กาเมสุมิจฉาจารนี้ คนโดยมากมักจะเข้าใจเสียว่า หมายถึงการประพฤติผิดทางชู้สาวเท่านั้น เลยทำให้เด็กๆไม่ต้องถือศีลข้อนี้ เพราะเด็กเล็กๆขนาดเด็กอนุบาลจะผิดศีลชู้สาวได้อย่างไร อาตมาได้ยืนยันมาหนักหนาแล้วว่า ข้อนี้ต้องแปลให้ถูกต้องตามตัวหนังสือที่มีอยู่ว่า
    กาเมสุมิจฉาจารา นี้แปลว่า ประพฤติในของรักของใคร่ทั้งหมด
    สุ เป็นวิภัตติ์และเป็นพหุวัจนะ แปลว่าทั้งหลาย
    กาเมสุ แปลว่าในกามทั้งหลาย คือในของรักใคร่ทั้งหลาย
    มิจฉาจารา แปลว่า ประพฤติผิด-ถูก

    การประพฤติผิดในทางชู้สาวทั้งหลายนั้น เป็นการประพฤติผิดในกาม ในของใคร่อย่างหนึ่งนั้นแน่นอน แต่ว่าเด็กๆเล็กๆที่ประพฤติผิดในของรักของใคร่ของบุคคลอื่น เช่น เด็กคนหนึ่งรักตุ๊กตามาก แล้วเด็กเล็กๆอีกคนหนึ่งไปทำให้สกปรกหรือย่ำยีเล่น ให้เจ้าของเขาเจ็บช้ำน้ำใจนี้ นี่ต้องผิดศีลข้อนี้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน ฉะนั้น ครูบาอาจารย์จะต้องพยายามอธิบายให้เด็กเล็กๆ รู้จักศีลข้อสามด้วย อย่าไปเข้าใจว่า ยังไม่เป็นเด็กรุ่นหนุ่มรุ่นสาวแล้วไม่ต้องถือศีลข้อนี้....
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา : หนังสือ สุดยอดธรรมะ ฉบับ พินัยกรรม</TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.dhammathai.org/store/talk/view.php?No=133
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD background=../../pic_rec/m11.gif></TD><TD width=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=12 background=../../pic_rec/m44.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>
    <TABLE width=700 border=0><TBODY><TR class=thai><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="75%" align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>...เพียงแค่พอ... <HR width="100%" color=#dddddd SIZE=1></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>

    [​IMG]

    เพียงแค่พอ

    ความคิดอย่างหนึ่งที่ควรฝึกให้เกิดขึ้นประจำ
    คือ... ความคิดที่ว่า
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อวานไปงานวิทยาศาสตร์ทางจิต ที่ ม.เกษตรฯ มา เดินมาก็เดินไป แล้วก็เดินไปเดินมา เอาล่ะว๊ะ งานนี้เห็นโยคีเยอะ ลองเข้าไปแลกเปลี่ยนความรู้ดู เลยเข้าไปนั่งคุยกับ จนท.ของมูลนิธิ บราห์มา กุมารี ราชาโยคะ ที่เป็นผู้ชาย จริงๆ ในกลุ่มนี้มีทั้งชายและหญิง มีทั้งคนไทยเชื้อสายอินเดีย คนไทยเชื้อสายจีน คอยให้คำอธิบายอยู่ เราเข้าไปที่เชื้อสายอินเดีย เท่าที่ถามดู เค้าไม่รู้จ้กพื้นฐานของศาสนาพุทธมาก่อน เลยถามการปฏิบัติของลัทธินี้ดู เท่าที่มีเอกสารประกอบจับใจความได้ว่า พื้นฐานของความเข้าใจในจิตวิญญาณของลัทธินี้มี 3 ประการคือ
    1. ความเข้าใจตนเอง โดยการมองเห็นและความเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ระหว่างตนเองกับโลก
    2.ความเข้าใจในแหล่งชีวิตสูงสุด หรือพลังงานสัมพันธ์ระหว่างชีวิตตนกับแหล่งพลังงานสูงสุด
    3.ความเข้าใจในเรื่อง "กรรม" และความเข้าใจในการยอมรับ "กรรม" ของตนเอง

    ได้สอบถามไปว่า แล้วสิ่งที่สูงสุดของคุณคืออะไร ได้รับคำตอบมาว่า เพื่อความสงบ ความมีคุณธรรม และมีชีวิตที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ เราก็เลยตอบไปว่า อย่างนี้ในทางพุทธศาสนาเราเรียกว่า พรหมวิหาร เท่านั้น แต่ก็ถือว่าเป็นวิวัฒนาการที่สูงที่สุดในขั้นหนึ่งแล้วล่ะ (ไม่กล้าบอกว่ายังมีนิพพานคือดับทุกข์สุขคืออวิชาเป็นขั้นสุดท้าย) คุยกันสักครึ่งชั่วโมงเลยถอยออกมา แต่เท่าที่ดูเค้าคุยและชำเลืองมองดู จนท.คนอื่น ก็เห็นพวกเค้าคอยคุย คอยอธิบาย ด้วยความใจเย็น ยินดี และมีเมตตามากทุกคน หน้าตาไม่ได้บ่งบอกว่า ฉันรำคาญหรือเบื่อหน่าย ก็ดีไปอย่างหนึ่ง เส้นทางแห่งพรหมก็เป็นอย่างนี้ล่ะ มีเมตตา มีปิติสุข เป็นที่ตั้ง สำหรับโยคะ ที่ลัทธินี้ฝึก จะเป็นการฝึกนั่งสมาธิแบบลืมตา คือให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่หลับตา ดังนั้น ใครฝึกแบบลืมตา อย่างท่านพุทธทาส จะง่ายมาก ซึ่งหากเราลืมตารู้เห็นตามความจริงในอริยาบท นั่งนอน ยืน เดิน ก็เป็นสัมมาสมาธิในทางพุทธ ได้เช่นเดียวกัน ถัดมาเสียงกลองแขกแว่วๆ ด้านล่าง เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเป็นการสวดมนต์มนต์ ดูท่าแล้ว กลุ่มนี้ happy มาก มีทั้งกีตาร์ กลองแขก กล่องเครื่องสายแบบสี่เหลี่ยม ยืนดูสักพัก ชักเคลิ้มๆ ดีเหมือนกัน ใครไม่เคยไป ลองหาอ่านดูในเวบนี้ก็มีรูปให้ดู วันนี้ 7/12 เป็นวันสุดท้ายแล้ว ลองไปดูครับ ได้เห็นสิ่งแปลกๆ ในโลกมนุษย์ใบนี้ เพลินดี คิดถึงเมื่อหลายพันปีก่อนที่อินเดียที่มีลัทธิมากมาย คงเหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านคงเบื่อมากๆ ถ้ากระแสเก่า หรือกำลังบารมีท่านไม่ถึง คงจะมัวเมาไปอีกนานทีเดียว นี่เพราะเดชะพระบารมีแห่งพระองค์ท่านที่ได้บำเพ็ญมานับชาติไม่ถ้วน จึงเอาตัวรอดตรัสรู้มาสอนเราได้ นับว่าเป็นพระปริสุทธิคุณอันหาที่สุดไม่ได้แก่เราจริง ๆ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2008
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขอประชาสัมพันธ์กิจกรรมของทุนนิธิฯ ในเดือนธันวาคม 2551 ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ครบรอบ 1 ปี ของทุนนิธิฯ นี้ครับ โดยก่อนอื่น ขอกล่าวถึงวันครบรอบนี้ก่อน คือ วันที่ทุนนิธิฯ ได้เริ่มเปิดบัญชีครั้งแรกโดยผมและนายสติ ได้เริ่มเปิดบัญชีขึ้นที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาซันทาวเวอร์ ในวันที่ 29/11/50 เวลาประมาณ 12.30 น. และเริ่มโพสท์กระทู้เชิญชวนเข้ามาทำบุญครั้งแรกในวันเดียวกัน แต่เป็นเวลา 21.36 น. ในวันนั้น นับเป็นปฐมกำเนิดของทุนนิธิฯ นี้ และสมุดบัญชีไทย เล่มแรกที่มีการบันทึกบัญชีก็มีตามนี้เช่นกันครับ


    อันนี้เป็นสมุดบัญชีบันทึกรายชื่อท่านที่ร่วมกันบริจาคให้ทุนนิธินี้ เป็นครั้งแรก


    [​IMG]


    แต่เนื่องจากในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา มีวันหยุดหลายวันติดต่อกัน เกรงว่าหากจัดกิจกรรมในช่วงต้นเดือน หลายท่าน อาจะติดวันหยุดยาว อาจจะพาครอบครัวไปพักผ่อนไกลๆ ทำให้ไม่สามารถมาร่วมงานได้ จึงคณะกรรมการฯ จึงขยับมาเป็นในวัน อาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม 2551 นี้แทน และในวันดังกล่าวที่จะถึงนี้ คณะกรรมการฯ ทั้งหมด ได้ไปกราบเรียนเชิญ ท่าน อ.ประถม อาจสาคร ให้ท่านขึ้นมาจาก จ.ชลบุรี เพื่อที่จะได้มาพบปะกับพวกเรา และถือว่ามาอวยพรปีใหม่ พร้อมทั้งมาแจกหนังสือ "ปู่เล่าให้ฟัง ฉบับสมบูรณ์" ตามที่มีผู้สั่งจองไว้โดยให้มารับกับท่าน อ.ประถมฯ ด้วยตัวเองด้วยครับ


    สำหรับกิจกรรมและประมาณการค่าใช้จ่ายในเดือน ธันวาคม 2551 นี้ มีรายละเอียดดังนี้


    1. การบริจาคปัจจัยสำหรับสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ

    - รพ.สงฆ์ กทม.
    - ถวายสังฆทานอาหาร สำหรับฉันเช้า 5,000.-
    (พระสงฆ์ประมาณ 200 รูป)
    - ถวายซื้อโลหิต 7,500.-
    - ถวายซื้อเวชภัณฑ์ส่วนกลาง 7,500.-

    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 5,000.-
    - รพ.มหาราช (สวนดอก) จ.เชียงใหม่ 5,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) จ.น่าน 5,000.-
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 5,000.-
    - รพ.50 พรรษามหาวชริราลงกรณ จ.อุบลฯ 5,000.-
    - รพ.สงขลา จ.สงขลา 5,000.-


    2. บริจาคสำหรับการซื้อเครื่องดูดเสมหะ

    - ซื้อเครื่องดูดเสมหะถวายพระสงฆ์อาพาธที่ รพ.ศรีนครินทร์
    จ.ขอนแก่น เป็นการเร่งด่วน คือท่านรองเจ้าคณะอำเภอบ้านไผ่ โดยได้ทำ
    การจัดส่งเครื่องไปให้แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 4/12/51 จำนวน 1 เครื่อง เป็นเงิน5,000.-

    - ซื้อเครื่องดูดเสมหะถวายท่านหลวงปู่แฟ๊บ เพื่อสำหรับใช้ใน
    การรักษาสงฆ์อาพาธ และประชาชนทั่วไป 2 เครื่อง
    ที่ รพ.นาหว้า จ.นครพนม 10,000.-


    รวมเป็นเงินที่ต้องใช้จากบัญชีตามข้อ 1.และ 2. 65,000.-
    (หกหมื่นห้าพันบาทถ้วน)


    สำหรับยอดเงินคงเหลือในบัญชี จะได้มีการปรับปรุงสมุดบัญชี และจะนำมาแจ้งให้ทราบต่อไป


    3. กิจกรรมที่จะมีขึ้นในวันดังกล่าวนี้มีอะไรบ้าง


    - การสอนดูพระในสกุลวังหน้าทั้งหมดเท่าที่นายสติเก็บไว้
    - รายละเอียดของพระสกุลวังหน้า วัดพระแก้ว ในเชิงลึก และปรัชญาในการศึกษาพระวังหน้า หากใครมีปัญหาคาใจ หรือต้องการความรู้ใดๆ เพิ่มเติม ต้องสอบถามจาก ปรมาจารย์ที่ศึกษาด้านนี้โดยตรงคือท่าน อ.ประถมฯ รับรองได้ไม่ผิดหวังแน่นอน และท่านที่จองหนังสือไว้ ขอให้มารับกับมือท่านด้วยเช่นกัน
    - การแจกพระพิมพ์สำหรับเป็นที่ระลึกในการครบรอบ 1 ปี ในคราวนี้ เป็นพระพิมพ์ปัญจสิริ ของ อ.ปุ๊ ซึ่งเก็บสะสมไว้นานมาก และนำเข้าขอบารมีเสกไว้หลายรอบ หลายครั้ง คราวนี้ ได้ฤกษ์แจกซะที ใครยังไม่เคยมี และอยากได้ต้องมาเอาเอง คนละองค์ครับ พร้อมนี้จะได้แจก รูปภาพหลวงปู่แฟ๊บพร้อมวัตถุมงคลอื่นคือเหรียญของท่าน และผ้าอังสะที่ท่านอธิษฐานจิตมาให้ด้วย(ตัดแบ่งกัน) ส่วนผู้ที่ทำบุญมาทางธนาคาร (เฉพาะท่านที่บริจาคซื้อผ้าห่มหนาว) เดี๋ยวจัดการส่งให้ครบชุดเช่นกัน (จัดส่งฟรี) ขอมาได้ที่คุณโสระส่วนพระปัญจสิริท่านอื่นที่ทำบุญเป็นประจำที่อยากได้ แต่ไม่สามารถมาร่วมกิจกรรมได้ เดี๋ยวต้องดูจำนวนผู้ที่เข้ามาในงานก่อน หากมีเหลือจะให้ท่านขอมาครับ สำหรับท่านที่มีลูกเล็ก หากมาในงานนี้ ให้บอกผมๆ จะมอบหลวงปู่ทวดพิมพ์พระรอดให้สำหรับเด็ก คนละ 1 องค์ครับ อิทธิคุณรับประกันได้ ไม่ต้องซื้อประกันภัยเพิ่มเติมครับ
    - ส่วนของที่นำมาให้บูชาในงาน คราวนี้เหลือเพียงกริชวังหน้า 5 เล่ม โดยรายได้จะแบ่งเป็น 3 ส่วนคือสมทบการซื้อ server เพิ่มเติมให้เวบพลังจิต, จัดเป็นกองทุนในการจัดส่งพระ และสุดท้ายเหลือเท่าไร ก็จะผลักเข้าทุนนิธิฯ ให้หมดครับ


    สุดท้ายนี้ก็คงไม่มีอะไรมาก เราเป็นคณะเล็กๆ ทำได้ก็เพียงเท่านี้ ขอแค่เพียงให้พระสงฆ์ที่ท่านอาพาธ แม้เพียงได้ช่วยชีวิตท่านให้มีความสุข แม้เพียงเล็กน้อยประเดี๋ยวประด๋าว แค่นี้บุญก็ท่วมหัวท่วมหูแล้วครับ โชคดีได้เจออริยะสงฆ์อย่างหลวงปู่แฟ๊บ ที่เราบริจาคเครื่องดูดเสมหะให้ท่าน คิดเอาเองครับ สำหรับอาทิตย์นี้ ลาก่อนครับ ไว้เจอกันวันกิจกรรมทุนนิธิฯ ก็แล้วกัน...



    พันวฤทธิ์
    7/12/51



    <CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER></CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2008
  18. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    ผมนำหลักฐานการโอนเงิน และใบตอบรับ โมทนาบัตรของโรงพยาบาลต่างที่ทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ได้ส่งเงินไปช่วยก็ขอให้ทุกท่านได้ร่วมโมทนาในบุญที่พวกเราได้กระทำกันมาดีแล้วด้วยครับ

    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]


    โอนเงินให้ทางบริษัทที่ทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร สั่งเครื่องดูดเสมหะที่ต้องการใช้ด่วนตามที่คุณพันวฤทธิ์ได้แจ้งไว้
    ให้ทราบแล้ว

    [​IMG]

    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Scan0026.jpg
      Scan0026.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51 KB
      เปิดดู:
      463
    • Scan0028.jpg
      Scan0028.jpg
      ขนาดไฟล์:
      111.5 KB
      เปิดดู:
      454
    • Scan0029.jpg
      Scan0029.jpg
      ขนาดไฟล์:
      80.1 KB
      เปิดดู:
      470
    • Scan0030.jpg
      Scan0030.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.5 KB
      เปิดดู:
      483
    • Scan0031.jpg
      Scan0031.jpg
      ขนาดไฟล์:
      91.7 KB
      เปิดดู:
      441
    • Scan0032.jpg
      Scan0032.jpg
      ขนาดไฟล์:
      59.4 KB
      เปิดดู:
      469
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    หากจะสังเกตุดีๆ ในส่วนใบอนุโมทนาบัตรของ รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) จ.น่าน นั้น เป็นเล่มที่ 01 เลขที่ 01 ซึ่งแปลกกว่าของที่อื่น ได้สอบถามไปยัง หัวหน้าหอสงฆ์อาพาธที่นั่นเหมือนกัน จึงได้ความว่า นับตั้งแต่มีหอสงฆ์มา ไม่เคยมีใคร บริจาคเข้าหอสงฆ์อาพาธหรือเรื่องอื่นๆ เลย (มีแต่บริจาคแบบเงินสดหน้าเคาน์เตอร์ แต่น้อยมาก) เพิ่งมีทุนนิธิฯ เรานี่ล่ะ ติดต่อบริจาคไปรายแรก ซึ่งแรกๆ เอง หัวหน้าฯ ก็งง โทร.มาถามเหมือนกันว่าทาง รพ.ต้องทำอย่างไรบ้าง เราจึงบอกแนวทางไป จึงได้ทั้งหนังสือขอบคุณและใบอนุโมทนาบัตรมาอย่างที่เห็นครับ ทั้งนี้ ต่อไป ทาง รพ.นี้ คงจะคุ้นแล้วล่ะ เพราะเราจะบริจาคให้ทุกเดือน สำหรับที่บ้านผม มีตกค้างอีกใบหนึ่ง เป็นของ รพ.มหาราช เชียงใหม่ จนท.พิมพ์เลขที่บ้านผิดไปร้อยกว่าเลข แต่ไปรษณีย์จำได้ว่าบ้านนี้ สงสัยมีหมออยู่ เพราะจดหมายจาก รพ.ต่างๆ ส่งมาเดือนละ 7-8 ฉบับ จึงนำมาส่งให้อย่างถูกต้องครับ รับรองหาก รพ.ไหนส่งมา ไม่หายแน่นอน...
     
  20. ms-bluemoon

    ms-bluemoon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2008
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +44
    ไม่ทราบตอนนี้ยังสามารถโอนเข้าบัญชีร่วมบุญอยู่ได้หรือไม่คะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...