ผู้ไปนิพพานแล้วกลับมาเกิดอีกได้ฤา

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ผู้ที่_, 15 ตุลาคม 2008.

  1. ผู้ที่_

    ผู้ที่_ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +83
    1. เพื่อนผมเขาบอกว่าตัวเขาเคยบรรลุอรหันต์มาแล้ว แล้วก็มาจุติเพื่อช่วยสรรพสัตว์โดยแสร้งทำตัวเป็นคนมีกิเลส ผมได้ฟังดังนั้นก็ไม่เชื่อ ผมเลยอยากทราบว่า ที่จริงแล้ว พระอรหันต์สามารถกลับมาเกิดใหม่ได้อีกไหม

    2. เพื่อนคนเดิมเขาบอกอีกว่าเขาได้รับคำทำนายให้เป็นพระพุทธเจ้าอีกในอนาคต (ชื่อยาวมาก จำไม่ได้) แล้วเขาบอกว่าไม่สามารถลาพุทธภูมิได้แล้ว โดยเขาบอกว่าอีก แสนอสงไขยเขาจะลงมาจุติ แล้วสร้างโลกธาตุของตัวเองได้ อะไรทำนองนี้ แต่ต้องสร้างบารมีเยอะมากๆ ผมก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะเชื่อก็แปลกๆ เพราะเพื่อนผมคนนี้กิเลสยังหนาอยู่เลย บารมีอะไรก็ไม่เห็นสร้างเป็นปรมัตถ แต่เขาบอกว่าที่รู้เพราะมีพระอรหันต์ท่านนึงบอกมา (ที่ไม่มีชื่ออยู่ในเว็ปบอร์ดนี้ครับ) แต่จะไม่ให้เชื่อก็กลัวจะไปลบหลู่ผู้มีบารมี ขอความคิดเห็นหน่อยครับว่ามันยังไงครับ
     
  2. ฮุ้ง-หงส์

    ฮุ้ง-หงส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +532
    เราไม่ปรามาสใคร เพราะเราไม่รู้แจ้ง

    วันใดที่เราเป็น ผู้ที่รู้แจ้งแล้ว เราคงรู้ความจริง
     
  3. บุตรสา

    บุตรสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +793
    ระวังอุปทานจะกิน
    ไปศึกษาคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำเพิ่มเติมจะดีกว่าครับ
     
  4. มาร-

    มาร- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +487
    มันเป็นเช่นนั้นเองหนอ...

    ทางแห่งการหลุดพ้นทางเดียว ก็คือ ทางแห่ง มรรค์ มี องค์ 8

    ท่านว่าจริง ไหม ?

    _____________________


    บุญกุศลเหล่าใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำจัก จำได้ก็ดี จำไม่ได้ก็ดี ร้อยชาติก็ดี หมื่นชาติก็ดี อสงไขย์ชาติก็ อนันตชาติก็ดี

    ข้าพระพุทธเจ้าขอนอบน้อมอำนาจพระพุทธคุณอันไม่มีประมาณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ทั่วทั้งอนันตจักวาลที่มิได้มีประมาณ ทั้ง ห้วงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตกาล โดยมีสมเด็จ ภันเต ภควา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมเด็จองค์พระประถม
    องค์พระสิริมิตร องค์พระธรรมสามี พระธรรมราชา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระ สิขี ทศพล ญาณที่1 เป็นสมเด็จองค์พระประธาน แห่งองค์พระพุทธคุณ

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจคุณพระธรรม พระสัจธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ อั้นไม่มีประมาณ เป็นองค์พระธรรมคุณ

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจแห่งองค์พระปัจเจกพุทธคุณ แห่งองค์พระปัจเจกพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์ อันไม่มีประมาณ ทั่วทั้งอนันตจักวาล ทุกกาล ทุกกัปป์ ทั้ง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็น องค์พระปัจเจกพุทธคุณ

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจ แห่งคุณพระสงฆ์ พระสาวกแห่งพระผู้มีพระภาค องค์ภันเต ภควา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ทั่วทั้ง อนันตจักวาล อันไม่มีประมาณ อันหาที่สุด มิได้ เป็น พระสังฆคุณ

    ข้าพระพุทธขอน้อมอำนาจ แห่งคุณพระบิดา พระมารดา พระอรหันต์ แห่งบุตร ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย และของข้าพเจ้าทุกๆชาติ ทุกๆภพ ทุกๆภูมิ เป็น คุณแห่งบิดาและมารดา

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจแห่งคุณพระอาจารย์ ทุกๆรูป ทุกๆนาม ทุกๆภพ ทุกๆภูมิ ตลอด อดีต ปัจจุบัน และอนาคต มีพระคุณที่ได้ประสิทธิประสาท วิชา สั่งสอนในคุณความดี ตั้งมั่นในสัมมาทิฐิ เป็น
    คุณแห่งครูบาอาจารย์

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจแห่งคุณของ พระพรหม และเทพ เทวดา พระยายมราช ทุกรูป ทุกนาม ทุกๆชั้นฟ้า ทั้วทั้ง อนันตจักวาล สากลพิภพ อันไม่มีประมาณ จงร่วมกันบันดาล ปกป้องรักษาและอนุโมทนา

    ขออำนาจแห่งพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระปัจเจกพุทธคุณ พระสังฆคุณ คุณแห่งบิดา มารดา คุณแห่งครูบาอาจารย์ และ ทวยเทพเทวดาทั้ง โปรดดลบันให้....

    กุศลผลบุญ เหล่าใด ที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ทำมา ได้บำเพ็ญมาโดยชอบ จำได้ก็ดี จำมิได้ก็ดี ข้าพระพุทธเจ้าขออุทิศกุศลเหล่านั้น แด่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกรูป ทุกนาม ทุกภพ ทุกภูมิ ขอให้ได้ร่วมอนุโมทนา ขอให้มีส่วนร่วมในกองกุศลของข้าพเจ้า เพื่อยังผลให้ที่สุดแห่งกองทุกข์ จงหมดสิ้นไปด้วยเทอญ....
     
  5. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    แต่ผมเห็นว่า โดยปกติวิสัยของผู้หลุดพ้นไปแล้ว อริยผลเกิดแล้วย่อมมีความเมตตาต่อหมู่สัตว์แน่นอนเพราะคงมองตนว่ากว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ยาวนานยากลำบากสักเพียงใด ย่อมเมตตาต่อสัตว์โลกที่ยังมองไม่เห็นแม้แสงแห่งทางเลย ท่านจึงโปรดสัตว์ตามสมควร ตามกรรมของสัตว์ แต่เมื่อเข้าสู่เเดนนิพพานแล้ว ท่านน่าจะเป็นผู้ไปดีแล้ว ภาระหน้าที่จะนำสัตว์ให้ข้ามพ้นไป จะเป็นของเหล่าสัตว์ที่ท่านได้บ่มเพาะไว้ หรือของพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ตรัสรู้ (คติของมหายานที่ว่าออกมาจากนิพพานด้วยญาณนั้นผมเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่หากเพียงคิดตามหลักทั่วๆไปว่า ท่านผู้ไปดีแล้ว พึงมีเมตตาต่อสัตว์โลก สั่งสอนโปรดสัตว์ตามสมควรแล้ววางอุเบกขาธรรมเพราะท่านต้องละสังขารที่ไม่เที่ยวไป เหลือแต่หลักธรรมคำสั่งสอนมากกว่า เพราะกิจของท่านได้ทำดีแล้วพระพุทธเจ้าไม่น่าจะมีห่วงนะครับถึงจะถือว่าไปดี สุขโต)

    ที่บอกว่าเคยเป็นพระอรหันต์ในคติของใครครับ พราหมณ์ หรือจะเป็นนักบวชในศาสนาอื่น ที่บรรลุฌาณ มีฤทธิ์ ชั้นพรหม เพราะอาจเรียกเหมือนกันแต่คนละความหมาย
    เรื่องแสร้งทำตัวมีกิเลศเนี่ยแปร่งๆอยู่ จำเดิมพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมมีบุญบารมีคุณงามความดีเป็นพื้นฐาน
    จะแกล้งมีกิเลสทำไมครับ(แล้วเห็นบอกว่าออกจากนิพพานมา น่าจะหมดกิเลสแล้วนะ) แต่ก็ไม่เเน่ แกล้งมีได้ แต่ไม่มีกิเลสแล้วต้องไม่ทำด้วยนะครับ กายวาจา ใจ ต้องบริสุทธิ์จริงๆ
    แล้วการแกล้งทำตัวมีเลสเนี่ยช่วยอย่างไรเหรอครับ

    แต่อย่างไรก็ดี กระผมเห็นด้วยว่าไม่ควรปรามาส
    ถ้าอยากรู้ต้องให้แสดงหลักธรรม ที่เป็นสัจจธรรม
    ถ้าเป็นหลักธรรม สัจธรรมไม่ว้าจะเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ พระองค์ใดก็ย่อมแสดงธรรมได้เป็นสิ่งเดียวกัน เพราะท่านเหล่านั้นรู้ความจริง
    ดั่งน้ำทะเลไม่ว่าจะชิมจากที่ใด(ประเทศจีน ญี่ปุ่น อเมริกา แคนนาดา ออสเตรเลีย ไทย อินเดีย) ย่อมมีรสเค็มรสเดียวกันฉันนั้น
    ศีลย่อมรู้ด้วยการอยู่ร่วมกัน ปัญญาย่อมรู้ด้วยการพูดคุย
    แต่ต้องสังเกตและใช้เวลา นะครับ

    อนุโมทนาในความคิดและคติที่มีตามหลักกาลามสูตรของท่านเจ้าของกระทู้
    สงสัยได้แต่อย่าได้ปรามาสเพราะจะก่อกรรมได้ง่าย อย่าตื่นข่าว เพราะจะหลงได้ง่าย
    พิจารณาตามหลัก ตามเหตุ ตามปัจจัย ดูครับ

    เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2008
  6. humanbeing

    humanbeing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +214
    เราก็เคยฟังรายการธรรมะทางวิทยุ ชื่อคลื่น "สังฆทานธรรม" 102.5 FMเหมือนกัน ครั้งหนึ่งเป็นเทปธรรมะ บรรยายโดยหลวงพ่อรูปหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้) ท่านกล่าวถึงหลวงพ่อชา สุภัทโทว่า ครั้งหนึ่งเคยมีผู้มาปฏิบัติธรรมที่วัดของท่าน แล้วเมื่อมาสอบอารมณ์ โยมหญิงผู้นั้นกล่าวว่า รู้สึกว่าตนเองจะบรรลุอนาคามิผล หลวงพ่อชา จึงกล่าวว่า เออ อนาคามีก็ดีกว่าสุนัขนิดนึง เท่านั้นแหละ โยมผู้หญิงคนนั้นก็โกรธใหญ่เลย นี่ขนาดบรรลุอนาคามีนะเนี่ย (หัวเราะ)

    (= แสดงว่าไม่ได้บรรลุธรรมจริง)

    รายการนี้ได้บอกลักษณะของผู้บรรลุธรรมในแต่ละขั้นด้วย เช่น พระโสดาบัน จะรักษาศีล 5 ได้ครบ ไม่มีทางไปสู่อบายภูมิได้อีกแล้ว แต่ยังมีความรัก โลภ โกรธ หลง อยู่

    พระสกทาคามีก็เหนือพระโสดาบันขึ้นไปอีก (จำรายละเอียดไม่ได้)

    พระอนาคามีนี่ก็เหนือพระสกทาคามีอีกที ใกล้เคียงพระอรหันต์แล้ว (จำรายละเอียดไม่ได้)

    ส่วนพระอรหันต์นี้ จะตัดกิเลสได้หมดอย่างสิ้นเชิง ไม่มีรัก-โลภ โกรธ หลง เหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว เคยมีคนบอกว่า คนทั่วไปจะไม่รู้หรอก มีแต่พระอรหันต์ด้วยกันเท่านั้นที่รู้

    แต่ที่แน่ๆ ถ้ายังรักษาศีล 5 ได้ไม่ครบล่ะก็ ไม่ใช่พระอรหันต์หรอก แถมยังน่าจะไปสู่อบายภูมิด้วย

    ป.ล. ถ้าผู้ใดรู้ลักษณะของผู้บรรลุธรรมในแต่ละขั้น ช่วยถ่ายทอดความรู้เป็นวิทยาทานด้วยนะคะ

    ขอบคุณค่ะ
     
  7. แงซาย ชายดอย

    แงซาย ชายดอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,028
    ค่าพลัง:
    +1,314
    ไม่มีประมาท ในทุกที่ ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ

    พระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ทรงตรัสสอนไว้ แนวทางนี้
     
  8. ผมยังเลวอยู่มาก

    ผมยังเลวอยู่มาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +539
    1.แยกพิจารณาดังนี้
    1.พระโสดาบัน เกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ (อาจเป็น มนุษย์ เทวดา หรือ พรหม )
    2.พระสกิทาคามีเกิด อีก 1 ชาติ
    3.พระอนาคามี ไม่เกิดอีกแล้ว สถิตอยู่ที่ พรหมโลก ชั้น 12-16
    4.พระอรหันต์ ไม่มีวันที่จะกลับมาเกิดอีกเพราะสิ้นเชื้อสิ้นชาติคือกิเลศแล้ว นิพพาน
    ให้ใช้หลักการนี้พิจารณา ถ้านอกจากนี้ เฝือคับ อุปาทานกิน

    2.ได้รับหรือไม่ไม่มีใครรู้ เพราะต้องปรมัตถบารมีขึ้นไปจึงได้รับ .. ให้สังเกตุความประพฤติดูเอา...แต่เรือ่งสร้างโลกธาตุเองคงเป็นไปไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าจะอุบัติแต่ในโลกชมพู คือดินแดนชมพูทวีปเท่านั้น (หมายถึงโลกของเรา) และจักอุบัติขึ้นในจักรวาฬนี้โลกธาตุนร้เท่านั้น โบราณจึงเรียกว่า มงคลจักรวาฬ
    อีกประการ พุทธภูมิ บำเพ็ญบารมี 4 อสงไขย แสนกัป/ 8 อสงไขย แสนกัป / 16 อสงไขยแสนกัป ..... 100000 อสงไขยไม่มีคับ

    คงตอบได้เพียงแค่นี้ ถ้าไม่สบายใจก็ขอขมาพระรัตนตรัยก็ได้คับ
     
  9. มหาพรหมราชา

    มหาพรหมราชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +903
    แค่พระอนาคามีก็ไม่กลับมาเกิดอีกแล้วครับไม่ต้องไปพูดถึงพระอรหันต์หรอกครับ
    ในพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้านี้พระอรหันต์ไม่กลับมาเกิดอีกเพราะสิ้นภพสิ้นชาติหมดการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว...แต่ในศาสนาอื่นหรือนิกายอื่นพระอรหันต์ ในคติของท่านเหล่านั้นอาจมีการเกิดได้อีกเพราะเห็นว่าเป็นผู้มีคุณธรรมสูงจึงยกย่องหรือเรียกท่านว่าพระอรหันต์ซึ่งถือว่าเป็นผู้มีคุณธรรมสูงสุดในศาสนาหรือนิกายนั้นๆ...แต่คำว่าอรหันต์ แปลว่า ผู้ไกลจากกิเลส หรือ ผู้ สิ้นกิเลส ...กิเลสเป็นเหตุให้เกิดเมื่อสิ้นกิเลสก็เท่ากับสิ้นการเกิด...ไม่มีการเกิดอีกสำหรับพระอรหันต์...
    ..............
    สังโยชน์

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- start content -->





    สังโยชน์ คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่าง คือ
    • ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้แก่
      • ๑. สักกายทิฏฐิ - มีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเรา
      • ๒. วิจิกิจฉา - สงสัยในคุณของพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
      • ๓. สีลัพพตปรามาส - ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร หรือนำศีลและพรตไปใช้เพื่อเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส เช่นการถือศีลเพื่อเอาไว้ข่มไว้ด่าคนอื่น การถือศีลเพราะอยากได้ลาภสักการะเป็นต้น
      • ๔. กามราคะ - ความติดใจในกามคุณ
      • ๕. ปฏิฆะ - ความกระทบกระทั่งในใจ
    • ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ได้แก่
      • ๖. รูปราคะ - ความติดใจในวัตถุหรือรูปฌาน
      • ๗. อรูปราคะ - ความติดใจในอรูปฌานหรือความพอใจในนามธรรมทั้งหลาย
      • ๘. มานะ - ความถือว่าตัวเป็นนั่นเป็นนี่
      • ๙. อุทธัจจะ - ความฟุ้งซ่าน
      • ๑๐. อวิชชา - ความไม่รู้จริง
    พระโสดาบัน ละสังโยชน์ ๓ ข้อต้นได้
    พระสกทาคามี ทำสังโยชน์ข้อ ๔ และ ๕ ให้เบาบางลงด้วย
    พระอนาคามี ละสังโยชน์ ๕ ข้อต้นได้หมด
    พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อ

    [แก้] อ้างอิง

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2008
  10. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    ผู้ถาม : เมื่อทำบุญแล้ว ถ้าจะอุทิศส่วนกุศลภายหลังจะได้ไหมคะ...........?
    หลวงพ่อ : การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปี ๆ บุญก็ยังมีอยู่ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญมันไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้ว เดี๋ยวเดียวมันหายไปไม่ใช่อย่างนั้นนะ
    ผู้ถาม :แล้วถ้าเผื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้อุทิศส่วนกุศลจะได้บุญเต็มที่ไหมคะ...?
    หลวงพ่อ : ก็ได้เต็มที่อยู่แล้ว เราเป็นผู้ได้สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ การอุทิศส่วนกุศล นี่นะ ถ้าเราไม่ให้ เราก็กินคนเดียวใช่ไหม..... ทีนี้ถ้าเราให้เขาของเราก็ไม่หมดอีก ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญน่ะจะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ท่านรับบาตรนะ ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า

    "สมมุติว่าโยมมีคบ แล้วก็มีไฟด้วย คนอื่นเขามีแต่คบ ไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่าง ก็มาขอต่อไฟที่คบของโยมแล้วคบทุกคนสว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของคุณโยมจะยุบไปไหม....?
    ท่านอนุรุทธก็บอกว่า ไม่ยุบ
    แล้วท่านก็บอกว่า "การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน ให้เขา เขาโมทนา แต่บุญของเราเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์"



    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ




    ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพบแล้ว ขอธรรมนั้น จงสำเร็จแก่ท่านทั้งหลายโดยเร็วด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ
    อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนา ส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท้าเข้าสู่พระนิพพาน และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด หากท่านทั้งหลายยังไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาเพียงใด ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงเป็นสักขีพยานให้แก่ข้าพเจ้าด้วย เจอเธอเมื่อใด ขอให้เธอได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ด้วยเถิด ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาตินี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด หากแม้นยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าไม่รู้ ไม่มี จงอย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าเลย ขอผลบุญทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้า ได้กระทำแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ จงบังเกิดผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
     
  11. อย่าลืมฉัน

    อย่าลืมฉัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +2,807
    คุณคงถูกหลอกจนเปื่อยแล้วครับ
    กิเลสมันมีตั้งแต่เพื่อนคุณตัวเท่ามะละกอแล้วครับ ไม่ต้องแกล้งทำ
    ส่วนโลกธาตุ หรืออะไรที่ประกอบไปด้วยธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ
    มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปตามธรรมชาติของมันตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ
    เพื่อนคุณคงจะประเภทหันซ้าย หันขวา หันหน้า หันหลัง หันขึ้นบน หันลงล่าง
    ไม่รู้จะหันไปไหนแล้ว เพื่อนของคุณผู้ที่นี่ " ชาติโซ " 5555555;aa22
    เอ่อ ใครคิดเห็นยังไงก็ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยน่ะค๊าฟฟฟ
     
  12. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,310
    ข้อสังเกตุนะครับ
    1.เปรียบได้ว่าเคยตกลงบ่อส้วมถ้าขึ้นมาได้แล้วทำความสะอาดหมดจดแล้วยังมีใครที่อยากจะตกลงไปในบ่อส้วมอีกมั่งครับ
    บ่อส้วมเปรียบเทียบกัลกิเกส เมื่อทำความสะอาดคือตัดกิเลศเป็นอรหันต์
     
  13. ^Lily^

    ^Lily^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +110
    เพื่อนคุณคงเพี้ยนแล้วล่ะ อย่าไปฟังเพื่อนคุณให้มากเลย บรรลุอรหันต์ก็ไม่ลงมาจุติแล้วค่ะ เพราะกิเลสดับไม่มีเชื้อแล้ว
     
  14. นักรบโบราณ

    นักรบโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +973
    พระอรหัตมรรค มาเกิดอีกได้ครับ ด้วยอธิษฐานบารมี เพื่องานพระศาสนา

    สัจจะบารมี อธิษฐานบารมีที่แต่ละพระองค์ตั้งจิตไว้ มีผลครับ

    สมมติบัญญัติที่มีอยู่เป็นแนว เป็นแผนที่ เป็นโครงร่างให้ศึกษา

    ผู้บำเพ็ญ...พึงไม่ยึดติดสมมติบัญญัติ หรือ ตำรามากเกินไป

    เพราะเหตุ "พระธรรมกว้างใหญ่ไพศาล เกินจะรู้ทั่ว"
     
  15. พระยาเดโชชัยมือศึก

    พระยาเดโชชัยมือศึก สินธพอมรินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,742
    ค่าพลัง:
    +12,024
    ถ้าจบกิจ ไปนิพพานแล้ว บัญชีถือว่าปิดแล้ว แต่เราจะสามารถเห็นภาพท่านปรากฎขึ้นในจิตได้เป็นลักษระกายเป็นแก้ว แต่ท่านจะไม่มาจุติเป็นคนอีกแล้ว ประมาณนั้น
     
  16. ผู้ที่_

    ผู้ที่_ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +83
    ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับท่านๆ ... ตัวผมไม่เคยเชื่อเขาหรอก...ถ้าเชื่อผมก็เรียกเพื่อนผมคนนี้ว่าท่านแล้วล่ะครับ

    ตามเหตุผลที่พวกท่านๆ เล่ามานั้น มีที่มาที่ไปในเหตุและผล ขอบคุณสำหรับคำแนะนำขอรับ
     
  17. ผมยังเลวอยู่มาก

    ผมยังเลวอยู่มาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +539

    ขอคุณทำความเข้าใจตรงนี้ก่อนนะคับ คำว่า อรหันตมรรค อรหันตผล นี้ความหมายไม่เหมือนกันนะคับ
    อรหันตมรรค หมายถึงผู้กระทำความเพียรเพื่อบรรลุอรหันตผล เป็น พระอรหันต์ ซึ่งผู้ที่อยู่ในเขต อรหันตมรรค นี้คือพระอนาคามี คับ โดย จะไล่ไปอย่างนี้ว่า
    โสดาปฏิมรรค ----- โสดาปฏิผล
    สกิทาคามีมรรค-----สกิทาคามีผล
    อนาคามีมรรค------อนาคามีผล
    อรหันตมรรค------อรหันตผล

    อย่างนี้คับ ฉะนั้น อรหันตมรรค จึงไม่ลงมาเกิดอีกคับ เพราะอยู่ในเขตของอนาคามีผล กำลัง จะเข้าสู่อรหันตผล การที่คูกล่าวมานั้นเป็นในรูปแบบของพระโพธิสัตว์เขาอธิษฐานลงมาเกิดกัน และขอคุณทำความความเข้าใจอีกอย่างนึงคือ
    คำว่า สมมุติ บัญญัติ หรือ บัญญัติธรรม กับ ปรมัตถบัญญัต หรือ ปรมัตถธรรม อีกอย่างนะคับ
    ปรมัตถธรรม เป็นธรรมที่มีเนื้อความไม่เปลี่ยนแปลง ไม่วิปริตผันแปร มี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน

    บัญญัติธรรม เป็นสิ่งที่บัญญัติขึ้น สมมติขึ้นเพื่อเรียกขานกัน ตามความนิยมเฉพาะหมู่เฉพาะเหล่า (ไม่มีวิเสสลักษณะ)

    ในเรื่อง ของ พระอรหันต์นี้ จัดเป็นปรมัตถบัญญัติ ไม่ใช่สมมุติบัญญัติคับคุณเข้าใจผิดแล้ว คืออย่างไรเสียก็ตอ้งเป็นอย่างนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อย่างนี้เป็นต้น

    ยกตัวอย่าง ตอนพระพุทธเจ้า สนทนากับวัจฉโคตต์ปริพาชก ในตอนท้ายว่า
    พระพุทธเจ้า: ฉันนั้นเหมือนกันแล วัจฉะ บุคคลเมื่อจะบัญญัติตถาคต พึงบัญญัติด้วยรูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณใด รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ นั้น ตถาคตละได้แล้ว ถอนรากเสียแล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา, ตถาคตพ้นจากการนับว่ารูป...พ้นจากการนับว่าเวทนา...พ้นจากการนับว่าสัญญา...พ้นจากการนับว่าสังขาร...พ้นจากการนับว่าวิญญาณ ลึกซึ้ง ประมาณไม่ได้ หยั่งได้ยาก เปรียบเหมือนมหาสมุทร, คำว่าเกิดก็ใช้ไม่ได้ คำว่าไม่เกิดก็ใช้ไม่ได้ คำว่าทั้งเกิดทั้งไม่เกิด ก็ใช้ไม่ได้ คำว่า จะว่าเกิดก็ไม่ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่ ก็ใช้ไม่ได้

    จากหนังสือ พุทธธรรม ฉบับขยายความ
    โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต)
    หน้า 391 - 392



    การศึกษาพระธรรม ไม่ ยึดตำราเลยก็ไม่ได้คับเพราะเรายังไม่ถึงขั้นรู้แจ้งไม่อย่างนั้น พระอรหันต์ท่าน จะ สังคยายนาพระไตรปิฏกมากันทำไม !!! เหตุก็เพราะท่านกลัวพระศาสนาจะเสื่อมไงคับ ถ้าไม่มีตำรารับรอง ก็จะเป็นอย่างที่คุณโพสมานั่นแหละ คับ บางอย่างต้องศึกษาคับพิจารณาคิดเองก้มีแต่จะผิดยิ่งเรื่องของปรมัตถธรรมแล้ว ยิ่งควรต้องศึกษา จากนั้นน้อมนำมาปฏิบัติ แล้วจากนั้นทำ จนได้ปฏิเวธ พอถึงจุดนี้แล้ว คำว่าไม่ยึดตำราจึงจะใช้ได้คับ

    อนุโมทนา

    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เคยกล่าว ว่า
    คนเรา ควรจะให้ได้ทั้ง ปริยัติ ปฏิบัติ และ ปฏิเวธ

     
  18. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    คุณสามารถ จุดไฟได้ไหม ถ้า ปราศจาก
    1. ออกซิเจน
    2. เชื้อเพลิง
    3. ความร้อน

    นั้นคือคำตอบสุดท้าย
     
  19. โพธิ์แก้ว

    โพธิ์แก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    ไม่มีเชื้อ....แล้วไฟมันจะติดได้อย่างไร....
     

แชร์หน้านี้

Loading...