การนับถือพระโพธิสัตว์ที่ถูกต้องคือนับถืออย่างไร : พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย sawatha, 12 สิงหาคม 2008.

  1. sawatha

    sawatha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +52
    นับถือพระโพธิสัตว์ที่ถูกต้องคือนับถืออย่างไร โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)


    ต่อไป มีอีกเรื่องซึ่งเกี่ยวกับความวิเศษด้วยเหมือนกัน บางทีก็สับสนกับความเป็นพระอริยะ-พระอรหันต์ คือเรื่องพระโพธิสัตว์ ในพระพุทธศาสนามีเรื่องพระโพธิสัตว์ เราก็นับถือพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์คือใคร ไม่ต้องตอบก็ได้ โยมก็รู้อยู่แล้ว พระโพธิสัตว์คือท่านผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าของเรานี้ ก่อนจะตรัสรู้ก็เคยเป็นพระโพธิสัตว์ตอนที่ยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ออกบรรพชาแล้วเข้าไปแสวงหาธรรมอยู่ในป่าก็เป็นพระโพธิสัตว์ ยังไม่ได้ตรัสรู้ จนกระทั่งตรัสรู้ในวันเพ็ญวิสาขบูชา คือวันเพ็ญเดือนหก เสร็จแล้วจึงเป็นพระพุทธเจ้า ก่อนเป็นพระพุทธเจ้าจึงเป็นพระโพธิสัตว์มาตลอด

    เราจึงมีเรื่องราวเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ในปัจจุบันชาติ คือก่อนจะตรัสรู้ ตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วเราก็มีเรื่องเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ในอดีตก่อนชาตินี้อีกมากมายที่เราเรียกว่าชาดก ๕๔๗ เรื่อง แสดงถึงการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันนี่เอง เรียกว่า ๕๐๐ ถ้วนหรือ ๕๕๐ ชาติ แต่นับกันที่ตัวเลขจริงได้ ๕๔๗ เรื่อง

    ทีนี้เมื่อเรามีพระโพธิสัตว์ เรานับถือพระโพธิสัตว์ เรานับถืออย่างไรจึงจะถูกต้อง

    เวลานี้ก็มีพระโพธิสัตว์เกิดขึ้น อย่างที่กำลังนิยมมากคือ เจ้าแม่กวนอิม แล้วโยมรู้ไหม พระโพธิสัตว์ที่เรียกว่ากวนอิมนี้คือใคร มีความเป็นมาอย่างไร บางทีก็เรียกตาม ๆ กันไปว่า พระโพธิสัตว์ แต่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าท่านมาจากไหน ไปอย่างไร มาอย่างไร เป็นพระโพธิสัตว์อย่างไร

    อย่างน้อยโยมต้องรู้หลักก่อนว่า ความเป็นพระโพธิสัตว์นั้นอยู่ที่ว่าต้องบำเพ็ญบารมี บำเพ็ญคุณธรรมอย่างยวดยิ่งอย่างที่คนธรรมดาทั่วไปจะบำเพ็ญกันไม่ไหว ตั้งใจจะบำเพ็ญความดีข้อไหน เช่นบำเพ็ญทาน ก็บำเพ็ญได้อย่างสูงสุดจนกระทั่งสละชีวิตของตนเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นได้ เรียกว่าให้ชีวิต จะบำเพ็ญความเพียรพยายาม ก็เพียรพยายามอย่างยวดยิ่งไม่มีระย่อท้อถอย แม้ต้องสิ้นชีวิตก็ยอม นี่คือการบำเพ็ญบารมี หมายถึงคุณธรรมที่บำเพ็ญอย่างยวดยิ่ง

    พระโพธิสัตว์เมื่อบำเพ็ญบารมีครบแล้วก็คือได้พัฒนาพระองค์อย่างเต็มที่แล้ว ก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วเรานับถือพระโพธิสัตว์นั้นนับถืออย่างไร นับถือเพื่ออะไร

    ก็ขอตอบสั้น ๆ คือ นับถือเพื่อเอาเป็นแบบอย่าง เอาพระโพธิสัตว์เป็นตัวอย่าง เป็นตัวอย่างอย่างไร

    พระโพธิสัตว์นั้นกว่าจะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านต้องทำความดีมากมาย เพียรพยายามทำมายาวนานอย่างยากลำบากมากประสบอุปสรรคมาก แต่ก็ทำมาตลอดโดยไม่ระย่อท้อถอยจนประสบความสำเร็จ ท่านจึงเป็นตัวอย่างในการทำความดีของเรา

    พระโพธิสัตว์นั้นท่านมีปณิธานด้วย คือตั้งใจจะทำความดีอันไหนก็ทำจริง ๆ ทำเต็มที่แล้วก็มั่นคงด้วย เราก็ต้องพยายามทำอย่างนั้น โดยมีพระโพธิสัตว์เป็นแบบอย่าง จนกระทั่งเราสามารถเสียสละตัวเองได้เพื่อทำความดีนั้น ตลอดจนกระทั่งว่าพระโพธิสัตว์นี่เสียสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เราก็ต้องสามารถเสียสละผลประโยชน์ของตัวเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อช่วยเหลือสังคม นี่คือคติพระโพธิสัตว์

    อันนี้ก็โยงมาหาพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นหลัก พระพุทธเจ้าที่จะตรัสรู้ได้ก็เป็นมาด้วยความเพียรพยายามและทำความดีมามากมาย เพราะอย่างนี้จึงทำให้เราเกิดความซาบซึ้งในพระคุณของพระพุทธเจ้า นี่ประการหนึ่ง ประการที่สองก็คือเป็นการเตือนตัวเราให้สำนึกในหน้าที่ที่จะพัฒนาตัว ที่จะทำความดีเพื่อจะบรรลุคุณธรรมเบื้องสูง

    การที่จะบรรลุสิ่งที่ดีงามประเสริฐสูงสุดเป็นพระอรหันต์เป็นพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาด้วยการหวังหรืออ้อนวอนเฉย ๆ แต่จะต้องเพียรพยายามทำ ฉะนั้นคนเราทุกคนจะต้องพัฒนาตัวเอง ต้องตั้งใจทำความดี คติพระโพธิสัตว์เตือนใจเราว่าเราจะต้องตั้งใจทำความดี บำเพ็ญคุณธรรมต่าง ๆ พร้อมกันนั้นก็เป็นกำลังใจแก่เรา ในเมื่อเราได้เห็นประวัติของพระโพธิสัตว์ว่าท่านทำความดีมากมาย อย่างเข้มแข็งและเสียสละ เราได้เห็นตัวอย่างแล้ว เราก็มีกำลังใจที่จะทำความดีนั้นให้ตลอด บางทีเราทำความดีไป เราเป็นปุถุชน บางทีเราก็อ่อนแอ เมื่อไปพบกับอุปสรรคบางอย่างหรือไม่ได้รับผลที่ปรารถนา เราก็เกิดความท้อแท้ เกิดความผิดหวัง

    คนจำนวนมากจะเป็นอย่างนี้ ทำความดีไประยะหนึ่งก็ไม่เข้มแข็งจริง ไม่มั่นคงจริง ไปประสบอุปสรรคหรือไม่ได้รับผลตอบแทนที่ต้องการก็เกิดความท้อถอย แล้วก็มองไปในด้านตรงข้ามว่า อ้าว คนนั้นคนนี้เขาทำไม่ดี เขาทำชั่วด้วยซ้ำ ทำไมได้ดี อย่างที่พูดกันว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป อะไรต่าง ๆ ก็จะตัดพ้อร้องทุกข์ขึ้นมา แล้วก็พาลพาโลพาเลเลยเลิกทำความดี อันนี้จะเป็นผลเสีย

    เมื่อได้เห็นประวัติของพระโพธิสัตว์ก็จะเกิดกำลังใจว่า พระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ท่านทำความดี ท่านลำบากกว่าเราเยอะแยะอย่างที่ว่าเมื่อกี้ บางทีต้องเสียสละชีวิตก็มี บางทีพระองค์ทำความดีมากมาย เขาไม่เห็นความดี เขาเอาพระองค์ไปฆ่า พระองค์ก็ไม่ท้อถอย แล้วก็ทำความดีต่อไป เรามานึกดูตัวเราทำความดีแค่นี้แล้วจะมาท้อถอยอะไร พระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ลำบากกว่าเรา ทำมากกว่าเรา ประสบอุปสรรคมากกว่าเรามากมาย ไปท้อถอยทำไม พอเห็นคติพระโพธิสัตว์อย่างนี้ เราก็มั่นคงในความดี สู้ต่อไป นี่แหละเป็นแบบอย่าง นี่คือการนับถือพระโพธิสัตว์ที่ถูกต้อง

    ท่านสอนมา ท่านเล่าเรื่องพระโพธิสัตว์มา ก็เพื่อเป็นแบบอย่างแก่เราในการทำความดี เป็นเครื่องเตือนใจเราไว้ทำให้เรามีกำลังใจ แล้วเราก็เดินหน้าเรื่อยไปไม่ท้อถอย

    ตอนหลังมันเกิดปัญหา คือพระพุทธศาสนาในอินเดียระยะหลัง แข่งกับศาสนาฮินดู ศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์เดิมนั้น โยมก็รู้อยู่แล้ว เขานับถือเทพเจ้าต่าง ๆ มากมาย การนับถือเทพเจ้านั้นเพื่ออะไร ก็เพื่อจะได้ไปอ้อนวอนขอผลนั่นเอง ไปอ้อนวอนเซ่นสรวงบวงสรวงตลอดจนบูชายัญ คิดหาทางเอาอกเอาใจเทพเจ้า จะให้ท่านบันดาลสิ่งที่ต้องการให้ คนอินเดียติดเรื่องเช่นนี้มาจนถึงปัจจุบัน ต้องอ้อนวอนเทพเจ้า เทพเจ้าก็มีฤทธิ์สามารถเก่งกาจเหลือเกิน

    พระพุทธศาสนาอยู่ในอินเดียนาน ๆ มา บางทีก็ชักไม่มั่นคงในหลักเหมือนกัน ชักอยากจะสนองความต้องการของประชาชนที่อยากจะมีผู้มาช่วยดลบันดาลอะไรที่ต้องการให้

    เมื่อศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเขามีเทพเจ้าไว้ให้อ้อนวอน เอ๊ะ ศาสนาพุทธเราไม่มี ทำอย่างไรดี ก็มานึกว่าพระโพธิสัตว์ท่านเป็นผู้เสียสละตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เราจะต้องให้คนมานับถือพระโพธิสัตว์ แล้วอ้อนวอนขอผลจากพระโพธิสัตว์ให้พระโพธิสัตว์ท่านมาช่วย ก็จะมีคู่แข่งที่จะมาแทนเทพเจ้าของฮินดูได้ ตกลง พุทธศาสนายุคหลังก็มีพระโพธิสัตว์อีกแบบหนึ่งที่ไม่ใช่พระโพธิสัตว์แบบเดิม

    คงจะมาคิดกันว่า เอ๊ะ พระโพธิสัตว์นี่ท่านมาช่วยมนุษย์ทั้งหลาย ท่านมีมหากรุณา แต่ทีนี้จะมาช่วยอย่างไร พระโพธิสัตว์ของพระพุทธเจ้าที่เล่ากันมาในชาดกท่านก็สิ้นชีวิตไปหมดแล้วก่อนที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใช่ไหม ไม่งั้นพระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

    เมื่อพระโพธิสัตว์ของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันนี้สิ้นไปหมดแล้ว พระพุทธเจ้าเองก็ปรินิพพานไปแล้ว ทำอย่างไรดี ก็มีหลักว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดก็ตาม จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตก็ต้องเป็นพระโพธิสัตว์มาก่อน เราทำอย่างไรจะให้พระโพธิสัตว์ยังอยู่แล้วก็มาช่วยคนได้ ก็ต้องเอาพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต จึงเป็นเรื่องที่หวังพึ่งพระโพธิสัตว์เก่า ๆ ไม่ได้แล้ว ต้องเอาพระโพธิสัตว์ใหม่ ๆ จึงได้เกิดมีพระโพธิสัตว์หลายองค์ ในอินเดียก็เกิดมีพระอวโลกิเตศวร พระมัญชุศรี พระวัชรปาณี พระสมันตภัทร และพระอะไรต่าง ๆ หลายองค์ พระโพธิสัตว์เกิดในอินเดียยุคหลังนี้จึงมาก

    ในสมัยพุทธกาลนั้น พระโพธิสัตว์ที่มีชื่อเหล่านี้ไม่มี มามีในสมัยยุคปลายในประเทศอินเดีย พระโพธิสัตว์ท่านเหล่านี้ท่านยังอยู่เพราะจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต จึงสามารถมาช่วยคนได้ ตกลงเราจึงหวังอ้อนวอนจากท่านเหล่านี้ได้ ใครมีความเดือดร้อนเป็นทุกข์ อยากพ้นทุกข์ อยากจะได้ผลประโยชน์อะไรก็ไปอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระโพธิสัตว์เหล่านี้เอาใช่ไหม

    ตกลงว่ามีพระโพธิสัตว์มาคอยช่วย เทียบกันได้กับศาสนาฮินดูที่เขามีเทพเจ้าไว้ช่วย พอแข่งกันได้ ไปคิดแข่งในแง่นี้

    มาตอนนี้คติพระโพธิสัตว์มันกลับกัน คือ เดิมนั้นพระโพธิสัตว์ท่านเสียสละเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ทำความดี เราต้องเอาแบบอย่างพระองค์ เราต้องเสียสละบำเพ็ญความดีช่วยเหลือผู้อื่นอย่างนั้น

    ตอนนี้เราคิดว่า เรามีผู้ที่จะช่วยอยู่แล้ว เราไม่ต้องทำอะไร เราจึงพากันไปอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากท่าน แทนที่จะคิดทำดีอย่างพระโพธิสัตว์ในอดีต นี่คือคติพระโพธิสัตว์ที่เพี้ยนผิดไป

    โยมจะต้องรู้ทัน ความหมายเดิมนั้นท่านให้นับถือพระโพธิสัตว์ให้เราทำดีอย่างท่าน เสียสละอย่างท่าน แต่มาปัจจุบันกลายเป็นนับถือพระโพธิสัตว์จะได้ไปขอความช่วยเหลือจากพระโพธิสัตว์ อันนี้จะผิดหรือจะถูก ตัดสินได้เองเลยใช่ไหม

    พระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนามหายานที่มีชื่อเสียงมากก็คือ พระอวโลกิเตศวร เพราะเป็นผู้มีมหากรุณา ช่วยเหลือปลดเปลื้องความทุกข์ของสัตว์ทั้งหลาย

    พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นี้ เมื่อพระพุทธศาสนามหายานเข้าสู่ประเทศจีนเป็นต้น พระอวโลกิเตศวรก็เข้าไปด้วย ต่อมาในประเทศจีน พระอวโลกิเตศวรได้เปลี่ยนนามเป็นพระกวนอิม ก็คือองค์เดียวกัน พระอวโลกิเตศวรนั้นเดิมเป็นผู้ชาย แต่พอไปเมืองจีนไม่ช้าก็เปลี่ยนเป็นผู้หญิง ทำไมเปลี่ยนเป็นผู้หญิง ก็เป็นเรื่องของตำนาน มีหลายตำนาน

    ตำนานหนึ่งเล่าว่าพระราชธิดาของพระเจ้ากรุงจีนประชวรเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แพทย์หลวงแพทย์ชาวบ้านอะไรก็ไม่มีใครรักษาหาย จึงร้อนถึงพระโพธิสัตว์ พระอวโลกิเตศวรกวนอิม ต้องมารักษา แต่จะเข้าไปรักษาได้อย่างไร ท่านเป็นผู้ชาย พระราชวังฝ่ายในเขามีกฎมณเฑียรบาลห้ามผู้ชายเข้าไป ก็ต้องแปลงร่างเป็นผู้หญิงแล้วเข้าไปรักษาพระราชธิดาจนกระทั่งหายจากโรคนั้นเสร็จแล้วไม่ได้กลับร่างเป็นผู้ชาย จึงเป็นผู้หญิงมาจนบัดนี้ นี่คือเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนนี้เจ้าแม่กวนอิมเข้ามาประเทศไทยแล้ว เราจะต้องนับถือเจ้าแม่กวนอิมให้ถูก ถ้าเรานับถือพระโพธิสัตว์อย่างถูกต้อง จะต้องนับถือในแง่ที่ท่านเป็นผู้มีคุณธรรมดีสูงส่ง เป็นผู้มีมหากรุณา เสียสละ บำเพ็ญคุณธรรม ช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือผู้อื่น ทำความดีไม่ย่อท้อ เราก็เช่นกัน เราก็จะต้องบำเพ็ญคุณธรรมช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่ไปหวังอ้อนวอนขอผลประโยชน์จากท่านเพราะอันนั้นจะทำให้ผิดหลักพระศาสนา คือผิดหลักกรรม ไม่หวังผลจากการกระทำ กลายเป็นหวังผลจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไป

    อันนี้เป็นเรื่องที่ตั้งเป็นข้อสังเกตให้โยมได้พิจารณาในสภาพปัจจุบัน เพราะเราจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้มาก ถ้าเราตั้งตัวไม่ถูก ไม่อยู่ในหลัก เราก็พลาด ตกหรือหลุดหล่นไปจากพระศาสนา

    ดังนั้น ยังไง ๆ ต้องยึดหลักกรรมไว้ให้ได้ คือหวังผลจากการกระทำ ไม่หวังผลจากความศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหาริย์ การดลบันดาลของผู้วิเศษ เอาละอันนี้ก็ขอผ่านไป

    คำถามอีกข้อหนึ่งว่า พระโพธิสัตว์กับพระอรหันต์ เรารู้ว่าความหมายต่างกัน พระโพธิสัตว์นั้นยังบำเพ็ญบารมีอยู่ จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไป แต่ตอนนี้ยังไม่หมดกิเลส ส่วนพระอรหันต์นั้นเป็นผู้หมดกิเลสแล้วละ โลภะ โทสะ โมหะ ได้หมด

    พระพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง คำว่าพระอรหันต์นี้กว้าง อย่าไปนึกว่าพระพุทธเจ้าต่างจากพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง เราเรียกว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือเติมพระอรหันต์เข้าไปข้างหน้า หมายความว่าพระอรหันต์นั้นมีหลายประเภท

    พระอรหันต์ที่ได้ตรัสรู้เอง ค้นพบสัจธรรมด้วยพระองค์เองแล้วสามารถที่จะประกาศธรรมสั่งสอนผู้อื่นให้รู้ตามด้วย เรียกว่า อรหันตสัมมาสัมพุทธ นี่เป็นพระอรหันต์ประเภทที่หนึ่ง

    ประเภทที่สอง คือประเภทรู้สัจธรรมด้วยตนเอง แต่ไม่ถนัดในการที่จะไปสั่งสอนประกาศธรรมให้ผู้อื่นได้รู้ตาม คือขาดความสามารถในเชิงการสั่งสอน เรียกว่า ปัจเจกพุทธ

    ประเภทที่สาม ก็คือ พระอรหันต์ที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าที่ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วรู้ตาม ไม่ได้ค้นพบสัจธรรมเองต้องมาเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า นี่เป็นพระอรหันต์ประเภทที่ ๓ เรียกว่า อนุพุทธ

    พระสาวกทั้งหลายก็เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น คือเป็นพระอรหันตสาวก ที่เรียกว่าพระอนุพุทธ เช่นพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอัสสชิ พระอุรุเวลกัสสปะ ที่เคยเป็นชฎิลมาก่อน พระมหากัสสปเถระ ที่เป็นประธานในการทำสังคายนาครั้งที่ ๑ พระอัญญาโกณฑัญญะ ที่อยู่ในปัญจวัคคีย์และอีกมากมายล้วนเป็นพระอรหันต์

    พระอรหันต์ เป็นผู้ที่หมดกิเลสแล้ว จึงต่างกันกับพระโพธิสัตว์ แต่ทั้งพระโพธิสัตว์ และพระอรหันต์ ท่านล้วนแต่ทำความดีทั้งสิ้น ไม่ทำความชั่ว

    พระโพธิสัตว์ ก็ตั้งใจทำความดีช่วยเหลือผู้อื่น พระพุทธเจ้าก็ช่วยเหลือสัตว์มนุษย์ทั้งหลาย จาริกไปประกาศพระศาสนาสั่งสอนเพื่อจะให้สรรพสัตว์ได้พ้นจากความทุกข์ประสบความสุขที่แท้จริง พระองค์ทำงานไม่ได้หยุดไม่หย่อน ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย เพื่อช่วยมนุษย์ทั้งหลาย พระอรหันต์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน พอมีพระอรหันต์ไม่กี่องค์ พระพุทธเจ้าก็ส่งไปประกาศพระศาสนาโดยตรัสว่า จงจาริกไปประกาศธรรมะ แสดงธรรมเพื่อประโยชน์สุขแก่พหุชน เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก

    นี่เรื่องของพระอรหันต์ ท่านทำกิจเพื่อประโยชน์สุขแก่มนุษย์ เพราะฉะนั้นท่านก็ทำความดี พระโพธิสัตว์ก็ทำความดี ต่างก็ทำความดี ถามว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรระหว่างการทำความดีของพระโพธิสัตว์กับพระอรหันต์ อันนี้เป็นอีกหลักหนึ่ง ถ้าโยมตอบได้ ก็แสดงว่าเข้าใจหลักพระศาสนาลึกซึ้งยิ่งขึ้น คิดในใจดูก่อนแล้วอาตมาจะตอบให้ฟัง

    ทีนี้จะตอบแล้ว มีความแตกต่างกันอยู่ที่เป็นข้อสำคัญ ๒ ประการ การทำความดีของพระโพธิสัตว์นั้นมีความไม่สมบูรณ์ หรือจะเรียกว่าเป็นจุดอ่อนก็ได้ ๒ ประการ

    ประการที่หนึ่ง พระโพธิสัตว์ที่ทำความดีนั้น ท่านทำด้วยปณิธาน หมายความว่ามีความตั้งใจไว้ จะบำเพ็ญบารมีก็เอาปณิธานหรือความตั้งใจมั่นนั้นมาเป็นเครื่องนำตัวเอง ทำให้เกิดพลังในการที่จะทำความดี ทำความดีแน่วแน่ ทำความดีไม่ท้อถอยแล้วท่านก็ทำความดีเต็มที่ เพราะฉะนั้นเราจะว่าทำความดีหย่อนก็ไม่เชิงเพราะท่านทำจริง ๆ ไม่ย่อหย่อน แต่การที่ไม่ย่อหย่อนนั้นมีความไม่สมบูรณ์ในตัว คือท่านต้องอยู่ด้วยปณิธาน ที่ท่านทำไปนั้นทำไปด้วยปณิธาน ท่านตั้งปณิธานไว้ว่า ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้า ท่านจะทำความดีอันนี้ท่านก็ทำไปใหญ่เลย มีความมั่นคงเด็ดเดี่ยวในการกระทำนั้น แต่เรียกว่าทำด้วยปณิธาน

    ตอนนี้มาดูพระอรหันต์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ท่านทำความดีด้วยอะไร อะไรเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทำความดี โยมตอบได้ไหม ไม่ใช่ด้วยปณิธาน ลักษณะที่สำคัญของพระอรหันต์ท่านเรียกว่าเป็นผู้บรรลุประโยชน์ตนแล้ว หมายความว่าตัวเองได้เข้าถึงจุดหมายแล้ว เข้าถึงประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาตนแล้ว เข้าถึงนิพพานแล้ว

    พระอรหันต์เป็นผู้บรรลุประโยชน์ตนแล้วไม่มีอะไรจะต้องทำเพื่อตัวเองอีกต่อไป จึงเป็นชีวิตที่เป็นอยู่และทำอะไร เพื่ออะไร ก็ทำเพื่อผู้อื่นอย่างเดียว ที่ทำอย่างนั้นทำด้วยอะไร เพราะเป็นธรรมชาติของท่านอย่างนั้น เป็นธรรมดาของท่าน เพราะท่านไม่มีอะไรที่ต้องทำเพื่อตัวเองแล้ว

    ถ้าว่าให้ลึกซึ้งลงไป พระโพธิสัตว์ยังต้องทำเพื่อตัวเองนะ เพราะท่านยังต้องทำให้ตัวเองได้ตรัสรู้ จะต้องทำด้วยปณิธาน คือ การตั้งความปรารถนาเพื่อตัวเองจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพื่อตัวเองจะได้บรรลุพระนิพพาน แต่พระอรหันต์นั้นท่านบรรลุนิพพานแล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้ว ไม่มีอะไรจะทำเพื่อตัวเองอีก จึงเป็นธรรมดาของท่านที่จะทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นไปตามเหตุผลโดยไม่ต้องอาศัยปณิธาน อันนี้เป็นความแตกต่างระหว่างพระโพธิสัตว์กับพระอรหันต์ในการทำความดีประการที่หนึ่ง

    ต่อไปประการที่สอง ความไม่สมบูรณ์ในการทำความดีของพระโพธิสัตว์ เพราะเหตุที่พระโพธิสัตว์ยังไม่ตรัสรู้ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลส ยังไม่รู้แจ้งสัจธรรม การทำความดีของท่านนั้นจึงทำโดยยังไม่มีปัญญาสูงสุดที่รู้ธรรมแจ่มแจ้ง ความดีนั้นเป็นเรื่องของธรรม แต่ผู้ที่จะประพฤติธรรมได้สมบูรณ์จะต้องรู้สัจธรรมรู้ความจริงของธรรมชาติทั้งหมด

    ทีนี้ความดีที่เรานำมาประพฤติปฏิบัตินั้นตั้งอยู่บนฐานของสัจธรรมคือตัวความจริงในธรรมชาติในกฎของธรรมชาติ

    พระโพธิสัตว์ยังไม่รู้ยังไม่เข้าถึงความจริงอันนั้นแล้ว ท่านทำความดีได้อย่างไร ท่านก็ทำตามที่รู้ที่เข้าใจยึดถือกันอยู่ในโลกในสังคมมนุษย์ยุคนั้น ๆ ที่ยึดถือว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีเป็นความดี อันนั้นท่านทำเต็มที่ ท่านทำให้ถึงที่สุดอย่างที่ไม่มีคนอื่นทำได้ ความดีในความหมายที่มนุษย์จะทำได้ทั่วไป พระโพธิสัตว์ต้องยอดเยี่ยมทำได้สูงสุด

    จุดที่ไม่สมบูรณ์อยู่ที่ว่า ท่านทำได้แค่นั้นแหละ แค่เท่าที่มนุษย์รู้ว่าอะไรคือความดี ท่านไม่ได้ทำด้วยปัญญาที่รู้แจ้งสัจธรรมไม่เหมือนพระอรหันต์ที่ท่านทำด้วยรู้แจ้ง มีปัญญาหยั่งรู้ถึงสัจธรรมด้วยความจริงเห็นความสัมพันธ์ในกฎธรรมชาติด้วยปัญญาถ่องแท้

    เรื่องที่ว่ามานี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหลักในพระพุทธศาสนาซึ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เราควรจะมีความรู้เข้าใจ ถ้าเรามีความรู้เข้าใจเป็นหลักอยู่อย่างนี้แล้ว เราจะไม่หวั่นไหว เราจะวางตัวได้ถูกต้อง และเราก็จะเดินไปในทางสู่ความก้าวหน้าในหลักพระพุทธศาสนายิ่ง ๆ ขึ้นไป มิฉะนั้นแล้ว เราจะถูกดึงเฉออกไปจากหลักพุทธศาสนา จากหลักการที่ถูกต้อง นอกจากหล่นจากพุทธศาสนาแล้วก็อาจจะแกว่งไกวไถลลงไปสู่ความเสื่อมได้

    ขอให้เรามีศรัทธาที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างน้อยให้มีคุณสมบัติของอุบาสก อุบาสิกาที่ดี ตั้งแต่ข้อ ๑ เริ่มต้นด้วยศรัทธาที่ถูกหลักพระศาสนา เชื่ออย่างมีหลักการ มีเหตุผล ไม่งมงาย มั่นในคุณพระรัตนตรัย เป็นต้น ไปจนกระทั่งข้อที่ ๓ ที่ยกมาพูดเป็นพิเศษว่าสัมพันธ์กับยุคนี้ คือ ไม่ตื่นข่าวมงคล หวังผลจากกรรม ไม่หวังผลจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ดังที่กล่าวมาแล้ว

    ขอให้โยมมีความเจริญงอกงามในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปโดยทั่วกันทุกท่าน เทอญ

    ที่มา อกาลิโกบอร์ด
    [​IMG]
     
  2. สัทธาธิกะ

    สัทธาธิกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +373
    อนุโมทนาครับ
    และขอเป็นกำลังใจให้กับพระโพธิสัตว์ทุกท่านนะครับ
     
  3. นะเมติ๕

    นะเมติ๕ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2008
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +108
    อนุโมทนาพระเจ้าข้า
    สาธุ
    สาธุ
    สาธุ
     
  4. ติดปีก

    ติดปีก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +14
    ขอแสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า ไม่เห็นด้วยกับข้อความดังกล่าว
    เป็นการแสดงเปรียบเทียบและชี้นำในทางที่ไม่น่าจะถูกต้องเท่าไรนัก

    คติศาสนาพุทธนิกายมหายาน มีแนวทางปฏิบัติเป้าหมายเดียวกัน
    แต่มุ่งเน้นในรายละเอียดแตกต่างกัน

    การบรรลุธรรมของฝ่ายเถรวาท มุ่งเน้นไปที่โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ
    ขณะที่การบรรลุธรรมของฝ่ายมหายาน มุ่งเน้นการสร้างบารมีสิบทัศน์และ
    จริยาพระโพธิสัตว์ ซึ่งจะต้องพรั้งพร้อมไปด้วยปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวชเหมือนกัน
    เหมือนกับการตัดสังโยชน์สิบของในการเป็นพระอริยเจ้าของฝ่ายเถรวาท

    หากเปรียบเทียบเชิงมโนทัศน์ทางโลก
    พระอรหันต์ จบ ป. เอก สาขาสาวกยานและ/หรือปัจเจกยาน
    พระโพธิสัตว์ จบ ป. เอก สาขาโพธิสัตว์ยาน

    ดังนั้น คุณวุฒิย่อมเทียบเท่ากัน ไม่เหลือมล้ำกัน
    เพียงแต่พระโพธิสัตว์ต้องสร้างบารมียิ่งยวดต่อไป เพื่อให้ได้ตำแหน่ง ศาสตราจารย์
    (สายครู) ซึ่งถือว่าสูงสุด ในระดับเดียวกับพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว

    มองจากความเป็นกลางๆ เชิงศาสนาเปรียบเทียบ
     
  5. OrangeHP

    OrangeHP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2007
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +160
    แต่จริงๆแล้ว ณ ปัจจุบันเรานับถือพระโพธิ์สัตว์ เรามักจะขอให้ได้ในสิ่งที่หวัง ในสิ่งที่ต้องการเป็นส่วนใหญ่ แต่ส่วนตัวผมแล้ว ท่านก็มาให้บ่อยๆ แต่ผมก็ปล่อยวาง ถือว่าไม่ใช่โชคของเราแม้เขาจะบอกให้แต่เราก็ไม่เชื่อ อยากจะทำด้วยตัวเองมากกว่า สักวันต้องประสบความสำเร็จ ในใจก็คิดว่าต้องทำได้สิ ต้องทำได้ ต้องค้นพบด้วยตัวเอง มากกว่าที่จะไหว้แล้วก็ขอ ขอ ขอ
     
  6. ติดปีก

    ติดปีก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +14
    แต่สำหรับผมแล้ว
    ผมขอให้พระองค์ท่านโปรดเมตตา โปรดนำพาให้ลูกได้ข้ามขอบจิตใจไปให้ถึงฝั่งหมาย
    ขอพลังบารมีจุดประกายแสงสว่างให้เกิดปัญญาเพื่อประโยชน์สุขแก่มวลชน

    ท่านจะสร้างบารมีอย่างไร? เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน นี้คือโจทย์ที่ชาวพุทธภูมิควรรู้
    และควรปฏิบัติให้บังเกิดผลต่อไป
     
  7. CHOTIYA

    CHOTIYA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +359
    พระพุทธองค์ยังทรงเป็นได้แค่ผู้ชี้ทางให้สรรพสัตว์เดินไปเองเพื่อความพ้นทุกข์ ถ้าตัวเองไม่ทำจะมีใครหน้าใหนจะมาอุ้มพาไปนิพพาน อิอิ รอไปเหอะ
     
  8. ติดปีก

    ติดปีก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +14
    ท่านรู้ได้อย่างไรว่า หากไม่มีพระองค์ท่าน แล้วมนุษย์จะไม่พ้นทุกข์
    หรือว่าต้องมีพระองค์เท่านั้น มนุษย์จึงจะพ้นทุกข์ได้
    เราต้องใช้ปัญญาในการไตร่ตรอง มิใช่หวังพึ่งแต่พระองค์ท่าน

    ทำไมในอดีตมนุษย์ดำรงอยู่ได้โดยปราศจากพระศาสดา
    อย่าสุดโต่งเกินขอบเขตอันควร
     
  9. CHOTIYA

    CHOTIYA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +359
    ถ้าไม่มีพระตถาคตศรีศากยมุณีสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเจ้าจะมีความรู้ทางพุทธศาสนาจากใหนละ่หนูเอ๋ย ที่มีอะไรต่อมิอะไรมาแสดงอวดคนอื่นๆอยู่นี่ ก็งัดเอาที่พระองค์แสดงไว้มาตู่ว่าเป็นความรู้ของตัวเองทั้งนั้น คนโบราณก็อยุ่กับธรรมนี่แหละแต่ไม่รู้จักธรรม ถ้ารู้จักธรรมก็คงสิ้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปแล้ว ไปนิพพานกันหมด ไม่ต้องปีกหัก ลงอบายภูมิให้ทุกข์ทรมาณกันหรอก แม้พระองค์จะไดทรงแสดงธรรมชี้ทางออกไว้ มีกี่คนที่เดินตามกันจริงจัง ในโลกนี้คนมีกี่หมื่นล้าน ที่รู้จักศาสนาพุทธมีกี่คน ติดปีกเอย ขอให้คุณลองใช้ปัญญาของคุณแสดงทางพ้นทุกข์ให้ข้าผู้น้อยทราบด้วย เอาที่เป็นธรรมที่มาจากปัญญาของท่านเอง ไม่ใช่ไปยกตู่เอาธรรมของพระพุทธองค์มาคุยอวดนะ สลัดปีกอัตตาเสีย กลับไปเริ่มอ่านตั้งแต่พุทธประวัติมาเลย จะได้ไม่หลงอัตตา หลงอัตตาจะนำมาซึ่งวิบัติ นโมฝอฝ่าเซิงซำเป่า
     
  10. CHOTIYA

    CHOTIYA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +359
    ขอเพิ่มอีกนิด ติดปีก ใจคุณกำลังเข้าข่าย ปรามาสพระพุทธเจ้า ผู้เป็นหนึ่งในไตรรัตน์ มันหนัก หนักมากๆๆๆๆๆ ขมากรรม ตั้งสติมีสัมปชัญย ปรับแนวคิดใหม่ ยังไม่สายเกินไป ก็เห็นโพสมหาจริยาของพระสมันตภัทรได้ดี ทำไมไม่พิจรณานำมาใช้ในชีวิตจริงล่ะครับท่าน คุณดูในปัจจุบันนี้ก็ได้ดินแดนที่ไม่มีพุทธศาสนาเขาอยู่กันได้ไหม แอสกิโม อาฟริกา ตะวันออกกลาง อเมริกากลาง-ใต้ เขาก็อยู่กันได้ตามประสาโลกมีศาสนาอื่น ลัทธิความเชื่ออื่น เขาก็วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ คุณอย่าไปมองที่กาย การพ้นทุกข์เอาเอาที่จิต ถ้าตอนนี้คุณไปเกิด ณ.ดินแดนตะวันออกกลาง คุณลองดูตามความจริงคุณจะเป็นคนนับถือศาสนาอะไร หรือถ้าคุณไปเกิดที่ดีนแดนป่าลึกของลุ่มน้ำอเมซอนคุณจะมีแนวคิดการพ้นทุกข์หรือไม่ ใครจะสอนคุณในเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา ทศบารมี พิจรณาศึกษาให้ถูกทาง เดินไปในทางสัมมาอัฏฐมรรค จักไม่หลงตนเอง นโมสือฟั่งจูฝออี๋เชี่ยฝอ
     
  11. ติดปีก

    ติดปีก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +14
    คุณไชโย (CHOTIYA)<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1432726", true); </SCRIPT>

    อย่าหลงตนเอง อย่าหลงมั่นในศาสนาจนสุดโต่ง
    มีเหตุผลในการพิจารณาหน่อย กลับไปศึกษาแก่นปรัชญาศาสนาเสียใหม่
    แล้วไปค้นหาความจริงว่า พระองค์ค้นพบอะไรก็แน่
    ใช้ปัญญาไตร่ตรอง พูดความจริงก็รับไม่ได้
    นี้และหนอ คนระคน

    สะอาดด้วยศีล สงบด้วยสมาธิ สว่างด้วยปัญญา คงจะใช้กับท่านไม่ได้กระมั่ง

    ท่านเองก็อย่าได้หวือหวาไปตามจิต แค่กระทบกระอายตนะ
    ท่านก็หวั่นไหวเสียแล้ว ลองกลับทบทวนคำพูดของท่านอีกครั้ง
    แล้วพิจารณาว่า มนุษย์นั้นมีวิธีการแก้ปัญหาของตนอยู่แล้ว ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นทางโลก
    หรือทางธรรมก็ดี เราก็ควรพึ่งพาตนเอง เข้าใจตนเอง รู้จุดอ่อน จุดแข็ง และใฝ่คุณธรรม

    พระองค์ท่านเองก็ไม่เคยให้เรายึดติดท่านเลย มีแต่สัจธรรมไว้เป็นรากฐาน
    พระองค์ท่านก็ไม่ได้ค้นพบการพ้นทุกข์ มันเกิดขึ้นและมีอยู่แล้วเดิม เพียงแต่ท่านรู้แจ้ง
    พุทธะ แปลว่า ผู้รู้แจ้ง ผู้เบิกบาน ไม่ได้แปลว่าผู้ค้นพบ

    เราเคารพพระองค์ท่านเพราะคุณงามความดีของท่านไม่ใช่หรือ?

    แต่เราก็ย่อมเป็นตัวของตัวเอง มีสิทธิที่จะคิด หากคิดจะเป็นพุทธภูมิก็ต้องมีความคิดเป็นของตนเอง
    และพร้อมที่จะขอบข้ามจิตใจให้ถึงฝั่งหมาย ใบไม้เพียงหนึ่งกำมือของพระองค์ท่าน
    อาจจะไม่พอเพียงสำหรับชาวพุทธภูมิที่ต้องการแสวงหาสัจธรรมที่นอกเหนือใบไม้เพียงกำมือเดียว
    สัจธรรมยังรอคอยการค้นพบสิ่งใหม่ที่ดีในภายภาคหน้า
    ดั่งเช่นหนึ่งคนหนึ่งศาสนา อาจจะเหมาะกับชาวพุทธภูมิอย่างเราๆ ก็ได้ ใครจะไปรู้

    ที่จริงเราน่าจะสนทนาธรรมกันบ้างก็ดีนะ จะได้มุมมองที่กว้างไกลมากขึ้น
    เมื่อท่านเข้าใจเจตนาดีของเราแล้ว คำปรามาสก็ละกันไปแล้วกัน
    โกธรไปใย มีแต่ฟุ้งซ่าน วิมุตติจะพานหายมลายไปเชียวนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2008
  12. CHOTIYA

    CHOTIYA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +359
    คุณ ถ้าโกรธจะไม่โต้ตอบให้เสียเวลา ธรรม นะ่มันมีของมันอยู่แล้ว แล้วใครละ่ที่จะรู้จักธรรมแล้วกลั่นกรองมาสอนปุถุชนให้ดำเนินตามจนเป็นอริยบุคคล การรู้คุณของพระองค์ท่านหรือจะเป็นการยึดติด การกตเวทิตาโดยการปฏิบัติตามหรือจะเป็นการหลง การไม่เห็นคุณของพระองค์หรือจะเป็นการไม่ยึดติด ความคิดของปุถุชนหรือจะพาให้พ้นทุกข์ ถ้าปุถุชนมีความคิดพาตัวเองพ้นทุกข์ได้ก็ไม่ต้องมาศึกษาพุทธธรรมกันแล้วคิดค้นกันเองทางใครทางมันพ้นทุกข์กันหมด แล้วที่อวดกันว่าเป็นชาวพุทธภูมินี่ดำเนินตามแนวทางของใครที่วางไว้ ศีล สมาธิ ปัญญา ทศบารมี พากันวางแนวทางตามความคิดของตนเองไม่ดีกว่าหรือ ขอถามอีกที ถ้าไม่มีพระพุทธองค์ที่ทรงเห็นธรรมแล้วทรงนำมาประกาศไว้ปุถุชนจะรู้จักธรรมอันเป็นเครื่องนำไปสู่ความดับทุกข์จากใคร แล้วที่พระโพธิสัตว์สมันตภัทรตั้งปณิธานไว้๑๐ประการนั้น เคารพบูชา สรรเสริญ ถวายบูชาฯก็แสดงว่าท่านยึดติดพระพุทธองค์น่ะซิ อย่างไรคุณก็ปรามาสพระพุทธองค์อยู่ดี
     
  13. ติดปีก

    ติดปีก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +14


    เอาละท่านก็มีมุมมองของท่าน เชื่อและศรัทธาต่อพระองค์ท่านอย่างสูงสุด ก็นับว่าประเสริฐยิ่งแล้ว

    แต่สำหรับเราถือว่าเป็นเพียงปรัชญาศาสนา ที่ให้องค์ความรู้อันประเสริฐ เพื่อนำไปใช้
    ประโยชน์ตามวิถีของตน โดยจะไม่ยึดมั่นศาสนาใดๆ มีความเป็นกลางในทุกศาสนา
    ถือว่าถนนย่อมมีหลากหลายทางเลือก สุดท้ายก็บรรจบที่เดียวกัน

    พุทธภูมิก็เช่นกันต้องทำตนเหมือนดั่งเรือแพที่คอยนำพามวลชนข้ามมหานทีสีทันดร
    เพื่อไปให้ถึงฝั่งหมายให้ได้ ด้วยมหาอุบาย มหาปัญญา และมหากรุณา

    พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เราจะน้อมนำสู่การปฏิบัติ ขอพลังบารมีเป็นปัญญา
    ชี้ทางสว่างให้เป็นไปตามประสงค์ของพระองค์

    อย่างไรเสีย ก็อย่าได้กังวล การปรามาสจะไม่บังเกิดผล เพราะทุกพระองค์เป็นเพียง
    จิตวิญญาณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งอนันตเอกภพที่สถิตย์อยู่ในดวงจิตดวงนี้หมดแล้ว
    จะเอาองค์ไหนละท่าน?
     
  14. มาร-

    มาร- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +487
    นานาจิตตัง<<<<<<

    ทางมีไปได้3ทาง

    > พุทธะ

    > ปัจเจกพุทธะ

    > อนุพุทธะ

    จริตคุณเป็นอย่างไหน???
     
  15. มาร-

    มาร- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +487
    ลืม อีกทาง

    พรหมโลก>>>นิพพานบนนั้น

    เลือกเอาแล้วกัน
     
  16. ติดปีก

    ติดปีก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +14
    คติหรือทางไปนั้น ท่านจะนิยามคติไหนละ

    หากพุทธเถรวาท แบ่งออกเป็น 2 ทาง คือ สาวกยาน และปัจเจกยาน
    หากพุทธมหายาน ก็ต้อง พระโพธิสัตว์ยาน
     
  17. CHOTIYA

    CHOTIYA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +359
    คุณติดปีก ไม่รู้อย่างไรนะ โต้แหย่กับคุณไปอย่างนั้นแหละ ผมศึกษาทุกศาสนามากบ้างนอ้ยบ้าง โดยเฉพาะพุทธแทบทุกนิกาย ความขัดแย้งก็มีมากมายในแต่ละคัมภีร์ ผมไม่รังเกียจศาสนาใดเลย ที่ผมแย้งกับคุณเพราะกลัวคุณจะพลาดก็เท่านั้นเอง โพสไปผมก็ยิ้มไป(ด้วยสัจจริง) ผมไม่มีที่ติดใจในคำต่อว่า แต่ผมดูความตั้งใจจะไปทางใหนของคนโพส คุณมีความตั้งใจแน่วแน่ในโพธิสัตตมรรคคนหนึ่ง ที่รู้ว่าตัวต้องการอะไร ต้องทำอย่างไร ดีกว่าหลายๆคนที่วิ่งตะลอนไปให้คนนั้นดูคนนี้ดูว่าตัวเองต้องการพ้นทุกข์ในข่ายใหน จะบำเพ็ญบารมีอะไร อีกกี่ชาติจะสำเร็จ ขออนุโมทนากับคุณที่จะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ห่างไกลจากกิเลส ผู้รุ้ชอบด้วยตนเอง เป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ในอนาคต ส่วนผมก็จะเดินไปแบบผมถ้าไปไม่รอดอย่างไร อิอิ ผมก็จะไปพึ่งคุณ นโมอนันตพุทธ
     
  18. ติดปีก

    ติดปีก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +14
    คุณ Chotiya

    ขอบคุณที่ได้ให้กำลังใจ ผมถือนี้คือแรงผลักเราให้เรามุ่งไปสู่เป้าหมาย
    แม้รู้ว่าหนทางมันจะยากเย็นแสนเข็ญหรืออาจเป็นไปไม่ได้เลย แต่มันก็ไม่ใช่
    เป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร มันอยู่ที่ตัวเราว่าจะเสียสละเพื่อสิ่งนี้แล้วหรือยัง?
     
  19. ติดปีก

    ติดปีก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +14
    คุณ Chotiya

    ผมลืมบอกคุณว่า ผมเขียนหนังสือไว้เล่มหนึ่ง ชื่อเรื่องว่า "ปริศนา แลมนตรา ตามรอยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอารยธรรมเขมร"
    เผื่อเป็นประโยชน์กับคุณ ราคา 265 บ. 304 หน้า

    เนื้อหาประกอบด้วย
    1. ปฐมเหตุ
    2. อารยธรรมเขมร
    3. ตามรอยศาสนาพราหมณ์ในอารยธรรมเขมร
    4. ตามรอยศาสนาพุทธนิกายมหายาน (วัชรยาน) ในอารยธรรมเขมร
    5. ประติมากรรมชิ้นเอกของโลกในอารยธรรมเขมร

    หนังสือเล่มนี้ มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ
    1) เพื่อเป็นอนุสรณ์และเผยแพร่พระเกียรติคุณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    2) เพื่อนำเงินมาเป็นปัจจัยในการสร้างบุญสร้างสร้างกุศล

    ในโอกาสแรกสร้างเรือนแก้ว (เก๋งจีน) สำหรับพระพุทธเจ้าห้าพระองค์และพระอวโลกิเตศวร
    ที่ศาลเจ้ากิ๋วฮ่องไต่เต่ จ. ตรัง ซึ่งได้ถวายรูปเคารพไปแล้ว เหลือแต่เฉพาะหลังคารับรองที่
    จะสร้างเพิ่มเติม

    ในโอกาสถัดไป จัดตั้งชมรมพระพุทธศาสนาของบริษัทฯ (รัฐวิสาหกิจ) แห่งหนึ่ง ที่เปิดทำการ
    มานานกว่า 60 ปี แต่ยังไม่มีชมรมนี้เลย และไม่มีงบประมาณให้ จึงจะจัดหาปัจจัย เพื่อนำ
    ไปดำเนินการส่งเสริมเพื่อจรรโลงจิตใจให้พนักงานแห่งนี้มีคุณธรรมมากยิ่งๆ ขึ้น

    ในอนาคต จะช่วยชาวบ้านแห่งหนึ่งที่ จ. พิษณุโลก ให้มีสะพานข้ามลำห้วยเพื่อไปวัด
    เพราะเดิมต้องนั่งเกวียน หรือรถอีแต๋น หรือเดินเท้ากันอย่างทุลักทุเล พร้อมกับสร้าง
    พระพุทธนาคปรก (พระอมิตาภะ) เป็นพระประธานในโบถส์

    จึงเรียนมาเพื่อทราบ
    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2008
  20. ติดปีก

    ติดปีก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +14
    ปกหนังสือเป็นประมาณนี้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Cover1.jpg
      Cover1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      929.4 KB
      เปิดดู:
      58

แชร์หน้านี้

Loading...