การนอนหลับและการฝัน (การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ และจิตวิทยา)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย แพรว, 21 พฤศจิกายน 2004.

  1. แพรว

    แพรว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +166
    การนอนหลับและการฝันเป็นกิจกรรมตามปกติของมนุษย์ แต่ทำไมเราจึงต้องนอน และทำไมเราจึงฝัน เรื่องนี้นักจิตวิทยาได้ทำการศึกษาเพื่อค้นหาคำตอบกันอยู่ตลอดเวลา และได้ช่วยให้เรามีความเข้าใจเกี่ยวกับการนอนและการฝันนี้มากขึ้น. สัตว์เองก็ต้องนอน และการนอนของสัตว์ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงไปเลยนับแต่อดีต เว้นแต่มนุษย์เท่านั้น ที่แบบแผนการนอนได้เปลี่ยนไปจากอำนาจของดวงอาทิตย์


    การนอนหลับและการฝัน

    มีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับการนอนหลับและการฝันว่า คนเรานอนหลับและฝันเกี่ยวกับประสบการณ์ของเราใช่ไหม ? ขอให้เราพิจารณาคำถามอันนี้ตามลำดับ....
     
  2. แพรว

    แพรว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +166
    แบบแผนทางสรีรวิทยาในช่วงระหว่างการนอนหลับ

    ในการวิจัยการนอนของอาสาสมัครคนหนึ่งซึ่งมีสายขั้วไฟฟ้าติดอยู่ที่ศีรษะและร่างกายของเขา. สื่อนำไฟฟ้าเหล่านี้เสนอข้อมูลเกี่ยวกับคลื่นสมอง การเคลื่อนไหวของดวงตา ความตึงของกล้ามเนื้อ อัตราการเต้นของหัวใจ และกระบวนการทางเคมีของร่างกาย. จากการวิจัยข้างต้น การนอนของคนเรามีอยู่ 5 ระดับด้วยกัน(ตั้งแต่ระดับตื้นไล่ไปตามลำดับจนถึงระดับลึก). และระดับต่างๆเหล่านี้สามารถบอกได้ โดยการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมองและการโต้ตอบทางสรีรวิทยาอย่างอื่นๆ

    หลังจากที่เราได้พักผ่อนหลับนอนมาถึงระดับที่ 4 แล้ว ก็จะหวนคืนกลับไปสู่ระดับที่ 3 และ 2 ตามลำดับ ก่อนที่จะเข้าไปสู่ระดับที่เรียกว่า REM(rapid eye movements). ระดับนี้ได้ถูกแสดงให้ปรากฏออกมาโดยการเริ่มต้นเคลื่อนไหวลูกนัยตาอย่างรวดเร็ว. ในขั้นตอนการนอนระดับ REM นี้ กล้ามเนื้อต่างๆสามารถที่จะกระตุกได้บนใบหน้าและแขนขา หรือบางครั้งก็ทั้งตัว.

    ถ้าหากว่าคนที่นอนหลับอยู่ในช่วงระดับ REM นี้ถูกปลุกขึ้นมา ผู้ที่นอนหลับส่วนให_่สามารถที่จะบอกได้ถึงสิ่งที่พวกเขากำลังฝันอยู่ และสามารถที่จะระลึกความฝันนั้นได้อย่างละเอียดและชัดเจน. แต่ถ้าคนที่นอนหลับถูกปลุกขึ้นมาในระหว่างระดับที่ 2-4 พวกเขาแทบจะไม่อาจยืนยันได้ว่ากำลังฝันอยู่ และก็ไม่เคยจดจำมันได้โดยละเอียด

    อารมณ์อกสั่นขวั_แขวนอย่างรุนแรงด้วยภาพฝัน จะเกิดขึ้นในระดับที่ 3-4 ซึ่งอารมณ์อันนี้ได้ถูกเรียกขานว่า
     
  3. แพรว

    แพรว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +166
    การศึกษาเกี่ยวกับการอดนอน

    เมื่อเราไม่ได้นอนเป็นระยะเวลานานๆ แบบแผนขั้นตอนของการนอนจะไม่เป็นไปตามที่ได้กล่าวไว้ จากการทดลองกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้นอนเป็นเวลานานติดต่อกัน 264 ชั่วโมงเพื่อที่จะทำสถิติให้มีการบันทึกลงในหนังสือ Guinness Book of Records. ชายหนุ่มคนนี้ หลังจากที่ยุติการอดหลับอดนอนแล้ว เขาก็เริ่มเข้านอนในห้องทดลองเกี่ยวกับการนอนและการหลับฝัน.

    บรรดานักวิทยาศาสตร์สังเกตุว่า ในช่วงคืนแรกของการนอน ชายคนนี้นอนหลับในระดับที่ 4 เป็นเวลานาน โดยสู_เสียระดับการนอนในขั้นที่ 2 ไป. ในคืนที่สองของการสังเกตุ พบว่า เขาจะค่อยๆคืนกลับสู่สภาพปกติ กล่าวคือ ระยะการนอน REM sleep เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนและระดับการนอนในขั้นที่ 2-4 ค่อยๆลดลงไป. ปรากฎการณ์ที่เพิ่มขึ้นของ REM sleep หลังจากการอดหลับอดนอนนี้ จะถูกเรียกว่า REM rebound(การดีดกลับของ REM sleep).

    การอดหลับอดนอนสามารถที่จะนำไปสู่ความหงุดหงิดหรือฉุนเฉียวง่าย ความเหนื่อยอ่อน ความเอาใจใส่ที่น้อยลง ความเลอะเลือนเกี่ยวกับความจำ และการลดสมรรถภาพการทำงานของกล้ามเนื้อที่ประสานกัน. คนที่อดหลับอดนอนบางคน มีการปฏิบัติตัวไปในทางที่วิปริต ซึ่งสัมพันธ์กับความเจ็บป่วยทางจิต แต่ตามปกติแล้ว อาการโรคเหล่านี้จะไม่ยืนนานหลังจากที่คนๆนั้นได้นอนเป็นการทดแทนแล้ว.

    ผลกระทบต่างๆของการป่วย(ill effects) อันเนื่องมาจากการอดหลับอดนอนสามารถได้รับการสร้างขึ้นในห้องทดลองการนอนและการหลับฝันได้ด้วย. ในห้องทดลองนั้น เป็นไปได้ที่จะกีดกันผู้รับการทดสอบจากการหลับอยู่กับระดับที่ 4 และ REM sleep. และผลของการทดลองนี้ทำให้ทราบว่าระดับการนอนในขั้นที่ 4 และ REM sleep เป็นสิ่งที่สำคั_อย่างยิ่ง.
     
  4. แพรว

    แพรว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +166
    แบบแผนต่างๆในช่วงระหว่างการหลับฝัน

    พวกเราส่วนให_่ทราบว่า การฝันเป็นประสบการณ์ที่เข้มข้น ซึ่งตามมาด้วยภาพที่ไม่ปกติและการขานรับในด้านอารมณ์ความรู้สึกที่สุดๆ ด้วยความสนุกสนานและความกลัว. จากการศึกษาความฝัน ความฝันเป็นจำนวนมากได้รับการบันทึกเอาไว้ หลังจากที่ผู้เข้ารับการทดลองถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการหลับในขั้น REM sleep ซึ่งจากการศึกษาได้บอกกับเราว่าเราฝัน 4-5 ครั้งในทุกๆคืน และส่วนให_่ของความฝันค่อนข้างจะธรรมดาๆ. พวกเราฝันถึงเรื่องที่เกี่ยวกับการเล่นฟุตบอล, อยู่บนรถประจำทาง, กำลังสอบไล่, และกิจกรรมในชีวิตประจำวันอย่างอื่นๆ. บรรดานักวิทยาศาสตร์ได้บันทึกถึงความฝันที่แปลกๆด้วย เช่นเดียวกับฝันร้ายที่น่ากลัวต่างๆ

    Freud ยืนยันว่าความฝันเป็นการสะท้อนถึงความทรงจำและความรู้สึกต่างๆ(dream reflect memories and feelings). นักศึกษามากมาย มีความคุ้นเคยดีกับเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน ที่มีอิทธิพลต่อความฝัน พวกเขามักจะฝันเกี่ยวกับการสอบในช่วงระหว่างสัปดาห์ของการสอบอยู่บ่อยๆ

    สำหรับความฝันแปลกๆนั้น นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการทดลองเรื่องการนอนหลับฝันได้บันทึกเอาไว้เช่นเดียวกัน อย่างเช่น ผู้เข้ารับการทดลองรายหนึ่งที่ชื่อว่า Ritchie. เขาฝันว่าได้เดินทางเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาดในสถานที่หนึ่ง (ซึ่งความจริงก็คือ ในขณะที่ Ritchie กำลังหลับอยู่นั้นเขาได้ถูกพาเข้าไปยังห้องเก็บศพที่รอการชัณสูตรในช่วงระหว่างที่เขากำลังฝันู่). สภาพการณ์เหล่านี้อาจมีอิทธิพลต่อความฝันของเขา เพราะว่าเราไม่ได้ตัดเอาตัวกระตุ้นที่เป็นเรื่องภายนอกออกไปในช่วงระหว่างที่เรานอนหลับนั่นเอง.

    การทดลองเรื่องการหลับฝันอีกรายหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ รายของ Alfred Maury ตัวเขาเองมีผู้ช่วยในการทดลองนี้ และเขาได้กำหนดให้ผู้ช่วยของเขา กระทำสิ่งต่างๆและคอยกระตุ้นเขาในขณะที่เขากำลังหลับ. เมื่อผู้ช่วยคนนั้นมาทำอะไรคันๆที่ริมฝีปากและจมูกของเขา, Maury ฝันไปว่า เขากำลังได้รับความทรมานอย่างเจ็บปวด. ต่อมา เมื่อผู้ช่วยเอามือโบกกลิ่นเครื่องหอมในอากาศ, เขาก็ฝันว่า เขากำลังอยู่ในตลาดแห่งหนึ่งในกรุงไคโร. และในขณะที่ทำการศึกษาอยู่นั้น บังเอิ_ส่วนหนึ่งของเตียงเกิดอุบัติเหตุลดต่ำลงไปบริเวณหลังคอของ Maury, ช่วงนี้ทำให้เขาฝันว่า เขากำลังจะถูกประหารโดยการตัดคอ.

    นอกจากนี้ ความฝันต่างๆยังสามารถที่จะช่วยแก้ไขปั_หาในสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะแก้ไขมันได้ในยามตื่นด้วย. เรื่องที่คลาสสิคเรื่องหนึ่งหนึ่งคือ ภาพความฝันของ Friedrich August Kakule เกี่ยวกับงูตัวหนึ่งที่กัดกินหางของตัวมันเอง. Kakule, เป็นนักเคมีชาวเยอรมัน ซึ่งกำลังครุ่นคิดถึงโครงสร้างต่างๆของน้ำมันเบนซิน ซึ่งดูเหมือนมันไม่ประสบความสำเร็จเอาเลย. แต่ในความฝันของเขา มันได้เสนอแนะถึงโครงสร้างวงแหวนอันหนึ่งที่เสนอถึงทางออกหรือการแก้ปั_หาที่ถูกต้องให้กับเขา
     
  5. แพรว

    แพรว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +166
    ทำไมคนเราจึงต้องนอน

    บรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายกำลังประสบกับความก้าวหน้าในเรื่องความเข้าใจที่ว่า ทำไมคนเราจึงต้องนอน. ความเป็นไปได้อันหนึ่งก็คือว่า การนอนนั้นได้ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูร่างกายของเรา. ยกตัวอย่างเช่น ตัวจ่ายระบบการส่งสั__านของประสาท จะได้รับการเติมเต็มในช่วงระหว่างการนอน. ผลลัพธ์อันนี้บ่งว่ากิจกรรมอันนั้นได้รับการปรับระดับการส่งสั__านของประสาท และการนอนช่วยฟื้นฟูตัวจ่ายระบบฯดังกล่าว.

    ตามความเข้าใจนี้ ถ้ากิจกรรมยิ่งมากก็จะยิ่งเป็นสาเหตุให้ต้องมีการปรับปรุงระบบส่งสั__านของประสาทมากขึ้น และมันก็จะส่งผลให้ต้องนอนมากขึ้น. แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าการนอนนั้นจะไม่ได้ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด โดยความต้องการเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะการที่เรานอนมากเท่าไร ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับเรามีกิจกรรมอย่างไร. ในการศึกษาครั้งหนึ่ง, Horne และ Minard(1985) ได้ให้หนุ่มสาวหลายคนกระทำกิจกรรมกันคนละอย่าง:

    1) พวกแรก ให้พวกเขาทำกิจกรรมทั้งวันอย่างหนัก โดยการเดิน, การพูด, การท่องเที่ยว, และการเรียนรู้.

    2) พวกที่สอง ทำกิจกรรมทั้งวันเพียงเล็กน้อยด้วยการทำอะไรนิดๆหน่อยๆ ยกเว้นการพักผ่อน.

    เขาพบว่า จำนวนเวลาที่พวกคนหนุ่มสาวเหล่านี้ ใช้ไปในการนอนไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย แม้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนกิจกรรมจากกิจกรรมหนึ่ง ไปยังกิจกรรมอีกอย่างหนึ่ง. ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากว่าการฟื้นฟูสมรรถภาพคือเหตุผลอันหนึ่งของการนอนแล้วละก็, มันก็เป็นที่ชัดเจนว่า ไม่ใช่เป็นเพียงเหตุผลเดียว.

    เหตุผลอีกอันหนึ่งอาจจะเป็นว่า การนอนได้ช่วยปกป้องบรรพบุรุษของเราก่อนประวัติศาสตร์ โดยการทำให้พวกเขา สามารถที่จะสงวนพลังงานในช่วงเวลากลางคืนในถ้ำที่ปลอดภัย เมื่อสภาพแวดล้อมภายนอกถ้ำที่พวกเขาอาศัยอยู่เป็นอันตราย หรือเป็นปรปักษ์กับพวกเขา. ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจอีกอันหนึ่งก็คือว่า ชนรุ่นต่างๆของผู้คนในศตวรรษนี้กำลังนอนน้อยลงตามลำดับ. การลดเวลานอนลงอาจเป็นการสะท้อนถึงการค่อยๆปรับตัวสู่ข้อเท็จจริงที่ว่าเราไม่ต้องการบทบาทหน้าที่ของการนอนในการป้องกันอีกต่อไปแล้ว.

    การนอนของสัตว์

    แบบแผนของการนอนสำหรับสัตว์ที่ต่างชนิดกัน จะมีช่วงระยะเวลาการนอนที่แตกต่างกัน. แบบแผนการนอนอันนี้ได้ช่วยสนับสนุนความคิดที่ว่า ความไม่เหมือนกันในเรื่องการนอน เป็นบทบาทหน้าที่อันหนึ่งของการช่วยให้สัตว์ปลอดภัยจากสัตว์ต่างๆที่จับสัตว์อื่นกินเป็นอาหาร. เช่น แมว จะมัระยะเวลาการนอนนานกว่าสัตว์ชนิดอื่น เพราะมันไม่มีศัตรูทางธรรมชาติมากนัก. ส่วนม้าและแกะจะมีเวลานอนในวันหนึ่งๆน้อยมาก เนื่องจากมันมีศัตรูในธรรมชาติจำนวนมาก.

    การปรับเวลานอนใหม่ของมนุษย์

    ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ชนรุ่นต่างๆของผู้คนในศตวรรษนี้กำลังนอนน้อยลงตามลำดับ. การลดเวลานอนลงอาจเป็นการสะท้อนถึง การค่อยๆปรับตัวสู่ข้อเท็จจริงที่ว่าเราไม่ต้องการบทบาทหน้าที่ของการนอนในการป้องกันอีกต่อไปแล้ว ซึ่งอันนี้ต่างไปจากสัตว์. จังหวะต่างๆของการนอนเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ได้มาอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นสิ่งเทียมหรือที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง ซึ่งได้ตัดเราออกจากแสงสว่างและเครื่องหมายภายนอกของเวลาอย่างอื่นๆ

    มนุษย์ในสมัยโบราณสังเกตุแสงของพระอาทิตย์ขึ้นเป็นการบอกเวลาเช้า ราวกับว่าพวกเขาเราได้รับนาฬิกาชีวภาพภายใน(internal biological clock)ที่คอยทำหน้าที่ควบคุมจังหวะต่างๆเหล่านี้เอาไว้. บรรพบุรุษของเราแทบจะไม่ต้องการที่จะปรับเปลี่ยนหรือตั้งนาฬิกาชีวภาพเหล่านี้เลย. แต่สำหรับทุกวันนี้ การปรับแก้เป็นที่ต้องการอยู่บ่อยๆ อย่างเช่น นักศึกษามหาวิทยาลัยผู้ซึ่งอาจจะเรียนตลอดทั้งคืน(อ่านหนังสือ), หรือคนงานที่เข้างานเป็นผลัดๆ ผู้ซึ่งต้องสลับผลัดงานของตนจากกลางวันไปเป็นกลางคืน และบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลาย ผู้ซึ่งเดินทางข้ามเส้นแบ่งของเวลาหรือโซนของเวลา(time zones).

    อาการง่วงนอน หลังจากบินในระยะทางไกลๆ

    อาการง่วงนอนหลังจากบินในระยะทางไกลๆ(jet lag)เป็นความไม่สบายที่เรามักจะประสบหลังจากเดินทางข้ามโซนของเวลาหลายๆโซนด้วยกัน. เราน่าจะทราบถึงความรู้สึกอันนั้น เว้นแต่ว่าเราไม่ได้เดินทางในระยะไกล หรือมิฉะนั้นก็ เราเป็นคนหนึ่งของคนที่โชคดีเพียง 15% ผู้ซึ่งไม่ต้องประสบกับอาการดังกล่าว.

    อาการ jet lag สามารถรวบรวมลักษณะอาการบางอย่างดังต่อไปนี้หรือทั้งหมดเหล่านี้เอาไว้ด้วยกันคือ : ความง่วงนอน, ความอ่อนเพลีย, ความรู้สึกหดหู่, อาการนอนไม่หลับ, การฉุนเฉียวง่าย, ความสับสน, และการสู_เสียความจำไป. การเปลี่ยนแปลงต่างๆยังเกิดขึ้นกับหน้าที่พื้นฐานต่างๆของร่างกายด้วย อย่างเช่น อัตราการเต้นของหัวใจ, ความดันเลือด, และกระบวนการหายใจ.

    jet lag เป็นสิ่งที่แย่มากเมื่อเราข้ามเส้นแบ่งโซนของเวลาตั้งแต่ 4 โซนขึ้นไป, เมื่อเราหลงเวลาในการเดินทางจากตะวันออกไปยังตะวันตก, และเมื่อเรามีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป. การฟื้นคืนอาการจาก jet lag จะต้องใช้เวลาในอัตราส่วนประมาณ 1 โซนต่อ 1 วัน(เช่นถ้าเราข้ามโซนของเวลา 4 โซน ต้องใช้การฟื้นตัวประมาณ 4 วัน). อย่างชัดเจน, อาการ jet lag สามารถที่จะหยุดชงักความสนุกสนานของเราลงไปได้ ถ้าหากว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาพักผ่อน หรือมีผลกระทบกับการปฏิบัติงานของเราหากว่าเรากำลังเดินทางเพื่อธุรกิจ. โชคดี, มันมีขั้นตอนต่างๆที่เราสามารถปฏิบัติได้เพื่อลดอาการแตกแยกอันนี้ที่มีสาเหตุมาจาก jet lag. ขั้นตอนต่างๆเหล่านี้ได้รับการวางกรอบอยู่ในข้อมูลของผู้โดยสารเครื่องบิน, ของทั้งบรรดากีฬา, นักบริหาร, เจ้าหน้าที่ด้านการทหาร, และนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปพักผ่อนต่างๆ. ข้อแนะนำต่อไปนี้เป็นการรวบรวมขึ้นมาจากแหล่งข้อมูลดังที่อ้างไว้ข้างต้น:

    ก่อนการเดินทาง

    ควบคุมเวลาอาหารของเรา เพื่อว่าในวันที่เราต้องบิน เราจะได้พร้อมที่จะกินอาหารที่เหมาะสมกับเวลา ณ จุดหมายปลายทางของเรา. ควบคุมตารางเวลาการนอนและการพักผ่อนของเราเอาไว้ เพื่อว่าเราจะได้ไม่ต้องตึงเครียดหรือเกิดอาการฉุกละหุกเมื่อเริ่มต้นการเดินทางของเรา

    ช่วงระหว่างการบิน

    แต่งตัวอย่างสบายๆ และพยายามปลดเสื้อผ้าที่ที่รัดออก เร็วเท่าที่เราได้ที่นั่งบนเครื่องบิน แล้วให้ตั้งเวลานาฬิกาตามจุดหมายปลายทางของเรา และเริ่มต้นทำตัวให้ดำเนินชีวิตอยู่กับเวลานั้นในใจ. ถ้าหาก ว่าเวลาในจุดหมายปลายทางของเราเป็นช่วงเวลาที่เรามักจะวิ่งจ็อกกิ้งเสมอ, ให้จินตนาการว่ากำลังวิ่งจ็อกกิ้งอยู่. เราอาจพยายามออกกำลังกายบางอย่างด้วยก็ได้ ในที่นั่ง. ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะโน้มคอไปข้างหลังสัก 5 ครั้งเพื่อบริหารคอและบริหารกล้ามเนื้อแผ่นหลังด้านบน. หรืออาจจะเบ่งและผ่อนคลายหน้าอก, ท้อง, และตะโพกสัก 5 ครั้ง. กินอาหารเบาและ, ถ้าเป็นไปได้, กินอาหารที่เหมาะสมกับเวลาตามเวลาในจุดหมายปลายทางที่จะไปถึง. พยายามหลีกเลี่ยงพวกลูกกวาด, คาเฟอีน, และพวกแอลกอฮอล์ต่างๆ. เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราไม่ได้พักผ่อน.

    ยิ่งไปกว่านั้น, พวกคาเฟอีนและแอลกอฮอล์จะเพิ่มเอฟเฟคส์ต่างๆในการขจัดน้ำออกจากร่างกายของห้องผู้โดยสารที่เพิ่มความกดดัน. ให้ดื่มน้ำผลไม้มากๆและน้ำเปล่าแทน. สำหรับนักเดินทางที่มีประสบการณ์บางคน พยายามที่จะดื่มน้ำผลไม้แก้วหนึ่ง หรือน้ำเปล่าสำหรับทุกๆชั่วโมงที่พวกเขากำลังบินอยู่. ท้ายที่สุด, ให้นอนและตื่นขึ้นตามตารางเวลาในจุดหมายปลายทางของเรา.

    เมื่อคุณถึงที่หมาย

    ให้นอนตามเวลาของท้องถิ่นนั้นๆที่เราไปถึง ทั้งการกินอยู่ และการทำกิจกรรมต่างๆไปตามตารางเวลาทุกประการ. หากว่าเราจะต้องนอนในช่วงระหว่างเวลากลางวัน, ให้นอนน้อยกว่าสองชั่วโมง. ให้ออกนอกบ้านในตอนที่มีแสงสว่าง(หมายถึงเวลาเช้า เร็วเท่าที่จะทำได้สักประมาณ 2 ชั่วโมง, ถ้าเป็นไปได้). แสงสว่างของดวงอาทิตย์จะช่วยใหเราปรับนาฬิกาชีวภาพในร่างกายใหม่เร็วขึ้น. ในท้ายที่สุด, ดื่มนมสักแก้วหรือกินไอศครีมก่อนที่จะเข้านอนถ้าหากว่ามีปั_หาในเรื่องการนอน.

    ข้อแนะนำข้างต้นฟังดูแล้วคล้ายกับการรักษาแบบพื้นบ้านในสมัยก่อน และมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ. แต่มันก็วางอยู่บนรากฐานที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ด้วย ซึ่งผลิตภัณฑ์นมมีคุณสมบัติหลายประการที่มีอิทธิพลต่อความง่วงเหงาหาวนอน.

    ถ้าหากว่าเรายังไม่สามารถปรับตัวได้ ก็ควรจะพิจารณายานอนหลับต่างๆ. ตามข้อเท็จจริง, หนึ่งในยานอนหลับที่นิยมกินกันก็คือ triazolam (ชื่อตามท้องตลาดก็คือ Halcion) ซึ่งได้รับการทดสอบแล้วว่า เป็นไปได้ที่จะสามารถช่วยในการจัดการนาฬิกาชีวภาพได้. เราอาจจะต้องทดลองดู หากว่าวิธีการอื่นๆมันล้มเหลวทั้งหมด แต่ควรจะต้องระมัดระวังด้วย. ยาตัวนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า อย่างน้อยจะมีผลข้างเคียงที่ไม่ดีหรือเป็นประโยชน์อยู่ 2 ประการด้วยกันคือ ประการแรกคือ เราจะนอนเป็นพักๆอยู่สักคืนสองคืนเมื่อเราหยุดกินยา. ประการที่สอง, เราะประสบกับปั_หาเรื่องความจำเสื่อมหรือความจำเลวลง สำหรับกิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างที่ยาออกฤทธิ์อยู่ในกระแสเลือด.

    คำแนะนำต่างๆเหล่านี้ เป็นไปได้ที่อาจจะไม่ทำให้เราสามารถที่จะเอาชนะอาการ jet lag ได้อย่างสมบูรณ์. แต่มันน่าจะช่วยลดอาการที่ไม่สบายต่างๆของการเปลี่ยนแปลงเรื่องโซนเวลาของเราได้บ้าง. สิ่งที่ทำงานได้ผลดีที่สุดสำหรับคนๆหนึ่งนั้น อาจไม่จำเป็นต้องได้ผลดีที่สุดสำหรับคนอีกคนหนึ่ง. ด้วยเหตุนี้ เราควรที่จะคิดถึงข้อแนะนำต่างๆเหล่านี้ในฐานะที่เป็นแนวทาง สำหรับพัฒนาแผนการณ์ต่างๆของตัวเราเองเพื่อการบินที่เป็นปกติ.

    สมเกียรติ ตั้งนโม (เรียบเรียง)
     
  6. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    (||) (||) มีเรื่องเกี่ยวกับทางจิตวิทยาเอามาลงอีกนะฮะ ชอบอ่าน
     
  7. อาคีลีส

    อาคีลีส บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
  8. pun

    pun สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +10
    ขอบคุณครับ!!!!!
     
  9. NiNe

    NiNe บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดของการนอนหลับ คือ การบังคับความฝันของตนเอง ให้เป็นไปในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้น้อยมาก เพราะผมจะบังคับฝันของตัวเองได้ไม่ถึง 5% ของจำนวนครั้งที่นอนหลับ

    กำลังพยายามมากเลย .... แต่ไม่รู้ว่าจะมีผลข้างเคียงหรือไม่?
    เป็นต้นว่า "จิต" อาจจะไม่ได้รับการผ่อนคลายเท่าที่ควร
     
  10. Pure Water

    Pure Water สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +22
    ขอบคุณมากครับ :cool:
    และผมมีประสบการณ์อย่างเดียวกับ คุณ NiNe ครับ
    แล้วผมก็มีความรู้สึกว่า นอนหลับไม่เพียงพอครับ ต้อง
    มานั่งสมาธิต่อ หรือไม่ก็ นอนสมาธิ ท่า ศพ
    แล้วยังเคยคิดจะเหาะออกนอกโลก ครับ แต่ พลังไม่พอ
    หรือไม่ก็ โดนฟ้าผ่า ร่วงลงมา
     
  11. ปีศาจร้าย

    ปีศาจร้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    666
    ค่าพลัง:
    +1,240
    เหอๆให้รายละเอียดเกี่ยวกับการฝันเย๊อะอย่างงี้ ...งั้นคืนนี้เราคงฝันถึงคุณดาวแน่เลย
     
  12. NiNe

    NiNe บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    มีอีกอย่างหนึ่งที่ชอบในตอนฝัน ก็คือว่า ภาพองค์ประกอบในฝันต้องเป็นภาพสี ก็มีบ่อยครั้งเหมือนกันที่บางทีภาพในฝันจะเป็นภาพเทาๆ และไม่ชัด

    ถ้าภาพไม่ใช่ภาพสี ... สักพักหนึ่งผมจะสะดุ้งตื่นขึ้นมา (โดยอัตโนมัติ)

    และผมก็ทำการบังคับใหม่ ให้ฝันในเรื่องนั้นๆ ต่อไป ซึ่งผมจะทำสำเร็จได้มากกว่า 50% ของจำนวนความฝันทั้งหมดที่ไม่ชัดนะครับ

    บางที ผมก็กลับมาคิดใหม่ว่า ผม"บังคับฝัน"
    มากเกินไปหรือเปล่า?
    ซึ่งผลที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็คือ ผมอาจจะติ๊งต๊อง .... และเป็นคนที่มีทิฐิมาก ... คิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ...บางทีอาจจะไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ ... นี่แหละครับที่เป็นข้อเสีย และข้อผิดพลาดอันยิ่งให_่ของผม

    ถ้าผมพูดผมคิดอะไรที่ทำให้สมาชิกไม่พอใจ ก็อย่าถือโทษโกรธผมล่ะกัน และโปรดให้อภัยผมด้วย ... เพราะบุคคลิกของผมมันเป็นอย่างนี้นี่แหละ ...
     
  13. Pure Water

    Pure Water สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +22
    เออ ..ถ้าคืนไหนผมดื่มเบียร์ ก็จะบังคับความฝันไม่ได้ ครับ :[
     
  14. นายฉิม

    นายฉิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    2,099
    ค่าพลัง:
    +2,696
    เค้าฝันว่าได้เป็นสะใภ้นายกล่ะตัว

    คิกๆๆๆ :[
     
  15. แพรว

    แพรว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +166
  16. eakachaiii

    eakachaiii สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +22
    แต่บางครั้งผมชอบความฝันมากกว่าของจริงนะครับ จินตนาการกว้างไกลมากกว่าที่เราจะรู้สึดในโลกที่เราอยู่ได้ มีความรู้สึกครบ
     
  17. eakachaiii

    eakachaiii สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +22
    คุณดวงดาวสวยมากกกกกก
     
  18. potisad

    potisad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +103
    บนกระทู้นี้ พึงสังวร ว่า......

    วิทยาการความรู้ ส่วนมากแล้ว เรารับเต็มๆๆ จากฝรั่ง
    ฝรั่ง แต่งเรื่องยังไง เราก็เชื่ออย่างนั้น
    การแต่งเรื่อง คือ การตั้งสมมุติฐานนั้นๆ แล้วพยายามหาเหตุผล ทดลองสนับสนุน เรื่องที่แต่ง บนค่าเบี่ยงเบนที่ยอมรับได้ ที่เราเรียกว่า การค้นคว้าวิจัย
    ฝรั่งแต่ง ประวัติศาสตร์ชนชาติไทย ว่าเพิ่งบังเกิด ไม่เกิน 600 ปี เริ่ม สมันสุโขทัย ประมาณ300ปี เราก็ถูกสอนให้เชื่อ (ไม่ทราบว่า เพราะหวังผลต่อการล่าอาณานิคม หรือปะนะ)



    สิ่งที่เป็นจริงที่สุดของการเกิดบนโลกใบนี้ คือมีร่างกาย ที่ยังชีพด้วย น้ำ อากาศ อาหาร และการนอน และหน้าที่สำคั_ของสิ่งมีชีวิต คือ การสืบพันธ์


    ท่านทราบหรือไม่ ว่า อาหารจานโปรด ของโลกีย์วิสัยคือ การนอนหลับ..ฝัน
    ท่านทราบหรือไม่ว่า ท่านสามารถ "ทำการอดนอนของท่าน..ได้" แต่ท่านต้องให้อาหารจานโปรดอย่างอื่นทดแทน การนอน ตรงนั้น
    ท่านทราบหรือไม่ว่า การนอนหลับ เป็นสาเหตุตัวสำคั_ที่คอยลบภาพความจดจำของเรา ทุกคืนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    การพักผ่อนเป็นสิ่งจำเป็น แต่ไม่จำเป็นต้อง...หลับ+ฝัน....
    การฝันบางครั้ง ไม่น่าจะเรียกขานว่า ความฝัน เพราะมันไม่ใช่ความฝัน
    ที่ไม่ใช่ความฝัน เพราะว่า มันไม่อาศัย..ประสบการณ์ที่เคยพบเห็นรู้จัก หรือการครุ่นคิดประการใด
    ความฝันชนิดนี้จะพบมาก ในวัยเด็ก ที่ไม่มีภาระมาก และไม่มีประสบการณ์นั้นๆมาก่อน
    ไม่แย้ง ในเรื่องขั้นโลกีย์ แต่ที่สอนนักเรียน ว่า การนอนหลับคือ การพักผ่อน อย่างน้อยวันละ 6 - 8 ชั่วโมง ก็ไม่ถูกต้องนัก
    ....ท่านเคยเอาชนะ ความง่วงซึม บ้างปะ ......

    ด้วยการพิมพ์จิ้มทีละตัว เวลาหมดก่อนแล้ว ขอลา
    ขอความสุขสวัสดีมีโชค พรใดที่ประเสริฐจงบังเกิดแก่ทุกท่าน ทุกทิวาราตรี
     
  19. ปีศาจร้าย

    ปีศาจร้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    666
    ค่าพลัง:
    +1,240
    ประกาศ....คืนนี้เราจะฝันถึงคุณดาวคนเดว
     
  20. อาคีลีส

    อาคีลีส บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ผมว่าไม่สวยอ่ะ แต่น่ารักโคด ให่ตายเถอะจอร์จไม่อยากเชื่อเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...