Featured เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๘

Discussion in 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' started by iamfu, Jun 25, 2025 at 9:03 PM.

Thread Status:
Not open for further replies.
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด Staff Member ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    Joined:
    Sep 25, 2008
    Messages:
    22,354
    Featured Threads:
    2,785
    Ratings:
    +26,650
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๘


     

    Attached Files:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด Staff Member ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    Joined:
    Sep 25, 2008
    Messages:
    22,354
    Featured Threads:
    2,785
    Ratings:
    +26,650
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เมื่อวานนี้ ตอนบันทึกเสียงอยู่ในสถานีรถไฟความเร็วสูงเมืองหลิ่วชวน กระผม/อาตมภาพเกือบจะถึงแก่ชีวิต..! เหตุก็เพราะว่ามาลาเรียมากำเริบเอาในเวลาที่ไม่เคยชิน อาจจะเป็นเพราะว่าตรากตรำเดินทางมาหลายวันติดกัน พักผ่อนไม่พอ จึงทำให้โดน "ขันธมาร" ซ้ำเติม

    นอกจากสุ้มเสียงจะหายหมดแล้ว ยังหายใจหายคอไม่ทัน จนบันทึกเสียงเสร็จไข้ถึงลดลง ทำให้เหงื่อแตกท่วมตัว กระผม/อาตมภาพเคยชินกับการที่ "เพื่อนเก่า" หาจังหวะกลั่นแกล้งแบบนี้มานานแล้ว และพยายามทำใจอย่างเต็มที่ เนื่องเพราะว่าตนเองทำกรรมเอาไว้มาก ถึงเวลากรรมมาสนองก็ต้องยอมรับแก่โดยดี

    ในช่วงที่อำลาอาลัยกันอยู่บนรถบัส อาเหมยบอกว่าคณะของเราถือว่าโชคดีมาก ๆ นอกจากไม่เจอฝนแล้ว ยังไม่เจอพายุทราย ซึ่งเกิดขึ้นบ่อย ๆ อีกด้วย ถ้าหากว่าเจออย่างใดอย่างหนึ่งก็งานกร่อยอย่างแน่นอน ถือว่าพวกเราทำบุญมาดีก็แล้วกัน ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่า " ท่านอูฐ" ที่ยืนตาปริบ ๆ อยู่นั้น เป็นผู้ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เอง

    พวกเรารอจนกระทั่งใกล้เวลาที่รถไฟความเร็วสูงจะเทียบชานชลา เจ้าหน้าที่ก็เรียกพวกเราไปต่อแถว สแกนพาสปอร์ตแล้วให้เดินลงชั้นใต้ดิน ไปยืนรอจนรถไฟเทียบท่าถึงจะให้พวกเราขึ้นไปนั่งรถไฟ ซึ่งรถไฟความเร็วสูงเที่ยวนี้ก็คือเที่ยว D2703 วิ่งจากเมืองหลานโจวซี ไปยังเมืองอูลู่มู่ฉี กระผม/อาตมภาพตอนแรกเข้าใจว่าเราจะไปถึงเมืองอูลู่มู่ฉีเลย แต่คุณโบตั๋นบอกว่าพวกเราจะลงแค่เมืองถูลู่ฟานก่อน หลังจากที่เที่ยวเมืองถูลู่ฟานแล้ว ถึงจะต่อไปยังเมืองอูลู่มู่ฉีซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลซินเจียงอันกว้างใหญ่ไพศาลนั่นเอง

    พวกเรานั่งหลับ ๆ ตื่น ๆ มาบนรถไฟความเร็วสูงที่ปรับความเร็วตามสถานที่ ต่ำสุดก็คือ ๑๖๒ กิโลเมตร/ชั่วโมง สูงสุดก็คือ ๒๔๕ กิโลเมตร/ชั่วโมง เนื่องเพราะว่าพอใกล้ชุมชนหรือว่าบ้านเมือง ก็จะมีการลดความเร็วลงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ถ้าพ้นจากชุมชนไปแล้วจึงจะทำความเร็วมากขึ้น เป็นการควบคุมโดยระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามเวลา

    เมื่อรถไฟออกแล้ว กระผม/อาตมภาพจึงนั่งภาวนา แล้วส่งกำลังใจอุทิศส่วนกุศลไปให้ "ท่านซาอุด" ซึ่งกระผมเรียกว่า "ท่านอูฐ" พร้อมกับบริษัทบริวาร ซึ่ง "ท่านอูฐ" นั้นจริง ๆ แล้ว มีพื้นเพเป็นคนเมืองอูลู่มู่ฉี แต่ว่าด้วยความที่มีความสามารถมาก จึงดูแลดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล ทั้งมณฑลซินเจียงและมณฑลกานซู่
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด Staff Member ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    Joined:
    Sep 25, 2008
    Messages:
    22,354
    Featured Threads:
    2,785
    Ratings:
    +26,650
    กระผม/อาตมภาพเองเห็น "ท่านอูฐ" แล้วยังละอายใจว่า เพื่อนฝูงของเราช่างเป็นคนดีเหลือเกิน อย่างเช่นว่าที่บริเวณอนุสาวรีย์มารดาแม่น้ำเหลือง ขอให้ท่านช่วยไล่คนออก เพื่อให้พวกเราได้ถ่ายรูปกันอย่างสะดวกสบาย ท่านก็ไม่ยอมทำ เพราะถือว่าเป็นการเบียดเบียนคนอื่น ให้พวกเรานั่งรอ หรือว่าตบตีแย่งชิงกับบรรดากองทัพแดงกันเอาเอง..!

    เมื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับทุกท่านและขอความสะดวกปลอดภัยทุกอย่างแล้ว จึงมาทำการส่งงานบ้าง ถ่ายรูปบ้าง แต่ว่าไม่สามารถที่จะส่งได้ถนัดนัก เนื่องเพราะว่าเวลารถไฟวิ่งอยู่ คลื่นไม่สามารถที่จะเข้าถึงได้ จึงทำให้มีการหลุดบ้าง ค้างบ้าง จนกระทั่งมาหยุดที่ "เมืองกวาโจว" ซึ่งชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า "เมืองฮามิ" หรือ "เมืองฮามี่" ซึ่งเป็นเมืองที่เมืองชื่อเสียงมากในการปลูกแตงแคนตาลูป ซึ่งทางนี้เรียกกันว่า "แตงฮามี่" มาหลายร้อยปีแล้ว มีชื่อเสียงตรงที่ว่ารสชาติหวานมาก เพราะว่าเป็นการปลูกในทะเลทราย เมื่อมีน้ำน้อย จึงทำให้ระดับน้ำตาลค่อนข้างที่จะสูง มีชื่อเสียงเลื่องลือมาตั้งแต่โบราณ

    ช่วงที่หยุดรถให้คนขึ้นลง กระผม/อาตมภาพจึงฉวยโอกาสส่งงานตรงนั้นก่อน เสร็จแล้วถึงได้นั่งสบายใจจนกระทั่งไปถึงเมืองถูลู่ฟาน พวกเราก็ต้องไปยืนรอลงจากรถก่อนเวลา เมื่อรถเข้าเทียบชานชลาก็ลงมารวมพล แล้วเดินตามคุณโบตั๋นลงใต้ดินอีกตามเคย ออกนอกประตูสองชั้น ชั้นที่สองต้องสแกนพาสปอร์ตด้วย เมื่อออกมาเจอมัคคุเทศก์ท้องถิ่นมารอรับ ยิ้มหวานให้ หน้าตาสวยสง่าทีเดียว พอถามว่าชื่ออะไร คุณเธอบอกมาแล้วออกเสียงยากมาก เพราะออกประมาณว่าสาว "กรี๊ซซ์ก์ก์" แล้วชื่อจีนก็คือชื่อจวี๋จื่อ กระผม/อาตมภาพจึงเปลี่ยนชื่อให้ว่า "น้องกิ๊ก" จะได้เรียกกันง่าย ๆ

    "น้องกิ๊ก" พาพวกเราเดินขาลากไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่ ผ่านบรรดาสิ่งก่อสร้าง ซึ่งมีลักษณะของศิลปะทางตะวันออกกลาง หรือว่าศิลปะอาหรับมากมายเต็มไปหมด มีกระทั่งซุ้มองุ่น ร้านขายแตงฮามิ มาขึ้นรถแล้วก็พากันแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ตลอดจนกระทั่งพูดถึงโปรแกรมในวันพรุ่งนี้

    สิ่งหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพได้ยินแล้วหูผึ่งก็คือ โรงแรมของเรามีห้องซักผ้าด้วย ครั้นสอบถามเพื่อความแน่ใจแล้ว ถึงได้ทราบว่าเป็นบริการสำหรับลูกค้าที่มาพักโรงแรมโดยเฉพาะ ใช้คีย์การ์ดเข้าไป ซักผ้าอบผ้าได้โดยไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเติม กระผม/อาตมภาพแทบจะกระโดดกอด "ท่านอูฐ" ที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ เหตุว่าพ่อเจ้าประคุณช่างสรรหาโรงแรมให้ได้ถูกใจเสียนี่กระไร..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด Staff Member ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    Joined:
    Sep 25, 2008
    Messages:
    22,354
    Featured Threads:
    2,785
    Ratings:
    +26,650
    เมื่อพวกเรามาถึงโรงแรม ทำการเช็คอินแล้ว กระผม/อาตมภาพก็หอบผ้าทุกชิ้นลงไปยังชั้น ๕ เดินหาอยู่พักใหญ่กว่าที่จะเจอว่าห้องซักผ้าอยู่ทางไหน ? ปรากฏว่าเจอคุณดาหวัน (คุณเพชรดาวัลย์ พัสลุผล) กับน้องพอร์ช (เด็กชายเสฏฐ์ ชาครวิโรจน์) สองแม่ลูก ไปเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ทางด้านหน้า สักครู่หนึ่ง คุณโบตั๋นกับน้องกิ๊กก็มาร่วมวงด้วย กระผม/อาตมภาพถึงได้รู้ว่า มีเครื่องว่างอยู่เครื่องหนึ่ง เพียงแต่ว่าตัวเลขยังคาอยู่ จึงทำให้ไม่รู้ว่าเป็นเครื่องว่าง

    กระผม/อาตมภาพจึงเอาผ้าใส่เข้าไปก่อน เสร็จเรียบร้อยแล้วสอบถามวิธีใช้ กดให้เครื่องเดินแล้วก็กลับมายังห้องพักของตัวเอง เพื่อทำการสรงน้ำ โดยที่เนื้อตัวมีแค่สบงอังสะชุดเดียวเท่านั้น เพราะว่าข้าวของทุกอย่างที่ซักได้ โยนเข้าเครื่องซักผ้าไปหมดแล้ว เมื่อนั่งรอจนได้เวลา ก็กลับลงไปเอาผ้าผ่อนของตน มาพับ มาจัด เพื่อที่จะเอาเข้ากระเป๋า ถ้าหากว่ามีการซักอย่างเป็นทางการแบบนี้ กระผม/อาตมภาพรู้สึกว่าดีมาก เพราะว่าการซักมือทุกวันนั้น ก็ไม่แน่ใจว่าจะทำให้ผ้าสะอาดจริงหรือเปล่า ?

    อากาศตอนเช้าวันนี้ที่โรงแรม Hampton by Hilton อยู่ที่ ๓๒ องศาเซลเซียส ทำให้ทุกคนรู้ทันทีว่าชะตากรรมของวันนี้คืออะไร ?! ขนาดเช้ามืดยังร้อนแบบนี้ แล้วตอนเที่ยงจะร้อนขนาดไหน ?! เนื่องจากว่าเมืองถูลู่ฟานนี้สว่างเร็ว มืดช้า ทำให้มีระยะเวลาสว่างมากกว่าที่อื่นหลายชั่วโมง คนที่นี่จึงกินอาหารเช้ากันตอน ๘ โมง เริ่มทำงานกันตอน ๑๐ โมง พักกินอาหารกลางวันตอนบ่าย ๒ โมง เหล่านี้เป็นต้น เพียงแต่ว่าทางโรงแรมพยายามที่จะปรับให้กับเรา ด้วยการเปิดห้องอาหารให้ตอน ๗ โมงเช้า ต้องขอบพระคุณทุกคนเป็นอย่างยิ่ง

    แต่ว่ามาเจอ "ปรากฏการณ์คนจีน" อีกแล้ว ก็คือน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) และน้องไก่ (นางสาวโสภา ตั้งอธิคม) ได้นำเอากระเป๋าเป้ของตนเอง และจานอาหารวางเอาไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็เดินไปตักของหวานและผลไม้ ปรากฏว่ายังไม่ทันที่จะกลับมาก็มี "อาจุมม่า" สองคน มาถึงก็จัดการย้ายเป้และจานอาหารให้น้องเล็ก เสร็จสรรพแล้วยึดที่นั่งแทน..! ทั้งสองคนเมื่อกลับมาก็เกิดอาการ "ของขึ้น..!"

    กระผม/อาตมภาพบอกว่า "ให้ย้ายโต๊ะไปเลย อย่าไปยุ่งกับเขา อายุมากขนาดนั้นแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก" ทั้งสองคนก็เลยย้ายโต๊ะเก้าอี้แบบเซ็ง ๆ ทั้ง ๆ ที่หยิบข้าวหยิบของข้ามหัว "อาจุมม่า" ไปมาแกก็ไม่สน "ฉันต้องการนั่งตรงนี้ ฉันต้องได้นั่ง" นิสัยแบบนี้ต้องไปเกิดใหม่จึงพอที่จะแก้ไขได้ เนื่องเพราะว่าอายุมากเกินกว่าที่จะดัดเสียแล้ว..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด Staff Member ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    Joined:
    Sep 25, 2008
    Messages:
    22,354
    Featured Threads:
    2,785
    Ratings:
    +26,650
    เมื่ออิ่มและทำการคืนห้องแล้ว พวกเราก็ขึ้นรถ "น้องกิ๊ก"และ "คุณโบตั๋น" ทำการแนะนำสถานที่ซึ่งเราจะไปในวันนี้ ก็คือเมืองโบราณเกาชาง ปรากฏว่า "อาหมิง" พลขับของเรา ที่กระผม/อาตมภาพเรียกว่า "อาหมิง" ก็เพราะว่าศีรษะของแกโล้นเกลี้ยงใสเหม่ง ไม่มีผมเลยสักเส้นเดียว..! นำรถไปจอดบริเวณหน้าร้านค้า แล้ววิ่งลงไปเพื่อซื้อน้ำดื่มขึ้นมาให้กับพวกเรา แต่เจอตำรวจจราจรแจกใบสั่ง เพราะว่าไม่ใช่ที่จอด ไม่ทราบเหมือนกันว่าโดนตัดแต้มไปเท่าไร ?! แล้ว "อาหมิง" ก็ยังแสดงความเฉิ่มให้เห็น ด้วยการเลี้ยวผิดเลี้ยวถูก กว่าจะให้หนทางที่ถูกต้อง ก็ต้องให้ "น้องกิ๊ก" เปิดจีพีเอสนำทางให้ จึงตรงไปถึงเมืองโบราณเกาชางได้อย่างที่ต้องการ

    ตลอดเส้นทางมีแต่ไร่องุ่นเป็นพันเป็นหมื่นไร่ สลับกับไร่ผักชนิดอื่น และมีโรงตากองุ่น ซึ่งสร้างด้วยอิฐดิบลักษณะโปร่ง ๆ เป็นระยะ ๆ ไป กระผม/อาตมภาพก็ให้สงสัยอยู่เหมือนกันว่า ไม่ค่อยจะมีน้ำ แต่ทำไมคนเมืองถูลู่ฟาน ถึงได้ขยันปลูกผักปลูกผลไม้กันเสียเหลือเกิน ?

    พวกเรามาจอดที่หน้าโบราณสถานเกาชาง ซึ่งเป็นมรดกโลกแห่งหนึ่งของประเทศจีน มีรูปพระถังซัมจั๋งกำลังเดินทางไปไซที ก็คือฟ้าตะวันตก ตามนิยายเรื่อง "ซีโหยวจี้" หรือที่คนไทยเรียกว่า "ไซอิ๋วกี่" ตามสำเนียงแต้จิ๋ว น่าจะเป็นการเริ่มเดินทาง เพราะว่าพระถังซัมจั๋งยังเดินโดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่มีลูกศิษย์ตัวแสบทั้งสามอยู่ด้วย..!

    พวกเราถ่ายรูปกันแล้วก็ตรงเข้าไปซื้อตั๋วทางด้านใน "น้องกิ๊ก" ชี้ให้พวกเราไปเข้าห้องน้ำ ส่วนตนเองก็ไปซื้อตั๋ว กระผม/อาตมภาพถ่ายรูปหุ่นคนสำคัญต่าง ๆ ของเมืองเกาชาง แล้วก็เอาตัวเองเข้าไปเป็นหุ่น ฝากให้ "น้องเล็ก" ถ่ายด้วย จากนั้นก็เดินย้อนกลับไป เพื่อถ่ายรูปพระถังซัมจั๋งแบบไม่มีใครเกะกะ ปรากฏว่าน่าจะเสียเวลาไปนาน จึงทำให้ "คุณไก่" (นายฐนชล ทิมแสง) มัคคุเทศก์ของทางเติมเต็มทราเวล ต้องวิ่งมาตามไปขึ้นรถแบตเตอรี่ ซึ่งพลขับสตรีก็ซิ่งเหลือเกิน ลมที่พัดมานั้นแรงมาก เพราะว่าทุกแห่งกว้างใหญ่ไพศาล แต่เป็นลมที่ร้อนเหมือนออกมาจากฮีตเตอร์..!

    สถานที่แรกที่โชเฟอร์หญิงจอดให้พวกเราชมและถ่ายรูปกัน ก็คือวัดเก่าแก่ของเมืองเกาชาง ที่พระถังซัมจั๋งได้มาอาศัยอยู่ระยะหนึ่ง พวกเราถ่ายรูปแล้วก็ต้องรีบขึ้นรถ เพราะว่าอากาศร้อนแทบจะละลาย..! เมื่อมาถึงปรากฏว่าที่นั่งของกระผม/อาตมภาพโดนอาแปะเสื้อแดงยึดไปเสียแล้ว..!

    เมื่อเห็นกระผม/อาตมภาพยืนจ้องอยู่ แกถึงได้ขยับไปทางด้านอื่น อาแปะแกมากับสาวคนหนึ่ง ไม่ทราบว่าเป็นภรรยาหรือลูกสาว ? ทั้งสองคนมีนิสัยเห็นแก่ตัวพอกัน ก็คือลงตรงไหนกูก็พุ่งเข้าไปก่อน จัดการถ่ายสถานที่ซึ่งไม่มีผู้คนด้วยความรวดเร็ว แต่ว่าถ่วงเวลา ไม่สนใจว่าคนอื่นจะได้ถ่ายแบบตัวเองหรือไม่ ? ดังนั้น..แทบทุกรูปของสถานที่ ถ้าหากว่าจะถ่ายก็ต้องรอทั้งสองคนถ่ายทั้งภาพนิ่งและวีดีโอจนพอใจเสียก่อน คนแบบนี้ก็มีเหมือนกัน..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด Staff Member ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    Joined:
    Sep 25, 2008
    Messages:
    22,354
    Featured Threads:
    2,785
    Ratings:
    +26,650
    สถานที่แห่งที่สองที่เขาจอดให้ก็คือหอสวดมนต์ของพระถังซัมจั๋ง อาแปะแกออกนอกทางคล้าย ๆ กับ กระผม/อาตมภาพ ก็เลยโดนเจ้าหน้าที่ตะโกนไล่ให้ขึ้นไปบนทางเดินไม้ ห้ามลงข้างล่างโดยเด็ดขาด หายห้าวไปทั้งเขาและเรา..!

    สถานที่สามก็คือวัดใหญ่ประจำเมืองเกาชางโบราณ ซึ่งตอนนี้ก็ปรักหักพังเหลือ แต่ชิ้นส่วนที่พอเห็นว่า ในอดีตนั้นเคยยิ่งใหญ่อลังการเพียงใด ? พวกเราถ่ายรูปหมู่กันเสร็จแล้ว ก็ต้องรีบเผ่นขึ้นรถอย่างเร็วไว ก่อนที่จะละลายกลายเป็นน้ำ..!

    เมื่อออกมาถึงทางด้านนอก ทุกคนก็วิ่งเข้าหาร้านค้า ก่อนที่จะวิ่งเข้าไป ช่วงกระผม/อาตมภาพไปถ่ายรูปพระถังซัมจั๋งนั้น มีรายการ "กระจายรายได้" ให้กับคนทางนี้เป็นจำนวนมาก พ่อค้าจึงได้นำแตงหวานมาหั่นแจกให้กับลูกค้าวีไอพีกลุ่มนี้ "ท่านอูฐ" สะกิดให้กระผม/อาตมภาพฉัน เล่นเอาต้องมองหน้า เพราะกระผม/อาตมภาพมีมาลาเรียเรื้อรังติดตัว ถ้าโดนของเย็นแบบฟักแฟงแตงน้ำเต้าเข้าไป รับประกันได้ว่าไข้ขึ้นอย่างแน่นอน..!

    แต่ "ท่านอูฐ" แกรับรองแข็งขันว่า "ควรต้องฉันครับ" กระผม/อาตมภาพจึงหยิบมาชิ้นหนึ่ง เมื่อฉันจนเหลือแต่เปลือกแล้ว พ่อค้าแกยังอุตส่าห์เอาถุงมารับเศษที่เหลืออีกด้วย ต้องขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง

    เมื่อออกมาจากเมืองโบราณเกาชาง กลับขึ้นรถของพวกเรากันเอง ตรงไปยังโบราณสถานสำคัญแห่งที่สองของเมืองถูลู่ฟาน ก็คือ "เชียนฝอต้ง" หรือว่า "ถ้ำพระพันองค์" เป็นถ้ำที่ทางด้านพุทธศาสนิกชนได้สร้างเอาไว้ แต่ว่าโดนทำลายไปเสียเกือบหมด กระนั้นก็ยังมีการห้ามถ่ายรูปอยู่ดี กระผม/อาตมภาพนั้นค่อนข้างจะเป็นคนเชื่อฟัง เขาห้ามไม่ให้ถ่ายรูปก็ถ่ายแต่พองามเท่านั้น..!

    แล้วก็มาเจอวณิพกรุ่นคนปู่กำลังเล่นซอหัวม้า ถามดูปรากฏว่าอายุ ๘๓ ปีแล้ว มาเล่นดนตรีเปิดหมวก กระผม/อาตมภาพจึงหย่อนลงไปให้ ๕๐ หยวน ทำเอาคุณปู่ดีอกดีใจ ส่ง "หมวกซงโก๊ะ" ของชาวอิสลามมาให้ใส่ ทำเอาญาติโยมร้องเสียงหลงว่า "ไม่สามารถจะใส่หมวกได้ เพราะว่าเป็นต้าซือ..!" แกก็เลยส่งเครื่องดนตรีประเภทตี คล้ายรำมะนาครึ่งใบมีห่วงเขย่าอยู่ด้วยมาให้แทน
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด Staff Member ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    Joined:
    Sep 25, 2008
    Messages:
    22,354
    Featured Threads:
    2,785
    Ratings:
    +26,650
    กระผม/อาตมภาพเองไม่อยากให้คนแก่เสียน้ำใจ ทั้งที่พระห้ามจับเครื่องดนตรีเหมือนอย่างกับห้ามรับเงิน ก็จับเอาไว้แล้วฟังคุณปู่ดีดซอหัวม้า ร้องเพลงพื้นเมือง ให้บรรยากาศเหมือนอยู่กลางทะเลทรายยามค่ำคืน มีคนและอูฐล้อมวงอยู่ข้างกองไฟ ผู้คนก็ดีดซอหัวม้า ร้องเพลงแก้เหงาแบบนี้นี่เอง แต่คุณปู่แกพยายามที่จะตอบแทนกระผม/อาตมภาพ ที่ให้ไปตั้ง ๕๐ หยวน ก็เลยร้องเพลงเสียยาวเหยียด ทำเอาพวกเราที่ยืนรอที่จะทำบุญด้วย ตัวแทบจะละลายหายเป็นอากาศไปเลย..!

    เมื่อจบเพลงแล้ว ทุกคนก็หยอดเงินใส่หมวกให้คุณปู่ แล้วก็รีบเดินออกมา "คุณโบตั๋น" บอกว่าปู่แกเลิกงานวันนี้ไปเลย เพราะว่าโดยปกติแล้ว คุณปู่แกจะมาเปิดหมวกตอนเช้าประมาณ ๑๐ โมง แล้วก็รอจนกระทั่งช่วงบ่าย ๆ ซึ่งอากาศเริ่มเย็นลง นักท่องเที่ยวถึงจะมากัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น วันนี้ได้เงินไปพอเพียงแล้ว คุณปู่แกน่าจะเลิกงานไปเลย

    พวกเราเดินตาม "น้องกิ๊ก" กลับออกมาทางด้านนอก ตอนขาลงนั้นลงบันไดไปก็ไม่ได้คิด แต่ตอนขาขึ้นเพิ่งจะรู้ว่าบันไดทำไมถึงไกลขนาดนั้น ? อากาศก็ร้อนเหลือใจ พวกเราเดินออกมาผ่านร้านขายของที่ระลึก ถามหาห้องน้ำ ปรากฏว่าบรรดาร้านขายของก็ชี้สุดแขนไปทางซ้าย เมื่อเดินตรงไปถึงได้รู้ว่าไม่ได้อยู่ในร้านแบบที่อื่น ๆ แต่เป็นห้องน้ำที่แยกต่างหากออกไป ทางด้านที่มีรถมอเตอร์ไซด์ลุยทราย น่าจะเอาไว้ให้คนเช่าขับ เมื่อเห็นว่าไกลขนาดนั้น กระผม/อาตมภาพจึงสละสิทธิ์ไม่ไปห้องน้ำ หากแต่ว่ากลับไปขึ้นรถเลย..!

    "อาหมิง" พาวิ่งมาไม่ไกลก็ถึงบริเวณภูเขาเพลิง หรือว่า "ฮั่วกั่วซาน" ตามตำนานไซอิ๋ว ที่ซุนหงอคงต้องไปยืมพัดจากเจ้าแม่พัดเหล็กมาทำการพัดไฟให้ดับ เพื่อที่จะข้ามไปชมพูทวีปได้ ไฟที่ติดอยู่ก็ฝีมือพ่อเจ้าประคุณเองนั่นแหละ ตอนที่ขึ้นไปอาละวาดบนสวรรค์ ทำการกินบรรดาผลไม้เซียนต่าง ๆ เข้าไปเป็นสวน ทำให้ "ไท่เสียงเหล่าจวิน" โกรธมาก จึงได้จับหงอคงโยนเข้าเตาปรุงยา เพื่อที่จะต้มหงอคงให้ฤทธิ์ยาออกมาให้ได้..!

    แต่อีกฝ่ายกินผลไม้วิเศษเข้าไปมากมาย ไฟก็เลยทำอะไรไม่ได้ แถมยังดิ้นตึงตังโครมคราม จนเตาปรุงยาหกล้มลงมา ทำเอาสะเก็ดไฟตกลงยอดเขาแห่งนี้ ติดอยู่ไม่มีวันที่จะดับ..! จนกระทั่งหงอคงมาเป็นลูกศิษย์พระถังซัมจั๋ง นำเอาพัดเหล็กที่ยืมมาจากนางพญาพัดเหล็กไปพัด ถึงได้ดับไฟนั้นลงได้
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด Staff Member ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    Joined:
    Sep 25, 2008
    Messages:
    22,354
    Featured Threads:
    2,785
    Ratings:
    +26,650
    พวกเราตีตั๋วเข้าไปทางด้านใน ถ่ายรูปหมู่แล้วก็เดินเข้าไปในห้องนิทรรศการ ซึ่งมีทั้งภาพแกะสลัก มีทั้งภาพเขียน มีทั้งรูปหล่อตัวบุคคล ตลอดจนกระทั่งสถานที่ต่าง ๆ ตามตำนานไซอิ๋ว ข้างในนี้เย็นมาก ๆ เพราะว่าติดเครื่องปรับอากาศไว้ ทำเอาทุกคนแทบไม่อยากไปไหน เดินไปได้ครู่หนึ่ง กระผม/อาตมภาพก็เจอซุนหงอคงและตือโป๊ยไก่ ยืนตะโกนเรียก "ซืออออฝู่" อยู่ไม่ไกล

    เมื่อกระผม/อาตมภาพเดินเข้าไป ทั้งสองทำท่าก็ดีอกดีใจ เต๊ะท่าให้พวกเราถ่ายรูปอย่างดี แต่ขอโทษเถอะ..เจ้าศิษย์ทั้งสองดันทรยศ เรียกค่าถ่ายรูป ๒๐ หยวน แถมยังให้สแกนได้อีกด้วย..! แต่ว่า "น้องไก่" รีบควักกระเป๋าให้ไป ๒๐ หยวน จึงเป็นอันว่าไม่ต้องเสียเวลาไปสแกนกัน

    พวกเราเดินทะลุออกมาทางด้านนอก ตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายโมงแล้ว ปรากฏว่าพ่อซุนหงอคงตัวจริง ไม่ทราบว่าทำกระบองค้ำสมุทรของตนเอง หล่นปักอยู่ตรงนั้นเมื่อไร ? กลายเป็นเทอร์โมมิเตอร์ ซึ่งตอนนี้อุณหภูมิพุ่งปรี๊ดไปถึง ๕๓ องศาเซลเซียส..! แต่กระผม/อาตมภาพกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ขณะที่คนอื่นทำท่าจะตายเสียให้ได้..!

    "ท่านอูฐ" บอกว่า "เจ้าแตงนั่นแหละครับช่วยเอาไว้" กระผม/อาตมภาพถึงได้รู้ว่าการกินของเย็นในสถานที่ร้อนขนาดนี้ เป็นเรื่องที่ช่วยได้จริง ๆ ถ้าในเวลาปกติ ก็คงมาลาเรียกำเริบไปแล้ว..! แต่นี่กินแตงชิ้นเบ้อเริ่มเข้าไป มายืนอยู่กลางอากาศ ๕๓ องศาเซลเซียสแบบ "ชิล" มาก แทบจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย..!

    จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดชั้นบนไปถ่ายรูปเจ้าพ่อกระทิงทอง นางพญาพัดเหล็ก ตลอดจนกระทั่งพระถังซัมจั๋งและลูกศิษย์ทั้งสาม แต่เจ้าประคุณเถอะ..บรรดาคนจีนทั้งหลายไม่มีความเกรงใจกันเลย ถึงเวลากูก็พุ่งเข้าใส่ คนอื่นจะถ่ายรูปไม่ถ่ายรูปกูไม่สนใจ ขอให้กูถ่ายรูปได้ก็แล้วกัน กระผม/อาตมภาพไม่อยากรบราฆ่าฟันกับกองทัพแดง จึงได้ย้อนกลับลงมาทางด้านล่าง เดินวนกลับออกไปทางที่จอดรถยนต์ของพวกเรา

    เมื่อมากันครบถ้วนแล้ว "อาหมิง" ก็พาพวกเราวิ่งไปยังภัตตาคาร ซึ่งวันนี้พวกเราได้กินอาหารตามเวลาของคนถูลู่ฟาน ก็คือบ่ายโมงครึ่ง ก็ถือว่าเป็นการกินเร็วไปเสียด้วย เพราะที่นี่เขากินกันตอนบ่ายสองโมง..! อาหารวันนี้มีเนื้อแกะเหมือนเดิม แต่ว่าอร่อยกว่าวันก่อนมาก จึงมีหลายคนทดลองชิมไปเหมือนกัน มาที่นี่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือแตงโมที่จะต้องมีทุกมื้อ และสิ่งที่ภัตตาคารนี้ทำเอาพวกเราชอบใจก็คือ มีน้ำอัดลมและน้ำแข็งให้ด้วย
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด Staff Member ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    Joined:
    Sep 25, 2008
    Messages:
    22,354
    Featured Threads:
    2,785
    Ratings:
    +26,650
    หลังจากที่กินข้าวกินปลากันเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เดินทางต่อไป เพื่อดูระบบประปาโบราณที่เรียกว่า "คานเอ่อร์จิ่ง" ซึ่งเป็นความรู้ที่คนโบราณชักเอาน้ำจากภูเขาหิมะเทียนซาน ผ่านภูเขาเพลิงฮั่วกั่วซานลงมาจนกระทั่งถึงเมืองถูลู่ฟาน เป็นการขุดอุโมงค์ประปาใต้ดินนับเป็นพันสาย..!

    ต้องบอกว่าสุดยอดของความทรหดอดทน มีการใช้เทคนิคแบบโบราณ ก็คือใช้ไฟสามดวง จุดอยู่ห่าง ๆ กัน เล็งดูว่าแนวตรงกันหรือไม่ ? หรือไม่ก็ต่างคนต่างใช้ไม้ชี้เข้าหากัน เพื่อดูว่าตรงแนวหรือไม่ ? นับเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มหึมามาก เนื่องเพราะว่าเป็นของที่สร้างมาเป็นพันปีแล้ว แต่ว่ายังใช้งานจริงอยู่ถึง ๗๐๐ กว่าอุโมงค์..!

    พวกเราซื้อตั๋วแล้วเดินเข้าไปทางด้านใน ถ่ายรูปหมู่กันด้านหน้า จากนั้นก็เดินเข้าไปดูสถานที่ซึ่งเป็นสถานที่จริง น้ำที่ไหลจากภูเขาหิมะนั้น เย็นเหมือนอย่างกับน้ำที่ออกมาจากตู้เย็นเลยทีเดียว..! เมื่อพวกเราเดินดูบริเวณที่เขาเปิดไว้บ้าง ปิดไว้บ้าง เพื่อให้เห็นว่าเส้นทางน้ำเป็นอย่างไร ระบบประปาโบราณคานเอ่อร์จิ่งนี้ เป็นสิ่งก่อสร้างโบราณที่ได้รับความเคารพนับถือและใช้งานมาถึงปัจจุบัน คล้ายคลึงกับการสร้างกำแพงเมืองจีนเลยทีเดียว

    เมื่อเดินจนกระทั่งสุดเขตแล้ว พวกเราก็เดินเข้าไปยังสวน "ผูเถาโกว" ซึ่งเป็นสวนองุ่น ทำการปลูกองุ่นอยู่ ณ ที่นี้ แล้วมีการสาธิตการตากองุ่นแห้งหรือลูกเกดให้ดูด้วย วันก่อนที่เมืองตุนหวง กระผม/อาตมภาพซึ่งรับฝาก "หม่าม้า" (นางสาวไพรินทร์ สุวิชชาญพันธุ์) หรือที่คนจำนวนหนึ่งเรียกว่า "มาดามชวง" ให้ช่วยซื้อลูกเกดชนิด "หงเซียงเฟย" ก็คือ "นางสนมหอมสีแดง"

    ปรากฏว่ามีคนทักท้วงว่า ให้มาที่สวนผูเถาโกวแห่งนี้แล้วค่อยซื้อดีกว่า เพราะว่าอยู่ในสถานที่เลย น่าจะราคาถูกกว่ามาก แต่พอมาแล้วก็เจอ "แห้ว" ไปเต็มรถ เนื่องเพราะว่าองุ่นที่นี่เพิ่งจะลูกเท่าปลายนิ้วก้อยเท่านั้นเอง เขาบอกว่า ต้องอีกประมาณหนึ่งเดือนถึงจะเก็บได้..!
     
  10. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด Staff Member ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    Joined:
    Sep 25, 2008
    Messages:
    22,354
    Featured Threads:
    2,785
    Ratings:
    +26,650
    ในเมื่อไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ พวกเราจึงเดินมาด้านทางออก ที่ผ่านร้านขายยาสมุนไพรจีน มีเห็ดหลินจือชิ้นใหญ่เกือบเท่าหน้าโต๊ะ..! ไม่ทราบเหมือนกันว่าอายุกี่ร้อยกี่พันปีอยู่ด้วย นอกนั้นก็เป็นสินค้าที่ระลึกทั่ว ๆ ไป

    กระผม/อาตมภาพเดินหาห้องน้ำ แต่หาไม่เจอ น้องเล็กที่เดินตามมาก็หาไม่เจอเช่นกัน จนกระทั่งป้าศุ (นางศุภากาญจน์ หว่อง) ชวนให้เดินออกไปทางด้านนอก จนกระทั่งถึงประตูทางออกแล้ว น้องเล็กก็โทรมาบอกว่าเจอห้องน้ำแล้ว กระผม/อาตมภาพจึงเดินย้อนกลับเข้าไปคนเดียว

    เมื่อไปจวนจะถึงก็สวนกับ "น้องกิ๊ก" อีกฝ่ายบอกว่าด้านนอกก็มี กระผม/อาตมภาพจึงตามออกมาจนกระทั่งถึงบริเวณทางออก "น้องกิ๊ก" ตะโกนถามเจ้าหน้าที่ อีกฝ่ายบอกว่าห้องน้ำอยู่ด้านใน..! กระผม/อาตมภาพได้แต่ปลงอนิจจัง นี่ถ้าปวดกว่านี้หน่อย ตูก็คงจะฉี่ราดตรงนี้เลย..!

    ว่าแล้วก็เดินย้อนกลับเข้าไปทางด้านใน เข้าห้องน้ำแล้วถึงได้ออกมา แต่ยังถึงรถก่อน เนื่องเพราะว่าน้องเล็กและคุณนายสมหวังต่างคนต่างเดินหากัน เมื่อคนหนึ่งเดินเข้า คนหนึ่งเดินออก คนหนึ่งเดินออก คนหนึ่งเดินเข้า ก็เลยหากันไม่เจอเสียที..!

    จากบริเวณนั้นพวกเราก็มุ่งตรงไปยังเมืองหลวงของแคว้นซินเจียง ก็คืออูลู่มู่ฉี ในระหว่างที่วิ่งหลับ ๆ ตื่น ๆ ไปนั้น "ท่านอูฐ" ก็บอกว่าอีกสักครู่หนึ่งจะถึงที่พักรถ ตามกำหนดกฎหมายของเมืองจีน ที่นั่นมีลูกเกดหงเซียงเฟยขาย ต้องแวะให้ได้ เมื่อคุณโบตั๋นถามว่า "หลวงพ่อจะแวะหรือไม่ ? ข้างหน้ามีจุดจอดรถ" กระผม/อาตมภาพจึงรีบรับปาก เมื่อจอดลงไป ทุกคนก็ร้องโอ้โฮ..! เพราะว่าเป็นห้างสรรพสินค้าใหญ่โตมโหฬาร ห้องน้ำก็กว้างใหญ่ไพศาล สะอาดสะอ้านมาก
     
  11. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด Staff Member ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    Joined:
    Sep 25, 2008
    Messages:
    22,354
    Featured Threads:
    2,785
    Ratings:
    +26,650
    เมื่อเข้าห้องน้ำกันแล้ว "ท่านอูฐ" ก็สะกิดให้ดูร้านค้าแห่งนั้น กระผม/อาตมภาพไม่แน่ใจ จึงหันมาถามน้องเล็ก อีกฝ่ายหนึ่งพยายามสะกดภาษาจีน ได้คำว่า "หง" คำเดียว จึงหันไปหาจนกระทั่งเจอคุณโบตั๋น ถามว่าใช่ลูกเกดหงเซียงเฟยหรือไม่ ? คุณโบตั๋นบอกว่าใช่ กระผม/อาตมภาพจึงสั่งมา ๒ จิน ก็คือ ๑ กิโลกรัม ซึ่งโดยปกติแล้ว การตักก็ไม่ค่อยจะแม่นยำนัก เมื่อไปชั่งเครื่องอัตโนมัติ คำนวณราคาออกมา จึงเกินไปประมาณ ๒ หยวนกว่า

    กระผม/อาตมภาพกำลังที่จะควักกระเป๋าจ่าย พอดีนายไก่ (ฐนชล ทิมแสง) มัคคุเทศก์ของเติมเต็มทราเวลมาถึงพอดี จึงช่วยต่อรองให้ จนกระทั่งเหลือ ๙๐ หยวนถ้วน ๆ ทำเอาคนอื่นที่ซื้อตามมา ต่างคนต่างก็ได้ราคาถูกไปตาม ๆ กัน ท้ายที่สุดก็มึงบ้างกูบ้าง คนจีนเห็นเราซื้อรู้ว่าของดีก็แห่กันซื้อบ้าง จนกระทั่งหงเซียงเฟยของร้านนี้หมดเกลี้ยงเหลือแต่กะบะเปล่า ๆ..! ครั้นไปดูร้านอื่นก็มีอยู่ ๑ ร้านซึ่งมีกะบะหนึ่ง แต่ว่าที่นี่ขายถึง ๑๐๐ หยวน..! ทำเอาพวกเราเดินถอยกันออกมา

    กลับขึ้นรถได้ก็วิ่งยาว ๆ ไป "น้องกิ๊ก" เห็นว่าพวกเราซื้อข้าวของกันดีมาก จึงงัดเอาโบรชัวร์และสินค้าตัวอย่างมาให้ มีทั้งของกิน มีทั้งครีม มีทั้งน้ำหอมอะไรเหล่านี้เป็นต้น แต่ละคนชอบใจอะไรก็จดกันเอาไว้ เป็นเงินเท่าไร เดี๋ยวค่อยไปควักกระเป๋าให้ หลังจากที่สินค้ามาถึงแล้ว

    ด้วยความสนุกเฮฮาในการขายของ แซวกันแหลกลาญอยู่บนรถ จึงทำให้ไม่ทันรู้สึกตัว ประมาณ ๑ ทุ่มครึ่งของเมืองจีน พวกเราก็มาถึงโรงแรมใหญ่โตมโหฬาร ก็คือโรงแรมฮิลตันเมืองอูลู่มู่ฉี เมื่อเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้ว เห็นว่ามีอ่างอาบน้ำด้วย กระผม/อาตมภาพจเปิดน้ำร้อนเอาไว้ก่อน หลังจากนั้นก็จัดการลอกคราบตัวเอง แล้วมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เพื่อให้ทุกคนได้ฟังอยู่ในขณะนี้

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๒๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
Thread Status:
Not open for further replies.

Share This Page

Loading...