เห็นภาพ(นิมิต) ผลพวงจากการนั่งสมาธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ridata01, 28 เมษายน 2025.

  1. ridata01

    ridata01 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +6
    เมื่อ 1-2 ปีที่ผ่าน ได้ลองนั่งสมาธิ นั่งจนเห็นภาพนิมิตแบบไม่ได้ตั้งใจจะเห็น จะเป็นการเห็นภาพนิมิตของบุคคลที่ 2 และ บุคคลที่ 2 ไป 3 ได้ติดต่อกัน รับรู้ได้ถึงขนาดความรู้สึกนึกคิด และอดีตของบุคคลที่ 2 และ 3 ได้ และบางครั้งสามารถเห็นภาพนิมิตในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นของ บุคคลที่ 2 และ 3 อยากถามว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร อยู่นิมิตนี้ก็มาเองจากการนั่งสมาธิ ถามครูธรรมก็บอก เป็นการทำสมาธิจนตัวเราเองอยู่ในระดับหนึ่งแล้ว เรียกว่าเป็นการเจริญสมาธิในระดับเบื้องต้น นิมิตที่ว่า ไม่ได้เห็นได้ทุกคน จะเห้นแค่บางคน ลองทดลองแล้ว อีกฝ่ายบอกรู้ได้ไง ทดลองมา 10 เคสแล้ว บอกตรงเกิน 70-80%

    *ไม่รู้จะตั้งในกระทู้ใหน ถ้าตั้งกระทู้ผิดรบกวนย้ายหมวดกระทู้ให้ด้วยครับ
     
  2. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +2,328
    เห็นสักแต่ว่าเห็น มาให้ทราบให้รู้ อย่าไปยึด นิมิตรจริงก็มี นิมิตรลวงก็มี พิจารณาไปเรื่อยๆ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,439
    ค่าพลัง:
    +35,473
    พูดแบบง่ายๆทั่วไปก่อนนะ อาการที่เกิดคือของเก่าของตัวจิตตนเองนั่นหละครับ ปกติถ้านั่งสมาธิแบบพิธีการ(หรือไม่นั่งก็ได้แต่อยู่ในสถานะการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่เอื้อ) บางคนในขณะนั้นของเก่าก็จะกลับขึ้นมาได้เอง ส่วนบางคนก็ปล่อยผ่านไปก็มี ปล่อยผ่านมีทั้งที่สนใจและมันผ่านมาเร็วไม่ทันสังเกตุ และหลังจากนั่งผลก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน

    เนื่องจาก ผลของการทำสมาธินั่นเอง เพราะเมื่อเรานั่งสมาธิ จะเกิดสภาวะทาง

    นามธรรมอย่างหนึ่ง คือ ความสามารถในการระงับ ยับยั้ง ช่างใจไม่ให้เกิดกลายเป็นผลต่อเนื่องให้ตัวจิตสงบ ไม่ทำงาน ดังนั้นเมื่อไม่ทำงาน ตัวจิตก็ค่อยๆละเอียดขึ้นได้ตามลำดับของมันเอง ปกติทั่วไปถ้าไม่มีสภาวะที่ได้จากสมาธิ ตัวจิตจะเกิดหรือส่งออกเป็นปกติ ที่เราชอบเรียกง่ายๆ ว่าคนดูไม่นิ่ง ตกใจง่ายๆอะไรทำนองนี้

    ในทำนองเดียวกันในบุคคลที่เดินปัญญาได้แล้ว พูดง่ายๆบุคคลที่ปล่อยวางได้เร็ว ไม่ว่าเรื่องอะไรจะผ่านเข้ามาในชีวิตก็ตาม ไม่ติดลาภ ยศ สุข การได้รับการสรรเสริญ ไม่ชองยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายนอกต่างๆ ก็ส่งผลให้ตัวจิตเกิดความสงบได้เช่นกัน และก็จะเกิดความสามารถทำนองนี้ขึ้นมาได้เช่นกัน ทั้งแบบนั่งสมาธิแล้วเกิด หรือ หลังปล่อยวางได้แล้วเกิดความสามารถพวกนี้ เป็นส่วนหนึ่งของเรื่อง ญานวิถีหรือวิถีญาน ซึ่งสามารถเกิดได้
    อีกในกรณีที่แม้ไม่เคยฝึกอะไรมา พวกนี้มักจะเห็นกับสื่อสารกับนามธรรมได้ ซึ่งหากสังเกตุนะ จะเห็นว่าความสามารถพวกนี้จะอาศัยความสงบและละเอียดของจิตเป็นหลัก

    แต่พวกความสามารถที่ต้องอาศัยกำลังจิตยังไงก็ต้องผ่านการฝึกกรรมฐานที่ขึ้นด้วยภาพมาก่อนนะ เช่น พวกการอฐิษจิต การใช้พวกพลังงานต่างๆ หรือไม่ก็บรรลุธรรมไปเลยซึ่งหายได้ยากมากๆ ส่วนมากพบในพระสงฆ์ ส่วนฆารวาสจะพบในลักษณะจิตค่อยๆละเอียด
    ขึ้นไปตามลำดับแทน


    ความสามารถที่มักจะเกิด เช่น การรู้อดีตตนเอง(อดีคตังสญาน) การรู้อดีต รู้ใจผู้อื่น
    (เจโต) การรู้เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิด(ปัจจุบันสญาน)หรือรู้ล่วงหน้า(อนาคตังสญาน)
    แต่บางเรื่องที่ไม่กล้าเล่าให้คนอื่นๆฟัง คือ การได้ยินเสียงที่หูปกติมักจะไม่ได้ยิน
    เช่นเสียงคุยไม่ทราบที่มา เสียงเรียกชื่อเล่น เสียงที่ระบุต้นกำเนิดไม่ได้ เสียงที่ไม่ทราบ
    ว่าเป็นระดับใดเป็นต้น สำหรับประเด็นทั่วๆไป จบเท่านี้


    ส่วนนี้ต้องค่อยๆอ่านนะ อาจจะเข้าใจยากหน่อยหนึ่ง แต่มันมีเหตุมีผลที่ไม่ใช่
    แค่อาศัยความเชื่อเพียงอย่างเดียว
    ที่นี้มาในมุมของเก่าคือ สิ่งที่ตัวจิตเคยสะสมมาในอดีต ถ้าจะพอพูดให้เห็นภาพก็ต้องมี
    การอ้างอิงเพื่อให้พอเข้าใจได้ถึงที่มา สาเหตุของการเกิด เพราะเนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีนิยามคำว่า จิต ในทางวิทย์ฯ แต่ที่ใกล้เคียงคือ พวกนี้เป็น
    ในระดับอะตอมเลย คือ ตัวนิวเคลียสนั่นหละ ซึ่งมันมันจะมี DNA วางอยู่ที่เราเรียกสารพันธุกรรมนั่นหละ ซึ่งมันสามารถถ่ายทอดข้อมูลต่างๆได้


    ซึ่งมันจะสอดคล้องกับการกำเนิดสรรพสิ่ง เนื่องจากสรรพสิ่ง กำเนิดจาก 2 องค์ประกอบหลัก ในระดับอะตอมเช่นกันนะ อย่างแรกที่เราเรียกว่า ๑. อนุภาคที่เป็นองค์ประกอบสะสาร(เช่นแก้วล้านใบเอามาต่อกันก็จะเป็นแก้วล้านใบเพราะมันซ้อนทับกันไม่ได้)
    องค์ประกอบสะสาร ให้นึกว่าเป็นก้อนกลมๆที่เรียงต่อๆกัน แล้ว สือนำแรงก็เหมือนเป็นแรงบางอย่างที่แทรกอยู่ในองค์ประกอบสะสารและทำให้มันเชื่อมๆต่อๆกันไปมาจนเป็นรูปเป็นร่างนั่นหละ และ ๒.ส่วนอนุภาคที่เป็นสื่อนำแรง(แก้วล้านใบมาต่อกันจะเป็นแค่หน่วยเดียวไม่มีพื้นที่)
    ตัวสื่อนำแรงนี่หละ ที่เป็นที่มาของคำว่าของเก่า เพราะมันมีคุณสมบัติปกติคือ
    เพิ่ม ลด ขยาย ดึงดูด หรือสามารถเปลี่ยนแปลงอัตลักษณะได้ และที่สำคัญคือ
    มันไม่อิงกับพื้นที่ ทำให้มันอยู่เหนือเรื่องเวลา และระยะทางนั้นเอง
    ตย. เช่น สี่เหลี่ยมจัตรัส มีจุด A,B,C และ D ต่อกันเป็น พื้นที่ มีระยะทางระหว่างจุดAไป B ไป C และ D เมื่อมีระยะทาง ก็ย่อมต้องใช้เวลาในการเดินทางระหว่างจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งนั่นเอง

    แต่สื่อนำแรง ไม่อิงพื้นที่ไง เลยไม่เรื่อง ระยะทาง เลยไม่มีเรื่องเวลา ดังนั้นจึงใช้
    คำว่า เหนือกาลเหนือเวลานั่นเอง และด้วยคุณสมบัติมันที่เป็นสื่อนำแรงนี่หละ
    มันจึงเสมือนตัวที่ดึงและเก็บข้อมูลไว้ นึกสภาพเหมือนเป็นสายพานที่ลำเลียงของ
    อยู่แต่จะไปยังเป้าหมายใดค่อยว่าอีกที เป้าหมายก็พวกองค์ประกอบสะสารต่างๆ
    ในที่นี้ก็คือ อะตอมนั่นเอง ส่วนอะตอม ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
    และร่างกายก็ยังมีตัวจิตร่วมอยู่ด้วย ดังนั้น เมื่อตัวจิตอยู่ในร่างกายใด ก็ย่อมมีข้อมูล
    ต่างๆติดมาด้วย เพราะตัวจิตมีตัววิญญาน เรียกทางวิทย์ว่า สื่อนำแรงที่มีความสัมพันธ์กัน
    มันทำหน้าที่ส่งออกไปมา ไปสัมพันธ์และดึงเข้ามาเก็บไว้ในจิตนั่นหละ
    เหมือน ความโน้มถ่วง สื่อนำแรงที่สัมพันธ์กัน เราเรียก กาวิตรอน เหมือน ควากซ์ โพรตรอน ที่สัมพันธ์กับแสง และแรงนิวเคียร์แบบเข้ม แบบอ่อน อะไรแบบนี้นั่นหละ


    พอจะเข้าใจว่าของเก่ามันเกิดจากอะไรได้แล้วเนาะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...