ให้บูชาวัตถุมงคลประจำปี ๒๕๖๘

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย phumiput, 2 มกราคม 2025.

  1. phumiput

    phumiput เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    6,017
    ค่าพลัง:
    +16,591
    รายการที่ ๑๐๔
    ให้บูชาคู่ (ช้างคู่บารมีพระแม่เจ้าจามเทวี)

    รายการแรก รูปหล่อช้างพญางาเขียวศัตรูพินาศ(พญาช้างปู้ก่ำงาเขียว) ช้างเผือกคู่บารมีพระนางเจ้าจามเทวี เนื้อโลหะผิวไฟ จำนวนการสร้าง ๕๐๐ องค์ สำหรับเนื้อนี้ สร้างปี 59

    ข้อมูลเกี่ยวกับพญาช้างปู้ก่ำงาเขียว จากเว็บวัดท่าขนุน (ซึ่งไม่ใช่การเสกรุ่นนี้นะครับ)
    พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๒๗ ไปพุทธาภิเษกที่วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ ญาติโยมทำบุญกับอาตมาไว้มาก อาตมาก็ยกเข้ากองกฐินของวัดไป ตุ๊พ่อสิงห์ท่านไม่ยอม ท่านคว้าซองไปเรี่ยไรโยมมาถวายใหม่ ท่านบอกว่าอย่าไปใส่ขัน ใส่ขันแล้วครูบาเล็กท่านคืนมาหมด ท่านเลยไปเรี่ยไรโยมมาใหม่ ตั้งใจจะถวายกลับวัด อาตมากลับวัดก็เอาเข้าบัญชีสร้างพระทองคำ เห็นศรัทธาโยมอยากทำก็ต้องการให้เขาได้บุญมาก นับไปนับมาตั้ง ๓ หมื่นกว่าบาทก็ตกใจ ทำไมถวายกันมาเยอะนัก
    ที่ขำที่สุดก็คือ ไม่รู้หรอกว่าที่นั่นมีช้างของท่านแม่จามเทวีอยู่ ท่านแม่จามเทวีมีช้างคู่บารมี ซึ่งพอพระองค์ท่านขึ้นครองราชย์ก็ตั้งให้เป็นพญางาเขียวศัตรูพินาศ คำว่า "เขียว" ก็คือดำนั่นแหละ เป็นช้างเผือกงาสีดำ คำว่า "นิล" บางคนเขาบอกว่าเป็นสีเขียว บางคนบอกว่าเป็นสีดำ ต้องเข้าใจว่าดำจนเขียวเป็นอย่างไร ดำจริง ๆ แบบที่เขาบอกว่าพระรามผิวเขียว จริง ๆ แล้วก็คือดำมาก
    คราวนี้อาตมาไปทำบวงสรวงให้ ปรากฏว่าพญาช้างท่านก็มา พญาช้างนี้เขาเรียกทั่ว ๆ ไปว่าปู้ก่ำงาเขียว ก็คือช้างพลายงาดำ คราวนี้พอท่านมา ท่านบอกว่าขอพวงมาลัยสักพวงหนึ่ง เพื่อแสดงออกว่ายินดีให้ท่านมาช่วยงาน จึงเรียนให้ตุ๊พ่อสิงห์ทราบ อาตมาก็ยังคิดว่าต้องไปถึงโน่น อนุสาวรีย์พระแม่เจ้าจามเทวีที่ในตัวเมืองลำพูน เพราะว่าเขาทำอนุสาวรีย์รูปช้างปู้ก่ำงาเขียวที่นั่น ปรากฏกว่าตุ๊พ่อสิงห์สร้างช้างไว้หน้าศาลา อาตมาไม่เคยมองเห็นเลย เพราะว่าทุกครั้งที่ไปงานจะติดเต็นท์โรงทาน แล้วคนเต็มไปหมด มองไม่เคยเห็นช้างสักที พญาช้างปู้ก่ำงาเขียว ที่ออกรบที่ไหนไม่เคยแพ้ ช่วยให้พระแม่เจ้าจามเทวีสามารถสถาปนาอาณาจักรหริภุญชัยได้ยิ่งใหญ่ ครอบคลุมทั่วทั้งภาคเหนือ
    เก็บตกบ้านวิริยบารมี พฤศจิกายน ๕๖
    พระแม่เจ้าจามเทวีมีสัตว์คู่พระทัยอยู่ ๓ ชนิด อย่างแรกเป็นช้างทรง ชื่อ พญางาเขียวศัตรูพินาศ ชาวบ้านเรียกว่า ปู้ก่ำงาเขียว คำว่าปู้คือช้างตัวผู้ ช้างพลายนี่เอง คำว่าเขียวของโบราณก็คือดำ ดังนั้น..เราจะเห็นว่าพระรามมีร่างกายสีเขียว ก็คือสีดำ คงจะดำสนิทที่เรียกว่าดำจนเขียว ดังนั้น ช้างพลายคู่พระทัยของพระนางเจ้าจามเทวีเป็นช้างเผือกงาดำ
    เก็บตกเก็บตกงานสงกรานต์ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๔


    ดังนี้นรุ่นนี้พญาช้างปู้ก่ำงาเขียว ท่านก็มาช่วยเสกครับ ที่จังหวัดลำพูนจะมีกู่ช้าง กู่ม้า เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งของจังหวัดลำพูน
    ประวัติ : กู่ช้าง กู่ม้า เป็นโบราณสถานที่ตั้งอยู่คู่กัน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอีกแห่งหนึ่งที่ชาวลำพูนให้ความเคารพนับถือ เมื่อต้องการ สมหวังในสิ่งใด ก็มักจะมา ขอพรกันที่นี่ เรียกได้ว่าเป็นทั้งโบราณสถานที่มีความสำคัญเชิงประวัติศาสตร์ และโบราณคดี ตลอดจนเป็น ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ของคนในชุมชน ด้วยความเชื่อว่าเป็นสุสานช้างศึก - ม้าศึก คู่บารมีของพระนางจามเทวี
    กู่ช้าง ตามตำนานเล่าว่าสร้างขึ้นเพื่อบรรจุซากพระยาช้าง ชื่อ ปู่ก่ำงาเขียว หมายถึงช้างสีคล้ำ งาสีเขียว เป็นช้างคู่บารมีของ พระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญไชย ปู่ก่ำงาเขียวเป็นช้างที่มีฤทธิ์มาก เมื่อออกศึกสงคราม เพียงแค่ช้างหันหน้าไปทาง ศัตรู ก็ทำให้ศัตรูอ่อนแรงลงได้ หลังจากช้างปู่ก่ำงาเขียวล้มเมื่อวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 พระนางจามเทวีโปรดให้นำซากช้างมาฝังไว้ที่นี่ และเนื่องจากเมื่อยังมีชีวิตอยู่เป็นช้างที่มีอิทธิฤทธิ์วิเศษ หากงาช้างชี้ไปทางใด ก็จะทำให้เกิดภัยพิบัติและผู้คนล้มตาย พระนางจึงโปรด ให้สร้างเจดีย์ทรงสูงครอบไว้โดยให้ปลายงาชี้ขึ้นฟ้า กู่ช้าง เป็นเจดีย์ฐานเขียงกลม ซ้อนเหลื่อมกันขึ้นไปห้าชั้น รองรับฐานบัวคว่ำ องค์ระฆังเป็นทรงกลม แต่จะยืดสูงขึ้นไปกว่าปกติ ลักษณะคล้ายทรงกรวยก่อด้วยอิฐสูง ประมาณ 30 เมตร ยอดเจดีย์ไม่แหลมอย่างเจดีย์ทั่วไป แต่เป็นยอดตัดมีปล่องคล้ายบ่อน้ำด้านบน ลักษณะคล้าย เจดีย์บอบอคยีใน อาณาจักรพยู ทางตะวันตกเฉียงใต้ของพม่า และ เจดีย์ง๊ะจเวนะตาว ในเมืองพุกาม และเจดีย์บริวารรอบๆ เจดีย์มหาโพธิ์ที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย สันนิษฐานได้ว่ากู่ช้างได้รับอิทธิพลมาจากเจดีย์แบบพม่า
    ชาวลำพูนให้ความเคารพนับถือกู่ช้างมาก มีการสร้างศาลเจ้าพ่อกู่ช้างไว้ในทางทิศตะวันออกใกล้กับองค์เจดีย์ด้านหน้า ศาลเจ้าพ่อกู่ช้าง มีรูปปั้นจำลองของปู่ก่ำงาเขียว เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้มาสักการะ เชื่อกันว่าหากได้ลอดท้องพระยาช้างเชือกนี้ จะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา ในวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปี จะมีงานรดน้ำดำหัว และบวงสรวงเจ้าพ่อ เพื่อขอขมาลาโทษ และขอพรให้ปกปักษ์รักษาประชาชนจากความทุกข์ทั้งปวง


    รายการที่สอง เหรียญเจ้าพ่อกู่ช้าง รุ่น 3 รุ่นสร้างหอชัยหนึ่งพันสี่ร้อยปี จ.ลำพูน ปี 2540
    รุ่นนี้มีอีกชื่อเรียกว่า “ รุ่นน้ำมนต์เดือด “ ที่มาจากคำว่าน้ำมนต์เดือดคือวันที่ทำการปลุกเสกหม้อน้ำมนต์ในพิธีได้เดือดขึ้นมาเหมือนหม้อน้ำที่ตั้งไฟร้อนจนเดือดปุ๊ดๆๆ และยังไม่พอบริเวณรอบๆงานปลุกเสกนั้นได้มีรถดับเพลิงมาจอดแล้วอยู่ดีๆก็มีเสียงช้างร้องออกมาสองครั้ง ซึ่งในรถก็ไม่มีคนอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด และเกิดอภินิหารบ่อยมากปัจจุบันถือเป็น 1 ใน 3 ของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ประจำจังหวัด( มีพระธาตุหริภุญไชย และอนุสาวรีย์เจ้าแม่จามเทวี )
    สำหรับเจ้าพ่อกู่ช้างน้างชาวลำพูนนับถือท่านมาก เพราะท่านคือ ช้างปู่ก่ำงาเขียว เป็นช้างคู่พระบารมีของพระนางเจ้าจามเทวี แห่งอาณาจักรหริภุญไชย
    จากข้อมูลของเชียงใหม่นิวส์ ได้กล่วว่า กู่ช้าง หรือ ศาลเจ้าพ่อกู่ช้าง โบราณสถานศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งที่ชาวลำพูนให้ความเคารพสักการะ ด้วยความเชื่อที่ว่า “กู่ช้าง” เป็นเจดีย์บรรจุซากช้างพลายคู่บารมีของพระนางจามเทวีที่มีฤทธิ์ในการทำศึก ดังนั้น เมื่อมีเหตุต้องเดินทางไกลชาวบ้านจึงมักมากราบไหว้ขอพร ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ช่วยปกป้องคุ้มครอง กระทั่งปัจจุบันกู่ช้างได้กลายมาเป็นที่พึ่งทางใจของชาวลำพูนในการบนบานช่วยให้สอบได้ หรือแม้แต่ขอให้สมหวังในสิ่งที่คิดไว้
    ประวัติและความเป็นมาของช้างผู้ก่ำงาเขียวกล่าวว่า ในรัชสมัยของพระนางจามเทวีพระองค์ทรงมีช้างคู่บารมีชื่อ “ผู้ก่ำงาเขียว” เป็นช้างที่มีฤทธิเดชมาก เมื่อช้างเชือกนี้หันหน้าไปทางศัตรูก็จะทำให้ศัตรูอ่อนกำลังลงทันที ช้างผู้ก่ำงาเขียวเชือกนี้ มีบทบาทในฐานะช้างศึกของเจ้าอนันตยศและเจ้ามหันตยศ เมื่อครั้งทรงออกศึกสงครามต้านทัพของหลวงวิรังคะ จนกระทั่งช้างเชือกนี้ล้มลงซึ่งตรงกับวันขึ้น 9 ค่ำเดือน 9 เหนือ เจ้าอนันตยศและเจ้ามหันตยศ จึงได้นำสรีระของช้างใส่ลงไปในแพไหลล่องไปตามลำน้ำกวง แต่พระองค์ก็ได้ทรงเปลี่ยนพระทัย ที่จะนำสรีระของช้างกลับขึ้นมาฝังบนฝั่ง เพราะว่าช้างเชือกนี้ เป็นช้างศักดิ์สิทธิ์คู่บุญบารมีของพระนางจามเทวี หากว่าปล่อยให้ล่องลงไปกับแพแล้ว จะทำให้ประชาชนที่อยู่ทางทิศใต้ลงไปได้รับความเดือดร้อน จึงได้อัญเชิญร่างของช้างลากกลับขึ้นมายังบริเวณท่าน้ำวัดไก่แก้ว แล้วลากมาฝังไว้ที่บริเวณกู่ช้างในปัจจุบัน
    หลังจากนั้นจึงได้ลงมือสร้างสถูปเป็นเวลาถึง 8 เดือนจึงแล้วเสร็จ ในการฝังช้างผู้ก่ำงาเขียวจะให้ซากของช้างหันหน้าขึ้นไปบนฟ้า ส่วนงาทั้งสองข้างของช้างถูกนำไปบรรจุไว้ ในสถูปที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระนางจามเทวีภาย ในสุวรรณจังโกฏหรือกู่กุดที่วัดจามเทวีกู่ช้าง ตั้งอยู่ห่างจากวัดไก่แก้วไปทางทิศตะวันออกประมาณ 200 เมตร ลักษณะของกู่ช้าง เป็นสถูปที่มีรูปทรงแปลกแตกต่างไปจากสถูปที่พบเห็นโดยทั่วไปในภาคเหนือ เพราะเป็นสถูปทรงกลมตั้งอยู่บนฐาน 3 ชั้น องค์สถูปมีลักษณะเป็นทรงกระบอกปลายมน (ทรงลอมฟาง) เหนือสถูปขึ้นไปมีแท่นคล้ายบันลังก์ของเจดีย์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่า เจดีย์กู่ช้าง จะสร้างในสมัยใด รูปทรงเป็นแบบไหน ไม่ใคร่มีความสำคัญมากนักต่อชาวเมืองลำพูน ทว่าด้วยความสำคัญในฐานะของสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง และศรัทธาอันแรงกล้าต่างหาก ที่ทำให้ชาวลำพูนพากันไปกราบสักการะอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
    หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน ท่านได้เคยกล่าวถึงช้างปู้ก่ำงาเขียว ในเก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ (ผมขอนำข้อความบางช่วงบางตอนมาให้อ่านครับ)
    ที่ขำที่สุดก็คือ ไม่รู้หรอกว่าที่นั่นมีช้างของท่านแม่จามเทวีอยู่ ท่านแม่จามเทวีมีช้างคู่บารมี ซึ่งพอพระองค์ท่านขึ้นครองราชย์ก็ตั้งให้เป็นพญางาเขียวศัตรูพินาศ คำว่า "เขียว" ก็คือดำนั่นแหละ เป็นช้างเผือกงาสีดำ คำว่า "นิล" บางคนเขาบอกว่าเป็นสีเขียว บางคนบอกว่าเป็นสีดำ ต้องเข้าใจว่าดำจนเขียวเป็นอย่างไร ดำจริง ๆ แบบที่เขาบอกว่าพระรามผิวเขียว จริง ๆ แล้วก็คือดำมาก
    คราวนี้อาตมาไปทำบวงสรวงให้ ปรากฏว่าพญาช้างท่านก็มา พญาช้างนี้เขาเรียกทั่ว ๆ ไปว่าปู้ก่ำงาเขียว ก็คือช้างพลายงาดำ คราวนี้พอท่านมา ท่านบอกว่าขอพวงมาลัยสักพวงหนึ่ง เพื่อแสดงออกว่ายินดีให้ท่านมาช่วยงาน จึงเรียนให้ตุ๊พ่อสิงห์ทราบ อาตมาก็ยังคิดว่าต้องไปถึงโน่น อนุสาวรีย์พระแม่เจ้าจามเทวีที่ในตัวเมืองลำพูน เพราะว่าเขาทำอนุสาวรีย์รูปช้างปู้ก่ำงาเขียวที่นั่น ปรากฏกว่าตุ๊พ่อสิงห์สร้างช้างไว้หน้าศาลา อาตมาไม่เคยมองเห็นเลย เพราะว่าทุกครั้งที่ไปงานจะติดเต็นท์โรงทาน แล้วคนเต็มไปหมด มองไม่เคยเห็นช้างสักที
    และอีกข้อความหนึ่งว่า(นำข้อความบางช่วงบางตอนมาให้อ่านครับ)
    ให้มีชัยชนะในทุกทิศ เหมือนพญาช้างปู้ก่ำงาเขียว ที่ออกรบที่ไหนไม่เคยแพ้ ช่วยให้พระแม่เจ้าจามเทวีสามารถสถาปนาอาณาจักรหริภุญชัยได้ยิ่งใหญ่ ครอบคลุมทั่วทั้งภาคเหนือ


    ให้บูชาคู่นี้ 700 จัดส่ง 40 จองได้สามวันครับ ปิดรายการ

    20250426_012857.jpg 20250426_012915.jpg 20250426_012922.jpg IMG_4110.JPG IMG_4111.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2025
  2. phumiput

    phumiput เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    6,017
    ค่าพลัง:
    +16,591
    รายการที่ ๑๐๕
    เหรียญในหลวงนั่งบัลลังค์ ฉลองครองราชย์ 50 ปี พ.ศ. 2539 เนื้ออัลปาก้า
    สำหรับข้อมูลของเหรียญรุ่นนี้มีดังนี้
    เป็นเหรียญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จัดสร้างโดยกระทรวงมหาดไทยในวาระเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เมื่อ พ .ศ. 2539 การสร้างเหรียญเสมาที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเฉลิมฉลองทรงครองศิริราชสมบัติครบ 50 ปี ผู้จัดสร้างได้นำเนื้อโลหะชนวนมวลสารโลหะจากพิธีสำคัญๆ เช่น ชนวนโลหะพระกริ่งดำรงราชานุภาพในงาน 100 ปี กระทรวงมหาดไทยจัดสร้างเมื่อปีพ.ศ. 2533 และชนวนโลหะพระนิโรคันตรายที่กระทรวงมหาดไทยและประชาชนทั่วประเทศจัดสร้างเพื่อน้อมเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2538 และแผ่นจารอาคมจากพระเกจิอาจารย์ทุกภาคทั่วประเทศ ทั้งนี้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกทรงประกอบพิธีเจริญจิตภาวนาด้วยพระองค์เอง ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร การจัดสร้างเหรียญครั้งนี้ เหรียญ มีราคาถูกเป็นพิเศษเพื่อให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าแสดงความจงรักภักดีและเฉลิมพระเกียรติแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดกาลนาน รายได้ทั้งหมดนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายโดยพระราชกุศลมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นเหรียญดีมีคุณค่า ประสบการณ์ดังในด้านแคล้วคลาดของทหารและตำรวจ เหรียญเป็นรูปทรงใบเสมามีหู ด้านหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับนั่งบนบัลลังก์ ด้านหลังตราสามง่าม และ จักร เหรียญมีขนาดขนาด 2.8 X 4 เซนติเมตร ชื่อเป็นทางการของเหรียญรุ่นนี้เรืยกว่า เหรียญทรงเสมา(อาร์ม)ที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเฉลิมฉลองทรงครองศิริราชสมบัติครบ 50 ปี ในวันที่ 9 มิถุนายน ปีพ.ศ. 2539 กระทรวงมหาดไทยได้ขอบรมราชานุญาตจัดสร้าง พระบรมรูป(อย่างหนึ่ง)และเหรียญเสมาที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯออกแบบโดยกรมศิลปากร เหรียญเสมาที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหัวฯด้านหน้าเป็นพระบรมสาทิสลักษ์ประทับเหนือพระที่นั่งพุดตาลกาญจนสิงหาส์บนบัลลังก์มีข้อความว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” ด้านหลังเป็นรูปสัญลักษณ์ตราจักรีโดยมีข้อความว่า ”พ.ศ.2539” มีบล็อกที่นิยมคือ บล็อกกระบี่ยาวและบล็อกเส้นพระเกศาชัด ถือว่าเป็นเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกที่มีความนิยมมาก มีประสบการณ์มาแล้วดังที่เป็นข่าวใน นสพ.เดลินิวส์มีผู้ประสบรถคว่ำสภาพพังยับเยินและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตชด.ขณะปฏิบัติหน้าที่ทางภาคใต้ถูกผู้ก่อการร้ายซุ่มยิ่งแต่ไม่ได้รับอันตรายเนื่องจากคล้องเหรียญนั่งบัลลังก์ เนื่องเพราะสร้างด้วยเจตนาบริสุทธิ์มหากุศลจากมวลสารที่ดีเยี่ยม
    มีจำนวน 3 เหรียญ ให้บูชาเหรียญละ 230 บาท จัดส่ง 40 จองได้สามวัน
    ปล. ถ้าบูชาหมด 3 เหรียญคิด 500 บาท

    20250427_093307.jpg 20250427_093109.jpg 20250427_093125.jpg 1474431745496.jpg
     
  3. phumiput

    phumiput เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    6,017
    ค่าพลัง:
    +16,591
    รายการที่ ๑๐๖
    ให้บูชาเหรียญเจริญพรรษา 7รอบ เนื้อกะไหล่อง ของ หลวงปู่ชื้น วัดญาณเสน ปี34 สำหรับรุ่นนี้ตอกโค๊ตที่หูเหรียญด้านหลังครับ
    สำหรับเหรียญรุ่นนี้ว่ากันว่าหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ บอกกับลูกศิษย์ชาวอยุธยาเก็บเหรียญรุ่นนี้ เหรียญรุ่นนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ได้รับความนิยม กะไหล่ทองจัดสร้างน้อยกว่าเนื้อทองแดงครับ
    หลวงปู่ชื้นท่านเคยบอกกับลูกศิษย์ว่าพระเครื่องของท่านกันนิวเคลียร์ได้ครับ
    ให้บูชา 500 จัดส่ง 40 จองได้สามวันครับ
    20250428_013226.jpg 20250428_013234.jpg
     
  4. phumiput

    phumiput เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    6,017
    ค่าพลัง:
    +16,591
    รายการที่ ๑๐๗
    ให้บูชาเป็นคู่
    รายการที่ ๑
    พระผงพิมพ์เจ้าสัว เนื้อผสมยาจินดามณีพุทธคุณ ของ วัดอุทยาน ปี 65
    สำหรับข้อมูลของรุ่นนี้มีดังนี้
    ขอนำข้อความบางช่วงบางตอนมาให้อ่านกันครับ
    ที่ทางพระครูวิโรจน์กาญจนเขต เจ้าอาวาสวัดอุทยาน จัดสร้างขึ้นตามตำราโบราณ ในวันอังคารที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๕ หลวงพ่อเล็กเมตตาบวงสรวงเครื่องยาขออนุญาตต่อครูบาอาจารย์ และในวันศุกร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๕ โดยมีพระครูวิลาศกาญจนธรรม เมตตาเป็นประธานในการพุทธาภิเษก และครูบาอาจารย์ในสายและนอกสายอีกหลายองค์ (ของดีที่ควรมีไว้บูชา ช่วยหนุนดวงแก้ดวงตก) กันและแก้ดวกตก (ของสุริยปราคาและจันทรุปราคา)
    วันก่อนที่มีการบวงสรวงขออนุญาต สร้างวัตถุมงคลจากยาจินดามณีและสร้างยาจินดามณีนั้น ทางเจ้าภาพมีการขอให้กระผม/อาตมภาพกดพิมพ์นำฤกษ์พระเจ้าสัวเนื้อยาจินดามณี แต่ปรากฏว่ากระผม/อาตมภาพประมาณกำลังตนเองผิดไป จึงได้ใช้กำลังประมาณ ๑ ใน ๔ ของกำลังปกติ ปรากฏว่าเครื่องพิมพ์ทั้งเครื่องล้มกระจายไปเลย..!
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕
    ยาจินดามณี มีคุณสมบัติบำบัดรักษาโรคร้ายนานาชนิดรวมทั้งโรคที่เกิดจากเคราะห์กรรม ขนาดคนใกล้ตาย หากกินยานี้เข้าไปแล้ว
    ยาจินดามณี หรือ ยาวาสนา โด่งดังเข้มขลังและศักดิ์สิทธิ์ เป็นตำรับเก่าแก่ของ สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว แห่งกรุงศรีอยุธยา จารึกไว้ในสมุดข่อยโบราณ ได้พรรณนาถึงกรรมวิธีสุดพิสดารและพุทธานุภาพที่สุดอัศจรรย์ยิ่ง
    ยาจินดามณี มีคุณสมบัติบำบัดรักษาโรคร้ายนานาชนิดรวมทั้งโรคที่เกิดจากเคราะห์กรรม ขนาดคนใกล้ตาย หากกินยานี้เข้าไปแล้ว สามารถยืดอายุให้ยืนยาวมีโอกาสสั่งเสียบุตรหลานได้ และบันดาลให้อุดมอำนาจวาสนาบารมี หาใครเสมอเหมือนมิได้เลย
    กรรมวิธีทำประกอบด้วยพิธีกรรมและเครื่องยา แยกเป็นสองส่วน เครื่องยานั้นตามตำรับโบราณพรรณนาเอาไว้มากมาย เช่น ดอกคราด ดอกจันทน์ เกสรบุษบัน เปราะหอมกำยาน โกศสอ ชะมด น้ำผึ้ง กฤษณา น้ำมะนาว น้ำมะเขือขื่นคั้น อำพันทอง ผงนอแรดเป็นต้น และผู้ใดได้กิน จะสวัสดิ์โสภิณกว่าคนทั้งหลาย พัสดุ เงินทอง จักพูนกูลนอง กว่าโลกหญิงชายนำมาบูชาอหิวาต์ก็วิวาย ระงับอันตราย ทั้งสี่กิริยา โทษหนักเท่าหนัก มาตรแม้นประจักษ์ถึงกาลมรณา ถ้าแม้นใครกินซึ่งยาวาสนากลับน้อยถอยคลาเคลื่อนคลายหายเอย

    เมื่อเข้าที่เจริญภาวนา กระผม/อาตมภาพก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะต้องจัดการอย่างไร จึงได้แต่น้อมจิตกราบต้นตำรับหลวงปู่ใหญ่ วัดป่าแก้ว สมเด็จพระพนรัตน์ หรือหลวงปู่มหาเถรคันฉ่อง ต้นตำรับยาวาสนาจินดามณี
    หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว พระพุทธวิถีนายก (บุญ ขนฺธโชติ)
    หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว พระพุทธวิถีนายก (เพิ่ม ปุญฺญวสโน)
    หลวงปู่ใบ วัดกลางบางแก้ว พระปลัดใบ คุณวีโร
    หลวงปู่ทองอยู่ วัดท่าเสา พระครูอาทรธรรมนิเทศก์ (ทองอยู่ อตฺตทีโป)
    หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว (พระสมุห์เจือ ปิยสีโล) ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ตามสายยาวาสนาจินดามณีนี้ แล้วไม่ลืมตบท้ายด้วยท่านปู่หมอชีวกโกมารภัจจ์
    เมื่อทุกท่านได้ทำการอนุเคราะห์สงเคราะห์อย่างเต็มกำลังแล้ว ท่านปู่หมอชีวกโกมารภัจจ์ยังเมตตาบอกว่า "ยาชุดนี้น่าจะถึงในวังด้วย" เรื่องนี้ก็ต้องแล้วแต่ท่านปู่หมอชีวกโกมารภัจจ์ท่านจะว่าไป
    แต่ว่าในส่วนที่กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกถึงก็คือว่า ในเรื่องของยาวาสนาจินดามณีนั้น เหตุที่ชื่อว่ายาวาสนา ก็เพราะว่าตัวยาตามตำรับลับบางอย่าง เป็นของที่หายากและแพงมาก ไม่สามารถที่จะเสาะหาตามร้านขายยาทั่วไป หรือว่าตามป่าตามเขาทั่วไปได้ บางอย่างก็ต้องรอวาสนามาถึงจริง ๆ
    ในส่วนของวัตถุมงคลที่สร้างจากยาวาสนาจินดามณีนั้น ถ้าเราจะติดตัวเอาไว้เพื่อป้องกันอันตราย ให้ใช้คาถา พา มา นา อุ กะ สะ นะ ทุ ทุ สะ นิ มะ ต่อด้วย นะ โม พุท ธา ยะ
    ถ้าหากว่าจะเสกยารับประทาน ให้ใช้ พุทธะรัตตะนัง ธัมมะรัตตะนัง สังฆะรัตตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง สัพพะทุกขัง สัพพะโรคัง วินาสเสติ อะเสสะโต ต่อด้วย นะ โม พุท ธา ยะ เช่นกัน
    ส่วนการพกติดตัวให้เป็นเมตตามหานิยมนั้น คาถาที่ใช้เสก กระผม/อาตมภาพพิจารณาดูแล้วว่าเป็นคาถาที่เหมาะแก่ผู้ชายเท่านั้น เพราะใช้ว่า อิตถีจิตตัง ปิยังมะมะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าเป็นผู้หญิงก็ควรที่จะใช้ว่า ปุริสังจิตตัง ปิยังมะมะ เพื่อที่จะให้ผู้ชายเมตตาแก่ตน หรือถ้าหากว่าจะเอาสมบูรณ์แบบ ก็ว่าเสียทั้งคู่เลย ก็คือ ปุริสังจิตตัง ปิยังมะมะ อิตถีจิตตัง ปิยังมะมะ ว่าควบคู่กันไปเลย
    แต่ขอบอกว่า คำว่า ปุริสังจิตตัง ปิยังมะมะ นั้นไม่ได้มีอยู่ในตำรา แต่ว่ากระผม/อาตมภาพ เห็นว่ากล่าวถึงอิตถีอย่างเดียว ทำให้ผู้หญิงเสียเปรียบก็เลยเอาผู้ชายมาร่วมวงด้วย ผู้หญิงเขาจะได้ไม่เสียเปรียบเรา
    ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าจะใช้ ท่านที่ทราบก็ใช้ไปตามที่ตนเองถนัด แต่อย่ายกเอาไปเถียงกันว่าครูบาอาจารย์บอกมาอย่างนี้ เพราะว่าตามตำราการใช้ยาวาสนาจินดามณีซึ่งมีอยู่หลายหน้ากระดาษนั้น ไม่ได้บอกกล่าวถึงการใช้ในแนวเมตตามหานิยมด้วยคาถานี้ แต่เป็นกระผม/อาตมภาพเติมให้เองเท่านั้น
    และบุคคลที่จะสร้างวัตถุมงคลด้วยยาวาสนาจินดามณีก็มีน้อย ที่เห็นเป็นล่ำเป็นสันอยู่ ก็มีหลวงปู่ทองอยู่ วัดท่าเสา พระครูอาทรธรรมนิเทศก์ (ทองอยู่ อตฺตทีโป) เท่านั้น ท่านอื่น ๆ ส่วนใหญ่ก็ปั้นเป็นยา เพราะว่าถ้าสร้างเป็นองค์พระแล้วก็จะสิ้นเปลืองวัสดุไปมาก เนื่องเพราะว่าองค์พระอย่างของหลวงปู่ทองอยู่นั้นก็องค์ค่อนข้างจะใหญ่ ถ้าปั้นเป็นยาวาสนาจินดามณีก็ได้เป็นสิบ ๆ เม็ดทีเดียว
    ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่ทำยาขึ้นมาด้วยการที่เสาะแสวงหาส่วนผสมได้โดยยาก ก็มักจะทำเป็นวัตถุมงคลแค่ไม่กี่องค์ เอาไว้ใช้เองบ้าง เอาไว้ให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดได้ใช้บ้าง ส่วนที่เหลือก็มักจะปั้นเป็นเม็ดยาเสียทั้งหมด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ใครมีวัตถุมงคลที่สร้างด้วยยาวาสนาจินดามณีก็รักษาติดตัวเอาไว้ให้ดี เพราะว่าไม่ใช่สิ่งที่จะมีหรือหาได้ทั่วไป
    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕


    รายการที่ ๒ พระพิมพ์สะดุ้งกลับ ( พระกลับดวงชะตา ) วัดโพธิผักไห่
    พระพิมพ์สะดุ้งกลับเป็นคติทางธรรมเป็นการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งเลวร้ายให้กลับกลายเป็นดีมักเรียกว่า "พระกลับดวงชะตา"
    มวลสารที่ใช้ในการสร้างพระพิมพ์สะดุ้งกลับ
    ๑. ผงวาสนาจินดามณี คำว่า "วาสนา" เป็นบุญกุศลของแต่ละคนที่ได้กระทำมา บุญมากบ้างน้อยบ้าง คำว่า "จินดามณี" มณี แปลว่า แก้ว จินดา แปลว่า ใจหรือความคิด การมีใจสว่างไสวดั่งแก้วย่อมได้สตินึกคิดในการทำงานเพราะใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ฉะนั้นการใช้ ผงจินดามณี มาประกอบการสร้าง พระพิมพ์สะดุ้งกลับ จึงเหมือนเป็นนิมิตให้เราท่านใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยสติ เมื่อสติมาปัญญาจึงเกิด จึงสามารถแก้ไขเปลี่ยนความเลวร้ายให้กลายเป็นดีได้สมความปรารถนา
    ๒. ผงพุทธคุณต่างๆ
    ๒.๑ ผงหลวงพ่อแก้ว วัดในปากทะเล ในบั้นปลายชีวิตท่านมาพำนับอยู่วัดเครือวัลย์ จ.ชลบุรี ผงพุทธคุณของท่านแสดงอิทธิคุณทางเมตตามหานิยมเป็นที่ปรากฎณ์ อาตมาพระครูปลัดพิจารย์ วิจารโณ ได้รับจากอดีตอาจารย์ วัดในปากทะเล บนหลังคาพระอุโบสถเรือนไทย จ.เพรชบุรี
    ๒.๒ ผงวัดสัมฤทธิ เป็นผงในวัดร้าง ชื่อ วัดสัมฤทธิ อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ผงนี้ปรากฏอิทธิคุณในทางคุ้มครองป้องกัน และเป็นผงสัจจะอธิษฐาน มีผู้ประสบเคราะห์กรรมใช้ผงนี้ หรือ น้ำในสระวัดสัมฤทธิมาอธิษฐานขอให้สมปรารถนาดั่งประสงค์เป็นจำนวนมาก
    ๒.๓ ผงหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ผู้เรียนศึกษาผงมหาราช จำตำหรับตำราหลวงพ่อครื้น วัดสังโฆ จนมีชื่อเสียงปรากฎจนปัจุบันนี้ คำว่า "มหาราช" หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
    คำว่า "ผงมหาราช" นอกจากจะเป็นเมตตามหานิยมแล้วยังส่งเสริมความเป็นเลิศในบุคคลในการดำเนินชีวิต
    ๒.๔ ผงใบลานเผา เป็นการเก็บเอาใบลานธรรม ใบลานทางเวทย์มนต์ และพระปริตต่างๆที่หมดสภาพจะใช้สอยชำรุด นำมาขอขมาเพื่อเผาเอาผงมาใช้ประโยชน์ประกอบองค์พระดุจดั่งได้อันเชิญพระธรรมสถิตประดิษสถานในองค์พระ
    ๒.๕ คลุกรัก หรือ ยางรัก ใช้ประกอบการปั้นองค์พระเพื่อความคงทนถาวร แล้วยังถือคติความเกื้อกูลรักใคร่ปรองดองและคุ้มครองปกปักรักษาด้วย
    ดังนั้นจึงมักหามวลสารที่คิดว่าเป็นมงคล มาเป็นองค์ประกอบเบื้องต้น ด้วยเหตุนี้อาตมา พระครูปลัดพิจารย์ วิจารโณ ( เจ้าอาวาสวัดโพธิผักไห่ ) จึงได้พิจารณาพยายามจัดสรรหามวลสารอันประกอบด้วยอิทธิคุณ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ทั้งหลายมาประกอบทำเป็น "พระพิมพ์สะดุ้งกลับ" หรือ "พระกลับดวงชะตา"
    การสร้างองค์พระนอกจากจะต้องเรียกรูปเรียกนาม ทั้งอาการ ๓๒ ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ เชิญลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ แล้วยังต้องตั้งพระปริตตามตำราอีก ๑๖ บท คือ
    ๑.อิติปิโสธงชัย
    ๒.อิติปิโสเต็มที่
    ๓.อิติปิโสเรือนเตี้ย
    ๔.อิติปิโสแปดทิศ
    ๕.อิติปิโสแปดด้าน
    ๖.อิติปิโสแปลงรูป
    ๗.อิติปิโสตรึงไตรภพ
    ๘.อิติปิโสนารายณ์คายจักร
    ๙.อิติปิโสฤษีย้ายรูป/ฤษีแปลงรูป
    ๑๐.อิติปิโสภุชงค์ซ่อนหัว/ภุชงค์ซ่อนหาง
    ๑๑.อิติปิโสนารายณ์บรรทมสินธ์
    ๑๒.อิติปิโสครอบจักรวาฬ
    ๑๓.อิติปิโสแก้วสมุทร/แก้วทรงฟ้า
    ๑๔.อิติปิโสถอยหลัง
    ๑๕.อิติปิโสถอยหลัง ๓ บท
    ๑๖.อิติปิโสเรือนเตี้ยถอยหลัง
    วาระพิธีพุทธาภิเษกพระพิมพ์สะดุ้งกลับ ( พระกลับดวงชะตา )
    วาระที่ ๑ วันที่ ๑๘ - ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
    ณ วัดโพธิผักไห่ พิธีพุทธาภิเษกพระพิชัยสงคราม
    รายนามพระเถราจารย์อธิษฐานจิต
    ๑. พระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร.
    วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
    ๒. พระครูปลัดพิจารย์ วิจารโณ
    วัดโพธิผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา
    ๓. พระอธิการสมยศ เตชธัมโม
    วัดราชบัวขาว จ.พระนครศรีอยุธยา
    ๔. พระครูประสิทธิ์จริยาภิวัฒน์
    วัดประเสริฐสุทธาวาส จ.กรุงเทพฯ
    ๕. พระอาจารย์เอราวัณ อติวีโร
    สวนพุทธธรรมอฤต จ.ปทุมธานี
    วาระที่ ๒ วันเสาร์ ที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๗
    ณ เรือนพระกรรมฐาน สวนพุทธธรรมสุทธาวงศ์มงคลราชพรหมปัญโญอนุสรณ์ อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
    รายนามพระเถราจารย์อธิษฐานจิต
    ๑. พระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร.
    วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
    วาระที่ ๓ วันเสาร์ ที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๗
    ณ มณฑลพิธี สวนพุทธธรรมสุทธาวงศ์มงคลราชพรหมปัญโญอนุสรณ์ อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
    รายนามพระเถราจารย์อธิษฐานจิต
    ๑. พระมหาภัทระ วิริยังกุโร
    วัดปากน้ำ จ.กรุงเทพฯ
    ๒. พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร
    วัดถ้ำเมืองนะ จ.เชียงใหม่
    ๓. พระครูสาครสิทธิวิมล
    วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ จ.สมุทรสาคร
    ๔. พระครูปัญญาวิรัช
    วัดราษฎร์นิยม จ.พระนครศรีอยุธยา
    ๕. พระครูปลัดพิจารย์ วิจารโณ
    วัดโพธิผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา
    ๖. พระอธิการสมยศ เตชธัมโม
    วัดราชบัวขาว จ.พระนครศรีอยุธยา
    ๗. พระครูปลัดคณวัฒน์
    วัดศีรษะเกษ จ.สุพรรณบุรี
    ๘. พระครูประสิทธิ์จริยาภิวัฒน์
    วัดประเสริฐสุทธาวาส จ.กรุงเทพฯ
    ๙. พระครูสังฆรักษ์บัญญัติ อตุโล
    วัดพุทธไชโย จ.ประจวบคีรีขันธ์
    ๑๐. องสรพจนสุนทร (ปรีชา เถี่ยนกือ)
    วัดอนัมนิกายเฉลิมพระเกียรติพระชนมพรรษากาล จ.สุพรรณบุรี
    ๑๑. พระครูปลัดปฏิภรณ์ ญาณโสภโณ
    ธรรมสถานม่อนกุเวร จ.เชียงใหม่
    ๑๒. พระมหาอดุลย์ วุฒิโก
    วัดมะขาม จ.ปทุมธานี
    ๑๓. พระอาจารย์เอราวัณ อติวีโร
    สวนพุทธธรรมอฤต จ.ปทุมธานี
    ๑๔. พระปลัดธนัญชัย ญาณวโร
    วัดศิริพงษ์ธรรมนิมิตร จ.กรุงเทพฯ
    ๑๕. พระครูสมุห์อานนท์ อานนโท
    วัดบึงลาดสวาย จ.นครปฐม
    ๑๖. พระอาจารย์ณฐ ขนฺติธมฺโม
    วัดตลาดใต้ จ.ปทุมธานี
    ๑๗. พระสงฆ์จตุรวรรค วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ๔ รูป
    สวดพระคาถาพุทธาภิเษก และ พระคาถารัตนมาลา
    พระสงฆ์จตุรวรรค วัดพิชยญาติการาม สาธยายอุปปาตะสันติงสูตร
    วาระที่ ๔ วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๗
    ณ วัดโพธิผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา
    รายนามพระเถราจารย์อธิษฐานจิต
    ๑. พระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร.
    วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
    ๒. พระครูปัญญาวิรัช
    วัดราษฎร์นิยม จ.พระนครศรีอยุธยา
    ๓. พระครูปลัดพิจารย์ วิจารโณ
    วัดโพธิผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา
    ๔. พระอธิการสมยศ เตชธัมโม
    วัดราชบัวขาว จ.พระนครศรีอยุธยา
    ๕. พระอาจารย์เอราวัณ อติวีโร
    สวนพุทธธรรมอฤต จ.ปทุมธานี
    ๖. พระปลัดธนัญชัย ญาณวโร
    วัดศิริพงษ์ธรรมนิมิตร จ.กรุงเทพฯ
    ๗. พระครูสมุห์อานนท์ อานนโท
    วัดบึงลาดสวาย จ.นครปฐม
    (องค์นี้บูชามาจากเว็บวัดท่าขนุน)

    ให้บูชาคู่นี้ 500 จัดส่ง 40 จองได้สามวันครับ
    20250502_192631.jpg 20250502_192706.jpg 20250502_192717.jpg FB_IMG_1745306996277.jpg
     
  5. phumiput

    phumiput เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    6,017
    ค่าพลัง:
    +16,591
    รายการที่ ๑๐๘
    ให้บูชารูปหล่อหลวงปู่สังกัจจายน์ จิ๋ว เนื้อโลหะทองทิพย์ (ไม่เกินเหรียญห้าสิบสตางค์) ของตุ๊พ่อมหาสิงห์ วัดถ้ำป่าไผ่ ลำพูน เหมาะกับเด็กและสตรีเป็นอย่างมาก สำหรับรุ่นนี้มีอานุภาพเด่นด้านลาภเป็นอย่างยิ่ง และที่สำคัญเด่นด้านปฎิภาณมากด้วยเช่นกันครับ สำหรับรุ่นนี้ต้องลองบูชาดูครับ ถึงจะทราบอานุภาพ รุ่นนี้ไม่ค่อยพบเจอครับ พบเจอน้อยมาก
    มีอยู่ 1 องค์
    ให้บูชาองค์ละ 200 จัดส่ง 40 จองได้สามวันครับ
    20250424_002438.jpg 20250424_002448.jpg IMG_8446.JPG

     
  6. phumiput

    phumiput เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    6,017
    ค่าพลัง:
    +16,591
    รายการที่ ๑๐๙
    รายการฝากด่วน
    ให้บูชาพระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์หนุนดวงโภตทรัพย์ ของตุ๊พ่อมหาสิงห์ วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ รุ่นนี้ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจและภาวะสงคราม เข้าพิธีพุทธาภิเษก "พิชัยสงคราม" เมือเดือนสิงหาคม ๒๕๖๗
    สร้างตามตำรา หลวงปู่ทับ วัดอนงค์ พระเนื้อเมฆสิทธิ์ของหลวงปู่ทับ เชื่อกันว่า เสริมดวง เสริมบารมี เสริมราศี ผู้ใดมีเคราะห์ มีทุกข์โศกโรคภัยก็จะมลายหายสิ้น
    พระปิดตา หนุนดวงโภคทรัพย์
    ได้มีการบวงสรวงบอกกล่าวและขออนุญาต หลวงปู่ทับ ก่อนจัดสร้างแล้ว และคณะผู้จัดสร้างได้ใส่มวลสารของพระกริ่งพิชัยสงครามลงไปผสมด้วย ในพิธีนี้ปรากฏว่า มีปรากฎการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดสวยงามมาก
    และทางวัดได้รับความเมตตาจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม ดร. ( หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน ) นำเอาแก้วอินทนิลมาร่วมเป็นประธานอีกด้วย ทำให้พิธีนี้มีแก้วอินทนิล ถึง 2 องค์ คือ ของ หลวงพ่อเล็ก 1 องค์ และ ของ ตุ๊พ่อมหาสิงห์ วิสุทโธ อีก 1 องค์ แถมยังได้รับความเมตตาจาก พระอาจารย์ ศิริชัย ( หลวงพ่อบ้ะ ) แห่ง วัดโพธิลังการ์ และเหล่าพระเถรานุเถระ ร่วมอธิษฐานจิตพุทธภิเษกวัตถุมงคลในพิธีนี้
    วัตถุมงคลในพิธีนี้ได้รับพระเมตตาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหม และ เทวดา ท่านปู่ท่านย่าพระอินทร์ ท่านแม่จามเทวี ท่านแม่ศรี ทั้ง ๓ พระองค์ รวมถึงครูบาอาจารย์ทุกๆ พระองค์
    ท่านบอกว่านอกจากอานุภาพอื่นที่พระท่านอนุเคราะห์สงเคราะห์ให้แล้ว ในส่วนของท่านก็คือสร้างความชุ่มเย็น ดับร้อนให้กับสถานที่ต่าง ๆ แล้วก็ทำภาพให้เห็นว่าท่านถือมหาสังข์เอาไว้ในมือ เทโปรยปรายน้ำมนต์ลงมาประดุจดังฝนตก ที่สร้างความสงบร่มเย็นให้กับทุกสถานที่ ถ้าหากว่าใครบูชาไป ก็ขอให้รำลึกถึงท่านปู่พระอินทร์ด้วย
    ครูบาอาจารย์เมตตา อธิษฐานจิต
    หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน ตุ๊พ่อพระมหาสิงห์ วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ พระอาจารย์บ้ะ วัดโพธิลังการ์ หลวงพ่อบุญส่ง วัดเขาแร่ ครูบาเหนือชัย วัดถ้ำป่าอาชาทอง พระอาจารย์นิล อาศรมศรีชัยรัตนโคตร ฯลฯ
    ราคาวัดให้บูชา 888 บาท เจ้าของฝากมาเท่าราคาวัดเลยคับ จัดส่ง 40 สำหรับรายการนี้จองได้เพียง 1 วันครับ
    ปล. ด้านหลังองค์พระเหนือคำว่า เศรษฐี เนื้อจะหล่อมาไม่เต็มนะครับ พิจารณาจากภาพครับ
    20250505_002308.jpg 20250505_002323.jpg 20250505_002234.jpg
     
  7. phumiput

    phumiput เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    6,017
    ค่าพลัง:
    +16,591
    รายการที่ ๑๑๐
    รายการฝากด่วน

    ตะกรุดยันต์พรหมสี่หน้า เนื้อเงิน ของตุ๊พ่อมหาสิงห์ วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ ขนาด 2x2 นิ้ว
    สำหรับยันต์พรหมสี่หน้านั้นจะมียันต์พรหม ๔ หน้า คือ พระยันต์ใหญ่ที่จัดสร้างได้ยากมาก พุทธคุณรอบด้าน และที่สำคัญ

    *** แก้เคราะห์กรรมอันเกิดจากดวงไม่ดีได้ ***
    วาระแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ ที่ทุกพระองค์จะสงเคราะห์แบบนี้
    *** ถามว่า ดียังไง… พระยันต์นี้มีพุทธคุณรอบด้าน…
    - เป็นเลิศทางเมตตามหานิยม
    - มหากัน มหาแก้อุปสรรค แคล้วคลาดจากภัยอันตราย คุณไสย ภูตผีปีศาจและอาถรรพณ์ทั้งปวง
    - เปิดทางเงินทอง เร่งโชคลาภให้ไหลมาเทมาง่าย
    - การงานธุรกิจเจริญรุ่งเรือง ไม่ติดขัด ทำมาค้าขายดี เป็นเศรษฐี มั่งมีทรัพย์ไม่อดอยาก ข้าวปลาอาหารบริบูรณ์
    - เสริมดวงให้ดวงดีอยู่เสมอ
    - แก้เคราะห์กรรมอันเกิดจากดวงพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก กันทุกข์ภัยที่เกิดจากดวงดาว ราศี พระราหู และเบญจเพส
    พิธีนี้ตุ้พ่อมหาสิงห์ ได้บวงสรวงบอกกล่าวและได้รับการสงเคราะห์จาก ท่านปู่สหัมบดีพรหม เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และ ที่สำคัญ วาระนี้ได้รับความเมตตาจาก พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน) และ พระอาจารย์บ๊ะ วัดโพธิ์ลังกาเมตตามาพุทธาภิเษกอีกด้วย
    ยันต์พรหมสี่หน้า เป็นยันต์โบราณซึ่งมีการสืบทอดต่อๆกันมาหลายยุคหลายสมัย ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาโดยพรหมสี่หน้านั้นก็คือแก้วสี่ประการ ที่มีความหมายว่า
    ๑. เป็นเลิศทางเมตตามหานิยม ลงนะเมตตาซักร้อยครั้งไม่เท่าเข้าพิธี เชิญพระพรหมเข้าตัวแม้ซักครั้งเดียว
    ๒. มหากัน มหาแก้อุปสรรค แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง คุณไสย ภูตผีปีศาจ อาถรรพณ์หายหมด
    ๓. เปิดทางเงินทอง เร่งโชคลาภให้ไหลมาเทมาง่ายไม่ติดขัดการงานธุรกิจเจริญรุ่งเรือง ทำมาค้าขายดี เป็นเศรษฐี มั่งมีทรัพย์ไม่อดอยาก ข้าวปลาอาหารบริบูรณ์
    ๔. เสริมดวงให้ดวงดีอยู่เสมอแก้เคราะห์กรรมอันเกิดจากดวงพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกกันทุกข์ภัยที่เกิดจาก ดวงดาว ราศี พระราหู และเบญจเพส
    ซึ่งในอดีตท่านที่ทำแล้วดังมีผลใหญ่ คือ ยันต์พรหมสี่หน้า อ. เฮง ไพรวัลย์ ฆราวาสจอมขมังเวทย์

    *****ตามตำรา จัดสร้างได้ยากมาก****
    ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากท่านปู่สหัมบดีพรหม จะจัดสร้างไม่ได้เลย เพราะไม่มีผล อีกทั้งท่านที่เสกต้องสำเร็จวิชาพรหมอีกด้วย
    งานนี้โชคดีมากที่จะได้บูชาของดีในวาระที่ดี เพราะหากไปขอหลวงพ่อบ๊ะท่านจัดสร้างเอง คงจะยากนะครับ เพราะท่านไม่จัดสร้างเองแล้ว…
    เพื่อนผมฝากมาราคาวัดเลยครับ ที่ 1600 จัดส่ง 40 สำหรับรายการนี้จองได้เพียง 1 วันครับ

    20250505_002120.jpg 20250505_002209.jpg
     
  8. phumiput

    phumiput เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    6,017
    ค่าพลัง:
    +16,591
    รายการที่ ๑๑๑
    ให้บูชาเบี้ยแก้ของ หลวงปู่ทองอยู่ วัดท่าเสา พอกเนื้อผงยาจินดามณี หุ้มทั้งเบี้ย พร้อมรอยจารหลวงปู่
    พระอาจารย์บ๊ะ วัดโพธิ์ลังกาท่านได้เคยกล่าวว่าหลวงปู่ทองอยู่ปลูกพญาว่านยาไว้ที่ระเบียงกุฏิ เเละท่านพิถีพิถันมากดูเเลอย่างดี ทำน้ำมนต์รดว่านเองทุกวัน เเละอำนาจใจพลังจิตก็เหลือรับประทาน อักขระ เฑาะว์ของหลวงปู่ทองอยู่ เป็นเมตตามหาเมตตา ยุคหลังจากหลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางเเก้วเเล้วองค์หนึ่งที่ห้ามมองข้ามเด็ดขาดคือ หลวงพ่อทองอยู่วัดท่าเสาองค์นี้เเหละ ท่านเป็นหลานแท้ๆของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว
    เบี้ยแก้ของหลวงปู่ทองอยู่ วัดท่าเสานั้นจะไม่บรรจุปรอทแค่บรรจุมวลสารแทนครับ ว่ากันว่าหายากกว่าพระปิดตาครับ ส่วนใหญ่ที่พบเจอจะหุ้มยาจินดามณีไม่เต็มครับ แต่แบบนี้หุ้มเต็ม ไม่ค่อยได้พบเจอ
    หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน ได้กล่าวเกี่ยวกับหลวงปู่ทองอยู่ไว้ในเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ไว้ว่า (ผมขอนำข้อความบางช่วงบางตอนมาให้อ่านครับ)
    และบุคคลที่จะสร้างวัตถุมงคลด้วยยาวาสนาจินดามณีก็มีน้อย ที่เห็นเป็นล่ำเป็นสันอยู่ ก็มีหลวงปู่ทองอยู่ วัดท่าเสา พระครูอาทรธรรมนิเทศก์ (ทองอยู่ อตฺตทีโป) เท่านั้น ท่านอื่น ๆ ส่วนใหญ่ก็ปั้นเป็นยา เพราะว่าถ้าสร้างเป็นองค์พระแล้วก็จะสิ้นเปลืองวัสดุไปมาก เนื่องเพราะว่าองค์พระอย่างของหลวงปู่ทองอยู่นั้นก็องค์ค่อนข้างจะใหญ่ ถ้าปั้นเป็นยาวาสนาจินดามณีก็ได้เป็นสิบ ๆ เม็ดทีเดียว

    ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่ทำยาขึ้นมาด้วยการที่เสาะแสวงหาส่วนผสมได้โดยยาก ก็มักจะทำเป็นวัตถุมงคลแค่ไม่กี่องค์ เอาไว้ใช้เองบ้าง เอาไว้ให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดได้ใช้บ้าง ส่วนที่เหลือก็มักจะปั้นเป็นเม็ดยาเสียทั้งหมด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ใครมีวัตถุมงคลที่สร้างด้วยยาวาสนาจินดามณีก็รักษาติดตัวเอาไว้ให้ดี เพราะว่าไม่ใช่สิ่งที่จะมีหรือหาได้ทั่วไป

    ผมให้บูชา 1000 จัดส่ง 40 จองได้สามวันครับ

    20250505_170438.jpg 20250505_170508.jpg 20250505_170518.jpg
     
  9. phumiput

    phumiput เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    6,017
    ค่าพลัง:
    +16,591
    รายการที่ ๑๑๒
    ให้บูชาจตุราวุธ ของพระอาจารย์เอ บ้านสุมโน (เป็นการรวมอาวุธของท้าวมหาราชทั้งสี่ ไว้ในแบบเดียวกัน)
    ผมได้นำข้อความของรุ่นนี้มาจากเพจบ้านสุมโนมาให้อ่านกันครับ
    ประวัติการสร้าง “จตุราวุธ"
    (อาวุธท้าวมหาราชทั้ง ๔ รวมเป็น ๑)
    หลวงพ่อเอเมตตาเล่าว่า
    เมื่อประมาณ ๕ ปีที่แล้ว อาตมาฝันไปว่า ได้พบท่านท้าวเวสสุวัณ ประธานใหญ่แห่งท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านบอกว่า จากนี้ไปอีกไม่นาน ท่านจะปลดเกษียณแล้วเข้าพระนิพพานกันหมด ในฝันอาตมารู้สึกใจหายเล็กน้อย จึงได้เรียนถามท่านว่า ถ้าท่านไปแล้ว ลูกหลานจะทำอย่างไร..? ท่านว่าท่านยังสงเคราะห์ได้อยู่ แต่จะไม่ใกล้ชิดเหมือนเมื่อก่อนเพราะหมดภาระหน้าที่แล้ว เรียนถามท่านว่า ถ้าลูกหลานต้องการความอนุเคราะห์จากท่านจะทำอย่างไรครับ..? ท่านว่า เอาอย่างนี้นะ หลังจากนี้ให้เธอทำอาวุธประจำกายของพวกฉันขึ้นมาทั้ง ๔ อย่าง เป็นองค์ครูไว้ก่อน ทำการเสกด้วยตนเองทุกวันตลอด ๑ พรรษาห้ามขาดแม้แต่วันเดียว หลังจากนั้น ให้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกใหญ่ท่านจะมาประสิทธิ์ให้อีกครั้ง และจะถือว่าเป็นตัวแทนแห่งท่านทั้ง ๔ องค์นี้ไปตลอดแม้ฉันจะหมดวาระก็ตาม เมื่อเวลาถึงพร้อม ให้เธอทำอาวุธทั้ง ๔ อย่างนี้ขึ้นมาโดยใช้องค์ครูที่ทำรอไว้แล้ว เป็นประธานเป็นสื่อในการเสกวัตถุมงคลที่จัดสร้างขึ้น จะทำรูปแบบใดเมื่อถึงเวลารู้เอง...! ให้ใช้ชื่อว่า “จตุราวุธ” เมื่อตื่นขึ้น จึงพยายามทบทวนความทรงจำทั้งหมดให้ได้ คิดเอาเองว่า ไม่เพียงแต่มนุษย์ที่ต้องใช้เส้นสาย เทวดาก็มีเหมือนกันนะเนี่ย การที่เรารู้จักมักคุ้น เป็นดั่งญาติการช่วยเหลือย่อมง่ายดายและสะดวก ซึ่งถ้าองค์ใหม่ที่มาประจำการเราไม่รู้จักหรือสนิทสนมด้วย การขอความอนุเคราะห์จากท่านอาจไม่สะดวก....
    เมื่อเป็นอย่างนั้น อาตมาจึงใช้นิมิตนี้เป็นการเริ่มโครงการ โดยขอให้อ.สุชาติช่วยปั้นแบบองค์ครูแห่งอาวุธท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ ชนิดขึ้นมา ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรนักปล่อยให้อ.สุชาติปั้นออกมาเอง เวลาผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์ทุกอย่างสำเร็จเรียบร้อย หน้าที่ต่อไปเป็นของอาตมาที่ต้องเสกเองคนเดียวตลอดทั้งพรรษาไม่ขาดเลยสักวัน จนถึงงานพุทธาภิเษกเป่ายันต์เกราะเพชรที่วัดท่าขนุน ปี ๕๗ อาตมาได้อัญเชิญอาวุธทั้ง ๔ ชิ้นขึ้นประจำบายศรีตรงตามทิศทั้ง ๔ ในงานนั้น เป็นอันจบโครงการเบื้องต้น
    นับจากวันนั้นมาถึงปัจจุบัน สิ้นเวลาประมาณ ๕ ปี อาตมาได้รับการดลใจจากท่านว่าถึงเวลาแล้ว(จะเป็นเวลาอะไรนี้ไม่ทราบได้) ให้จัดสร้างอาวุธของท่านดังกล่าว ช่วงที่ไปรักษาตัวกับพระอาจารย์บ๊ะ ได้ปรารภเรื่องนี้ขึ้นมา และเล่าให้ท่านฟังคร่าวๆ ท่านชอบมาก และท่านเองเป็นคนออกแบบการรวมตัวของจตุราวุธเข้าด้วยกัน โดยให้ ตัวเป็นกระบอง ด้ามเป็นพระขรรค์ คอด้ามเป็นจักร พลองสั้นอยู่ข้างในแล้ว อีกทั้งตั้งชื่อให้ด้วย ท่านให้เรียกจตุราวุธ...! ยังความฉงนใจให้อาตมายิ่งนัก เพราะชื่อตรงกับสิ่งที่รู้มาทั้งที่ยังไม่ได้บอกพระอาจารย์บ๊ะเรื่องชื่อเลย สิ่งสำคัญที่สุดท่านเมตตาบอกว่าให้เอาแผ่นชนวนมาให้ท่านๆจะจารให้ทั้งหมด ยินดีช่วยเต็มที่ และยังช่วยอธิบายรายละเอียดของอาวุธแต่ละชนิดให้ฟังอย่างละเอียดตามที่อาตมาได้บันทึกไว้แถมยังบอกว่าสิ่งที่คุณพูดว่าจากนี้โรคแปลกๆจะมา หมอจะรักษาไม่หาย โรคคุณผี คุณคน จะมากมาย อันนี้คุณพูดถูกนะ โอ้โห...! ข้างบนเขาออนแอร์กันขนาดนี้เชียวหรือ มาคิดเองว่า คงถึงวาระจริงๆแล้วกระมัง เพราะทุกอย่างดูง่ายดายและลงตัวที่สุด(เรื่องภายในเป็นปัจจัตตัง ไม่ต้องเชื่ออาตมาก็ได้) ฟังกันต่อไป
    เมื่อนำแผ่นยันต์ทั้งของพระอาจารย์เล็ก พระอาจารย์บ๊ะ หลวงพ่อใจ และมวลสารทั้งชีวิตที่อาตมาเก็บสะสมไว้ตลอดทุกครั้งที่มีการสร้างพระ มาปรึกษาช่างๆรีบดำเนินการทั้งปั้นและหล่อองค์ต้นแบบให้เสร็จภายในเวลาอาทิตย์เดียว(จะเร็วไปไหมนี่) ธรรมะจัดสรรอีกแล้วสินะ...
    เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ตามที่ทุกคนได้เห็นแล้ว อาตมานึกในใจว่า แล้วจะเอามาทำอะไร ยังไง ในที่สุดท่านก็ดลใจบอกว่า ท่านจะทำบุญสร้างวัดเป็นอานิสงส์ ให้ออกเป็นบุญกฐิน ถึงยุคที่ต้องใช้แล้ว และจงให้เป็นของขวัญแก่สาธุชนเหล่านั้น....ดีงาม
    ดังนั้น อาตมาจึงได้จัดสร้างจตุราวุธขึ้น พร้อมบรรจุในซองหนังเรียบร้อย ให้เป็นของขวัญสำหรับผู้มีจิตศรัทธาสร้างบุญใหญ่ร่วมกับท่าน จะเห็นได้ว่า สิ่งที่อาตมาสร้างแต่ละอย่าง ไม่ใช่คิดอยากจะทำก็ทำตามอำเภอใจ ของทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไป ถ้าไม่ใช่วาระ ไม่ใช่สิ่งที่ท่านสั่ง จะไม่ทำและทำไม่ได้ ถึงดื้อทำก็ไม่สำเร็จ ของทุกอย่างต้องดีที่สุดก่อนจะออกไปจากมือเรา พระอาจารย์บ๊ะพูดว่า คุณเหมือนกับผมตรงที่ จะทำอะไรไม่สุกเอาเผากิน เราจะต้องให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเขาเพราะเป็นของมงคล ต้องมีคุณค่าและสามารถใช้ได้จริง อาตมาจึงมีความยินดีและอนุโมทนากับทุกคนที่มีส่วนร่วมในบุญมหากุศลนี้ทุก
    หากจะกล่าวถึง ท้าวจตุโลกบาล หรือ ท้าวมหาราชทั้งสี่ ผู้เป็นเทวดาหัวหน้าของทิศทั้งสี่ นำโดย
    ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองทิศเหนือ มีเหล่ายักษ์เป็นบริวาร อาวุธคู่กายของท่านคือ กระบองยาว
    กระบอง --> กันภูติผี ปิศาจ กันคุณไสย กันโรคภัย เป็นลาภเพราะกระบองท้าวเวสสุวัณเป็น เพชร
    ท้าวธตรฐ ปกครองทิศตะวันออก มีเหล่าคนธรรพ์เป็นบริวาร อาวุธคู่กายของท่านคือ พระขรรค์
    พระขรรค์ --> มีคม ๒ ด้าน มีปัญญาเฉียบแหลม เป็นมหาอำนาจ ตัดอุปสรรคและเคราะห์กรรม
    ท้าววิรุฬหก ปกครองทิศใต้ มีเหล่ากุมภัณฑ์เป็นบริวาร อาวุธคู่กายของท่านคือ พลองสั้น
    พลอง --> ค้ำชีวิตไม่ให้ตกต่ำ ให้มีแต่ดียิ่งๆขึ้นไป
    ท้าววิรูปักข์ ปกครองทิศตะวันตก มีเหล่านาคเป็นบริวาร อาวุธคู่กายของท่านคือ จักร
    จักร --> เป็นอำนาจ เป็นการประกาศแสนยานุภาพ โดยเฉพาะการป้องกันและปราบปรามอำนาจมืด สำหรับปราบ รวบรวมบริวาร
    คาถาบูชาจตุราวุธ จัตตาโรเตมะหาราชาสะมันตาจะตุโรทิสาทัททัลละมานาอัฏฐังสุ
    เรื่องราวคร่าวๆของท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ก็ประมาณนี้เเต่ถ้าจะให้เล่าอย่างละเอียดคงยาวยืดนิ้วล็อคเป็นเเน่ ที่อยากจะเล่าในตอนนี้คือ อาวุธของทั้งสี่ท่านที่ประกอบไปด้วย
    กระบองยาว พระขรรค์ พลองสั้น เเละจักร ซึ่งประมาณปี พ.ศ.๒๕๕๗ หลวงพ่อเอได้มีนิมิตรเกี่ยวกับท้าวมหาราชทั้งสี่ว่าท่านใกล้จะครบวาระหรือเข้าใจง่ายๆว่า ปลดเกษียณ หลวงพ่อเกิดความใจหายเพราะทั้งสี่ท่านเมตตาสงเคราะห์หลวงพ่อท่านอยู่บ่อยๆ ในนิมิตรนั้นท้าวเวสสุวรรณได้บอกให้หลวงพ่อสร้าง อาวุธประจำกายทั้งสี่ ขึ้น พร้อมทั้งให้หลวงพ่อเสกตลอดพรรษาสามเดือน ห้ามขาดเเม้เเต่วันเดียว
    หลวงพ่อท่านเล่าว่า บางทีทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน อยากพักก็พักไม่ได้ท่านคุมทุกวัน ต้องเสกทุกวันจนกว่าจะครบสามเดือน… อีกทั้งยังได้นำอาวุธทั้งสี่ไปอยู่ในต้นบายศรีงานพุทธาภิเษกเป่ายันต์เกราะเพชร ณ วัดท่าขนุน ปี ๕๗ โดยวางตามทิศที่ถูกต้อง ซึ่งตอนนั้นหลวงพ่อก็ยังไม่รู้ว่าทำ อาวุธทั้งสี่นี้ขึ้นมาเพื่ออะไร ท้าวเวสสุวรรณบอกเเค่ว่า เมื่อถึงเวลาจะรู้เอง…เเละเมตตามอบชื่อให้กับหลวงพ่อว่า จตุราวุธ
    เวลาผ่านไปจนถึงปี พ.ศ.๒๕๖๒ ที่ผ่านมา หลวงพ่อได้รับคำสั่งให้จัดสร้าง จตุราวุธ ขึ้น ช่วงที่หลวงพ่อไปรักษาตัวกับพระอาจารย์บ๊ะ ได้ปรารภเรื่องนี้ขึ้นมา และเล่าให้ พอจ บ๊ะ ฟังคร่าวๆ ท่านชอบมาก และท่านเองเป็นคนออกแบบการรวมตัวของจตุราวุธเข้าด้วยกัน โดยให้ ตัวเป็นกระบอง ด้ามเป็นพระขรรค์ คอด้ามเป็นจักร พลองสั้นอยู่ข้างในแล้ว อีกทั้งตั้งชื่อให้ด้วย ท่านให้เรียกจตุราวุธ...!
    ทำให้หลวงพ่อเเปลกใจมาก ว่าทำไมถึงเป็นชื่อเดียวกันทั้งๆที่ไม่เคยพูดเรื่องชื่อนี้กับท่านเลย ต้องบอกว่า ข้างบนเค้า ออนเเอร์ทะลุ 5G กันเลยทีเดียว
    พระอาจารย์บ๊ะยังเมตตาเขียนยันต์บนเเผ่นชนวนในการสร้างจตุราวุธ ผู้เขียนนั่งนับเเผ่นที่ท่านเขียน น่าจะเกิน ๑๐๐ เเผ่น เเละเเต่ละเเผ่นนั้นอักขระเลขยันต์ไม่ซ้ำกันเลยสักเเผ่น ยังจำได้ติดตราตรึงใจอยู่ ท่านผูกยันต์เป็นรูปอาวุธเเต่ละอย่างด้วย ทั้ง กระบอง พระขรรค์ พลองสั้น เเละจักร พูดได้คำเดียวว่า …สวดยวดเลยครัช
    หลังจากนั้นหลวงพ่อเอได้นำ จตุราวุธองค์ครู ทั้งสี่ชนิดมาทำความสะอาด เพื่อเตรียมไว้เป็นเหมือนเเหล่งพลังงานขนาดมหึมาที่จะกระจายออกสู่จตุราวุธที่กำลังสร้าง ผู้เขียนจำได้ดีเเม้จะผ่านมา ๑ ปีเเล้วก็ตามว่าในวันที่นำจตุราวุธองค์ครูออกจากกล่องกระจกมาทำความสะอาดนั้น พายุถล่มหนักมาก
    เอาเป็นว่าหนักขนาดว่า รถมอเตอร์ไซค์ปลิวถอยหลังบนสะพานพระรามสามกันเลยทีเดียว ตอนนั้นผู้เขียนขับรถอยู่บนสะพานพอดี ยังคิดว่า ลมอะไรขนาดนี้เนี่ย ต้องขับช้าๆเหมือนรถจะปลิวตามเหมือนกัน พอถึงบ้านสุมโนถึงได้เห็นว่า กำลังทำความสะอาดจตุราวุธองค์ครูอยู่ เล่าให้หลวงพ่อฟัง ท่านก็บอกว่านี่ไง เอาออกมาทีไรเป็นเเบบนี้ทุกที ขณะนั้นผู้เขียนได้เเต่สตั๊นท์ ว่าขนาดนี้เลยหรือนี่…
    ในวันที่พระอาจารย์บ๊ะมาเสกจตุราวุธที่บ้านสุมโน ท่านเสกอยู่นานทีเดียวเกือบชั่วโมงเห็นจะได้ ใครที่อยู่ในพิธีคงจำได้ดีว่า วันนั้นเกิดอะไรขึ้นไม่รู้ ข้างบ้านสุมโนดันก่อสร้างซ่อมเเซมวันนั้นพอดี มีทั้งเสียงตัดเหล็กเสียงเคาะ เสียงตอก ดังสนั่นหวั่นไหว ผู้เขียนเเอบนึกตำหนิในใจว่า ร้อยวันพันปีมันไม่ทำ ดันมาทำวันเสกส้ะนี่
    พอพระอาจาร์บ๊ะลืมตา คำพูดของท่านทำให้ผู้เขียนเเทบสำลักความง่าวของตัวเอง ท่านยิ้มเเล้วเล่าว่า ท่านขอท้าวมหาราชทั้งสี่เเสดงนิมิตให้เห็นเป็นรูปธรรมสักหน่อยเถิด ปรากฏว่า มีเสียงเลื่อยวงเดือนตัดเหล็กดัง เเชร๊ดดดดดด นี่คือนิมิตของจักร
    จากนั้นมีเสียงค้อนทุบผนัง โป๊กๆๆๆ นี่คือนิมิตของพลองสั้น ต่อจากนั้นมีเสียงอะไรสักอย่างกระเเทกพื้นอย่างดัง ตึ้มๆๆๆ นี่คือนิมิตของกระบองยาว ยังไม่จบเท่านั้น มีเสียงเลื่อยเหล็กด้วย อี๊ดๆๆ นิมิตของพระขรรค์ เป็นอันว่า ครบถ้วนกระบวนความเลยครับผม
    หลวงพ่อเอเคยปรารภกับผู้เขียนว่า “ถ้าเป็นเครื่องราง อันดับหนึ่งที่หลวงพ่อสร้างก็ต้องจตุราวุธนี่เเหละ”
    ที่สำคัญมีคนเคยถามว่า จตุราวุธเด่นด้านป้องกันอย่างเดียวหรือ
    พอจ บ๊ะเคยบอกว่า “อย่าลืมนะ กระบองยาว ที่เป็นอาวุธของ ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเพชรทั้งองค์นะเว้ย เเล้วจะไม่มีลาภได้อย่างไร
    หลังจากนั้นหลวงพ่อยังได้นำ จตุราวุธทั้งหมด ไปเข้าพิธีพุทธาภิเษกเป่ายันต์ เกราะเพชร ที่วัดท่าขนุน เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นพิธีเดียวกับ สมเด็จองค์ปฐม หน้าตัก ๕ นิ้ว อีกด้วย ในพิธีนั้นหลวงพ่อได้นำ จตุราวุธองค์ครูวางบนต้นบายศรีทั้งสี่ทิศอีกวาระหนึ่ง
    ที่สำคัญรุ่นนี้มีประสบการณ์เรื่องวิญญาณชงัดนัก ผมได้นำข้อความที่เกิดขึ้นกับพระอาจารย์เอและสมาชิกท่านนึงที่ลงประสบการณ์ไว้ในเฟสมาให้อ่านกันด้วยครับ
    จตุราวุธ
    ขออภัยที่ทำให้รอนานสำหรับเรื่องราวประสบการณ์ของจตุราวุธนะครับ
    จากตอนที่เเล้วผู้เขียนได้เล่าถึงที่มาการจัดสร้างเเละพิธีเสกของจตุราวุธให้พอได้ทราบกันบ้างเเล้ว มาถึงตอนนี้จะได้เล่าถึงประสบการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับคนที่ได้บูชาจตุราวุธไป ทั้งเล่ามาทางเพจ เกษมธรรมบำเพ็ญบุญ หรือเล่าให้ผู้เขียนฟังด้วยตัวเอง เเละทีเด็ดคือประสบการณ์จากหลวงพ่อเอด้วย…
    ขอเริ่มจากประสบการณ์ของหลวงพ่อเอก่อนเลย ครั้งท่านเดินทางไปทำธุระทางภาคเหนือ ผู้เขียนเคยเล่าไว้บ้างเเล้วในเรื่องเล่าข้างเก้าอี้ตอนที่๑๐ จะขอยกมาให้ท่านที่ยังไม่เคยอ่านได้อ่านกัน หลวงพ่อเอได้เมตตาเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า
    หลวงพ่อเดินทางขึ้นไปจังหวัดทางภาคเหนือ ก็เข้าไปที่พักเเห่งหนึ่ง เค้าจัดห้องพักไว้ให้อย่างดี ลักษณะของห้อง จะมีส่วนเเยกออกเป็นครัวมีประตูกระจกบานเลื่อนมองทะลุได้ พอเปิดประตูเข้าห้องมองไปที่หลังตู้เสื้อผ้าเห็นกล่องนมเปรี้ยว เเละกล่องน้ำผลไม้เจาะหลอดเรียบร้อยวางอยู่ เลยให้คนไปตามเเม่บ้านมาเก็บไป พอเเม่บ้านมาถึงก็ร้องว่า
    “ห้องนี้ปกติไม่เปิดให้พักเจ้าค่ะ พวกเราเอาไว้ไหว้ขอเลขกัน เค้าคงเห็นเป็นพระเลยเปิดให้ อย่างไรพรุ่งนี้เช้ามาบอกหวยด้วยนะเจ้าคะ”
    เเล้วเธอก็กุลีกุจอเดินออกไป
    อีหยังว่ะ…
    พอหลวงพ่อจัดของเสร็จกำลังจะนอนมองไปทางประตูห้องครัว เห็นหน้าของเด็กชายหญิงเเปะอยู่ตรงกระจก หน้าตาเเละการเเต่งตัวเค้าดูน่าสงสาร เเต่เข้ามาข้างในไม่ได้เพราะจตุราวุธวางอยู่ข้างๆ ที่รู้เพราะว่า ผีเด็กน้อยทั้งสอง ชี้มือมาทาง จตุราวุธ เเล้วเเสดงความกลัวออกมา หลวงพ่อเลยส่งเค้าไปอยู่มีสุขขึ้น
    ผู้เขียนได้มีโอกาสได้คุยกับท่านเจ้าอาวาสวัดท่ามะขาม รูปปัจจุบัน ท่านบอกว่า ช่วงเเรกๆที่มาอยู่วัดท่ามะขาม ก่อนที่หลวงพ่อเอจะสร้าง อาคารปฐมา ท่านต้องสู้รบกับสิ่งที่มองไม่เห็น เเล้วจะทำให้ท่าน มีอาการปวดหัวหนักๆ เเละบ่อยๆ ท่านจะใช้ จตุราวุธ นี่เเหละ ขออาราธนาบารมีครูบาอาจารย์เเล้ว นำมาเเตะที่ศีรษะ จะว่าบังเอิญก็ได้มั้ง อาการปวดหัวกลับทุเลาลง จนหายสนิท ทำให้ท่านพก จตุราวุธติดตัวตลอด…
    ถัดมาเป็นเรื่องของลูกเพจมาเล่าให้ฟังว่า เพื่อนของเค้าทำงานขับรถบรรทุกเเละจะต้องไปจอดรถ นอนในปั๊มน้ำมันเเห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือ ทุกครั้งที่จอดนอนตอนกลางคืนจะเจอ วิญญาณของผู้หญิงมาปรากฏตัวให้เห็นและมาหลอก เพราะว่ามาจอดทับที่ของเธอ ทำให้เค้าไม่ได้นอนเเทบทั้งคืน เป็นเเทบทุกครั้งที่มาจอดรถที่ปั๊มเเห่งนี้ ทั้งๆที่หน้ารถก็เเขวนพระเครื่องวัตถุมงคลเเต่ผีสาวก็ห้าวหาญหาได้เกรงกลัวไม่… คนที่เล่าให้ผู้เขียนฟังเลยบูชาจตุราวุธไปให้เพื่อนของเค้าลองดู ในอีกไม่กี่วัน เค้าก็ได้ไปจอดรถที่ปั๊มนั้นอีกเเละได้วาง จตุราวุธ ไว้หน้ารถ พอได้เวลา…เธอก็มาตามนัด พี่เค้าเลยหยิบจตุราวุธขึ้นมา เท่านั้นเเหละ พี่เค้าเล่าว่า ได้ยินเสียง กรี้ดดดดด…! ดังลั่นเเละก็มั่นใจด้วยว่า เป็นเสียงของผีสาวตนนั้นเเน่นอน …หลังจากนั้นไปจอดรถที่นั่นเมื่อไร หลับเต็มตื่น ฟื้นเเล้วสบาย ทุกครั้งไป
    ผู้เขียนเคยได้นำจตุราวุธให้ อาจารย์สมัยมัธยมของผู้เขียนดู ท่านเป็นครูสอนนาฏศิลป์ เเน่นอนว่าต้องมีครูบาอาจารย์ พอสัมผัสจตุราวุธ ท่านก็เริ่มมีอาการ หาวๆ เรอๆ ขอบอกก่อนท่านไม่ได้เป็นคนทรงเจ้าเข้าผีอะไรนะครับ ท่านจับจตุราวุธพลิกไปพลิกมา เเล้วบอกว่า “อันนี้เเรง มีญาณของครูบาอาจารย์” เเถมยังบอกให้ผู้เขียนทำน้ำมนต์ให้ลูกท่านกินอีกโดยใช้จตุราวุธนี้ เเต่ผู้เขียนได้ปฏิเสธไป เเม้จะมั่นใจในจตุราวุธแบบไม่มีข้อสงสัย เเต่ไม่มั่นใจในฝีมือตัวเอง กลัวจะทำให้ลูกเค้า หนักกว่าเดิม…เเต่อาจารย์ก็ตื๊อหนัก เลยกราบอาราธนาบารมีท้าวมหาราชทั้งสี่ บารมีครูบาอาจารย์ช่วยเมตตาประสิทธิ์นำ้ในขวดนี้ให้กลายเป็นน้ำทิพย์น้ำมนต์ขจัดสิ่งอัปมงคลทั้งหลายให้มลายสิ้นไป…
    ถัดมาเรื่องนี้เพิ่งได้ยินมาสดๆร้อนๆก่อนจะเขียนตอนนี้ไม่ถึงสัปดาห์ วันนั้นผู้เขียนได้เดินทางไปกราบ พอจ เเห่งอินทร์บุรี เเละได้มีพระจากวัดท่าซุง มากราบ พอจ บ๊ะด้วย พระรูปหนึ่งได้เข้ามากราบหลวงพ่อเอ พร้อมทั้งเล่าให้หลวงพ่อเอฟังว่า วันก่อนมีลูกงูเห่า เข้าไปในห้องน้ำที่กุฏิของท่านและแอบอยู่ใต้ชักโครก ท่านพยายามไล่ตั้งเเต่แปดโมงเช้า จนถึงห้าโมงเย็น ก็ไม่ยอมออก ทำทุกอย่างแม้จะรมควันไล่ก็ไม่ไป จนสุดท้ายได้นำ จตุราวุธ เข้าไปวางในห้องน้ำแล้วอาราธนาบอกกล่าว… พร้อมกับวางบุ้งกี๋ไว้ ไม่ถึงห้านาที งูตัวนั้นก็เลื้อยเข้าไปนอนขดในบุ้งกี๋ท่านจึงยกออกไปอย่างง่ายดาย…เอาสิ้
    พอจ.บ๊ะท่านได้ยินก็หัวเราะท่านก็บอกว่า “จะไม่ออกได้อย่างไรเล่า หัวหน้าเค้ามาจะอยู่ไหวหรอ นี่คืออาวุธของท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ตอนเสกท่านก็มาเสกให้เอง เเละก็ไม่ให้ทำอีกเเล้วด้วย ผมยังมีเเขวนไว้ที่นี่อันหนึ่งเลย”
    พร้อมกับชี้นิ้วไปทีด้านหลังของท่าน ผู้เขียนรวมถึงหลายๆคนก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่เเหละว่าท่านเเขวนไว้ตรงที่รับเเขกของท่านด้วย
    หลวงพ่อเอเคยปรารภกับผู้เขียนว่า “ถ้าเป็นเครื่องราง อันดับหนึ่งที่หลวงพ่อสร้างก็ต้องจตุราวุธนี่เเหละ”
    ที่สำคัญมีคนเคยถามว่า จตุราวุธเด่นด้านป้องกันอย่างเดียวหรือ
    พอจ บ๊ะเคยบอกว่า “อย่าลืมนะ กระบองยาว ที่เป็นอาวุธของ ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเพชรทั้งองค์นะเว้ย เเล้วจะไม่มีลาภได้อย่างไร
    นอกจากนั้น หลวงพ่อเอยังบอกไว้อีกว่า “อีกชื่อของท่านท้าวเวสสุวรรณคือ ธนบดี ไฉ่ซิงเอี๊ยะ เป็นเทพเจ้าด้านเงินทองของคนจีน หลวงพ่อท่านก็ขอพรในส่วนนี้เอาไว้ในจตุราวุธอีกด้วย” จึงไม่ต้องห่วง จตุราวุธนี้ ทั้งปราบ ทั้งกัน เเละลาภผลอยู่ในจตุราวุธครบหมด
    ทั้งหมดที่เล่ามานี้คือ ความเมตตาของ พรหมเทพ เทวดา ครูบาอาจารย์ที่ท่านได้มอบวัตถุมงคลไว้ให้พวกเราปกป้องรักษาคุ้มครองตัว หากระลึกนึกถึงท่านท้าวมหาราชก็จะเป็นเทวตานุสติ เเละอย่าลืมว่า จตุราวุธ นี้ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษกสมเด็จองค์ปฐม หน้าตัก ๕ นิ้ว ที่วัดท่าขนุน ในพิธีนั้นสมเด็จปู่องค์ปฐมได้เมตตาเสกให้ด้วย หากท่านนึกถึงตรงจุดนี้ได้ก็จะเป็นพุทธานุสติที่มีกำไรมหาศาล
    อย่าได้คิดเพียงว่านี่คือเครื่องรางเพียงอย่างเดียว…
    ที่สุดเเล้วขอให้ผู้อ่านทุกท่าน อยู่รอดปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ เเคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆ ไปในที่เเห่งหนตำบลไหน เป็นที่รักใคร่ของเทวดาทั้งหลาย เจริญในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนกว่าจะเข้าถึงที่สุดของกองทุกข์ ทุกท่านทุกคนเทอญสวัสดี…
    ให้บุชาด้ามละ 1350 จัดส่ง 40
    FB_IMG_1746501658945.jpg FB_IMG_1746501663262.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...