เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 22 มิถุนายน 2024 at 18:33.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +26,108
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +26,108
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ งานสำคัญของกระผม/อาตมภาพก็คือไปทำพิธีบวงสรวงบูชาพระรัตนตรัย และอธิษฐานจิตปลุกเสกพระสมภารคู่ชีวิต ให้กับทางธุดงคสถานกองทุนหลวงปู่ปานโสนันโท ตำบลบ้านแหลม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี

    คำว่า สมภาร ในที่นี่พระท่านอธิบายว่า หมายถึง บุญบารมีที่สั่งสมมา โดยเฉพาะโพธิสมภาร คือการสั่งสมบุญเพื่อการตรัสรู้ แต่ขณะเดียวกัน สมภารอีกความหมายหนึ่งก็คือ เสมอด้วยภาระ ยิ่งมีบุญมีบารมีมากเท่าไร ก็ต้องแบกภาระรับผิดชอบมากเท่านั้น

    เพียงแต่ว่าเมื่อหลังงานแล้วมาเจอคลิปที่ญาติโยมส่งมาให้ดู เป็นคำถามที่มีผู้สงสัยถามว่า "พระสงฆ์มีประโยชน์อะไร ? มีหน้าที่อะไรคะ ? เห็นแต่นอนกลางวันแข่งกับหมาไปวัน ๆ เท่านั้น"

    เมื่อได้ยินคำถามนี้แล้ว รู้สึกสงสารคนถามมาก เหตุเพราะว่าน่าจะไม่เคยเจอพระสงฆ์ที่แท้จริงมาก่อนเลยในชีวิต ถ้าถามว่าพระสงฆ์มีหน้าที่อะไร ? ก็ต้องไปนึกถึงสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ธุระในพระพุทธศาสนานี้มีสองอย่าง

    อย่างแรกคือ คันถธุระ ศึกษาพระคัมภีร์ก็คือพระไตรปิฎก อย่างที่สองก็คือ วิปัสสนาธุระ เมื่อศึกษาแล้วก็มากระทำให้รู้แจ้งเห็นจริง หลังจากนั้นพระองค์ก็ให้บุคคลที่รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว เที่ยวไปเพื่อประโยชน์ของชนหมู่มาก เพื่อความสุขของคนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก นี่คือภาระหน้าที่ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มอบเอาไว้ให้พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา

    จะว่าไปแล้วในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ก็ศึกษากันไม่ครบถ้วน ท่านที่ปฏิบัติบางทีก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไปอย่างเดียว ครั้นถึงเวลาจะนำมาสั่งสอนแก่ญาติโยม บางทีก็กล่าวอ้างผิดพลาดไปบ้าง เพราะว่าขาดการศึกษาทางปริยัติธรรม

    ส่วนฝ่ายที่ศึกษาพระปริยัติธรรมก็ขาดการปฏิบัติเพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริง เมื่อมีบุคคลสงสัยข้องใจ ก็ไม่สามารถที่จะอธิบายข้อธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ลึกซึ้งได้

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น พระองค์ท่านฝากพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัททั้ง ๔ ก็คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ปัจจุบันนี้ภิกษุบริษัทของเราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นบุคคลด้อยโอกาส ก็คือ เป็นบุคคลที่ขาดโอกาสศึกษาทางโลก อาจจะเป็นเพราะฐานะทางครอบครัวยากจนบ้าง จำเป็นที่จะต้องใช้แรงงานตั้งแต่เด็กบ้าง เมื่อต้องการที่จะศึกษาจึงบวชเข้ามาเป็นพระภิกษุสามเณร เพื่อที่จะให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา

    อีกจำพวกหนึ่งก็คือบุคคลที่เหลือเลือกจากสังคมแล้ว เป็นผู้ที่เกเรที่ทางบ้านเอาไม่อยู่แล้วบ้าง เป็นบุคคลที่เสพยาเสพติดบ้าง เป็นบุคคลที่มีปัญหาทางจิตใจบ้าง ญาติโยมทั้งหลายก็นำมาฝากไว้ในพระพุทธศาสนา เพื่อหวังที่จะให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ ช่วยกล่อมเกลาให้เขาทั้งหลายเหล่านี้ กลายเป็นคนดีในสังคม ก็คือมาบวชเพื่อ "ชุบ" ตัวเอง

    แต่ไปเจอพระอุปัชฌาย์อาจารย์ทอดธุระ เมื่อทำการบรรพชาอุปสมบทแล้วก็ไม่มีการอบรมสั่งสอนใด ๆ จึงทำให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้ขาดความรู้ความเข้าใจ
    นอกจากพระอุปัชฌาอาจารย์จะไม่อบรมสั่งสอนแล้ว ตนเองยังไม่คิดที่จะศึกษาค้นคว้าและทำการปฏิบัติจริงอีกด้วย จึงไปออกอาการฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด ที่ญาติโยมใช้คำแรง ๆ ว่า "นอนกลางวันแข่งกับหมาเท่านั้น..!"
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +26,108
    ถ้าหากญาติโยมมีกำลังใจที่เข้าถึงธรรมสักหน่อย ก็จะไม่ใช้คำพูดที่แรงแบบนี้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าภาพพจน์ที่ญาติโยมเห็นเกี่ยวกับพระสงฆ์นั้น เป็นภาพพจน์ที่ท่านทั้งหลายจำฝังใจไปเสียแล้ว

    จนกระทั่งมีการกล่าวกันว่า "บวชพระแล้วสบาย บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ ภาษีไม่ต้องเสีย ถึงเวลาก็มีคนเอาปัจจัยสี่มาทูนหัวทูนเกล้าถวายเอาไว้ให้อีก" ซึ่งจะว่าไปแล้วภาพพจน์ทั้งหลายที่ท่านได้เห็นนั้น เป็นในช่วงท้าย ๆ นี้เท่านั้น

    ก่อนหน้าสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่นั้น เมื่อเข้าเรียนชั้นประถมปีที่ ๑ คุณครูก็เริ่มอบรมสั่งสอนว่า "สินค้าออกสำคัญของไทย ประกอบไปด้วย ข้าว ข้าวโพด ยางพารา ไม้สัก แร่ดีบุก" ซึ่งเด็กประถมชั้นปีที่ ๑ เพิ่งจะอ่าน ก.ไก่ ข.ไข่ ก็ต้องฟังเอาไว้เต็มหู

    กระผม/อาตมภาพนั้นยังต้องหยุดวันโกนวันพระ เมื่อถึงวันโกนครูจะให้หยุดเรียนครึ่งวัน ไปช่วยตักน้ำใช้น้ำฉันใส่โอ่งใส่ไหที่วัด เอาไว้เพื่อให้พระท่านใช้งาน ไปช่วยกันกวาดวัดถูศาลา ล้างถ้วยล้างชามล้างปิ่นโต ทำความสะอาดห้องส้วม เพื่อรองรับศรัทธาญาติโยมที่จะมาใช้สถานที่ในวันพระ คือมาทำบุญนั่นเอง

    ครั้นถึงวันพระ พ่อแม่ก็พาไปวัด เพื่อที่จะได้ทำบุญใส่บาตร โดยเฉพาะเด็ก ๆ มักจะชอบไปวัดมาก เพราะว่าข้าวปลาอาหารที่เหลือจากพระภิกษุสามเณรนั้น มักจะดีกว่าที่บ้านมาก เนื่องเพราะว่าญาติโยมทั้งหลายพยายามทำในสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อที่จะถวายทานเอาไว้ในพระพุทธศาสนา

    แล้วบรรดาหลวงปู่หลวงตาหลวงพ่อท่านก็เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน ไม่ว่าจะมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรมาปรึกษา ท่านก็พยายามชี้ทางออก บอกทางถูกให้ เจ็บไข้ได้ป่วยมาท่านก็รักษาด้วยยาสมุนไพรบ้าง ด้วยคาถาอาคมบ้าง เมื่อมีเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งกัน ท่านก็เป็นกรรมการตัดสินให้

    เราจะเห็นว่าสมัยนั้น เมื่อถึงเวลาจะมีการสร้างกุฏิ สร้างศาลา ญาติโยมทั้งหลายก็ไปช่วยกัน ผู้ใหญ่บ้านท่านนั้นออกเสาหนึ่งต้น กำนันท่านนี้ออกเสาหนึ่งต้น เถ้าแก่โรงสีท่านนั้นออกเสาหนึ่งต้น ไอ้ทิดบ้านนี้ให้ไม้กระดานหนึ่งแผ่น คุณยายบ้านโน้นให้สังกะสีหนึ่งแผ่น

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำให้พระภิกษุของเราไม่จำเป็นที่จะต้องไปรบกวนญาติโยมในเรื่องของเงินทอง เพราะว่าระบบของสังคมในยุคนั้นช่วยบริหารจัดการให้ ไม่ว่าจะเป็นศาลาการเปรียญ หอระฆัง หรือโบสถ์ ล้วนแล้วแต่ญาติโยมทั้งหลายช่วยกันออกปัจจัย ช่วยกันออกเรี่ยวแรงสร้างให้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +26,108
    แต่เมื่อครั้นถึงเวลาที่เราเริ่มเข้าสู่อุตสากรรม ก็คือการใช้แรงงานจำนวนมาก เพื่อจะได้สินค้าออกไปส่งต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นข้าว ข้าวโพด ไม้สัก ยางพารา แร่ดีบุก ตามที่ครูได้สอนเอาไว้ เมื่อต้องการแรงงานเป็นจำนวนมาก ก็ทำให้แรงงานทั้งหลายวิ่งเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม พวกที่จะมาช่วยให้พระภิกษุสงฆ์ของเราได้กระทำงานต่าง ๆ เหมือนก่อนก็ไม่มี

    ส่วนใหญ่บรรดาอุบาสกอุบาสิกาที่มีฐานะดี ก็นำปัจจัยมามอบให้กับหลวงปู่หลวงพ่อ บอกว่าต้องการเป็นเจ้าภาพสร้างสิ่งนั้น ต้องการเป็นเจ้าภาพสร้างสิ่งนี้ รบกวนหลวงปู่หลวงพ่อช่วยจัดการให้ด้วย พวกกระผม/พวกดิฉันมีงานที่ต้องรับผิดชอบ ไม่สามารถที่จะมาดูแลให้ด้วยตนเอง

    ดังนั้น..เมื่อสังคมเปลี่ยนไป วัดวาอารามก็เปลี่ยนไป ประกอบกับการศึกษาของพระที่สมัยก่อนปริยัติคือการเรียนตำรา กับปฏิบัติคือการฝึกวิปัสสนากรรมฐานนั้น เป็นสิ่งที่กระทำคู่กันมา แต่ครั้นเมื่อโดนแยกหลักสูตรการศึกษาออกมา กลายเป็นว่าปริยัติเรียนในส่วนของนักธรรมและบาลี ปฏิบัติไม่มีการสนับสนุน

    แถมในสมัยที่หลวงปู่มั่นท่านออกธุดงค์ใหม่ ๆ ก็โดนกล่าวหาว่าเป็นผีบ้า ผีบุญบ้าง โดนขับไล่บ้าง จนกว่าญาติโยมจะเข้าใจก็ช่วงท้าย ๆ ชีวิตของท่านแล้ว

    ในเมื่อการศึกษาปริยัติและปฏิบัติโดนแยกออกจากกัน หลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะมีความรู้ครบถ้วนทั้งสองด้าน ท่านที่ศึกษาปริยัติเมื่อมีความรู้ก็มักได้รับความไว้วางใจ ให้เป็นพระสังฆาธิการฝ่ายปกครอง เมื่อมีความเจริญก้าวหน้าในยศฐาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งแห่งที่ของตน ด้วยความที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมมา ก็เลยหลงไปกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทั้งหลายเหล่านั้น

    ส่วนท่านที่ปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งก็มีความมานะถือตัวถือตนขึ้นมา ไม่สามารถที่จะละกิเลสให้หมดสิ้นได้อย่างแท้จริง จึงแบกมานะว่า "กูเป็นพระฝ่ายปฏิบัติ กูเคร่งครัดกว่า กูดีกว่า" บางทีก็มีการเขม่นกันเอง จนถึงขนาดขัดแข้งขัดขากัน จนกลายเป็นอธิกรณ์ใหญ่ อย่างเช่นการที่กล่าวหาครูบาศรีวิชัยว่า ท่านตั้งตัวเป็นผีบุญ จะก่อกบฏแยกประเทศ เหล่านี้เป็นต้น
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +26,108
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงทำให้ปริยัติปฏิบัติต่อกันไม่ติด ฝ่ายที่ศึกษาเล่าเรียนก็มักจะเน้นไปในความก้าวหน้าเฉพาะทางโลก ฝ่ายปฏิบัติที่ต้องการพ้นทุกข์ ถ้าได้ครูบาอาจารย์ที่ไม่มีความสามารถ ก็หลงเตลิดเปิดเปิงนอกลู่นอกทางไปมากมาย จนกระทั่งกลายเป็นสังคมสงฆ์ที่สับสนวุ่นวายอย่างในปัจจุบันนี้

    กระผม/อาตมภาพนั้นมีนโยบายง่าย ๆ ที่วัดท่าขนุนว่า พระภิกษุสามเณรที่บวชเข้ามา ขอแค่ให้ญาติโยมไหว้ได้เต็มมือเท่านั้น จึงเน้นในเรื่องของการสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน ไม่ให้ขาด โดยเฉพาะการทำวัตรเช้าเย็นมีถึง ๓ รอบด้วยกัน การเจริญกรรมฐานก็ต้องเริ่มกันตั้งแต่ตีสี่ เป็นต้น

    จึงทำให้บุคคลที่อยู่รอบวัด ส่วนใหญ่ก็นำลูกหลานไปบวชที่วัดอื่น มีความเคารพในตัวหลวงปู่สาย อดีตเจ้าอาวาส แบบสุดจิตสุดใจ ถึงเวลาแห่ลูกหลานที่จะบวชมากราบขอขมาหลวงปู่แล้วก็ไปบวชที่อื่น เพราะกลัวว่าลูกหลานจะลำบาก โดยที่ใช้คำว่า "วัดท่าขนุนเคร่งเกินไป"

    ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ญาติโยมที่ต้องการพระภิกษุสามเณรที่เคร่งครัดอยู่กับวัตรปฏิบัติ แต่กลับไม่ยอมให้ลูกหลานบวช เอาไปบวชในวัดที่ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด ก็เลยกลายเป็นจุดที่ก่อให้เกิดคำถามที่ว่า "พระสงฆ์มีประโยชน์อะไร ? มีหน้าที่อะไร ? เห็นแต่นอนกลางวันแข่งกับหมาไปวัน ๆ เท่านั้น..!"

    จะว่าไปแล้วก็เป็นการที่ญาติโยมทั้งหลายทำตัวเองทั้งสิ้น ก็คือลูกหลานบวชก็เกรงว่าจะลำบาก ไม่ยอมให้บวชในวัดที่เคร่งครัดต่อวัตรปฏิบัติ แต่ให้ไปบวชในวัดที่สบายกับลูกหลานของตนเอง ถึงเวลาก็มาเรียกร้องว่าอยากให้พระเคร่งครัด กระผม/อาตมภาพก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ความต้องการที่ย้อนแย้งกันแบบนี้จะทำอย่างไร ?!!

    แต่ขอติงไว้นิดหนึ่งว่า ท่านผู้ที่ตั้งคำถาม ถ้าไม่ใช่ตั้งใจหายอดไลค์ก็หาเรื่องให้ทัวร์ลงชัด ๆ..! เพราะว่าคำถามนั้นแรงไป ขณะเดียวกัน ท่านก็เป็นผู้ที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าไม่มีโอกาสได้เจอกับหลวงปู่หลวงพ่อที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่มีโอกาสได้เจอกับพระนักพัฒนาที่เสียสละเพื่อพระพุทธศาสนา เพื่อญาติโยมทั้งหลายอย่างแท้จริง ได้แต่เจอกับบุคคลที่ทำให้ภาพพจน์พระพุทธศาสนาตกต่ำเท่านั้น

    ต้องขอเอาใจช่วยให้ญาติโยมเจ้าของคำถาม ซึ่งน่าจะได้อานิสงส์ในการ "ดึงสติ" พระภิกษุสามเณรขึ้นมานิดหนึ่งตรงนี้ว่า ขอให้ผลบุญส่วนนี้นั้น ดลบันดาลให้ท่านได้พบพระภิกษุสามเณรผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างแท้จริง จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาตั้งคำถามเหล่านี้อีก

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวกับญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...