เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 12 มกราคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ในที่สุดทางราชการก็ยอมออกหนังสือสารภาพว่า เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาดหนักทั่วประเทศไทย..!

    ก่อนหน้านี้กระผม/อาตมภาพใส่หน้ากากไปในงานไหน ก็จะมีแต่คนถามว่า "ยังใส่หน้ากากอยู่อีกหรือ ?" โดยที่เขาไม่รู้ว่าในพื้นที่ทองผาภูมิของเรานั้นระบาดหนักมาก เพราะว่าทองผาภูมิเป็นแหล่งเที่ยว คนมาจากทุกสารทิศ ไม่รู้ว่าใครไปเอาเชื้อมาจากไหนบ้าง แต่ถ้าหากว่าเราไม่ประมาท สมัยนี้แค่ยอมใส่หน้ากาก ก็กันไปได้ ๖๐ - ๗๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว เหลืออยู่แค่ระมัดระวัง หมั่นล้างมือบ่อยหน่อย แล้วก็อยู่ห่างจากที่ชุมชนหนาแน่น โอกาสที่จะรอดก็มีสูงมาก

    แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วที่พบก็คือ ไม่ยอมใส่หน้ากากกัน เพราะว่ารำคาญ ถ้าเป็นพระภิกษุสามเณรนี่ กระผม/อาตมภาพตราหน้าได้เลย โอกาสที่ท่านเหล่านั้นละเมิดศีลจะมีสูงมาก..! เพราะว่าการใส่หน้ากาก คือการที่เราบังคับตัวเองให้อยู่ในกฎเกณฑ์ของสังคม กฎเกณฑ์ที่ทางการแพทย์กำหนดว่า ถ้ามีเชื้อไวรัสระบาด เราจำเป็นที่จะต้องใส่หน้ากาก กฎเกณฑ์ทั้งหลายเหล่านี้ก็คือศีลนั่นเอง เพียงแต่ว่าเป็นศีลที่มานอกพระปาฏิโมกข์ เป็นศีลที่เป็นไปโดยสังคมกำหนด ถ้าศีลแค่นี้เรายังรักษาไม่ได้ โอกาสที่จะละเมิดศีลในพระปาฏิโมกข์ก็มีสูงมาก..!

    เวลาบิณฑบาต ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าวัดอื่น ๆ เขาไม่ใส่หน้ากากอนามัยกันแล้ว เหลือแต่วัดท่าขนุนวัดเดียว อยากจะบอกให้ท่านทั้งหลายมีกำลังใจว่า อย่างน้อยในเรื่องของศีล พวกเรามีกำลังใจเข้มแข็งในการรักษามากกว่าที่อื่นอย่างแน่นอน
    เพียงแต่ว่าก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะว่าแม้เราจะระมัดระวัง แต่ถ้าคนอื่นไม่ระวังเลย เขาก็อาจจะเอามาเชื้อแจกให้กับพวกเราได้..!

    อีกเรื่องหนึ่งก็วันนี้ที่ท่านทั้งหลายส่งโครงการว่า จะปั้นกระถางต้นไม้ใหม่ แล้วกระผม/อาตมภาพสงสัยว่าจะปั้นไปทำอะไร ? ปรากฏว่าเพิ่งจะรู้ว่าในวัดของเรามีกระถางบัวเยอะมาก เป็นแหล่งเพาะพันธุ์มาลาเรียที่สุดยอดที่สุด..! เพราะฉะนั้น..ถ้าใครปลูกไว้ไปรื้อทิ้งได้แล้ว ก่อนที่จะเป็นมาลาเรียกันหมดทั้งวัด..!

    จะทำอะไรแต่ละอย่าง กระผม/อาตมภาพบอกแล้วว่า "ให้รู้จักใช้หัวแม่ตีนคิดบ้าง..!" พื้นที่ทองผาภูมิเป็นดงมาลาเรียชัด ๆ ยังอุตส่าห์ไปเปิดที่ให้ยุงแพร่เชื้อได้อีก บางอย่างเราทำก็คิดว่าดี แต่ว่าผลร้ายอาจจะมีมากกว่าที่คิด แล้วก็ไม่ต้องหวังว่าจะไปหาปลามาใส่ไว้ข้างในกระถางนั้น เพราะเท่ากับว่าเราเอาปลาไปกินลูกน้ำ ก็คือฆ่าสัตว์ทางอ้อมนั่นเอง..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    อะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง ถ้าหากว่าเรารู้จักมองมุมกว้าง ก็จะเห็นว่าเป็นโทษหรือเป็นประโยชน์ แล้วก็สามารถที่จะตัดสินใจได้ง่าย พอคนอื่นทักท้วง ถ้าหากพิจารณาแล้วว่าเป็นไปตามนั้นจริง ๆ ก็ให้รีบแก้ไข ไม่ใช่ไปแบกกิเลสเอาไว้ว่า "กูว่าดี คนอื่นถ้าว่าไม่ดี ก็คือขัดคอกู เราต้องทะเลาะกัน..!"

    จะบอกว่าในเรื่องของการปกครองวัดนั้น เป็นเรื่อง "ขี้หมูราขี้หมาแห้ง" เยอะมาก ที่มักจะก่อให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน เหตุก็เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเราแบกกิเลสไปชนกัน ทำไมไม่รู้จักพิจารณาว่า พวกเราอยู่วัดเพื่อมาลดกิเลส อะไรที่ทำให้ กาย วาจา ใจ ของเราดีขึ้น ให้รีบทำอันนั้น ไม่ใช่กี่เดือนกี่ปีก็เป็นเหมือนเดิม น่าเสียดายเวลาที่ผ่านไป เพราะถ้าหากว่าเรามีอันเป็นไปเสียก่อน ก็ "เสียชาติเกิด" ไปอีกชาติหนึ่ง แล้วก็ไม่รู้ว่าชาติต่อไปเราจะเกิดมาเป็นอะไรอีกด้วย..!

    อีกเรื่องหนึ่งก็คือเรามีสำนัก ต้องเรียกว่าสาขาเพิ่มขึ้นมาอีกแห่งหนึ่ง ก็คือสำนักสงฆ์โป่งช้าง ซึ่งท่านบอส (พระสมุห์ณัฐพสิษฐ์ ปญฺญาคโม) เลขานุการรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ (๒) จะไปดูแลอยู่ตรงนั้น พวกเราถ้าหากว่ามีวันลาพอ ก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป อันดับแรกเลย อย่างน้อยก็ได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง อันดับที่สองก็คือจะได้รู้จักสถานที่เอาไว้ เผื่อว่า "เคราะห์หามยามร้าย" มาถึงตัว เราต้องไปรับหน้าที่แทน ก็จะได้ไม่ลำบากมากนัก

    มีวัดใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีสาขาอยู่เป็นร้อยสาขา ท่านมีนโยบายให้ผลัดกันเป็นเจ้าอาวาสรูปละ ๒ ปี ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป เพื่อที่จะได้รู้จักสาขาให้ครบถ้วน ท่านที่ไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสก็หมุนเวียนกันไปวัดโน้นบ้าง วัดนี้บ้าง ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็เห็นว่าดี แต่ว่าต้องรู้จักระมัดระวังว่าจะเป็น "หมาจิ้งจอกขี้เรื้อน" หรือเปล่า ?

    ก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า "อานันทะ..ดูก่อน..อานนท์ เธอเห็นหมาจิ้งจอกที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้นั่นหรือไม่ ?" พระอานนท์ก็ทูลตอบว่า "เห็นพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อีกสักครู่ หมาจิ้งจอกตัวนั้นจะออกวิ่งไปหาที่นอนใหม่" แล้วก็เป็นจริงตามนั้น พอไปหาที่นอนใหม่ได้ไม่นาน ก็วิ่งหาที่นอนใหม่อีก สาเหตุเพราะว่าหมาจิ้งจอกตัวนั้นเป็นโรคเรื้อน ทำให้ต้องคันต้องเกาอยู่ตลอดเวลา ไปนอนที่ไหนก็คิดว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่ดี ทำให้ตัวเองคัน จึงต้องวิ่งไปหาที่นอนใหม่
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ดังนั้น..เวลาพวกเราไปที่อื่น ให้ระมัดระวังไว้ด้วย ที่กระผม/อาตมภาพเตือนอยู่บ่อย ๆ ว่า "ลากลับบ้านบ้าง ลาไปที่อื่นบ้าง เมื่อกลับมาแล้ว กำลังใจของเรารักความสงบหรือไม่ ? ดิ้นรนอยากจะไปอีกหรือเปล่า ? ถ้าดิ้นรนอยากจะไปอีก ขอให้รู้ว่าเราแย่แล้ว" เพราะว่าจะอยู่ในลักษณะของหมาจิ้งจอกขี้เรื้อน ก็คืออยู่ที่ไหนก็ไม่สงบ

    ถึงเวลาก็ต้องตะเกียกตะกายไปที่โน่นบ้าง ไปที่นี่บ้าง โดยที่พอไปแล้ว สภาพจิตเสพเสวยสิ่งใหม่ ๆ เข้าไป ก็ยอมสงบระงับลงครู่หนึ่ง พอถึงเวลาก็ดิ้นรนส่งส่ายต่อไป เมื่อทนความฟุ้งซ่านไม่ไหว ก็ตะเกียกตะกายไปใหม่ โดยที่ไม่ได้ดูที่ตัวเอง ไม่ได้แก้ไขที่ตัวเอง คิดว่าเป็นเพราะสถานที่ แต่ความจริงแล้วเป็นที่ตัวเราทั้งนั้น..!

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครอยู่ที่ไหนแล้วไม่สงบ ขอให้คิดเอาไว้ก่อนว่าเป็นเพราะใจเราไม่สงบเอง ถ้าหากว่าใจของเราสงบ ความฟุ้งซ่านไม่บังเกิด อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน อยู่คนเดียวก็สงบกาย สงบวาจา สงบใจได้ อยู่ท่ามกลางคนหมู่มากก็สงบกาย สงบวาจา สงบใจ ได้

    บาลีท่านใช้คำว่า สนฺตกาโย สนฺตวาโจ สนฺตมโน ก็คือ สงบกาย สงบวาจา และสงบใจ ถ้าใครทำถึงระดับนั้นได้ ก็เริ่มจะอยู่อย่างมีความสุข เพราะว่าจิตใจไม่ส่งส่ายวุ่นวายมาก

    การที่เราจะเข้าถึงสภาพเช่นนั้นได้ อันดับแรกเลย ต้องทบทวนศีลทุกข้อให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ อันดับที่สอง วิ่งเข้าหาลมหายใจเข้าออก คืออานาปานสติ พร้อมกับคำภาวนา อย่างน้อยทรงระดับปฐมฌานละเอียดให้ได้ เพราะว่าปฐมฌานหยาบ เรามักจะขาดสติ เผลอเมื่อไรก็หลุดไปหา รัก โลภ โกรธ หลง

    แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าถึงปฐมฌานละเอียดแล้ว ? ก็คือ
    การที่เรารู้ลมและคำภาวนาโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับก็เป็นเอง เราแค่เอาสติเข้าไปประคับประคอง ระมัดระวังไว้ อย่าให้หลุดไปไหนเท่านั้น

    เนื่องเพราะว่าถ้าอยู่กับความสงบนาน ๆ แล้วไม่รู้จักพิจารณาวิปัสสนาญาณ พอกิเลสตีกลับ เราก็พังอีก..! หลายคนก็หกล้มหกลุก "หัวร้างคางแตก" แบบนี้มาตลอด แต่ก็ยังไม่เข็ด หรือว่ายังหามุมไม่เจอว่าเป็นเพราะอะไร ความจริงแล้วเป็น "หญ้าปากคอก" ที่ง่ายที่สุด แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเราก็มักจะไปมองผู้อื่น หรือไม่ก็ไปโทษดินโทษฟ้ารอบข้างไปหมด ลืมโทษตัวเอง อย่าลืมพระบาลีที่ว่า "อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทก์ตนเองอยู่เสมอ"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    สมัยที่อยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง บางครั้งท่านด่าให้แรง ๆ กระผม/อาตมภาพมาพิจารณาตั้งแต่ต้นยันปลาย ตั้งแต่ปลายยันต้น มั่นใจว่างานนี้ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ทำไมถึงโดนด่าได้ ? ท้ายที่สุดก็สรุปลงไปได้ว่า เอ็งผิดตั้งแต่เกิดมาแล้ว ถ้าไม่เกิดมาก็ไม่โดนด่าแบบนี้..!

    พอคิดตก วางกำลังใจลงได้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านให้หลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นพระครูปลัดของท่านอยู่ โทรศัพท์มาบอกว่า ที่ท่านด่า เพราะว่า "ท่านย่า" สั่ง บอกว่า "ให้ช่วยด่ามันหน่อย ไอ้นี่รู้ตัวเร็ว ถ้าด่าแล้วมันระมัดระวัง จะได้ไม่พลาดให้คนอื่นเขาเล่นงานเอาได้"

    แต่ขอบอกกับท่านทั้งหลายว่า เรื่องแบบนี้ถ้าเราคิดไม่ตก ก็แบกต่อไปเถอะ ครูบาอาจารย์ท่านไม่เฉลยให้เสียเวลาหรอก เนื่องเพราะว่าถ้าเฉลย ก็เหมือนอย่างกับบอกข้อสอบให้กับพวกเราทำ ไม่ใช่ทำได้ด้วยความรู้ความสามารถที่แท้จริง ผ่านไปได้ก็ไม่ใช่ของเรา กระทบใหม่ก็พังอีก..!

    จึงเป็นเรื่องที่เราต้องใช้ สติ สมาธิ ปัญญา ทั้งหมดที่เรามีอยู่ เพื่อที่จะก้าวข้ามไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า ก็ติดอยู่แค่นั้น ตะเกียกตะกายขึ้นมา เป็นผู้เป็นคนได้วันสองวัน พังลงไปเป็นหมาเหมือนเดิมอีกแล้ว..! ต้องให้รู้จักเข็ด รู้จักเบื่อบ้าง
    ครูบาอาจารย์มองดูยังเบื่อแทน รู้จักเข็ด รู้จักเบื่อ ก็จะรู้จักตั้งหน้าตั้งตาระมัดระวังไม่ให้พลาดอีก เพราะว่าสภาพที่แย่ยิ่งกว่าหมา เวลากำลังใจตกแล้ว น่าเกลียดน่าชังขนาดไหน ทุกคนก็รู้ดี..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...