เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 9 ธันวาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพไม่ได้บิณฑบาต เดินทางออกจากวัดตั้งแต่เช้า ไปถึงโรงเรียนการกุศลวัดไตรรัตนาราม หมู่ที่ ๑ ตำบลลุ่มสุ่ม อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ประมาณ ๗ โมงครึ่ง ปรากฏว่าพระมหาชูศักดิ์ กิจฺจกาโร ป.ธ.๘ เจ้าคณะตำบลศรีมงคล เจ้าอาวาสวัดไตรรัตนาราม ผู้ถือใบอนุญาตโรงเรียนการกุศลวัดไตรรัตนาราม พร้อมด้วยผู้อำนวยการโรงเรียนมารอรับอยู่แล้ว

    กระผม/อาตมภาพมอบเช็คเงินสด ๓๐๐,๐๐๐ บาท งวดสุดท้ายให้กับทางพระมหาชูศักดิ์ เพื่อที่จะสร้างอาคารวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนการกุศลวัดไตรรัตนาราม ซึ่งแต่แรกที่คุยกันนั้น ท่านเจ้าคุณอาจารย์ขวัญ - พระศรีสุทธิเวที (ขวัญ ถิรมโน ป.ธ.๙) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ท่านปรารภว่าอยากได้ห้องวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนสักหนึ่งห้อง เมื่อคุยกันไปคุยกันมา ทางด้านผู้อำนวยการเห็นว่า ในเมื่อสร้างห้องกับสร้างอาคาร งบประมาณก็ใกล้เคียงกัน จึงให้ออกแบบเป็นอาคารไปเลย ภายในงบประมาณ ๖๐๐,๐๐๐ บาท

    งบประมาณในส่วนนี้ คือส่วนที่ญาติโยมทั้งหลายได้ร่วมบุญไปกับชมรมรักษ์ธรรมรักษ์ไทย ซึ่งมีนางสาวพัชรีภรณ์ หยกอุบล เป็นประธานดำเนินงานของชมรม กระผม/อาตมภาพรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของชมรม โดยมีเป้าหมายว่าจะสร้างถาวรวัตถุให้กับทางสถานที่ราชการ โรงพยาบาล หรือว่าโรงเรียนปีละ ๑ แห่ง

    โดยเฉพาะถ้าเป็นโรงเรียนก็จะร่วมจัดงานวันเด็กของปีนั้นให้กับนักเรียนไปด้วย ปีนี้มาลงที่โรงเรียนการกุศลวัดไตรรัตนาราม ซึ่งกระผม/อาตมภาพเคยเป็นเจ้าภาพสร้างห้องเรียนมาแล้ว ในตอนที่พระเดชพระคุณพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.๙, Ph.D.) ที่ปรึกษาคณะสงฆ์วัดสามพระยาวรวิหาร ตอนนั้นหลวงพ่อเจ้าคุณท่านมาเป็นประธานในการเปิดโรงเรียนแห่งนี้ แล้วตอนนี้ก็มาเป็นเจ้าภาพในการสร้างอาคารวิทยาศาสตร์ให้กับทางโรงเรียน ซึ่งตรงนี้นอกจากญาติโยมทั้งหลายจะได้บุญได้กุศลในส่วนของธรรมทานแล้ว ยังได้บุญกุศลในส่วนของวิหารทานด้วย

    ถ้าหากว่าเป็นไปได้แล้ว ถ้าเรามีกำลังพอที่จะช่วยในสถานที่ไหน ก็อย่าได้รอความช่วยเหลือจากหน่วยราชการ หากแต่ให้ลงมือทำไปเลย ขอเพียงมีผู้นำเท่านั้น เดี๋ยวผู้ตามก็จะมาเอง เนื่องเพราะว่าหลายท่าน แม้ว่าจะมีกำลังทรัพย์ แต่ไม่อยากรับผิดชอบงานมากนัก ดังนั้น..ถ้าหากว่าให้จ่ายเงินร่วมงานอย่างเดียว โดยไม่ต้องลงไปคลุกกับงานก็จะยินดีมาก กระผม/อาตมภาพจึงต้อง "รับหน้าเสื่อ" ในการดำเนินงานส่วนต่าง ๆ ให้กับญาติโยมทั้งหลายผู้ที่ร่วมบุญมา
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    สำหรับอาคารวิทยาศาสตร์แห่งนี้ สำเร็จไปประมาณ ๘๐ กว่าเปอร์เซ็นต์แล้ว รอพิธีเปิดในวันเด็กปี ๒๕๖๗ ซึ่งตอนนี้ทางชมรมรักษ์ธรรมรักษ์ไทยก็ได้ประกาศหานักฟุตบอล เพื่อที่จะไปลงไปแข่งกับเด็ก ๆ จะได้รู้ว่าเด็กกะเหรี่ยงแถวนี้มีฝีเท้าร้ายกาจขนาดไหน..!?

    หลังจากนั้นแล้ว กระผม/อาตมภาพก็วิ่งตรงไปยังวัดสี่แยกเจริญพร ซึ่งพระครูเทพ (พระครูปฐมสาธุวัฒน์) เจ้าอาวาสวัดสี่แยกเจริญพร ได้จัดพิธีอุปสมบทหมู่เฉลิมพระเกียรติ เพื่อถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อไปถึงปรากฏว่ามีพระนวกะซึ่งบวชเฉลิมพระเกียรติเหลืออยู่ ๕๖ รูปเท่านั้น เนื่องเพราะว่าบางรูปความประพฤติไม่เหมาะสม พระครูเทพจึงสั่งให้สึกไปแล้ว

    กระผม/อาตมภาพได้ชี้แจงให้กับพระนวกะทั้งหลายว่า การบวชของท่านนั้นไม่ยาก มีพระอุปัชฌาย์ คู่สวด และพระอันดับครบถ้วนก็บวชได้แล้ว โดยเฉพาะถ้าการบวชฟรีแบบที่วัดสี่แยกเจริญพรนี้ ท่านก็แทบจะมาแต่ตัวเท่านั้น แต่ว่าการที่จะอยู่ให้สมกับความเป็นพระนั้น เป็นสิ่งที่ยากอย่างยิ่ง

    เนื่องเพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่ชาวบ้านเขากราบไหว้บูชา ถ้าหากว่าเปรียบกับชีวิตฆราวาสที่เราทำการทำงาน เรารักษาศีล ๕ เหมือนกับเราลงทุนในกิจการไป ๕ ล้านบาท แต่ว่าพระรักษาศีล ๒๒๗ เท่ากับลงทุนไป ๒๒๗ ล้านบาท ถ้าหากว่ากิจการนั้นมีกำไร ญาติโยมก็กำไรแค่ต้นทุนแค่ ๕ ล้านบาท แต่ว่าพระจะกำไรด้วยต้นทุน ๒๒๗ ล้านบาท ซึ่งย่อมมีกำไรมากกว่าฆราวาสหลายเท่า..!

    แต่ถ้าหากว่าผิดพลาดขึ้นมา จนเกิดกิจการเสียหายล่มจมลง ฆราวาสจะเสียหายแค่ ๕ ล้านบาท แต่ว่าพระสงฆ์ของเราเสียหายมากกว่าหลายเท่า คือ ๒๒๗ ล้านบาท และความเสียหายตรงนี้ ไม่ได้เสียหายเฉพาะตัวตนของเรา หากแต่เสียหายถึงพระอุปัชฌาย์อาจารย์ เสียหายถึงวัดวาอาราม เสียหายไปถึงพระพุทธศาสนา..!


    ดังนั้น
    ..ท่านทั้งหลาย ถึงแม้ว่าบวชน้อย ถ้าหากว่าตั้งใจทำดี ก็มีคุณค่าเหมือนกับเพชร ถึงจะเม็ดเล็ก แต่ราคาสูงมาก แต่ถ้าหากว่าบวชนาน แล้วสร้างแต่ความชั่วเท่านั้น ก็เหมือนกับขี้..! ยิ่งกองใหญ่เท่าไรก็ยิ่งเหม็นมากเท่านั้น
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    การที่เราท่านทั้งหลายบวชเข้ามา เพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ท่านทั้งหลายจะถวายของแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ต้องเป็นของที่ดีที่สุดที่เราจะหาได้

    ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษา กาย วาจา และใจ ของตนเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ถ้าหากว่าอยู่ต่อไปได้ ท่านก็จะเป็นกำลังใหญ่ในพระพุทธศาสนา แต่ถ้าหากว่าสึกหาลาเพศไป ต้นทุนบุญกุศลส่วนนี้ ก็จะช่วยให้การดำเนินชีวิตของท่านมีความคล่องตัวกว่าบุคคลอื่นเขา

    เมื่อรับปัจจัยไทยธรรมที่ทางเจ้าภาพถวายให้แก่พระวิทยากร ตลอดจนกระทั่งคณะญาติโยมที่มาดักรอทำบุญแล้ว กระผม/อาตมภาพก็มอบทั้งเงินทองและสิ่งของทั้งหมดให้กับพระครูเทพ เพื่อเอาไว้ใช้ประโยชน์ในงานอุปสมบทหมู่ครั้งนี้ แล้วฉันเพลร่วมกัน โดยมีเพื่อนฝูงอีกรูปหนึ่ง ก็คือพระครูชนะ (พระครูกาญจนธรรมชัย) เจ้าอาวาสวัดหนองไม้แก่น เพื่อนอาจารย์ของวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ ซึ่งมาร่วมฉันเพลด้วย

    เมื่ออิ่มแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ขอตัวเดินทางไปยังวัดหนองขุยสิริวนาราม หมู่ที่ ๔ ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี นำเอาทั้งเงินและทองซึ่งญาติโยมได้ถวายกระผม/อาตมภาพเอาไว้ ไปร่วมเป็นเจ้าภาพหล่อพระประธานประจำพระอุโบสถ ซึ่งพระอธิการไพฑูรย์ ธมฺมโชโต เจ้าอาวาสวัดหนองขุยสิริวนารามนั้น ท่านเป็นลูกศิษย์ เรียนที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ นำเอาเพื่อนฝูงทั้งรุ่นมาช่วยงานกันตรงนี้

    โดยมีพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ.๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ เป็นประธานในการเททอง กระผม/อาตมภาพทำหน้าที่นั่งปรก คุมธาตุ อธิษฐานจิต และปลุกเสกวัตถุมงคลซึ่งมอบให้แก่ทางผู้ร่วมเป็นเจ้าภาพหล่อพระในวันนี้

    เมื่อเสร็จพิธีแล้ว กระผม/อาตมภาพก็กราบลาพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. เพื่อที่จะเดินทางเข้าสู่ที่พักภายในคืนนี้ เนื่องเพราะว่าพรุ่งนี้ยังมีงานหล่อพระอีกแห่งหนึ่ง ทั้งที่ร่างกายซึ่งกรำงานมาตลอดหลายวัน ตลอดจนกระทั่งสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เอาแน่เอานอนไม่ได้ ก็ออกอาการเจ็บไข้ได้ป่วยตามปกติ แต่เนื่องจากว่าภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่ ก็จำเป็นต้องทำให้เต็มที่เท่าที่เราจะทำได้

    ครูบาอาจารย์ท่านไม่เคยสอนให้หนีงาน หากแต่ท่านสอนให้เอางานเป็นเครื่องชำระใจของเรา ก็คือแต่ละงานให้เราพิจารณาว่าตัวเรานั้น มีใจฟูหรือว่าฟุบกับสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในงาน ซึ่งเราได้พบได้เห็น ได้สัมผัสหรือไม่ ? ถ้าหากว่ามีการฟูหรือว่าฟุบ ก็ต้องรีบปรับแต่งใจตัวเองใหม่ให้เร็วที่สุด
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ทำอย่างไรอย่าให้ยินดียินร้ายกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เพราะว่าเป็นเรื่องธรรมดาของโลก ถ้าใครสามารถที่จะทำใจแบบนี้ได้ โอกาสที่จะเอางานมาเป็นธรรม เอาธรรมไปเป็นงานก็จะมีมาก ทำให้เราก้าวใกล้มรรคผลเข้าไปเรื่อย ๆ ยิ่งทำงานมากเท่าไร โอกาสเข้าถึงมรรคผลก็ยิ่งมีมากเท่านั้น

    กระผม/อาตมภาพเองเป็นบุคคลที่
    ครูบาอาจารย์สั่งอะไรมาก็รับทำตลอดชีวิต แปลว่าต้องสู้กับงานจนกระทั่งหมดลมกันไปข้างหนึ่ง จึงจะสมกับเป็นทหารในกองทัพธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมาแสดงความอ่อนแอต่อหน้าข้าศึกว่าเราป่วยอยู่ อย่าเพิ่งรบกันเลย เชื่อว่าข้าศึกคือกิเลส ก็คงจะไม่ฟังเสียงของเราหรอก..!

    ดังนั้น..มีวิธีเดียวก็คือ
    สู้กันจนกระทั่งหมดลมกันไปข้างหนึ่ง ถ้าหากว่าเราชนะ หนทางการเวียนว่ายตายเกิดก็จะรวบรัดตัดสั้นลง หรือสิ้นสุดลงไปเลย แต่ถ้าหากว่ากิเลสชนะ เราก็คงต้องเวียนว่ายตายเกิด ทนทุกข์ทรมานไปอีกหลายต่อหลายชาติ จึงเป็นเรื่องที่ญาติโยม ตลอดจนกระทั่งพระภิกษุสามเณร ควรที่จะยึดถือเป็นอุทาหรณ์ในการปฏิบัติธรรมของเรา

    เรื่องของงานไม่มีคำว่ามาก เพราะว่าทุกอย่างที่ทำนั้น เป็นบุญเป็นกุศลแก่ตัวเราเองทั้งสิ้น บุญกุศลนี้ย่อมส่งผลให้การปฏิบัติธรรมของเรามีความเจริญก้าวหน้า ส่วนในทางโลก บุญกุศลก็สร้างความคล่องตัวให้ในทุก ๆ ด้านอยู่แล้ว ก็แปลว่า เรายิ่งทำยิ่งได้ แล้วแต่ว่าใครจะมองเห็นประโยชน์มากหรือน้อย

    บุคคลที่มองเห็นประโยชน์มาก ก็ทุ่มเทให้กับการงานเหล่านั้นมากโดยไม่กลัวเหนื่อย ไม่กลัวลำบาก บุคคลที่เห็นประโยชน์น้อย ก็พยายามที่จะหลบจะเลี่ยง แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ท่านทั้งหลายอาจจะต้องเสียเวลาในการเวียนว่ายตายเกิด ทนทุกข์ทรมานไปอีกเนิ่นนาน ทั้ง ๆ ที่หนทางลัดมีอยู่แล้ว แต่เนื่องจากว่าเป็นทางที่ลำบาก ท่านทั้งหลายจึงไม่ยอมเดินไป คิดแต่จะเดินในหนทางที่ง่าย ซึ่งเป็นทางที่ยาวไกลกว่ามากนัก..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...