เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 2 ตุลาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ อีกไม่กี่วันก็จะออกพรรษาแล้ว ช่วงนี้ของเราก็ต้องเตรียมการสำหรับรับงานออกพรรษาและตักบาตรเทโว กระผม/อาตมภาพก็ต้องเข้ากรรมฐาน ๓ วัน

    เรื่องของกรรมฐาน ๓ วันนี่เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก ตั้งแต่ปีแรกที่เข้ากรรมฐานเลย คือปกติแล้วถ้ามีการงานทุกอย่างก็จะโดนจัดหลีก จนกระทั่งสามารถที่จะเข้ากรรมฐานได้ แม้กระทั่งการสอบนักธรรมชั้นตรีก็ยังโดนเลื่อน ไม่เช่นนั้นแล้วในฐานะผู้บังคับบัญชาชั้นสูง ก็ต้องไปร่วมงานสอบ โดยเฉพาะบรรดาผู้เข้าสอบต่างก็รอกระผม/อาตมภาพทั้งนั้น ดังนั้น...อะไรก็ตาม ถ้าหากว่าเป็นคำสั่งของพระหรือว่าครูบาอาจารย์ จะมีการจัดการจนกระทั่งลงตัวให้เราสามารถทำสิ่งนั้น ๆ ได้เอง

    แม้กระทั่งงานทำบุญถวายหลวงปู่สาย เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายนที่ผ่านมา ท่านทั้งหลายก็จะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพต้องตรวจประเมิน เพื่อยกหมู่บ้านศีล ๕ ต้นแบบ จนกระทั่งถึงเย็นวันที่ ๑๓ กันยายน แต่วันที่ ๑๔ เขาเว้นให้ ๑ วัน แล้วไปต่อที่วันที่ ๑๕ กันยายน แล้วเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เรากำหนดได้ เพราะว่าผู้บังคับบัญชาท่านจะกำหนดในวันที่ท่านสะดวก แต่ทำไมถึงเว้นวันที่ ๑๔ ซึ่งสามารถที่จะทำต่อเนื่องกันไปได้

    เรื่องบางอย่างก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรคิด ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าอจินไตย ก็คือไม่ควรที่จะไปคิด ถ้าหากว่าคิด ท่านใช้คำว่าพึงมีส่วนของความเป็นบ้า บาลีใช้คำว่า อุมฺมตฺตกภาโค เพราะฉะนั้นบางคนก็ไม่เข้าใจ คำว่า อุมฺม ภาษาบาลีแปลว่าบ้า บางคนก็ตั้งชื่อลูกสาวไพเราะว่า อรอุมา แปลตรง ๆ ว่าหญิงบ้า เรื่องบางอย่างถ้าเราไม่รู้ก็ไม่เป็นไร พอรู้เข้าไปแล้วความหมายออกจะประหลาดอยู่หน่อย แต่คนก็ยังคงชอบและตั้งกันแบบนั้นหลายต่อหลายรายด้วยกัน แม้กระทั่งนักร้องชื่อดังก็ยังชื่ออรอุมา

    คำว่า อุมาเทวี ก็คือนางฟ้าผู้เป็นใหญ่แต่บ้าคลั่ง เขาหมายถึงภาคหนึ่ง ซึ่งแสดงออกในเรื่องโทสะของพระอุมา ส่วนใหญ่ก็เอาไว้ปรามปราบหรือว่ากำราบพวกเหล่าอสูร คนไทยไม่เข้าใจที่มาที่ไป แถมยังไม่รู้ว่าคำนั้นแปลว่าอะไร ก็ตั้งชื่อกันด้วยความเพลิดเพลินเจริญใจ
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เรื่องที่ไม่ควรคิด ๔ ประการประกอบไปด้วย ประการที่ ๑ พุทธวิสัย ความสามารถของพระพุทธเจ้า บุคคลที่สร้างบารมีมาอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ความรู้ความสามารถของพระองค์ท่านมีแค่ไหน อย่าเสียเวลาไปคิดคำนวณถึง

    เนื่องเพราะว่าพระองค์ท่านสามารถที่จะคาดคำนวณเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งต่อให้ใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้ ก็คงต้องคำนวณกันเป็นวันเป็นคืน แต่ของพระองค์ท่านได้คำตอบเดี๋ยวนั้นเลย เพราะว่าพระองค์ประกอบไปด้วยญาณ คือเครื่องรู้ต่าง ๆ ด้วยการบำเพ็ญบารมีมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์

    ดังนั้น...ถ้าท่านใดอ่านพระไตรปิฎก จะเห็นว่า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากไม่มีอะไรขัดกันแล้ว ทุกอย่างยังสอดคล้องและหนุนเสริมกันได้ทั้งหมด เพียงแต่ว่าเราจะมองเห็นมุมเหล่านั้นหรือเปล่าเท่านั้นเอง

    ประการที่สองคือฌานวิสัย ความสามารถของผู้ได้ฌานได้สมาบัติ สามารถที่จะผาดแผลงสำแดงฤทธิ์ต่าง ๆ ที่เราคาดคิดไม่ถึง อย่างเช่นว่าสามารถแปลงกายให้ใหญ่โต ลูบคลำพระอาทิตย์ พระจันทร์เล่นได้ แต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ เพราะว่าการที่จะเข้าถึงธรรมนั้นจะต้องมีความเคารพเลื่อมใสในพระรัตนตรัยจากใจจริง ไม่ใช่เลื่อมใสในการมีฤทธิ์มีอภิญญา ซึ่งเป็นการยึดติด หากแต่เป็นการเลื่อมใส เพราะเห็นคุณความดีของพระรัตนตรัยจริง ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสั่งห้ามพระภิกษุ ภิกษุณี แม้กระทั่งสามเณรแสดงฤทธิ์ เพราะว่าจะชักชวนให้ญาติโยมหลงผิด

    ประการที่สามคือกรรมวิบาก การส่งผลของกรรม บางทีก็พิลึกพิลั่นเกินกว่าที่เราจะเข้าใจ อย่างเช่นว่า ทำไมมีเด็กเกิดมาแล้วตัวแฝดติดกัน ก็เพราะว่าชาติก่อน ๆ ไปอธิษฐานว่าเราจะไม่พรากจากกัน ความตั้งใจตรงจุดนี้ก็เลยกลายเป็นชนกกรรม กรรมที่นำไปเกิดเป็นอุปัตถัมภกกรรม กรรมที่คอยหนุนเสริมให้เป็นไปตามความตั้งใจของตนเอง

    และท้ายที่สุด โลกจินไตย ความเป็นไปของโลก สิ่งต่าง ๆ ถ้าหากเราเห็นว่าปกติธรรมดาเป็นอย่างนั้นก็น่าจะจบ แต่ถ้าหากว่าเราจะไปคิดเอาเหตุเอาผล เอาเป็นเอาตายกัน บางทีก็เครียด ประสาทกินเสียเปล่า ๆ พระองค์ท่านจึงใช้คำว่า ผู้ที่คิด พึงมีส่วนของความเป็นบ้า
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะกล่าวถึงก็คือ วันนี้ลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) ส่งรูปแร่ธาตุชิ้นหนึ่งมาให้ ถามว่าสิ่งนี้เขาเรียกว่าเจ้าน้ำเงินใช่หรือไม่ ?

    คำว่า เจ้าน้ำเงิน ในที่นี้คือโลหะธาตุอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนผสมในนวโลหะ ก็คือโลหะ ๙ ประการ ปัจจุบันนี้ในส่วนของเจ้าน้ำเงิน คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิด หรือว่าครูบาอาจารย์บอกผิด ๆ ก็เชื่อถือกันไป เจ้าน้ำเงินนั้นโบราณเรียกว่า สุวรรณขีด บางคนเรียกว่าทองคำดำ บางคนเรียกว่าแร่โคตรเศรษฐี ฝรั่งเรียกว่ารูทีเนียม มีอยู่ในตารางธาตุ ไปดูคำย่อว่า Ru ก็แล้วกัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะใช้อยู่ในอุตสาหกรรมของการเคลือบสีหรือว่าชุบโลหะต่าง ๆ

    แต่เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ว่า รูทีเนียมนี้จะหลอมละลายในอุณหภูมิ ๒,๐๐๐ กว่าองศาเซลเซียส แต่โบราณของเราใช้หลอมโลหะ ซึ่งถ้าหากว่าเราดูแล้ว ในส่วนของโลหะแข็งอย่างพวกทองแดง ทองเหลือง ๘ - ๙๐๐ องศาเซลเซียสก็น่าจะที่จะหลอมละลายได้แล้ว แล้วทำไมในส่วนที่ใช้ ๒,๐๐๐ กว่าองศาเซลเซียส ถึงสามารถหลอมละลายไปได้ด้วย ?

    ก็ขอให้ท่านทั้งหลายไปนึกถึงส่วนผสมของทองคำ ซึ่งประกอบไปด้วยสารปากนกแก้ว แร่เพียงไฟ ตะกั่วเถื่อน ทองแดงเถื่อน ส่วนที่หลอมยากที่สุดคือทองแดงเถื่อน เพราะว่าจุดหลอมเหลวค่อนข้างสูง ก็คือ ๙๐๐ องศาเซลเซียส แต่โบราณผสมทองด้วยการหลอมในกระทะใบบัว ซึ่งถ้าหากว่าหลอมทองแดงเถื่อนให้ละลายได้ กระทะจะละลายไปด้วย ก็แปลว่าในส่วนของสารปากนกแก้ว หรือว่าแร่เพียงไฟนั้น จะเป็นตัวลดจุดหลอมเหลวของโลหะที่มีจุดหลอมเหลวสูง ๆ แล้วในส่วนของนวโลหะก็คงจะลักษณะเดียวกัน ก็คือต้องมีตัวลดจุดหลอมเหลวของสุวรรณขีดหรือว่าเจ้าน้ำเงินนี่ลงมา ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถที่จะหลอมพร้อมกันได้

    เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเคยทดลอง ต้องการที่จะสร้างวัตถุมงคลเนื้อโลหะ ก็นำเอาสิ่งที่เขาเรียกกันว่าเหล็กไหล ซึ่งตามตำราที่หลวงปู่หวล วัดพุทไธศวรรย์ ท่านเรียกมา แล้วหลวงป๋า - พระเทพญาณมงคล วิ. (เสริมชัย ชยมงฺคโล ป.ธ.๖) วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ศึกษาต่อมา เอาไปหลอมรวมกับโลหะอื่น ๆ เพื่อทำเป็นชนวน ปรากฏว่าโลหะอื่นหลอมละลายหมดแล้ว เจ้าเหล็กไหลยังยิ้มหน้าตาเฉย ทำอะไรไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่ใช้ถ่านหินและเร่งไฟจนสุดแล้ว ก็ไม่สะทกสะท้าน
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ดังนั้น...ในเรื่องของโลหะศาสตร์ คนโบราณก้าวหน้ากว่าเรามาก แค่เหล็กแข็งเหล็กเหนียวในปัจจุบันนี้ เราเองก็ทำไม่ได้แล้ว ท่านทั้งหลายลองไปดูปืนใหญ่หน้ากระทรวงกลาโหม ผ่านระยะเวลาตากแดดตากฝนมาเป็นร้อย ๆ ปี ก็ยังเขียวปลอด ไม่มีสนิมจับเลย หรือว่าเหล็กเหนียวอย่างที่เขาใช้หลอมดาบ ที่เรียกว่าเหล็กกำพล หลอมเป็นดาบหรือกระบี่แล้วสามารถที่จะเคียนเอวได้ ก็คือม้วนทำเป็นเข็มขัดได้

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเจออยู่ครั้งหนึ่ง เป็นหัวหน้าโจรรายหนึ่ง ซึ่งพกดาบเล่มหนึ่งติดตัวอยู่ตลอดเวลา หลังจากที่โดนปราบปรามเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อท่านยึดดาบเล่มนั้นมา บอกว่าดาบมันอ่อนมาก สามารถที่จะจับปลายดาบกับด้ามดาบมาชนกันได้ แต่ดูเหมือนกันไม่มีคม เพียงแต่ว่าฟันลงไป ตัดเหล็กได้

    ดังนั้น...หลายต่อหลายเรื่องเราจะไปว่าโบราณล้าหลังเป็นไดโนเสาร์เต่าพันปี แต่ปัจจุบันนี้เราตามโบราณไม่ทัน เพราะว่าโบราณไม่ได้ใช้แค่กำลังกายและเครื่องมือ หากแต่ใช้กำลังใจ ก็คือเรื่องของฌานสมาบัติที่ฝึกฝนมาดีแล้ว ในการผสานศาสตร์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งพวกเราอย่าเสียเวลาไปคิด แม้กระทั่งจะถาม ยังมีส่วนของความเป็นบ้า

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...