เทศน์วันอาสาฬหบูชา วันอังคารที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 3 สิงหาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,371
    เทศน์วันอาสาฬหบูชา
    วันอังคารที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖




    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    อะถะโข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิ
    อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญติฯ

    ณ บัดนี้ อาตมภาพรับหน้าที่วิสัชนาในอาสาฬหปูชากถา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาเพิ่มพูนบารมี เสริมสร้างกุศลบุญราศี แก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ทั้งที่มาบำเพ็ญกุศลยังวัดท่าขนุนแห่งนี้ ตลอดจนท่านทั้งหลายที่ดูการถ่ายทอดสดจากเว็บไซต์หรือเฟซบุ๊กวัดท่าขนุนก็ตาม

    วันอาสาฬหบูชานั้นเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของโลก เพราะว่าเป็นวันที่มีพระรัตนตรัยครบถ้วนสมบูรณ์ เนื่องจากว่าก่อนหน้านั้นเรามี "พระพุทธรัตนะ" คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ หรือวันวิสาขบูชาก่อนหน้านี้ ๒ เดือน แล้วต่อมาเขาก็นับเอาธรรมะที่พระองค์ท่านตรัสรู้เป็น "ธรรมรัตนะ" ด้วย จึงมีรัตนะ คือ ดวงแก้วอันมีค่ายิ่งของพระพุทธศาสนาเพียงสองเท่านั้น

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2023
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,371
    ดังนั้น..บุคคลที่ปวารณาตนถึงพระพุทธะรัตนะ และธรรมรัตนะเป็นที่พึ่งในยุคแรก ๆ ไม่ว่าจะเป็นพระยสกุลบุตรก็ดี หรือว่าบิดามารดา ตลอดจนภรรยาเก่าของพระยสะก็ตาม เขาเรียกกันว่า 'เทววาจิกอุบาสก-เทววาจิกอุบาสิกา' คือ อุบาสก-อุบาสิกาผู้ถึงพระรัตนตรัยเพียงสอง

    จนกระทั่งเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาโปรดปัญจวัคคีย์ฤๅษีทั้ง ๕ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี โดยได้แสดงพระปฐมเทศนา ที่เรียกกันว่า "ธัมมจักกัปปวัตนสูตร" หนึ่งในปัญจวัคคีย์ คือ ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรม ก็คือ..มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุ ถ้าเหตุดับ..สิ่งนั้นก็ดับลง

    ดังนั้น..องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ประทานการอุปสมบทให้ เป็นพระสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำให้พระรัตนตรัยครบสามเป็นครั้งแรกในโลก
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,371
    แต่ว่าการที่มีพระรัตนตรัยครบสามนั้น ก็ยังไม่สำคัญเท่ากับเนื้อหาใจความในปฐมเทศนา ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงออกไป เป็นการปฏิวัติความเชื่อในยุคนั้นทั้งหมด เพราะว่าในยุคนั้นเชื่อว่า การทรมานตนจะทำให้สามารถบรรลุโมกขธรรมได้ คำว่า "โมกขธรรม" ในที่นี้ คือ ธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้น

    องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทรมานกายยิ่งกว่าผู้อื่น คือ คนอื่นทำสัก ๘๐-๙๐ พระองค์ท่านทำสัก ๑๒๐-๒๐๐ เป็นต้น เมื่อองค์สมเด็จพระทศพลทรมานพระวรกายยิ่งกว่าบุคคลทั้งหลายในยุคนั้น เสียเวลาไป ๖ ปีเต็ม ๆ ไม่ได้มรรคไม่ได้ผลอะไรเลย แต่เราจะกล่าวว่าเสียเปล่าก็ไม่ได้ เนื่องเพราะว่า..พระองค์สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า นั่นเป็นวิธีการที่ผิด..!

    จนกระทั่งองค์สมเด็จพระบรมบพิตรได้รับสัญญาณจากพระอินทร์ ที่มาดีดพิณสามสายให้ฟัง ก็คือ..
    สายหนึ่งขันตึงจนเกินไป ดีดไม่กี่ทีก็ขาด เปรียบเหมือนการทรมานตน ที่เป็น 'อัตตกิลมถานุโยค'
    สายหนึ่งหย่อนยานเกินไป ดีดก็ไม่เป็นเสียง เปรียบเหมือนกับฝ่ายที่คลุกคลีอยู่กับความสุข เป็น 'กามสุขัลลิกานุโยค'
    แต่สายที่ขึงตึงพอดี ทำให้ดีดแล้วมีเสียงไพเราะ


    พระองค์ท่านจึงมาพินิจพิจารณาว่า หนทางใดหนอ..ที่จะทำให้เข้าถึงโมกขธรรม ที่ไขว่คว้าหากันมานับพันปี
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,371
    องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เปลี่ยนจากการทรมานตน หันมาเสวยพระกระยาหาร พอมีกำลังแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วซึ่งยังเป็นพระมหาโพธิสัตว์ ก็นั่งลงยังรัตนบัลลังก์ใต้ต้นโพธิ์ อธิษฐานจิตว่า 'แม้เลือดเนื้อร่างกายนี้จะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือชีวิตินทรีย์นี้จะสูญสิ้นลงไปก็ตาม ถ้ายังไม่สามารถบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ท่านจะไม่ทำลายซึ่งบัลลังก์นี้เลย' ก็คือ จะไม่ลุกขึ้นอย่างเด็ดขาด..!

    องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถจึงได้พินิจพิจารณาธรรม จนกระทั่ง..ปฐมยามก็บรรลุ 'ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ' ระลึกชาติได้ไม่จำกัด เห็นว่า..แต่ละชาติล้วนแล้วแต่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกองทุกข์ แล้วถึงได้สำนึกว่า จักทำเช่นไรให้พ้นจากกองทุกข์นี้ได้

    ยามสองทรงบรรลุ 'จุตูปปาตญาณ' รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน เขาทั้งหลายเหล่านั้น ถ้ายังไม่หมดกรรม ก็จำต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารที่ยาวนาน หาต้นหาปลายไม่ได้ มีแต่ความทุกข์ยากลำบากไปเป็นกัปกัลป์อนันตชาติ

    องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงพิจารณาต่อไป จนถึงยามสามก็บรรลุ 'อาสวักขยญาณ' สามารถทำกิเลสให้สิ้นไปจากใจได้
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,371
    เนื่องเพราะว่า..พระองค์ท่านเหมือนกับคนที่หาเงินเอาไว้จนล้นฟ้าล้นแผ่นดินแล้ว แต่หาช่องทางในการใช้เงินไม่ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงสำเร็จถึงสมาบัติ ๘ ที่ถือว่า เป็นวิชาการสูงสุดในสมัยนั้น แต่เป็นการเดินเลยทางแยก เนื่องเพราะว่าการเข้าสมาบัติ ๘ นั้น ต้องตัดร่างกายและสัญญาลงโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกต่าง ๆ ไม่ให้มี จึงไม่สามารถที่จะใช้ปัญญาในการพิจารณาข้อธรรมต่าง ๆ ได้

    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า..เมื่อได้รับนิมิตถึงพิณสายกลางแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงลดกำลังลงมาอยู่ที่รูปฌาน สามารถใช้ปัญญาพินิจพิจารณา แล้วก็เห็นว่า หนทางที่จะหลุดพ้นนั้น ประกอบด้วย "มรรคมีองค์ ๘"

    ซึ่งขึ้นด้วยปัญญา ก็คือ 'สัมมาทิฏฐิ' มีความเห็นที่ถูกต้อง ว่านี่คือหนทางที่แท้จริง ซึ่งจะบรรลุมรรคบรรลุผลเข้าถึงโมกขธรรมได้

    มี 'สัมมาสังกัปปะ' คือ ดำริที่ถูกต้อง คือ..พระองค์ท่านตั้งแนวคิดไว้ว่า ต้องพ้นจากกองทุกข์

    ทั้งสองข้อนี้จัดอยู่ในหมวดของ "ปัญญาสิกขา"
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,371
    แล้วพระองค์ท่านก็พินิจพิจารณาถึง วิธีการที่จะเข้าถึงความพ้นทุกข์ ตามที่ได้วางแนวคิดเอาไว้ จึงเห็นว่ามี 'สัมมาวาจา' ต้องเป็นบุคคลที่ไม่โกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดวาจาส่อเสียดยุยงให้คนอื่นแตกร้าวกัน และไม่พูดคำเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้ประโยชน์ ไม่เป็นอรรถไม่เป็นธรรม

    'สัมมากัมมันตะ' มีการกระทำที่ถูกต้อง คือ ต้องเว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการดื่มสุราหรือว่าติดยาเสพติด

    'สัมมาอาชีวะ' จะต้องมีอาชีพที่ถูกต้อง ก็คือ..เว้นจากการทำอาชีพที่ผิดทั้งกฎหมายบ้านเมืองและศีลธรรม อาชีพของนักบวชก็คือ บิณฑบาตขออาหารจากชาวบ้าน ในส่วนนี้จัดอยู่ในส่วนของ "สีลสิกขา" ก็คือ มีศีลเป็นหลัก

    หลังจากนั้นแนวทางต่อไปก็คือ 'สัมมาวายามะ' มีความพยายามที่ถูกต้อง ก็คือ..พยายามขับไล่ความชั่วออกไปจากใจ ระมัดระวังไว้ไม่ให้ความชั่วนั้นเข้ามา นี่ก็คือ..การที่ต้องทรงสมาธิให้อยู่กับปัจจุบันธรรมตรงหน้า ถ้าหากว่าสมาธิทรงตัว รัก โลภ โกรธ หลงเกิดขึ้นไม่ได้

    แล้วความพยายามที่ถูกต้องต่อไปก็คือ
    ดูว่า..ใจของเรามีความดีอยู่หรือไม่ ถ้าไม่มีความดีก็ให้สร้างความดีขึ้นมา ถ้ามีความดีอยู่แล้วก็ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,371
    แล้วต่อไปก็ยังมี 'สัมมาสติ' คือ ให้ตั้งสติดำเนินอยู่ในมหาสติทั้ง ๔ ก็คือ พิจารณาใน..
    กาย ก็คือ รูปร่างกายนี้
    เวทนา คือ ความรู้สึกสุขทุกข์ หรือว่าไม่สุขไม่ทุกข์ที่เกิดกับกายนี้
    สัญญา คือ ความรู้ได้หมายจำ ซึ่งต้องอาศัยการทรงสมาธิ ควบคุมความคิดของตนเอง ไม่ให้ฟุ้งซ่านไปกับอดีต หรือฟุ้งซ่านไปในอนาคต
    สังขาร คือ ความปรุงแต่งของใจ


    ปกติรัก โลภ โกรธ หลงมีเต็มตัวทุกคน แต่ถ้าเราไม่คิด..รัก โลภ โกรธ หลงก็ไม่เกิด การจะหยุดความคิดได้ คือ..รักษาใจอยู่กับปัจจุบันขณะตรงหน้า ถ้าใจอยู่กับปัจจุบันตรงหน้า ความรัก โลภ โกรธ หลงทั้งหมดจะดับลงโดยอัตโนมัติ ในเมื่อเป็นเช่นนี้..องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์จึงได้พิจารณาต่อไปถึงข้อสุดท้าย ก็คือ..'สัมมาสมาธิ'


    อุตส่าห์ทำไปจนถึงสมาบัติที่ ๘ ปรากฏว่าทำเกิน..! เหมือนคนยืดคอเลยช่องที่ต้องการจะมองหาสิ่งของ ย่อมไม่สามารถที่จะเห็นอะไรได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ลดกำลังจากสมาบัติ ๘ ลงมาอยู่ที่ฌาน ๔ เรียกว่าเป็น 'อัปปนาสมาธิ' ระดับรูปฌานที่ ๔ แล้วพิจารณาตัดกิเลสทั้งหลายเด็ดขาดลงไปในวาระนั้น องค์สมเด็จพระภควันบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณได้
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,371
    เมื่อเห็นหนทางที่ถูกต้อง แล้วพระองค์ท่านสามารถที่จะทำได้สำเร็จ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหาบุคคล ซึ่งสามารถเป็นพยานในการบรรลุมรรคผลของพระองค์ท่านได้ ทรงรำลึกถึงอาจารย์ทั้งสองท่าน คือ อาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร

    ซึ่งความจริงมีแต่อาฬารดาบส กาลามโคตรเท่านั้นที่เป็นอาจารย์ ซึ่งองค์สมเด็จพระภควันบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไปขอฝากตนเป็นศิษย์ เล่าเรียนจนได้สมาบัติที่ ๗ แต่ว่าอุทกดาบส รามบุตรนั้นเป็นเพื่อนสหธรรมมิก ปฏิบัติธรรมอยู่ด้วยกัน ศึกษาอยู่ด้วยกัน บอกว่า 'โยคีสิทธัตถะ..สิ่งที่ทำนี่เราว่าไปได้อีกหน่อยหนึ่งนะ' ว่าแล้วก็ขยาย 'เนวสัญญานาสัญญายตนะ' ซึ่งเป็นฌานที่ ๘ ให้ดู

    องค์สมเด็จพระบรมครูทรงประกอบไปด้วยปัญญาอันเลิศอยู่แล้ว พอเห็นแนวทางปุ๊บ ก็ทำได้ทันที แต่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปติดอยู่ที่สมาบัตินี่เอง ก็คือ..มีสัญญาเหมือนกับไม่มีสัญญา รู้สึกเหมือนกับไม่รู้สึก จึงไม่สามารถจะใช้ปัญญาในการพิจารณาธรรมได้ เมื่อได้แนวทางสายกลาง ลดกำลังลงมาเหลือแค่ฌานที่ ๔ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

    แต่อนิจจา..น่าเสียดาย องค์สมเด็จพระจอมไตรทราบด้วยญาณว่า อาฬารดาบส กาลามโคตรผู้เป็นอาจารย์ เสียชีวิตไปเมื่อ ๗ วันที่แล้ว ส่วนอุทกดาบส รามบุตร เพื่อนสหธรรมมิกซึ่งเป็นผู้บอกแนวทางสมาบัติที่ ๘ ให้ เพิ่งจะตายภายในวันนี้เอง..!
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,371
    ในเมื่อครูบาอาจารย์ ซึ่งเปรียบเหมือน 'ดอกบัวพ้นน้ำ' พร้อมที่จะบานทันทีที่กระทบแสงแห่งธรรม มรณภาพแล้ว ไปอยู่อรูปพรหมทั้งคู่ ไม่สามารถที่จะเทศน์โปรดได้ไม่ว่าจะวิธีการใด ๆ

    เนื่องเพราะว่าเขาไม่ต้องการทั้งร่างกาย ไม่ต้องการทั้งอายตนะ คือ เครื่องติดต่อ ไม่ต้องการทั้งวิญญาณ คือ ประสาทความรู้สึก ไม่ต้องการทั้งสัญญา คือ ความรู้ได้หมายจำ จึงไม่มีอะไรที่สามารถติดต่อได้ เหมือนอย่างกับมีโทรศัพท์อยู่ก็ปิดเครื่องทิ้งเสีย ก็ต้องรอให้พ้นจากวาระการเป็นอรูปพรหม ก็คือ..รอให้มาเกิด เหมือนกับเปิดเครื่องโทรศัพท์ใหม่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเนิ่นนานอีกกี่หมื่นกี่แสนกัป

    องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้นึกถึงปัญจวัคคีย์ฤๅษีทั้ง ๕ ซึ่งได้ให้การอุปถัมภ์อุปัฏฐากพระองค์ท่านมาอยู่ ๖ ปี แต่เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับมาดำเนินทางสายกลาง ซึ่งขัดกับความเชื่อของคนยุคนั้น ปัญจวัคคีย์จึงหลีกไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี

    องค์สมเด็จพระมหามุนีจึงเสด็จไปเทศน์โปรด จนปัญจวัคคีย์ฤๅษีทั้ง ๕ ซึ่งมี อัญญาโกณฑัญญะเป็นหัวหน้า มีดวงตาเห็นธรรม แล้วฟังอนัตตลักขณสูตร บรรลุอรหัตผล องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจำพรรษาร่วมกับปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันเป็นพรรษาแรก จนกระทั่งออกพรรษา แล้วจึงแยกย้ายกันไปประกาศพระพุทธศาสนา
     
  10. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,371
    ญาติโยมทั้งหลายจะเห็นว่า วันอาสาฬหบูชานั้นเป็นวันที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่า..องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม ซึ่งเป็นการรวมความรู้ทั้งหมดของพระองค์ท่าน สรุปลงมาเป็นแนวของมรรค ๘ ที่ย่อลงมาเหลือ 'ไตรสิกขา' คือ ศีล สมาธิ และปัญญา บอกกล่าวให้กับผู้ที่เป็นพยานในการตรัสรู้ของพระองค์ท่าน ก็คือ ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ แล้วก็ขยายเอาหลักธรรมนั้นมาสู่เราทั้งหลายในปัจจุบันนี้

    ซึ่งท่านทั้งหลายที่พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันอาสาฬหบูชาที่วัดท่าขนุนแห่งนี้ ท่านทั้งหลายได้สมาทานศีล ๘ แปลว่า เป็นบุคคลที่ปฏิบัติในสีลสิกขา ตั้งใจฟังธรรมด้วยความเคารพ แปลว่า เราปฏิบัติในสมาธิสิกขา ก็แปลว่า..ท่านทั้งหลายต้องพินิจพิจารณาว่า หลักธรรมที่กำลังฟังอยู่นี้ ส่วนใดที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเราในการดำรงชีวิต ในการที่จะขัดเกลาตนเองให้บางเบาจากรัก โลภ โกรธ หลงได้ แล้วนำเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ จึงจะได้ชื่อว่าท่านทั้งหลายปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญาโดยสมบูรณ์ ก็แปลว่า..ท่านต้องเดินอยู่บนทางสายกลาง คือ มรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง

    ในเมื่อเราท่านทั้งหลายปฏิบัติอยู่แล้ว ก็ขอให้ทำโดยจริงจังสืบไป แม้ว่าชาตินี้บรรลุมรรคบรรลุผลไม่ได้ ก็ให้หนทางที่เราเวียนว่ายในกองทุกข์นี้สั้นลงที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงจักได้ชื่อว่า เกิดมาสมกับเป็นพุทธศาสนิกชน ที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา
     
  11. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,371
    เทสนาวสาเน ท้ายสุดแห่งพระธรรมเทศนา อาตมาภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะเป็นประธาน มีบารมีของอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนทั้งหลาย มีหลวงปู่สาย อคฺควํโส เป็นที่สุด ได้โปรดดลบันดาลให้ญาติโยมทั้งหลายประสบแต่ความสุขความเจริญ มีความปรารถนาที่สมหวังจงทุกประการโดยถ้วนหน้ากันทุกท่านทุกคน

    รับหน้าที่วิสัชนามาในอาสาฬหปูชากถาก็พอสมควรแก่เวลา จึงขอสมมติยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์วันอาสาฬหบูชา ณ วัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย หยาดฝน)
     
  12. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,371
    ถ่ายทอดสดงานเวียนเทียนวันอาสาฬหบูชา วัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖

     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...