เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๖

​

 

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ญาติโยมทั้งหลายก็คงจะเห็นแล้วว่า ตัวของกระผม/อาตมภาพเองนั้นหาเวลาว่างได้ยากมาก จากเมื่อวานนี้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการโครงการอบรมนักเทศน์ทุนเล่าเรียนหลวงรุ่นที่ ๓ และคณะกรรมการโครงการประชุมสัมมนาพระปริยัตินิเทศก์ทั่วประเทศ

วันนี้ก็มีงานส่งมาในกลุ่มไลน์ ก็คือวันพรุ่งนี้ให้มีการประชุมคณะกรรมการดำเนินการ โครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา (หมู่บ้านรักษาศีล ๕) ก็แปลว่าทั้ง ๆ ที่วันนี้กระผม/อาตมภาพควรที่จะเดินทางกลับไปวัดท่าขนุน ก็ไม่สามารถที่จะไปได้ เพราะว่าพรุ่งนี้มีพิธีเปิดโครงการอบรมนักเทศน์ทุนเล่าเรียนหลวงรุ่นที่ ๓ ตั้งแต่เช้า ถ้าวันนี้กระผม/อาตมภาพเดินทางกลับวัดท่าขนุน ไปถึงวัด เอาเท้าแตะพื้นแล้วก็ชักกลับ วิ่งรถย้อนกลับมายังวัดอุทยานตามเดิม ถ้าใครทำเช่นนั้นก็คงจะสติสตังค์ไม่ค่อยจะดี..!

จึงกลายเป็นวันนี้ที่กระผม/อาตมภาพดูแล้วว่าน่าจะมีเวลาว่าง แต่ก็ไม่มี เนื่องเพราะว่าต้องมาลงบัญชีรับจ่ายต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งเตรียมเงินที่จะให้รางวัลแก่เด็ก ๆ เนื่องเพราะว่าเด็กนักเรียนโรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิ ทีมสวดมนต์หมู่ทำนองสรภัญญะ ทั้งทีมหญิงและทีมชาย ได้เข้าประกวดสวดมนต์หมู่ทำนองสรภัญญะระดับประเทศ ที่หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร ปรากฏว่าทั้งสองทีมได้รับรางวัลชนะเลิศ รับถ้วยพระราชทานของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

กระผม/อาตมภาพนั้นได้สนับสนุนทีมสวดมนต์หมู่ทำนองสรภัญญะนี้มาตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะไปแข่งขันที่ไหนก็ตาม ถ้าหากว่าไม่มีค่ารถ มาขอรับค่ารถได้ที่วัดท่าขนุนได้ ถ้าหากว่าได้รางวัลมา ไม่ว่าจะเป็นที่ ๑ ที่ ๒ หรือว่าที่ ๓ หลวงพ่อวัดท่าขนุนจะมีรางวัลเพิ่มเติมให้ทุกครั้ง

งานนี้ไปได้รางวัลชนะเลิศในการประกวดระดับประเทศ ก็ต้องถือว่าเป็นสุดยอดของประเทศไทยแล้ว ซึ่งกระผม/อาตมภาพเคยได้บอกกล่าวแก่ท่านทั้งหลายไว้แล้วว่า บรรดาโรงเรียนต่าง ๆ ที่กระผม/อาตมภาพให้การสนับสนุนอยู่นั้น ต่างก็มีเด็กนักเรียนที่มีฝีมือในด้านต่าง ๆ คว้ารางวัลระดับประเทศมาแล้ว มากต่อมากด้วยกัน

อย่างเช่นว่าโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา ได้รับเหรียญทองในการประกวดนาฏศิลป์และการละครระดับประเทศหลายต่อหลายครั้ง

โรงเรียนบ้านอู่ล่อง ได้รับรางวัลในการประกวดนาฏศิลป์และการละครระดับประเทศ ถึงขนาดสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ให้คำมั่นสัญญาว่า เด็กนักเรียนประถมชุดนี้ เมื่อจะเข้าเรียนระดับปริญญาตรี ทางด้านสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ยินดีรับเข้าเรียนโดยไม่ต้องสอบ

เด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านจันเดย์ ได้ทำการฝีมือจักสานต่าง ๆ จนกระทั่งได้รับรางวัล CPOT (โครงการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย Cultural Product of Thailand)

หรือว่าเด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านเสาหงษ์ ได้รับรางวัลในด้านการแกะสลักผลไม้ ตลอดจนกระทั่งโรงเรียนวัชรวิชญ์ ซึ่งได้เหรียญรางวัลคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์โอลิมปิก

 

เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่า บรรดาเด็ก ๆ ทั้งหลายนั้น ถ้าหากว่าได้รับการสนับสนุน ก็สามารถที่จะเปล่งประกาย แสดงความสามารถเฉพาะตนออกมา สู้กับโรงเรียนอื่นได้ทั่วประเทศ โดยเฉพาะการสนับสนุนของกระผม/อาตมภาพนั้น ส่วนหนึ่งที่จะลืมไม่ได้ก็คือ ต้องหาเวทีให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นได้แสดงความสามารถ ถ้าหากว่าเป็นการผลิตสินค้า ก็ต้องหาตลาดมารองรับ ไม่เช่นนั้นแล้วเมื่อให้การสนับสนุนไปแล้ว เขาไม่มีเวทีในการแสดงออก หรือว่าผลิตสินค้ามาแล้ว ไม่มีตลาดให้จัดจำหน่ายได้ ก็คงไม่มีใครอยากที่จะทำ

เรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายอยากจะสนับสนุนงานด้านต่าง ๆ ก็ต้องพิจารณาตั้งแต่ต้นยันปลายว่า การสนับสนุนของเรานั้นครบวงจรหรือไม่ เป็นต้น

เวลาที่เหลือในวันนี้ กระผม/อาตมภาพก็ได้ถ่ายรูปวัตถุมงคลส่งไปให้ไอ้ตัวเล็ก ทำการลงให้ท่านทั้งหลายได้บูชาในกระทู้บุญต่าง ๆ โดยเฉพาะช่วงนี้นั้น วัตถุมงคลที่นำออกให้บูชา ก็คือวัตถุมงคลที่ได้รับการถวายมาจากพระครูปลัดพิจารย์ วิจารโณ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ผักไห่ ซึ่งท่านเองก็ได้เก็บสะสมพระเครื่อง พระกรุ ของเก่าต่าง ๆ เอาไว้เป็นระยะเวลาหลายสิบปีเช่นกัน

ท่านตัดใจนำเอาบางส่วนออกมาถวายให้กระผม/อาตมภาพ เพราะเห็นว่าเป็นบุคคลที่ชอบในด้านนี้เช่นกัน แต่กระผม/อาตมภาพนั้นจะต้องนำกฐินไปทอดให้แก่ท่านในปีนี้อยู่แล้ว จึงให้ไอ้ตัวเล็กนำเอาวัตถุมงคลของท่านลงในกระทู้กฐินปลดหนี้ปี ๒๕๖๖ ซึ่งราคาที่ลงไปนั้น ก็อยู่ใน "ระดับเยาวชนสุด ๆ" เนื่องเพราะว่าเป็นของที่ได้รับมาฟรี แล้วก็ตั้งใจที่ทำในกองบุญการกุศลด้วย จึงลงราคาเอาไว้แค่ที่เห็น

แต่ถ้าหากว่าเป็นของที่กระผม/อาตมภาพซื้อหาบูชามาด้วยตนเอง อย่างน้อยชิ้นหนึ่งก็ต้องลงราคาเป็นแสน หรือว่าหลายแสนบาท..! จึงเป็นโอกาสดีที่ท่านทั้งหลายซึ่งต้องการวัตถุมงคล หรือว่าพระเครื่องที่เป็นพระกรุ เอาไว้ติดตัวบูชาบ้าง เพื่อที่อย่างน้อย ๆ ได้คุยกับคนอื่น ว่าเราก็มีพระระดับนี้เหมือนกัน ท่านทั้งหลายก็ต้องไปจองบูชากันให้ทันกับเวลาด้วย

 

เพียงแต่ว่ามีหลายท่านที่บูชาแล้วนำไปจำหน่ายต่อ เนื่องเพราะว่ามีบรรดาเซียนพระ รู้ว่าทางด้านเว็บท่าขนุนนั้นมีการปล่อยวัตถุมงคล เครื่องรางต่าง ๆ ออกมา ในราคาที่สามารถนำไปปล่อยต่อทำกำไรได้มาก ก็เข้ามาจ้องรอ เมื่อถึงเวลามีการลงกระทู้ ก็รีบชิงบูชาสิ่งที่หายากไปเสียก่อน

แต่ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเราและญาติโยมทั้งหลายว่า สิ่งที่ลงให้บูชานั้น แม้ว่าบางอย่างจะไม่ได้หายากจนถึงที่สุด แต่ก็เป็นชิ้นที่พิจารณาแล้วว่าสมบูรณ์มาก ถ้าหากว่าอยู่ในระดับส่งประกวดได้ หรือที่ภาษาเซียนเรียกว่า "สวยแชมป์" ก็จะออกในราคาสูงสักนิดหนึ่ง แต่ท่านทั้งหลายก็ต้องเข้าใจว่า ของหายาก บูชามาในราคาสูง ถึงเวลาก็ต้องออกในราคาที่สูงสักหน่อย

แต่ไอ้ตัวเล็กได้ส่งรายละเอียดมา มีบุคคลผู้หนึ่งอ้างว่าบูชาแหวนพิรอด หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัวไป แล้วนำไปปล่อยต่อในราคา ๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่บอกว่าบูชามาจากเว็บวัดท่าขนุนในราคานี้ กระผม/อาตมภาพขอให้ท่านผู้นั้นหาหลักฐานมาด้วยว่า กระผม/อาตมภาพเคยปล่อยให้บูชาแหวนพิรอด หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัวในราคา ๕๐,๐๐๐ บาท ไม่เช่นนั้นแล้วก็ถือว่าท่านกำลังโกหกหลอกลวงผู้บริโภค..!

เนื่องเพราะว่าแหวนพิรอดหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัวนั้น ในระดับทั่ว ๆ ไป ถ้าเป็นหัวเดียว ที่เรียกว่า "ถันพระอุมา" แล้วเป็นวงเล็ก กระผม/อาตมภาพจะออกให้บูชาในราคาวงละประมาณ ๑๕,๐๐๐ บาท ถ้าหากว่าเป็นหลายหัวถึงระดับเก้าหัว หรือว่าทรงหมวกเจ๊กที่หายาก ก็จะปล่อยให้บูชาในระดับ ๒๕,๐๐๐ บาท ถึง ๓๕,๐๐๐ บาท ไม่เคยปล่อยออกบูชาในระดับ ๕๐,๐๐๐ บาทมาก่อนเลย..!

 

เนื่องเพราะว่าท่านที่บูชาไป ถ้าตั้งใจไว้ใช้ส่วนตัว ก็จะได้ไม่ต้องจ่ายในราคาที่แพงมากนัก หรือว่าจะนำไป "ออกตัว" ต่อให้กับคนอื่น ก็จะพอทำกำไรได้บ้าง ไม่ใช่ไปอ้างว่าบูชามาราคานี้ในเว็บวัดท่าขนุน แล้วคนอื่นไม่ยอมบูชาต่อในราคานี้ ท่านก็ไปด่าเขาอีกต่างหาก..! ถ้าหากว่ายืนยันว่าบูชาไปในราคานี้ ลองเอาภาพแค็ปฯ หน้าจอส่งให้กระผม/อาตมภาพดูที ว่ากระผม/อาตมภาพสิ้นสติให้บูชาไปราคานี้ในตอนไหน..!?

ส่วนญาติโยมทั้งหลาย ถ้าหากว่าเราเห็นว่าราคาสูง ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปถกเถียงกับเขา เนื่องเพราะว่าจะเป็นการเหนื่อยเปล่า แทนที่จะมีคุณความดีใส่ตัว ก็กลายเป็นการเอากิเลสไปชนกัน สร้าง รัก โลภ โกรธ หลง ให้เกิดขึ้นอีกต่างหาก

จึงเป็นเรื่องที่เราพึงสังวรระวังเอาไว้ว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่า เราจักไม่กล่าววาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกัน เนื่องเพราะวาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกันนั้น ทำให้ต้องพูดมาก บุคคลที่ต้องพูดมาก จิตใจย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านจิตใจย่อมห่างจากสมาธิ

ถ้าเราคำนึงถึงตรงนี้ก็ต้องพยายามปล่อยวาง รักษากำลังใจของเราเอาไว้ อย่าให้ รัก โลภ โกรธ หลง เข้ามากินใจได้ ก่อนหน้านี้กิเลสเราก็มีมากพออยู่แล้ว อย่าไปรับเอากิเลสคนอื่นเข้ามา จนกลายเป็นไฟเผาตัวของเราเองเพิ่มขึ้นเลย..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)