เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 15 มิถุนายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,371
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,371
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพรับฎีกาหลวงอาราธนาไปร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคล เนื่องในวาระครบ ๑๐๐ ปีแห่งการสิ้นพระชนม์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ณ มณฑลพิธีพระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

    ในงานนี้สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อมฺพรมหาเถร) ทรงเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ แม้ว่าพระองค์ท่านจะเจริญพระชนมายุถึง ๘ รอบ ๙๖ พรรษาแล้ว แต่ก็ยังดูแข็งแรงดี

    ส่วนพระเถระทั้ง ๙ รูปรวมอาตมภาพด้วยนั้น ที่คุ้นเคยกันก็มี หลวงพ่อเจ้าคุณสมชาย (พระราชพัฒนากร) วัดปริวาสราชสงคราม ท่านเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัย (พระราชภาวนาพัชรญาณ วิ.) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสระบุรี เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) เป็นต้น พูดง่าย ๆ ว่ามีแต่บรรดาเจ้าคุณ ต่ำสุดก็ชั้นสามัญ แล้วอยู่ ๆ ก็มีพระครูโผล่ไปโด่เด่อยู่รูปเดียว..!

    แถม มรว.จิยากร อาภากร เสสะเวช ประธานมูลนิธิราชสกุลอาภากร ยังกล่าวว่า "กราบรบกวนหลวงพ่อวัดท่าขนุนทุกงานเลยนะคะ" พูดง่าย ๆ ว่าจองตัวกันล่วงหน้า เนื่องจากว่าตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงครั้งปัจจุบัน คณะศิษย์วัดท่าขนุนและผู้มีจิตศรัทธา ไปบูชาวัตถุมงคล ซึ่งสร้างขึ้นเนื่องในโอกาสที่จะทำคุณประโยชน์ต่าง ๆ ในนามของมูลนิธิราชสกุลอาภากรอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง จึงทำให้คุณหญิงท่านกำหนดจดจำวัดท่าขนุนได้แม่นยำเป็นพิเศษ

    งานนี้
    สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ประธานในการเจิมและจุดเทียนชัย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีนั้น ปีนี้ก็ทรงเจริญพระชนมายุ ๖๘ พรรษาแล้ว เพียงแต่ว่าจากที่เห็นด้วยสายตา พูดตามภาษาชาวบ้านก็คือ "ผอมลงไปมาก"

    แต่ว่าเสด็จพระราชดำเนินในลักษณะของคนแก่ ก็คือต้องเสด็จพระราชดำเนินแบบช้า ๆ และระมัดระวัง เนื่องเพราะว่าอาจจะเสด็จพระราชดำเนินไม่สะดวกอย่างหนึ่ง พระชนมายุสูงวัยแล้วอย่างหนึ่ง จึงทำให้พระองค์ท่าน ซึ่งโดยปกติแล้วก็ไม่ค่อยจะแต่งองค์ทรงเครื่องอะไรกับใคร จึงดูเป็นคนแก่ แบบเดียวกับคนแก่สมัยก่อนแถวบ้านกระผม/อาตมภาพไปเลย

    แต่ว่าทุกคนก็ปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่มารับเสด็จ เพราะว่าพระองค์ท่านเพิ่งจะเสด็จพระราชดำเนินกลับจากการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศจีน มหามิตรของเรา แล้วก็เสด็จพระราชดำเนินมาเป็นประธานฝ่ายฆราวาสในงานนี้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,371
    เรื่องของการปลุกเสกวัตถุมงคลนั้น ถ้าหากว่ามีพระพุทธรูปก็เป็นเรื่องง่าย เนื่องเพราะว่าบารมีพระที่สงเคราะห์ลงมานั้น ไม่ได้ลำบากเหมือนกับวัตถุอื่น ๆ เพราะว่าวัตถุอื่น ๆ นั้นเราต้องเสกจนมีอานุภาพเหมือนพระ แต่พระพุทธรูปนั้น เสกอย่างไรก็เป็นพระอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องที่ง่าย

    ขณะเดียวกันไม่ว่าจะเป็นรูปหล่อหรือว่าเหรียญของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์นั้น
    กระผม/อาตมภาพได้อัญเชิญท่านมาเสกให้เองโดยตรง ท่านเองก็ยังมีการตรัสแบบที่เรียกว่าล้อกันเล่น เหมือนกับคนคุ้นเคยว่า "เรื่องแบบนี้ก็ต้องรบกวนกันด้วย" ว่าแล้วก็ชี้ไปที่หลาน ก็คือคุณหญิงจิยากร ประธานมูลนิธิราชสกุลอาภากรว่า "เล่นจุดธูปบอกตั้งแต่วันก่อน ขอโน่นขอนี่หลายอย่าง โดยเฉพาะขอไม่ให้ฝนตก ขอไม่ให้แดดร้อน ขอให้มีลมพัดตลอดเวลา" ฟังพระองค์ท่านแล้ว กระผม/อาตมภาพก็รู้สึกขำอยู่ในใจเหมือนกัน

    เมื่อเสร็จพิธีแล้ว
    กระผม/อาตมภาพขอตัวเดินทางกลับ เมื่อถึงที่พักแล้ว ต้องรีบมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ก็ปรากฏว่าผู้ติดตามนั้น ได้มาเบิกทองคำจำนวน ๒๖๐ บาท เพื่อที่จะไปทำวัตถุมงคลตามที่ได้รับคำสั่งมา ก็คือตะกรุดโลกธาตุ แล้วก็เป็นวัตถุมงคลเนื้อเดียวเท่านั้น คาดว่าราคาจะค่อนข้างสูง กระผม/อาตมภาพจะพยายามกดราคาให้อยู่ที่ดอกละ ๕,๐๐๐ บาท คาดว่าน่าจะมีกำไรเหลืออยู่บ้างนิดหน่อย

    ส่วนเมื่อวานนี้ ตอนเจริญพระกรรมฐานและทำวัตรเช้าที่วัดท่าขนุนนั้น กระผม/อาตมภาพได้รับคาถามา พระท่านบอกว่าเอาไว้สร้างวัตถุมงคลช่วยเสริมปัญญาให้กับคนรุ่นนี้ ที่รู้สึกว่าจะค่อนข้างมีความจำย่ำแย่ เรียนหนังสือหนังหาไม่ค่อยจะได้เรื่องในสายตาของกระผม/อาตมภาพ

    พระคาถาเสริมปัญญาที่ว่านั้นว่า "ปัญญาเสฏฐัง ปัญญาพะลัง ปัญญาปัชโชโต ปัญญาระตะนัง ภูริปัญโญ มหาญาณัง สัมปะฏิจฉามิ" พระท่านให้สร้างเป็นวัตถุมงคลติดตัว แล้วต้องภาวนาพระคาถานี้ทุกวัน ใครภาวนาครบ ๑๐๘ จบ ก็จะมีอานุภาพในการเสริมปัญญา ไม่ว่าจะศึกษาวิชาการอะไร ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ง่าย แต่ถ้าขาดการภาวนาก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ผล..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,371
    กระผม/อาตมภาพฟังครูบาอาจารย์ท่านสั่งและบังคับแล้วก็ยังขำอยู่ในใจ โดยปกติแล้วเรื่องนี้กระผม/อาตมภาพไม่คิดที่จะทำอย่างเด็ดขาด เพราะว่าเท่ากับสนับสนุนเด็กให้ขี้เกียจ แต่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านบอกว่า "รุ่นพวกแกก็ใช้พระคาถาท่านปู่พระอินทร์ช่วย มารุ่นหลัง ๆ ที่ไม่รู้จักข้า ไม่รู้จักท่านปู่พระอินทร์ แต่ไปศรัทธาพวกแก เพราะว่าสร้างบุญสัมพันธ์กรรมสัมพันธ์กันมาในอดีต เขาก็จะฟังแกมากว่า ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แกก็ควรที่จะช่วยสงเคราะห์พวกเขาด้วย"

    ในเมื่อเป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ท่านให้ทำ คำสั่งประเภทนี้จัดว่าเลี่ยงไม่ได้ แต่กระผม/อาตมภาพ ก็กำลังมองอยู่ว่าจะทำเป็นเนื้อโลหะดี หรือว่าทำเป็นเนื้อผงดี เนื่องจากว่าในสมัยโบราณนั้น มีตะกรุดเสริมปัญญา ที่เรียกว่าตะกรุดอ้อป่อง หรือว่าตะกรุดอ้อบ่อง ซึ่งก็คือตะกรุดที่ช่วยในการทะลุทะลวง รู้แจ้งแทงตลอด นั่นก็ทำมาจากโลหะ

    หรือว่าอย่างสมัยหลวงพ่อทรง วัดศาลาดิน ท่านก็สร้างพระเสริมปัญญา ก็คือพระนักธรรมของท่าน กระผม/อาตมภาพยังเคยใช้ติดตัวอยู่ระยะหนึ่ง แต่เนื่องจากว่าทำพระคาถาท่านปู่พระอินทร์ขึ้นเสียแล้ว จึงทำให้พระนักธรรมของหลวงพ่อทรง วัดศาลาดินนั้น มีผลต่อกระผม/อาตมภาพ น้อยไปหน่อย เพราะว่าความเคยชินที่ต่างกัน

    ความเคยชินจากพระคาถา เมื่อถึงเวลาน้อมจิตระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด แล้วภาวนาพระคาถา พอจะมาอาราธนาพระนักธรรมอีกทีหนึ่งก็รู้สึกว่าไปกันไม่ค่อยจะได้ เนื่องเพราะว่ากลายเป็นวิชาคนละสาย คนละอย่างกัน

    แต่ว่าพระนักธรรมของหลวงพ่อทรงนั้นดีจริง กระผม/อาตมภาพขอยืนยัน เพียงแต่ว่าต้องให้คนอื่นใช้ ไม่ใช่ให้กระผม/อาตมภาพใช้เอง เมื่อมาถึงรุ่นของตนเองก็ต้องมาตัดสินใจว่า จะทำเป็นเนื้อโลหะแบบตะกรุดอ้อป่อง หรือว่าทำเป็นเนื้อผงแบบพระนักธรรมของหลวงพ่อทรง ก็คงจะต้องรอการตัดสินใจกันอีกทีหนึ่ง

    เพียงแต่ว่าในส่วนนี้ เมื่อถึงเวลาถ้าครูบาอาจารย์ท่านสั่งสร้างวัตถุมงคลติด ๆ กัน ก็แปลว่ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินมาก โดยเฉพาะระยะนี้ ในเรื่องของพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน อย่างโน้นก็เสร็จ อย่างนี้ก็จะส่ง งวดนั้นก็ต้องเบิก เมื่อวานนี้ก็เพิ่งจะจ่ายงวดที่ ๗ เป็นจำนวนเงิน ๘ ล้านบาทไป แต่ว่าได้หักประกันผลงานเอาไว้ ๔ แสนบาท ถ้าหากว่าผ่านไป ๖ เดือนแล้วไม่มีอะไรชำรุดเสียหาย ๔ แสนบาทนี้ก็ต้องโอนให้เขาไปอยู่ดี ก็แปลว่าในเรื่องของการสร้างวัตถุมงคลนั้น จะว่าไปแล้ว ก็ต้องลงทุนค่อนข้างมาก
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,371
    อย่างช่วงที่ผ่านมา การสร้างเหรียญมหาลาภเงินล้านนั้น ต้องลงทุนเม็ดเงินไปสองล้านกว่าบาท แล้วก็ยังต้องมีค่าบล็อก ค่าปั๊ม สารพัดของทางโรงงาน แล้วเหลือกำไรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พูดง่าย ๆ ว่าได้ประมาณ ๑ ใน ๔ ของค่างวดที่ต้องจ่ายค่าสร้างพิพิธภัณฑ์ ท่านที่เห็นตัวเลขส่วนรวมก็คิดว่ามาก ท่านลองคิดดูว่า ถ้าหากท่านทั้งหลายต้องลงทุนทองคำ ๒๖๐ บาท ราคาในปัจจุบันนี้ไปถึงเท่าไรแล้ว ?กระผม/อาตมภาพตั้งใจสร้างตะกรุดโลกธาตุตามตำราหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว แค่ ๓,๐๐๐ ดอก แล้วจะกดราคาเอาไว้ที่ดอกละ ๕,๐๐๐ บาท ไม่ขาดทุนก็บุญโขแล้ว

    ท่านทั้งหลายอาจจะคิดว่าทำไมกระผม/อาตมภาพไม่เอากำไรให้มากไปเลยทีเดียว ? ในเรื่องของกำไรมากนั้น
    กระผม/อาตมภาพมีไว้สำหรับคนช้า ก็คือถ้ามีวัตถุมงคลเหลือก็จะขึ้นราคา แต่ถ้าหากว่าใครเร็วแล้วจองทัน ก็จะได้ราคามาตรฐานบวกกำไรนิดหน่อย ตามที่กระผม/อาตมภาพทำมาเป็นปกติ

    เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าถ้าเราตั้งใจเอากำไรมาก บุคคลที่ท่านเอาไปปล่อยต่ออาจจะทำกำไรไม่ได้ แต่เท่าที่ผ่านมาสังเกตดูทุกครั้ง เขาได้กำไรมากกว่าทางวัดเป็นเท่า ๆ ตัว
    กระผม/อาตมภาพจึงออกอาการ "น้ำตาจิไหล" อยู่เหมือนกัน..! ว่าทางวัดต้องเหนื่อยยากลงทุนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวัสดุ เป็นค่าแบบ เป็นค่าเครื่องบวงสรวง เป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการสร้าง

    ถึงเวลาท่านเอาไปแล้วก็กำไรมากกว่าทางวัด ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะบ่นเป็นภาษาอะไรดี ได้แต่ปราม ๆ กันไว้ตรงนี้ว่า โปรดเพลา ๆ มือลงหน่อย ถ้าหากว่าพระท่านรำคาญขึ้นมาแล้วสั่งห้ามสร้างไปเลย ท่านทั้งหลายอาจจะทำมาหากินไม่ได้ ต้องเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นแทน ถึงเวลานั้นก็ไม่ต้องโทษใคร นอกจากโทษตัวเองว่าโลภมากแล้วลาภหาย..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...