เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 23 เมษายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ยินดีต้อนรับนิสิตพันธุ์ใหม่และกลุ่มคนที่มีสมรรถนะสูง ซึ่งเข้าอบรมตามโครงการที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งโครงการนี้ แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องที่พวกเรามาอบรมกันนั้น เป็นการที่เราอบรมเพื่อเพิ่มกำลังใจให้เข้มแข็งขึ้น การสร้างกำลังใจให้เข้มแข็งขึ้น ก็คือสร้างกำลังใจให้เป็นสมาธิมากกว่าเดิม จะได้สู้งานได้มากกว่าเดิม ทำให้เพิ่มสมรรถนะในการทำการทำงานต่าง ๆ ได้มากขึ้ ซึ่งถ้าหากว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมจริง ๆ ก็ต้องใช้คำวัยรุ่นว่า ฟังแล้ว "น้ำตาจิไหล..!"

    ก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมั่นใจในศักยภาพของมนุษย์ว่า สามารถพัฒนาได้จนสูงสุด คือหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน พระองค์ท่านจึงได้ตรัสสอนหลักธรรมอยู่ตลอด ๔๕ ปี จนเกิดเป็นพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่พวกเราจัดโครงการ หวังเอาผลตอนปลายนิดเดียว ไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งใจเอาไว้ ที่บอกว่า "น้ำตาจิไหล" ก็เพราะว่าแค่เสี้ยวเดียวก็ดูท่าว่าพวกเราจะเข้าไม่ถึงกันอีกด้วย..!

    เหตุที่เป็นเช่นนั้น ตั้งแต่ตอนช่วงบ่ายที่บอกไปแล้วก็คือ อันดับแรกเลย
    พวกเรายังไม่ได้เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เนื่องเพราะว่าไม่เคยปฏิบัติจนเกิดผลกับตนเองเลยแม้แต่ระดับต่ำ ๆ จึงไม่เห็นคุณค่า ไม่เห็นประโยชน์ แล้วพอพวกเรามาฝึกมาหัดกัน ไปสถานที่อื่น ๆ ก็มักจะโดนครูบาอาจารย์เข้มงวด ให้เดินจงกรม ให้ภาวนาว่ากันเช้ายันค่ำ สภาพจิตก็ยิ่งต่อต้านเข้าไปใหญ่ ผลที่เกิดขึ้นจึงมีน้อยมาก แล้วปัญหานี้จะแก้ได้อย่างไร ?

    อันดับแรกเลยก็คือ ขอให้ทุกคนสละเวลาอย่างน้อยตอนเช้าสัก ๓๐ นาที ตอนเย็นสัก ๓๐ นาที ภาวนาอยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างจริง ๆ จัง ๆ ก็คือหายใจเข้า ตามดูตามรู้เข้าไปจนสุด หายใจออก ตามดูตามรู้ออกมาจนสุด

    จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ เพราะว่าคำภาวนาไม่ใช่สาระสำคัญ คำภาวนาเป็นเพียงเครื่องโยงใจเราให้เป็นสมาธิเท่านั้น สำคัญคือสติที่รู้แนบชิดไปกับลมหายใจเข้าจนสุด ออกจนสุด เผลอตัวคิดเรื่องอื่นเมื่อไร เมื่อรู้ตัวให้รีบดึงกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกเสียใหม่
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    แรก ๆ ก็ต้องต่อสู้กันหนักมาก เพราะว่าเราเคยชินกับความฟุ้งซ่าน จะให้ใจสงบนั้นเป็นเรื่องยาก ยิ่งอยากจะให้สงบเท่าไรก็ยิ่งฟุ้งซ่านเท่านั้น..! ให้ทุกคนวางกำลังใจสบาย ๆ ว่า "เรามีหน้าที่ภาวนา จะสงบหรือไม่สงบ จะได้หรือไม่ได้ก็ช่างมัน" พยายามทำให้ต่อเนื่องกันอย่างน้อยสัก ๒ เดือน กำลังสมาธิของทุกท่านจะสูงขึ้นมาก

    เมื่อกำลังสมาธิสูงขึ้น สิ่งแรกที่จะได้เลยก็คือสติ สติของเราจะมั่นคงขึ้น เมื่อมีสติ เราจะแก้ไขปัญหาในเรื่องงานได้ดีขึ้นมาก เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วพอมีปัญหาในการทำงานเข้ามา เราก็เอาหลาย ๆ ปัญหามายำใหญ่รวมกัน จนบางทีก็รู้สึกว่าหนักมาก ทำให้แก้ไขปัญหานั้นไม่ได้ แต่ทันทีที่ท่านมีสติ จะทำให้เกิดปัญญา รู้จักแยกแยะความก่อนหลังเร็วช้า และความสำคัญของปัญหา ปัญหาไหนมาก่อนแก้ไขก่อน ปัญหาไหนสำคัญกว่าแก้ไขปัญหานั้นก่อน ถ้าจัดระดับความก่อนหลังเร็วช้า และความสำคัญของปัญหาได้ เราจะเหลือปัญหาอยู่ข้างหน้าแค่ปัญหาเดียว และไม่หนักจนเกินกำลังอีก

    นอกจากนั้น สมาธิยังทำให้เราสามารถยืดระยะในการทำงานได้นานขึ้น ประมาณว่าทุ่มเทกับงานตรงหน้าชนิดที่ไม่สำเร็จไม่เลิก ถ้าทำถึงระดับนี้ได้ ซึ่งจะเรียกว่าชั้นอนุบาลก็ได้ ท่านทั้งหลายก็จะเป็นนิสิตพันธุ์ใหม่ที่มีสมรรถนะสูง แต่เป็นแค่ผิว ๆ ของพระพุทธศาสนาเท่านั้น..!

    แต่ยังดีว่ามีการคิดทำโครงการนี้ขึ้นมา เพราะว่าอย่างน้อยท่านทั้งหลายก็จะได้เห็นประโยชน์ว่า พระพุทธศาสนาสามารถปรับเปลี่ยนท่านได้ เพียงแต่ว่าจะบอกว่าเป็นคนพันธุ์ใหม่ก็ไม่ใช่ เพราะว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้มีมาก่อนพระพุทธศาสนาหลายพันปี แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ศึกษาจากศาสดาลัทธิต่าง ๆ แล้วนำมาสรุปรวมเป็นสมถกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง

    เพียงแต่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น พระองค์ท่านมีปัญญามาก แม้จะปฏิบัติถึงที่สุดของสมาธิ ก็คืออรูปฌานที่ ๔ หรือที่เรียกว่าสมาบัติที่ ๘ พระองค์ท่านก็ยังเห็นว่านี่เป็นแค่การใช้กำลังใจข่มกิเลสเท่านั้น ต้องอาศัยกำลังสมาธิกดเอาไว้ เผลอหลุดเมื่อไรกิเลสตีเราตายอีก พระองค์ท่านจึงค้นคว้าต่อไป จนกระทั่งพบอริยสัจ ๔ ที่เป็นเพชรยอดมงกุฎ ซึ่งศาสนาอื่นหาไม่เจอ หาไม่พบ
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เมื่อประดับเพชรเม็ดนี้ลงบนยอดมงกุฎ ทุกอย่างก็สมบูรณ์บริบูรณ์ สามารถพัฒนาบุคคลตั้งแต่ปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส ขึ้นมาเป็นกัลยาณชนผู้ทรงศีล ขึ้นมาเป็นอริยชนผู้ละกิเลสตามลำดับ ๆ ไป จนกระทั่งท้ายสุด ปล่อยวางทุกอย่างได้ ไม่ยึดเกาะ ก็หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

    ก็แปลว่าเราต้องเอาความรู้ของคนรุ่นเก่าหลายพันปี มาพัฒนาตัวเราเองที่หลงระเริงอยู่ในโลก จนกระทั่งทำให้ไม่มีกำลังพอที่จะต่อต้านกิเลส เนื่องเพราะว่ากระแสโลกท่วมทับเราจนเกินกว่าที่จะสู้ได้ เราก็ไหลตามไป ทำให้หลายคนมีหนี้สินล้นพ้นตัว เพราะว่าทุกอย่างที่เขาทำออกมานั้น ผ่านการครุ่นคิดทางจิตวิทยามาแล้ว ว่าทำอย่างไรจะขายให้กับเราได้ ? กระตุ้นความต้องการเทียมของเราให้ปรากฏขึ้น

    อย่างเช่นว่าครีมชนิดนี้ทาแล้วผิวจะสวย ผิวจะขาว หนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่สมรรถนะร่างกายยังดีอยู่ไม่จำเป็นต้องใช้เลย เพราะร่างกายเราสร้างให้ทุกอย่างอยู่แล้ว แต่เขาสร้างความต้องการเทียมขึ้นมาจากหลักจิตวิทยา นำเอาพรีเซ็นเตอร์หนุ่ม ๆ สาว ๆ สวย ๆ หล่อ ๆ มาใช้ของสิ่งนั้น ทำให้เราอยากได้ อยากมี อยากเป็นแบบเขาบ้าง โดยที่ไม่ได้ดูว่าตัวเราเองต่างจากพรีเซ็นเตอร์ตรงไหน..!? เราทั้งหลายก็เลยไหลตามกระแสไป เพราะว่าขาดสติ สมาธิ และปัญญา กอบโกยเอาความต้องการเทียมเข้ามาจนเต็มบ้านไปหมด..!

    ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เราอาศัยอยู่ก็คือปัจจัย ๔ มี
    อาหารที่เรากินอยู่สามมื้อ เครื่องนุ่งห่ม ซึ่งแต่ละคนโดยเฉพาะสุภาพสตรี ถ้าจะใช้ของที่มีอยู่ คาดว่าอีก ๑๐ ปีก็ใช้ไม่หมด...! ที่อยู่อาศัย เรือนชานบ้านช่อง ถ้ามีแล้วใช้ไปหลายสิบปี หรือตลอดชีวิต และยารักษาโรค ความต้องการของเราหลัก ๆ ของเรามีอยู่เพียงแค่นี้

    แต่ปัจจุบันนั้นความต้องการเทียมที่โดนกระตุ้น แล้วเราไม่มีกำลังไปต่อต้าน ทำให้เรารู้สึกว่าต้องมีรถยนต์ ต้องมีคอมพิวเตอร์ ต้องมีโทรศัพท์มือถือ ไม่อย่างนั้นแล้วจะอยู่ไม่ได้ กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่าอยู่ได้ แล้วก็ไม่ตายอย่างแน่นอน เพราะว่าบางทีตนเองก็ลืมโทรศัพท์ไปเป็นอาทิตย์ ยกเว้นระยะหลังที่ต้องบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ถึงได้ใช้อยู่ทุกวัน
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    สิ่งของทั้งหลายทั้งปวงที่ไม่จำเป็น แต่ในเมื่อกำลังใจเราไม่มั่นคง ขาดความมั่นใจ ทำให้เราไปคว้าเอาของภายนอกมาเสริมฐานะตัวเอง บางคนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใช้ของแบรนด์เนมราคาเป็นแสน ๆ บาท..!

    อาตมภาพเห็นเพื่อนคนหนึ่งใส่นาฬิกาเรือนละ ๑๔๐,๐๐๐ บาท..! ซึ่งก็ใช้แค่ดูเวลาเท่ากับนาฬิกามิคกี้เม้าส์เรือนละ ๒๕๐ บาท..! ประโยชน์ของนาฬิกาคือบอกเวลาได้ ไม่ใช่เสริมฐานะซึ่งเป็นความต้องการเทียม เราจึงต้องดูคุณค่าแท้และคุณค่าเทียม ตามที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต ป.ธ. ๙) วัดญาณเวศกวัน ได้กล่าวเอาไว้ในหลักพุทธธรรม ไม่ใช่นั้นแล้วเราก็จะโดนหลอกไปเรื่อย

    ที่ทองผาภูมินี้ ถ้าท่านมีบัตรประชาชน เดินเข้าหาตัวแทนจำหน่ายรถมอเตอร์ไซค์ได้เลย ออกรถมอเตอร์ไซค์ ๑ คัน แถมน้ำมัน ๑ ถัง พัดลม ๑ ตัว ร่มอีก ๑ คัน ได้เงินเติมน้ำมันอีก ๕๐๐ บาท เอาไปใช้ฟรีเลย ๓ เดือน ถ้าไม่พอใจเอามาคืน ยังไม่เคยเห็นใครเอาไปคืนเลย เพราะว่าทันทีที่เราเอารถมาใช้ พรรคพวกก็ "อ้าว..มีรถใหม่นี่" "รถสวยนี่นา" สิ่งทั้งหลายเหล่านี้กลายเป็นพันธนาการ ที่ทำให้เรารู้สึกว่าหน้าตาของเราคือรถยนต์คันนั้น ไม่มีไม่ได้ ของมันต้องมี แล้วก็ไปวางดาวน์ จ่ายเงินผ่อนแต่โดยดี..!

    หลักจิตวิทยาพวกนี้แทนที่เขาจะเอามาเพื่อแก้ไขปัญหาภายในจิตภายในใจ ก็กลายเป็นเอามาใช้ในเชิงพาณิชย์ แล้วพวกเรายิ่งไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญาพอ ก็ไม่สามารถที่จะต่อต้านได้ แล้วก็ไหลตามกระแสไป กลายเป็นคนหนี้สินล้นพ้นตัว เพราะว่าผ่อนของทุกอย่าง บางคนก็ตะเกียกตะกายเป็นวัวงาน ทำงานเช้ายันค่ำเพื่อให้ได้เงินมาซื้อของที่ตนเองต้องการ


    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ อยากจะยกแนวคิดของจ่านายสิบตำรวจแก่ ๆ คนหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพรู้จัก ตอนนั้นกระผม/อาตมภาพยังไม่ได้บวช เรียกท่านว่า "พี่แดง" พี่แดงไปซื้อที่ไว้ ๒ ไร่ ปลูกบ้าน ใคร ๆ ก็ว่า "จ่าแดงบ้า บ้านพักตำรวจมีแต่ดันไปซื้อที่ปลูกบ้านเอง"

    กระผม/อาตมภาพถามจ่าแดงว่า "พี่แดงคิดอย่างไรที่ทำแบบนี้ ?" จ่าแดงบอกว่า "ตอนนี้ผมยังมีกำลังอยู่ อายุผมตั้งแต่ตอนนี้จนถึงเกษียณ ผมสามารถผ่อนที่ดินและเงินสร้างบ้านนี้ได้หมด เมื่อเกษียณผมมีที่ดินเป็นของตัวเอง ผมมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ถ้าอยู่บ้านหลวง เกษียณเมื่อไร ผมโดนไล่ออกมา ต้องไปหาเช่าบ้านอยู่..!"
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    "ประการต่อไปก็คือ ถ้าหากว่าอยู่แฟลตตำรวจ เมียผมเห็นข้างบ้านมีอะไรก็จะเอา แล้วใครเป็นคนจ่ายเงิน ? ก็ผมเอง แล้วเวลาว่างมีเยอะ ถ้าไม่มีอะไรบรรดาเมียก็เข้าวงไพ่กัน ผมก็ฉิบหายหนักขึ้นไปอีก..! เพราะฉะนั้น..ผมแยกตัวออกมาอย่างนี้ ถึงเวลาเกษียณ ผมมีที่ดิน ผมมีบ้าน ครอบครัวมั่นคง ผมก็ไม่เดือดร้อนเหมือนกับคนอื่น"

    เห็นหรือยังว่า ที่ตอนบ่ายกระผม/อาตมภาพบอกกับท่านทั้งหลายว่า "เราต้องเปลี่ยนแนวคิดก่อน เราถึงจะเป็นคนพันธุ์ใหม่ได้" ทั้ง ๆ ที่มันก็โฮโมซาเปียนส์พันธุ์เก่านี่แหละ ก็คือต้องมีสติ รู้จักยั้งคิด ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้ประทานพระบรมราโชวาทว่า เราจะซื้อก็ต่อเมื่อต้องใช้ ไม่ใช่ซื้อเอามาหมกไว้เต็มบ้าน

    บางคนนี่กระทั่งถุงยังไม่เคยแกะเลย อาตมภาพเจอมาเอง สมัยน้ำท่วมปี ๒๕๕๔ อาตมภาพส่งลูกน้องไปช่วยเขา ทั้งขนอาหารไปให้และก็ทั้งอพยพผู้เดือดร้อนออกมา มีคุณนายอยู่บ้านหนึ่ง เชื่อไหมว่าเรืออพยพที่นั่งได้เป็นสิบคน แกนั่งมาคนเดียวพร้อมกับกระเป๋าหลุยส์วิตตอง ๑๐๐ กว่าใบ..! นั่นช่วยอะไรได้ตอนน้ำท่วมไหม ?

    นี่คือเรื่องที่อยากจะฝากให้ท่านทั้งหลายไว้เป็นแนวคิด เพราะว่าถ้าเราปฏิบัติธรรมระยะเวลาสั้น ๆ ไม่ค่อยเกิดผล อันดับแรก พวกเราต้องปรับแนวคิดของเราก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยอาศัย ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลัก โดยเฉพาะทำสมาธิช่วงเช้า ๓๐ นาที ช่วงเย็น ๓๐ นาที สร้างกำลังใจของเราให้มั่นคง มีสติ แล้วปัญญาจะตามมาเอง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...