เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 10 เมษายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ บรรดาสามเณรที่เหลืออยู่ พระพี่เลี้ยงต้องดูแลให้ดี เพราะว่าพ่อแม่เขาให้ลูกมาบวชอยู่กับเรา เท่ากับมอบความไว้วางใจให้เราดูแล ที่เจ็บไข้ได้ป่วยถึงโรงพยาบาลแล้วก็เป็นหน้าที่ของหมอ แต่ถ้าอยู่กับเราก็ต้องดูแลอย่างระมัดระวังที่สุด

    เจ็บป่วยอะไรรีบให้ถึงมือหมอให้เร็วที่สุด เพราะว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง ตายได้เหมือนกับติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ยังดีว่าพวกเรามาเป็นไข้หวัดกันแค่สองวันสุดท้าย ถ้าหากว่าเป็นก่อนหน้านั้นก็คงเจริญมาก เพราะว่าต้องอยู่ร่วมกันอีกหลายวัน เดี๋ยวถ้าหากว่าสามเณรที่อยู่โรงพยาบาลกลับมา ใครจะสึกก็ทำการสึกให้เขา แล้วก็มารับทุนการศึกษาไป ถ้าหากว่าไม่สึกก็ให้อยู่สรงน้ำสงกรานต์กันต่อไป

    เมื่อครู่นี้ที่มหาหนึ่ง (พระมหานันทวัฒน์ อคฺคธมฺโม) ละล้าละลัง นำสวดมนต์ถูกบ้างผิดบ้าง
    เกิดจากการที่กำลังใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า เผลอไปคิดเรื่องอื่นอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็คือไม่ได้คิดงานตรงหน้าว่าต่อไปคืออะไร

    สำหรับท่านที่รักษากำลังใจตนเอง ถ้ากลัวว่าการคิดงานตรงหน้าจะทำให้สมาธิเคลื่อนแล้วฟุ้งซ่านได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่จำเป็นที่จะต้องซักซ้อม ก็คือทรงสมาธิแล้วคิดให้ได้ เพราะว่าการที่เราจะตัดจะละกิเลสอะไรก็ตาม กำลังแค่อุปจารสมาธินั้นไม่พอตัดกิเลส ต้องซักซ้อมให้คล่องตัวถึงระดับอัปปนาสมาธิ ตั้งแต่ระดับปฐมฌานละเอียดขึ้นไป แล้วนำมาพินิจพิจารณา

    แต่ถ้าหากว่าต้องการตัดกิเลสระดับสูง ตั้งแต่สังโยชน์ที่ ๖ ที่ ๗ ที่ ๘ ที่ ๙ ที่ ๑๐ บางท่านอาจจะสงสัยว่า ถ้ากำลังของเรามีแค่ปฐมฌานละเอียด แล้วเราตัดกิเลสได้แค่ระดับพระโสดาบันกับพระสกทาคามี ถ้าจะตัดกิเลสระดับพระอนาคามีกับพระอรหันต์จะทำอย่างไร ? ก็ไม่ต้องทำอะไร พิจารณาให้เห็นจริง แล้วถอนจิตจากการยึดถือในสิ่งต่าง ๆ ออกมาเท่านั้นเอง

    เพียงแต่ว่าตอนที่เราพิจารณาอยู่นั้น กำลังสมาธิจะดิ่งลึกไปเรื่อย ท่านที่ไม่ชำนาญบางทีก็ไม่รู้ตัว กว่าที่จะรู้สภาพจิตกับกิเลสก็ต่างคนต่างแยกกันอยู่ คือตัดขาดจากกันไปแล้ว ก็แปลว่าต่อให้เราไม่สามารถทรงฌาน ๔ ได้ในขณะที่ทรงความเป็นพระโสดาบันหรือว่าพระสกาทาคามี แต่ถ้าเราพิจารณาวิปัสสนาญาณไปเรื่อย สภาพจิตจะค่อย ๆ ดิ่งลึกเป็นสมาธิสูงขึ้น ๆ เมื่อสูงถึงระดับที่สมควรกับสังโยชน์นั้น ๆ ก็จะตัดขาดกันไปเองโดยอัตโนมัติ ใครที่ยังทำไม่ได้ก็ฟังเอาไว้เป็นพื้นฐานก่อน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    แต่คราวนี้ถ้าในเรื่องของการที่เราไม่คิดงานตรงหน้าเลย หรือว่าไปฟุ้งซ่าน ไม่ได้จดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า ล้วนแต่มีผลเสียทั้งคู่ เพราะว่าเราฟุ้งซ่านไปคิดเรื่องอื่น ก็จะเป็นอย่างที่เห็น ก็คือไม่มั่นใจว่านำได้ถูกหรือไม่ ? หรือถ้าหากว่าไม่คิดล่วงหน้าไว้เลย บางทีก็ตั้งสติไม่ทันว่าต่อไปงานคืออะไร แล้วก็ไปไม่เป็น ก็แปลว่าเราต้องคิดในขณะที่ทรงสมาธิอยู่ด้วยความระมัดระวัง คิดแค่งานต่อไปเพียงก้าวเดียว เมื่อมั่นใจว่างานก้าวต่อไปคืองานนี้ เราก็หยุดการคิดนั้น กลับมาอยู่กับการภาวนา หรืออยู่กับสมาธิของเราตามเดิม เท่านี้ก็จะป้องกันการฟุ้งซ่านได้

    สำหรับวันนี้กระผม/อาตมภาพเดินทางเข้าไปในตำบลชะแล ซึ่งถนนหนทางค่อนข้างจะยากลำบากมาก เพื่อที่จะไปเยี่ยมเยียนวัดวาอารามต่าง ๆ ที่มีการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน ไปดูความเป็นอยู่ แล้วก็ถวายปัจจัยสนับสนุนงานบวชให้กับวัดทั้งหลายเหล่านั้น

    คราวนี้ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าพื้นที่ตำบลชะแลนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็คืออุทยานแห่งชาติ ไม่ว่าจะเป็นอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ อุทยานแห่งชาติเขื่อนเขาแหลม และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ดังนั้น..การที่เราจะไปทำถนนหนทางให้ดีนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าพื้นที่อนุรักษ์แบบนั้น ถ้าไม่ได้รับการอนุมัติจากเจ้ากระทรวง จะไม่สามารถดำเนินการต่าง ๆ ได้เลย จึงต้องปล่อยให้ถนนหนทางเละเทะอยู่เหมือนเดิม ซึ่งกระผม/อาตมภาพเองได้ถ่ายคลิปวีดีโอไว้ แล้วส่งไปให้ผู้บังคับบัญชาดูว่าพวกเราอยู่กันอย่างไร

    ในยุคสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.๙, Ph.D.) ที่ปรึกษาคณะสงฆ์วัดสามพระยา วรวิหาร ยังดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค ๑๔ สมณศักดิ์อยู่ที่พระเทพสุธี พวกกระผม/อาตมภาพเคยวางแผนพาท่านไปในพื้นที่กันดารแบบนั้นมาแล้ว ก็คือจัดงานประชุมพระนวกะในสถานที่กันดารมาก ๆ แล้วก็นำท่านไป

    ปรากฏว่าหลังจากนั้นแล้วท่านบ่นเรื่องนี้ไปสองปี ไม่ได้บ่นว่าทำให้ท่านลำบาก แต่ท่านบ่นว่า "ผมไม่นึกเลยว่าผู้ใต้บังคับบัญชาเขาจะอยู่กันลำบากขนาดนี้ ตอนแรกเห็นพาไปริมเขื่อน สวยงามมาก มีแพขนานยนต์มารับ ผมก็คิดว่าวันนี้หรูแล้ว แต่ปรากฏว่าขึ้นจากแพขนานยนต์ ยังพาขึ้นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ ขับกระโดกกระเดกไปอีกเกือบสองชั่วโมง เขย่าจนผมเกือบจะหลุดเป็นชิ้น ๆ กว่าจะถึงวัดที่เป็นเจ้าภาพจัดประชุมพระนวกะของปีนั้น"

    ท่านบอกว่า
    ผู้บังคับบัญชาถ้าไม่ได้เข้าถึงพื้นที่แบบนี้ ก็จะไม่รู้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชา อยู่กันยากลำบากขนาดไหน ?
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    แบบเดียวกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ รูปปัจจุบัน ท่านบอกว่า "ผมย่องไปทองผาภูมิ ขึ้นไปถึงเหมืองปิล็อก ไปเจอวัดที่นั่น เจ้าอาวาสไม่รู้จักผม..ก็ใช่ แล้วผมก็ยังสงสัยว่าเวลาประชุมท่านจะไปกันอย่างไร อยู่กันไกลขนาดนี้"

    แถวนั้นถ้าไม่มีรถส่วนตัว ก็ต้องนั่งรถสองแถวลงมา วันหนึ่งมีแค่เที่ยวหรือสองเที่ยว แล้วก็ไม่รู้ว่าจะมาถึงทองผาภูมิตอนไหน ? แล้วจะต่อรถยนต์อะไรเพื่อเดินทางลงไปกาญจนบุรี ? แล้วจะต่อรถอะไรที่ไปนครปฐม ? แล้วจะต่อรถอะไรเพื่อไปประชุมที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ?

    ดังนั้น..ปีนี้ท่านจึงตั้งเป้าไว้ว่า การประชุมคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ครั้งต่อไป ท่านจะไปจัดประชุมที่วัดวังก์วิเวการาม คือวัดหลวงพ่ออุตตะมะ ท่านบอกว่า "ให้จังหวัดอื่นไปดูบ้างว่าพรรคพวกเขาอยู่กันลำบากแค่ไหน..!? ไม่ใช่ประชุมกี่ครั้งกี่ครั้ง วัดท่าขนุนก็โผล่หน้ามา แล้วไปคิดกันว่าเขาอยู่ใกล้ อยู่สบาย" ท่านบอกว่าในเรื่องของการเป็นพระสังฆาธิการต้องการผู้เสียสละ ก็คือเสียสละความสุขส่วนตน เพื่อความเจริญของคณะสงฆ์

    ผู้บังคับบัญชาในลักษณะนี้ ต้องบอกว่าคณะสงฆ์ภาค ๑๔ โชคดีมาก ตั้งแต่กระผม/อาตมภาพบวชมา ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ปัญญา อินฺทปญฺโญ ป.ธ.๖) วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ก็ดี หลวงพ่อพระพรหมดิลก สมัยเป็นพระเทพสุธีมาจนถึงพระธรรมคุณาภรณ์ก็ดี หรือว่าหลวงพ่อพระธรรมโพธิมงคล (สมควร ปิยสีโล ป.ธ.๙, ดร.) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรวิหารรูปปัจจุบันก็ดี

    มาจนกระทั่งถึงพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) รูปปัจจุบัน คณะสงฆ์ภาค ๑๔ ของเราจะเป็นผู้นำในการดำเนินการปกครองด้านต่าง ๆ อยู่เสมอ แล้วก็เข้าถึงพื้นที่ เห็นความยากลำบากของผู้ใต้บังคับบัญชามาแล้วทั้งนั้น

    ท่านจะเห็นว่าในยุคที่หลวงพ่อพระธรรมโพธิมงคลเป็นเจ้าคณะภาค ๑๔ อยู่ ท่านอนุญาตว่าเวลามีกิจกรรมอะไรที่ต้องไปร่วมการประชุม หรือว่าไปร่วมงานที่ส่วนกลาง ให้เว้นอำเภอทองผาภูมิกับอำเภอสังขละบุรีไว้ ใครมีกำลังใจให้ไปเอง ไม่ไปก็ไม่ว่า ถือว่าเป็น "ปาปมุต" พ้นจากโทษทั้งปวง ผู้บังคับบัญชาที่เข้าถึงพื้นที่ท่านจะรู้ถึงปัญหาในลักษณะนี้
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    เพราะฉะนั้น..หลายคนอาจจะสงสัยว่าสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ ป.ธ.๘) เป็นเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ทำไมคนถึงได้รักท่านขนาดนั้น ? ไม่ว่าจะพระภิกษุ สามเณร ฆราวาส ทุกคนทูนหัวทูนเกล้าให้ท่านหมด เพราะว่าท่านเข้าถึงพื้นที่ทุกวัด ทุกสำนักสงฆ์ ตระเวนไปจนตัวดำปี๋ ไม่เคยอยู่สบายกับใคร นั่งรถไปเจอพระเณรเดินเหงื่อท่วมตัวอยู่ข้างทาง ท่านก็จอดรถ "เฮ้ย..ขึ้นมา ๆ ไปไหนบอกมา เดี๋ยวกูไปส่ง" ไกลแค่ไหนท่านก็ไปส่งให้ แล้วท่านไม่ได้ทำในลักษณะที่เรียกว่าเอาหน้า แต่ท่านทำแบบนั้นมาตลอด

    สมัยก่อนถนนหนทางที่ขึ้นศรีสวัสดิ์ ไม่ว่าจะทางเขาเหล็ก เขาโจด บ้านน้ำพุ บ้านตีนตก ยากลำบากขนาดไหน คนที่มาในช่วงท้าย ๆ ของการปกครองของท่านอย่างกระผม/อาตมภาพเอง เดินธุดงค์ผ่านไปยังรู้สึกว่าไปโคตรยาก..! แต่หลวงพ่อไพบูลย์ไปนอนมาหมดแล้ว ท่านถือคติว่าไปที่ไหนก็นอนวัดที่นั่น ไม่มีการรีบกลับทั้งนั้น ไปถึงต้องไปให้รู้พื้นที่จริง ๆ

    พอถึงเวลาคณะสงฆ์เห็นใจท่าน รถราเริ่มเก่า..พังบ่อย ร่วมใจกันบริจาคเงินให้ท่านซื้อรถ โดยระบุเลยว่าให้หลวงพ่อซื้อรถเบนซ์ จะได้ไม่สะเทือนมาก เพราะว่าตอนนั้นท่านอายุมากถึง ๗๐ ปีแล้ว ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านเอาเงินก้อนนั้นไปสร้างโรงพยาบาลเจ้าคุณไพบูลย์ที่พนมทวน เป็นเงินตั้งต้น แล้วคนก็ร่วมกันบริจาคเพิ่มเติมจนสร้างโรงพยาบาลสำเร็จ แล้วท่านคิดว่าผู้บังคับบัญชาแบบนี้คนจะรักไหม ?

    ดังนั้น..ในส่วนนี้ถือว่าจังหวัดกาญจนบุรีของเราก็ดี คณะสงฆ์ภาค ๑๔ ก็ตาม โชคดีที่ว่ามีผู้บังคับบัญชาที่เข้าใจ เข้าถึงพื้นที่ และมีกำลังใจที่จะช่วยพัฒนาให้คณะสงฆ์ภาค ๑๔ ของเรามีความเจริญก้าวหน้า จนกลายเป็นผู้นำของคณะสงฆ์ภาคอื่นในหลาย ๆ ด้าน แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ เจ้าคณะภาคอื่น ๆ ก็มักจะบ่นว่า "ภาค ๑๔ อยู่กันเฉย ๆ ไม่เป็นหรืออย่างไร ? พอขยับทำอะไรไป พระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมท่านเห็นว่าดี พวกผมก็ต้องเดือดร้อนทำไปด้วย..!" เป็นเสียอย่างนั้น..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...