เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 พฤศจิกายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2022
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ภารกิจสำคัญที่สุดของคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรีก็คือ งานพระราชทานเพลิงศพพระเดชพระคุณพระราชรัตนวิมล (พยุง ฐิตสีโล ป.ธ.๔) อดีตเจ้าอาวาสวัดกาญจนบุรีเก่า อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี

    งานนี้ได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการมหาเถรสมาคม มาเป็นประธานสงฆ์ในการพระราชทานเพลิงในครั้งนี้ และมีพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมบัณฑิต, ศ.ดร. (ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ.๙) กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นองค์แสดงพระธรรมเทศนา

    พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) เจ้าคณะภาค ๑๔ ก็มาร่วมงานพร้อมกับพระเถรานุเถระทั้งในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ และที่อื่น ๆ อีกมาก

    งานนี้ไม่ได้ต้องการที่จะกล่าวถึงพิธีกรรม พิธีการต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้น ส่วนที่อยากจะกล่าวถึงก็คือว่า กระผม/อาตมภาพนั้น นั่งไป ๆ ก็มีมือหนัก ๆ มาตบลงที่บ่า พอหันกลับมาปรากฏว่าเป็นท่านเจ้าคุณอาจารย์ชัยวัฒน์ พระราชธรรมวาที (ชัยวัฒน์ ธมฺมวฑฺฒโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส ซึ่งท่านเป็นพระอาจารย์สอนเทศน์ให้แก่กระผม/อาตมภาพ เมื่อปี ๒๕๔๗ หลังจากที่ทักทายกันเสร็จเรียบร้อย กระผม/อาตมภาพก็กลับเข้าไปสู่ความประพฤติเดิม ๆ ของตน ก็คือ "ทำตัวเป็นผู้ดู" ต่อไป

    ตรงจุดนี้อยากจะให้พระภิกษุสามเณร ตลอดจนญาติโยมทั้งหลายฟังไว้ให้ดี การที่เราเป็นผู้ดูนั้น ก็เหมือนกับเราดึงตัวเองออกมาจากเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่เข้าไปมีอารมณ์ร่วม ไม่เข้าไปนึกคิดปรุงแต่ง เหมือนอย่างกับเราดูหนังใบ้เรื่องหนึ่ง ถ้ามีขั้นตอนอะไรที่เราต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็คลายกำลังใจออกมา ทำหน้าที่ตรงนั้นให้ดีที่สุด เมื่อทำหน้าที่เสร็จแล้ว ก็กลับเข้าไปสู่อารมณ์เดิมของเราตามเดิม

    จะว่าไปแล้ว สิ่งนี้กระผม/อาตมภาพทำได้ตั้งแต่ประมาณพรรษาที่ ๒ ที่ ๓ แล้ว ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเคยอ่านใน "อดีตที่ผ่านพ้น" ก็คือเรื่องที่กระผม/อาตมภาพตั้งชื่อว่า "เกราะแก้วแห่งธรรม" ก็คือถึงเวลาแล้ว เราก็ต้องตั้งท่าใส่เกราะ เพื่อเตรียมรับมือกับภาวะ รัก โลภ โกรธ หลง ที่จะประดังเข้ามา ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    สิ่งหนึ่งประการใด ถ้าหากว่าไม่จำเป็นต้องไปปฏิสันถารข้องเกี่ยวด้วย เราก็จะไม่ออกไปยุ่งเกี่ยว สิ่งหนึ่งประการใดที่จำเป็นต้องกระทำไปตามหน้าที่ ก็จะคลายกำลังใจออกมาอย่างระมัดระวัง พร้อมที่จะหลบกลับเข้าไปในเกราะของเราได้ทุกเวลา

    เมื่อปฏิสัมพันธ์ต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัวจนเสร็จแล้ว เราก็กลับเข้าไปสู่ความนิ่ง ความสงบ ภายในใจของเราตามเดิม สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ปรากฏอยู่รอบข้าง ก็จะเหมือนอย่างกับภาพยนตร์หรือว่าหนังใบ้ เขาอยากจะแสดงอะไรก็ปล่อยให้เขาแสดงไป เราก็แค่รอเวลาว่าเราต้องขึ้นเวทีไปแสดงตอนไหน แล้วก็แสดงไปด้วยความระมัดระวังตามหน้าที่ของเรา เมื่อหมดภาระหน้าที่ เข้ามาหลังฉากแล้ว ก็กลับคืนเข้าสู่สภาพของคนดูต่อไป

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ท่านที่ทำถึง อาจจะคิดว่าตนเองแปลกแยกจากสังคม มีโลกส่วนตัวสูงมาก แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ หากแต่ว่าเป็นการระวังป้องกันไม่ให้กิเลสมาทำร้ายจิตใจของเราได้

    ถ้าเรารู้จักระมัดระวังป้องกันตนเอง เราก็จะไม่หวั่นไหวไปกับโลกธรรม ๘ ที่มาปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการ ได้ลาภ ได้ยศ ได้รับคำสรรเสริญ ได้รับความสุข หรือว่าความ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ โดนนินทา มีความทุกข์ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็จะสักแต่เป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ซึ่งเรามีหน้าที่คอยเป็นคนดู คอยตามดูไปด้วยความระมัดระวัง ไม่เผลอพาตัวเองลงไปเป็นคนเล่น ในเมื่อเราไม่พาตัวเองลงไปเป็นคนเล่น เราย่อมสามารถที่จะเห็นว่า ตรงจุดไหนที่เราต้องคอยระมัดระวังป้องกัน ตรงจุดไหนที่เราปิดป้องดีแล้ว และคอยจ้องคอยดูไว้ ว่าจะเผลอจะพลาดอีกเมื่อไร


    ถ้าท่านทั้งหลายสามารถทำอย่างนี้ได้ในเบื้องต้น งานตรงหน้าของท่านในการปฏิบัติธรรมก็จะเหลืออยู่น้อยมาก ก็คือ แค่คอยระมัดระวังไว้ไม่ให้ความชั่วเข้ามาสู่ใจของเรา ถ้าหากว่ามีความชั่วเข้ามาสู่ใจของเรา ก็รีบขับไล่ออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ คอยตั้งหน้าตั้งตาสร้างความดีให้เกิดขึ้นกับใจของเรา เมื่อมีความดีเกิดขึ้นกับใจของเราแล้ว ก็พยายามที่จะระวังรักษาและทำให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป หน้าที่ของเราจะเหลืออยู่เพียงเท่านี้เอง การดำรงชีวิตของเราก็สักแต่ว่าอยู่ไปวัน ๆ

    เมื่อทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดแล้ว ก็พร้อมที่จะจากไปทุกเมื่อ พูดง่าย ๆ ว่าเราเต็มที่กับทุกอย่างแล้ว อยู่คนเขาก็เกรงใจ ไปคนเขาก็คิดถึง แหงนหน้าก็ไม่อายฟ้า ก้มหน้าก็ไม่อายดิน ทำทุกสิ่งทุกอย่างเต็มที่แล้ว ก็พร้อมที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปภายในวันนี้..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ขอฝากเอาไว้เป็นการบ้าน ให้ท่านทั้งหลายที่เริ่มคลำเจอสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ แล้วเหมือนกับเงาในน้ำ ก็คือเมื่อตั้งใจจะจับให้มั่นก็แตกกระจายหายไป ถ้าเป็นไปในลักษณะนี้ ขอให้รู้ว่า "กำลัง" ของท่านทั้งหลายนั้นยังอ่อนอยู่

    ให้เร่งในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากขึ้น อาศัยสติระมัดระวัง ประคับประคองอารมณ์ใจของเราไว้ อย่าให้ความชั่วเข้ามาสู่ใจได้ ถ้าเข้ามาก็ขับไล่ออกไปให้เร็วที่สุด รักษาความดีและเสริมสร้างความดีในใจของเรา แล้วทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอยู่ตลอดเวลา ความมั่นคงก็จะค่อย ๆ ปรากฏขึ้น

    สิ่งที่เหมือนกับเงาในน้ำก็เริ่มปรากฏเป็นวัตถุ ก็คือจับได้ต้องได้ชัดเจนขึ้น ยืนระยะเวลาได้ยาวนานขึ้น โอกาสที่กิเลสจะกินใจของเราก็มีน้อยลง เราก็สามารถที่จะใช้สติ ประคับประคองรักษาอารมณ์ใจของเรา เอาไว้ในด้านดีให้มากกว่าในด้านชั่ว ระยะเวลา ๒๔ ชั่วโมง ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น จะยืนหรือนั่ง ถ้าเราสามารถรักษากำลังใจของเราให้อยู่ในด้านดีได้มากกว่า ก็แปลว่าเรามีโอกาสที่จะชนะกิเลสได้แล้ว

    แต่ทุกคนก็อย่าได้ประมาท เพราะว่ากำลังใจของเราในระดับนี้ยังอยู่ในโลกียะเต็ม ๆ พร้อมที่จะเสื่อม พร้อมที่จะสลายได้ทุกเวลา ทันทีที่ท่านขาดสติเมื่อไร ฌานสมาบัติที่คอยหนุนเสริมให้อารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ทรงตัวอยู่ ก็พร้อมที่จะเคลื่อน จะคลาย จะสลายไปทันที

    เมื่อฌานสมาบัติสลายตัวลงไป กำลังของกิเลสก็จะท่วมทับเข้ามา ถึงตอนนั้นหลายท่านอาจจะอาการกรรมฐานแตก จิตตก สมาธิตก บางคนก็ไปคร่ำครวญอยู่เนิ่นนานว่า "ไม่น่าเลย เรารักษากำลังใจมาได้นานถึงขนาดนี้ ทำไมถึงพังเสียได้ ??"


    กระผม/อาตมภาพขอถวายคำแนะนำพระภิกษุสามเณรของเรา และให้คำแนะนำแก่ญาติโยมทั้งหลายว่า อย่าเสียเวลาไปคร่ำครวญแบบนั้น ทันทีที่รู้ตัวว่าพลาด ทันทีที่รู้ตัวว่าล้ม ลุกขึ้นได้ก็ให้ไปใหม่ทันที

    คำว่า "ลุกขึ้น" ในที่นี้ก็คือ รีบกลับมาหาลมหายใจเข้าออกของเราให้เร็วที่สุด พยายามใช้สติสมาธิที่พอจะเหลืออยู่บ้าง ประคับประคองรักษาอารมณ์ใจของเราให้เกาะลมหายใจให้ได้ จนกระทั่งเกาะได้มั่นคงเมื่อไร สิ่งที่เสื่อมสลายพังลงไป ก็จะย้อนกลับมามั่นคงใหม่ แล้วเราก็เอาสติ ระมัดระวัง ประคับประคองต่อไป
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    พลาดอีกก็เริ่มต้นใหม่ พลาดอีกก็เริ่มต้นใหม่ พยายามตื๊อกันอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ครั้งแล้วครั้งเล่า อย่าเบื่อ อย่าหน่าย พยายามสู้ไปจนกระทั่งยืนระยะเวลาได้ยาวนานขึ้นไปเรื่อย ๆ จากนาทีเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงเป็นวัน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี

    เมื่อกำลังของท่านเข้มแข็งมากขึ้น รักษาอารมณ์ใจได้มั่นคงมากขึ้น ตัวปัญญาจะชัดเจนแจ่มใสและแหลมคมมากขึ้น กิเลสต่าง ๆ จะกินใจเราได้น้อยลงไปเรื่อย ๆ สภาพจิตของเราก็จะก้าวเข้าสู่จุดของ "พุทโธ" เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีสติอยู่ทุกเมื่อ หลับอยู่ก็รู้ว่าตัวเองหลับ มีสติคอยระมัดระวัง กิเลสไม่สามารถกินใจเราในขณะที่หลับได้ ตื่นอยู่ก็มีสติรู้ตัวว่าตื่น จะยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ ในนวจริยา เราก็สามารถที่จะกระทำอย่างมีสติ ไม่เปิดโอกาสให้ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นในใจของเราได้

    ถ้าท่านทั้งหลายมาถึงตรงจุดนี้ ท่านจะเกิดความมั่นใจว่า ขึ้นชื่อว่าการละกิเลสนั้นไม่ได้ยากเกินกำลังของเรา ก็เหลืออยู่แค่ว่าเราจะสามารถขัดเกลาให้หมดไปทีละเล็ก ทีละน้อย หรือว่าจะสามารถฟาดฟันให้ขาดสะบั้นลงไปทีเดียว ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีที่ท่านทั้งหลายได้สั่งสมมา

    เมื่อทำมาถึงตรงจุดนี้ ท่านทั้งหลายจะเห็นคุณพระศรีรัตนตรัยยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด ไม่มีอะไรอีกแล้วที่เราจะมอบกายถวายชีวิตให้ นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น

    ดังนั้น..จึงขออำนวยอวยพรให้ท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร หรือว่าฆราวาส สามารถรักษากำลังใจ นำพากำลังใจของตนมาให้ถึงตรงจุดนี้ให้เร็วที่สุด แล้วเราจะเป็นเพียงผู้ดู ไม่ต้องลงไปกระโดดโลดเต้นให้เหนื่อยยากกับชาวโลกทั้งหลายอีกต่อไป

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...