เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 4 พฤศจิกายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ อย่างที่เคยบอกเอาไว้ ทุกวันศุกร์กระผม/อาตมภาพต้องเข้าอบรมตามโครงการ Upskill การสอนวิชาพระพุทธศาสนา ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    ความจริงวันนี้ก็มีเรื่อง แต่ว่าพูดไปท่านทั้งหลายก็คงฟังแล้วเลยไปเฉย ๆ เพราะว่า "เกินภูมิ" ไปมาก อย่างเช่นว่า ดวงจิตของพระอรหันต์จัดเป็นอเหตุกจิต จิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ดังนั้น..สิ่งที่พระอรหันต์กระทำจึงไม่ใช่กรรม เป็นเพียงกิริยาเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงไม่ก่อให้เกิดบุญบาป นี่เป็นสิ่งที่กระผม/อาตมภาพสรุปลงมาให้พวกท่านฟังแบบง่ายที่สุดแล้ว อย่างอื่นถ้าพูดต่อไป ไอ้ที่เหนื่อยก็คือกระผม/อาตมภาพ เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องฟังต่อหรอก..!

    ทุกวันนี้กระผม/อาตมภาพเห็นว่าการเรียนพระอภิธรรมนั้นเป็นการ "หาเรื่องเหนื่อย" เรียนไปก็ไม่ได้อะไร นอกจากแบกกิเลสมาว่า "กูเก่ง" เพราะว่าพระอภิธรรมนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแก่บุคคลทั่วไป หากแต่ตั้งใจเทศน์โปรดพระพุทธมารดา ตลอดจนกระทั่งพรหมเทวดาที่เป็นอุคฆฏิตัญญูบุคคล แค่ฟังหัวข้อก็รู้แล้วว่าหมายถึงอะไร เข้าใจในหลักธรรมเหล่านั้นได้ ขนาดนั้นยังต้องใช้เวลาถึง ๓ เดือนของโลกมนุษย์ แล้วคิดว่ามีมนุษย์หน้าไหนสามารถฟังพระอภิธรรมต่อเนื่องได้ถึง ๓ เดือนโดยที่ไม่ตายเสียก่อนบ้าง ?

    พอบอกว่า กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมา อุคฆฏิตัญญูบุคคล หรือพรหมเทวดาก็เข้าใจเลยว่าธรรมที่เป็นกุศล ประกอบด้วยอะไรบ้าง ธรรมที่เป็นอกุศลประกอบด้วยอะไรบ้าง ธรรมที่เป็นกลาง ๆ ประกอบด้วยอะไรบ้าง ดังนั้น..กำลังใจของพระอรหันต์จึงเป็นอัพยากฤต ก็คือไม่ปรุงแต่งไปในด้านบุญด้านบาป สิ่งที่ท่านกระทำเหลือเพียงกิริยาเท่านั้น กรรมจึงไม่มี

    พวกท่านทั้งหลายจะเห็นว่าในอธิกรณสมถะ วิธีระงับอธิกรณ์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้ทั้ง ๗ วิธี มีวิธีหนึ่งเรียกว่า สติวินัย ก็คือการที่สงฆ์สวดประกาศว่า สิ่งที่พระอรหันต์ท่านทำนั้นไม่นับเป็นอาบัติ เพราะว่าเป็นผู้มีสติสมบูรณ์ ย่อมไม่ทำในสิ่งที่ก่อให้เกิดโทษหนัก

    แต่ว่าบางอย่างที่ยังเป็นจริยาส่วนตัว หรือที่ภาษาไพเราะเขาว่าเป็น "วาสนาที่ตัดไม่ขาด" ก็อาจจะยังทำตามปกติ อย่างเช่นพระสารีบุตรเถระ พอต้องข้ามร่องข้ามรางกับคนอื่นเขา ท่านก็โดดข้ามเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระสารีบุตรเกิดเป็นลิงมาหลายชาติ ติดนิสัยของการกระโดดโลดเต้น ดังนั้น..เรื่องพวกนี้สำหรับพระอรหันต์จึงเป็นเพียงกิริยา ไม่ใช่กรรม แต่กรรมจะเกิดขึ้นถ้ามีคนไปตำหนิท่าน ยิ่งฟังก็ยิ่งมึน ดังนั้น..เอาแค่นี้ก็แล้วกัน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    ส่วนที่อยากจะพูดถึงในวันนี้ก็คือ การที่สามเณรรูปหนึ่งออกมาไลฟ์สดต่อว่าต่อขานเจ้าอาวาส ในเรื่องที่ไม่ให้เงินกฐิน ๑,๐๐๐ บาท ประมาณว่า "กูก็ไม่ได้อยากได้หรอก แต่กูก็อยากได้" สรุปแล้วคนพูดยังสับสนเองเลย

    ในเรื่องของกฐินนั้น ท่านทั้งหลายก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า "ถวายต่อพระภิกษุสงฆ์ผู้จำพรรษาถ้วนไตรมาสในอารามนั้น" ที่บอกชัดเจนอย่างนี้ก็เพราะว่าถ้าบางวัดมีพระไม่ครบ ๕ รูป ไม่สามารถรับกฐินได้ ก็จะมีการขอยืมตัวพระจากวัดอื่นไปร่วมเป็นคณะปูรกะ ก็คือให้เต็มคณะสงฆ์ เพียงพอที่จะรับกฐินได้ หรือถ้าอย่างที่พวกเราทำกัน อย่างเช่นวัดวังปะโท่ วัดพุทธบริษัท หรือว่าสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี ก็จะขอตัวพระจากวัดเราไปตั้งแต่ก่อนเข้าพรรษาเลย

    คราวนี้ถ้าหากว่าเราเป็นผู้ที่ไปร่วมเพื่อให้เต็มองค์สงฆ์ ที่เรียกว่าคณะปูรกะ จะไม่มีสิทธิ์ไม่มีส่วนในกฐินเหล่านั้น เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ผ้าที่เกิดในที่นั้นเป็นของเธอ คำว่า เป็นของเธอ ในที่นี้ก็คือเป็นของพระที่จำพรรษา ณ ที่นั้น แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วโดยหลักการปฏิบัติ เมื่อขอยืมตัวพระจากที่อื่นไป ผู้ยืมก็มีน้ำใจถวายค่ารถ ค่าเสียเวลาให้กับท่านบ้างเป็นปกติ นี่คือสิ่งที่เราปฏิบัติกันอยู่

    เหตุที่ต้องย้อนมาพูดถึงตรงนี้ ก็เพราะว่าสามเณรไม่มีการจำพรรษา ในเมื่อสามเณรไม่มีการจำพรรษา ย่อมไม่มีสิทธิ์ไม่มีส่วนในกฐินเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นองค์กฐิน คือผ้าไตรเอง หรือว่าบริวารกฐินอย่างข้าวของเงินทอง

    แต่ว่าหลวงพ่อเจ้าคุณวัดบางพลีใหญ่ใน ซึ่งกระผม/อาตมภาพรู้จักท่านมาตั้งแต่ยังเป็นพระครูปลัด ท่านก็ยังเมตตาแก่สามเณร ก็น่าจะควักเงินส่วนอื่นถวายไปรูปละ ๑,๐๐๐ บาท พวกท่านต้องไม่ลืมนะว่าเขามีสามเณรถึงอยู่ ๑๔๐ รูป เพราะว่าเป็นสำนักเรียนใหญ่ ถ้าอยากรู้ว่าวัดบางพลีใหญ่ในมีอะไรดี แค่ไปเข้าห้องน้ำห้องส้วมก็รู้แล้ว ห้องน้ำของเขานี่สุดยอดยิ่งกว่าโรงแรมห้าดาวอีก..!

    แต่คราวนี้ผู้ที่ออกมาไลฟ์สดนั้นบวชเณรแก้บน ตัวเองก็อายุ ๓๐ แล้ว ในเมื่อบวชแก้บน แล้วก็ไม่ได้บวชเต็มในช่วงพรรษา ก็เลยโดนตัดออกไป ไม่ได้ให้อะไร แต่ปรากฏว่าความโลภของคนมีมากกว่าที่คิด เห็นคนอื่นได้ กูก็ต้องได้ด้วย ก็เลยไลฟ์สด จนกระทั่งท่านที่ไม่รู้ความจริงก็จะไปตำหนิติเตียนทางคณะสงฆ์วัดบางพลีใหญ่ใน ก่อกรรมแก่ตนเองโดยไม่รู้ตัว
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    แต่ถ้าเราดูกันตามหลักของธรรมวินัยแล้ว สามเณรไม่มีการจำพรรษา จึงไม่มีสิทธิ์ไม่มีส่วนในกองกฐิน ถ้าหากว่าเจ้าอาวาสไม่เมตตา ก็คือต้อง "มือเปล่า" เลย อย่าว่าแต่สามเณรรูปนี้แค่บวชแก้บนเท่านั้น ไม่ได้อยู่จำพรรษา พูดง่าย ๆ ก็คือตลอดพรรษาฤดูฝน ไม่ได้อยู่ร่วมกับเขามาตั้งแต่ต้น

    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้จะเกิดความเสียหายทันทีถ้าหากว่าเราไปรับมาแล้วก็แชร์ต่อ เพราะว่าญาติโยมส่วนใหญ่แล้วไม่เข้าใจเรื่องของธรรม เรื่องของวินัย เรื่องหลักการปฏิบัติของพระ คิดอยู่อย่างเดียวก็คือ เอาความสะใจที่ว่า "ขอให้ได้แชร์เท่านั้น" ส่วนความเสียหายจะเกิดกับคณะสงฆ์แค่ไหน ให้สงฆ์ไปแก้ไขกันเอง

    ทำให้กระผม/อาตมภาพไปนึกถึงคำพูดของพระเดชพระคุณพระเทพศาสนาภิบาล, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ที่ท่านปรารภว่า "ถ้าพวกมึงคิดกันอย่างนี้ กูก็เหนื่อยแหละ..!" ก็คือต้องตามแก้ปัญหากันไม่รู้จบ

    จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายต้องศึกษาพระธรรมวินัยให้ลึกซึ้งและชัดเจน เพราะถ้าหากว่ายึดตามหลักธรรมวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ บุคคลที่จะเป็นพระอุปัชฌาย์ต้องมีพรรษาพ้น ๑๐ รู้รายละเอียดในสังฆกรรมต่าง ๆ เป็นอย่างดี โดยเฉพาะรู้ในพระธรรมวินัย อาจสามารถชี้แจงสั่งสอนให้กุลบุตรรู้ตามได้ แล้วถ้าหากว่ามีปัญหาอะไรก็ต้องแก้ไขให้เขาได้อีกด้วย ถ้าหากว่าเราศึกษาไม่พอก็ต้องเร่งรัดตัวเองให้มากกว่านี้

    ดังนั้น..ในวันก่อนที่กระผม/อาตมภาพกล่าวสัมโมทนียกถาในงานอบรมก่อนสอบ ถึงได้บอกกับเขาทั้งหลายเหล่านั้นว่า บางท่านบวชมาหวังความสงบ หวังแต่จะสวดมนต์ไหว้พระ เจริญกรรมฐาน หาความสุขเฉพาะตัว ไม่ได้คิดที่จะศึกษาเล่าเรียนอะไรให้วุ่นวาย ก็เป็นความคิดที่ดี

    แต่ความเป็นอยู่ของพวกเราทั้งหมดเนื่องด้วยญาติโยมเขาสงเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ในเมื่อโยมสงเคราะห์มาทุกอย่าง ถึงเวลาโยมมีความทุกข์ใจมา แล้วเราไม่มีหลักธรรมอะไรเลยที่จะบอกกล่าวปลอบใจแก่ญาติโยมเขาเลย แล้วคิดว่าที่คุณไม่เรียนนั้นทำถูกไหม ? คิดว่าการไม่ศึกษาเล่าเรียน เราสามารถที่จะแสดงธรรมได้ดีไหม ? ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาพระธรรมใวินัยให้ละเอียด ให้เข้าใจลึกซึ้ง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    แม้กระทั่งวิธีการตัดสินอธิกรณ์ เราก็ต้องอาศัยพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ รองลงไปถึงเป็นกฎหมายบ้านเมือง แล้วถัดจากนั้นถึงเป็นจารีตประเพณีที่ชาวบ้านนิยม ไม่ใช่อย่างปัจจุบันนี้ สมมติว่าโกงเงินวัดไป อย่างล่าสุดนี่ก็เห็นว่าขนไปเป็นล้านเลย แล้วก็โดนตำรวจจับได้ อ้างว่าต้องรอศาลตัดสินก่อน ถ้าผมผิดแล้วถึงจะสึก อันนั้นเขาเรียกว่าหลงประเด็น

    เพราะว่าเรื่องของพระเรา ทันทีที่การกระทำนั้นสำเร็จลง ความผิดก็สำเร็จไปแล้ว อย่างเช่นว่าหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ทำเคลื่อนออกจากฐาน แค่ ๑/๑๖ ของเส้นผม ถือว่าการกระทำนั้นสำเร็จแล้ว ถ้าจะขาดความเป็นพระก็ขาดไปแล้ว ไม่ใช่ต้องรอให้ศาลตัดสิน ศาลชั้นต้นตัดสินแล้วก็ยังอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตัดสินแล้วก็ยังฎีกา ศาลฎีกาตัดสินอฃแล้ว กูก็ยังฟ้องศาลปกครองต่อ นั่นจะหลงประเด็นไปกันใหญ่ ดังนั้น..ผู้ที่จะตัดสินอธิกรณ์ เขาถึงได้บอกว่าต้องเป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัย อยู่พร้อมหน้ากันทั้งโจทก์และจำเลย

    ปัจจุบันนี้คณะสงฆ์ของเรา ต้องบอกว่าค่อนข้างจะหย่อนยาน แล้วก็คล้อยตามทางโลกมากจนลืมไป แม้กระทั่งกฎหมายบางข้อที่บัญญัติขึ้นมาแล้วค้านกับพระธรรมวินัยก็ไม่มีการติติงหรือว่าทักท้วงกัน อย่างเช่นว่าถ้าพระสงฆ์ต้องคดี ต้องสึก ก็คือเอาผ้าเหลืองออกเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่คดีความเหล่านั้นยังไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่าท่านผิดหรือเปล่า ? ก็ในเมื่อพวกเราไม่ทักท้วงกัน ถึงเวลากฎหมายเหล่านี้ออกมาก็ประดักประเดิกอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้

    จึงต้องขอฝากไว้กับท่านทั้งหลายว่า เรื่องพวกนี้อะไรที่เกิดขึ้น ถ้าหากว่าท่านสงสัย ยังสามารถไต่ถามกระผม/อาตมภาพได้ แต่ถ้าหากว่าสิ้นกระผม/อาตมภาพไป ท่านทั้งหลายจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาจนสามารถที่จะชี้แจงแสดงเหตุให้ครบถ้วนได้ ไม่อย่างนั้นแล้วความเสียหายและหย่อนยานก็จะเกิดกับคณะสงฆ์ของเราไปเรื่อย ท้ายที่สุดพระพุทธศาสนาก็จะตั้งอยู่ไม่ได้

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...