เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๕

​

 

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุ ๗๐ พรรษาแล้ว ทางด้านราชการ คณะสงฆ์ แม้กระทั่งวัดท่าขนุนก็ร่วมกันสร้างกุศลสารพัดอย่างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เป้าหมายเดียวกันก็คือ ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

ประเทศไทยของเราขาดสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้ ด้วยความที่สถาบันพระมหากษัตริย์ของเรานั้น ลงทุน ลงแรง ใช้เลือดเนื้อและชีวิต ในการต่อสู้เพื่อปกปักรักษาผืนแผ่นดินให้พวกเราได้อยู่สุขอยู่สงบมานับร้อย ๆ ปี จนกระทั่งพวกสิ้นสติบางราย เกิดมาไม่เคยพบกับความยากลำบาก แล้วก็ไปเห็นว่าบ้านเราเมืองเราไม่จำเป็นต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ได้ อยากจะบอกว่า "ไอ้นั่นมันบ้า..!" แล้วยังแถมชวนคนอื่นให้บ้าตามไปด้วย

ในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถ้าจะเริ่มก็ต้องเริ่มจากสถาบันศาสนา เมื่อบุคคลมีความเห็นร่วมกันว่าศาสนานี้เป็นของดีของงาม เป็นสิ่งที่ควรแก่การเคารพนับถือ หันเข้ามาเคารพนับถือกันเป็นกลุ่มก้อน ยิ่งเป็นกลุ่มใหญ่เท่าไร ความเป็นปึกแผ่นแน่นหนาก็มีมากเท่านั้น จึงทำให้เกิดสถาบันชาติขึ้นมา

คราวนี้บรรดาผู้ที่รวมกันอยู่เป็นสถาบันชาติขึ้นมานั้น ผู้ใดทำคุณประโยชน์ในการปกป้องสถาบันชาติและพระศาสนามากที่สุด ก็จะได้รับการยอมรับ ยกย่องขึ้นเป็นผู้นำ จึงทำให้เกิดสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นมา

ในเมื่อมีสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว พระองค์ท่านก็ได้ทำนุบำรุงศาสนา ป้องกันประเทศชาติ จึงทำให้สถาบันหลักทั้งสามนี้ ไม่อาจที่จะขาดไปได้ เพราะว่าเปรียบเหมือนอย่างกับไม้สามเส้า ถ้าขาดอันใดอันหนึ่งไป อีกสองอันไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ได้

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าจะคิดหรือว่าจะทำอะไร เราต้องดูให้ยาวเพียงพอ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าเด็กรุ่นใหม่ไม่ได้ศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ จึงไม่ได้เห็นคุณค่าของชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ว่าผูกพันแน่นแฟ้นกับชีวิตคนไทยมาขนาดไหน

ดังนั้น...ใครก็ตามที่เอาวิชาประวัติศาสตร์ออกจากการศึกษาของเด็ก ถือว่าเป็นผู้ทำลายชาติอย่างร้ายแรง..! เนื่องเพราะว่าทำให้เด็กรุ่นหลังเป็น "ผู้ที่กลวงเปล่า" ไม่เข้าใจที่มาที่ไปของตนเอง แล้วก็เลยไม่เห็นความสำคัญของสถาบันไปด้วย

 

เราจะเห็นว่าระยะหลังนี้ มีผู้ที่จาบจ้วงสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มากขึ้นทุกที อย่างเช่น เห็นว่าไม่จำเป็นต้องเคารพธงชาติก็ได้ แสดงว่าใจไม่มีความผูกพันกับสถาบันชาติเลยแม้แต่น้อย เกิดอะไรขึ้น บุคคลประเภทนี้ย่อมจะละทิ้งชาติเพื่อเอาตัวรอดไว้ก่อน

ไม่เห็นความสำคัญของสถาบันศาสนา แถมยังตั้งแง่ตั้งคำถามกับพระศาสนาเป็นอย่างมาก อย่างเช่นว่าทำไมพระสมัยนี้ไม่ดีเหมือนกับพระสมัยก่อน ? โดยที่ไม่ได้ดูว่าทำไมตัวเองไม่ดีเหมือนกับคนสมัยก่อน ?

ในเมื่อตั้งแง่รังเกียจตั้งแต่แรก โดยที่ไม่ทราบว่าพื้นฐานของตนเองมาจากไหน ทุกวันนี้ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ตลอดจนกระทั่งแนวทางในการยึดถือและปฏิบัติ ล้วนแล้วแต่มาจากศาสนาทั้งสิ้น ในเมื่อเข้าไม่ถึงจึงไม่เห็นคุณค่า ประมาณว่า "ไก่ได้พลอย" สำหรับไก่แล้ว เพชรพลอยไม่มีประโยชน์ เห็นแก่ข้าวเปลือกมากกว่า เพราะว่าช่วยให้อิ่มท้องได้ จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง

แล้วก็ยังไม่เห็นคุณค่าของสถาบันพระมหากษัตริย์ ไปยกเอาความเป็นประชาธิปไตยของชาติตะวันตกขึ้นมา เชิดให้อยู่สูงกว่าวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมของเรา ทั้ง ๆ ที่ชาติเหล่านั้นบางประเทศ เพิ่งจะตั้งประเทศชาติมานานน้อยกว่าบ้านเราเมืองเราไม่รู้เท่าไร มีบางคนใช้คำพูดแรง ๆ ว่า "บุคคลประเภทนี้เห็นฝรั่งเป็นยิ่งกว่าพ่อ ถ้าหากว่าเป็นฝรั่ง ทำอะไรแล้วต้องดีไปหมด"

ลองศึกษาย้อนหลังไปแค่ไม่กี่ปีดู เราจะเห็นว่าฝรั่งบางประเทศ เที่ยวไปยุยงให้ประเทศโน้นประเทศนี้รบราฆ่าฟันกันเอง เพื่อที่ตนเองจะได้ขายอาวุธ ประเทศไหนถ้าอยู่สุขอยู่สงบ ก็ส่งคนเข้าไปยุแยงตะแคงรั่ว อย่างโน้นก็ไม่ดี อย่างนี้ก็ไม่งาม อะไรที่พ่อเจ้าประคุณแนะนำ ถึงจะเป็นเรื่องดี แล้วก็ยังมีพวกปัญญานิ่มในบ้านเราเมืองเราเห็นดีเห็นงามไปด้วย

แต่จะว่าไปแล้ว บางประเทศที่เชื่อว่าฉลาดและเจริญกว่าเรา ขนาดโดนระเบิดปรมาณูไปแล้ว ก็ยังนับถือประเทศที่เขาทิ้งระเบิดว่าเป็นพ่อเหมือนกัน..! ดังนั้น...ถ้าหากว่าคนไทยบางพวกจะเห็นฝรั่งเป็นพ่อก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

 

เพียงแต่ว่าโลกยุคนี้เริ่มเปลี่ยนขั้วแล้ว การเปลี่ยนผ่านอย่างรุนแรงสมัยในหลวงรัชกาลที่ ๕ เราสูญเสียพื้นที่ให้กับชาติตะวันตกไปมากต่อมากด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นแคว้นสิบสองจุไทย หัวพันทั้งห้าทั้งหก ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ หรือว่าไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ปะลิส เป็นลักษณะของการที่พระองค์ยอมตัดใจ ยอมเจ็บ เพื่อรักษาพื้นที่ส่วนใหญ่เอาไว้ให้พวกเรา

โดยที่พระองค์ถึงขนาดมีพระราชปรารภว่า พระองค์ท่านคงจะมีพระชนมายุไม่ยืนนาน เพราะว่าเจ็บปวดกับเรื่องนี้มาก ใครก็ตาม ถ้าไม่สามารถรักษาสมบัติของบรรพบุรุษเอาไว้ได้ โดนคนอื่นข่มเหง กดดัน ช่วงชิงไป ก็ต้องคิดมากแบบนี้เช่นกันทุกคน

แล้วพอมาถึงยุคปัจจุบัน การเปลี่ยนผ่านอย่างรุนแรงกำลังจะเกิดขึ้น เขาใช้คำว่า "ระเบียบโลกใหม่" เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าเราเลือกข้างผิด โอกาสที่จะบรรลัยมีสูงมาก..!

แต่ว่าในส่วนนี้ สำหรับพรหม เทวดา ผู้รักษาประเทศชาติของเรานั้น ได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว เพียงแต่ว่าคนรุ่นหลังไม่ได้นึกถึงท่านทั้งหลายเหล่านี้ ที่ทุ่มเทให้กับประเทศชาติบ้านเมืองของเรา ไม่มีการสร้างบุญสร้างกุศลแล้วอุทิศให้ท่านทั้งหลาย ก็เหมือนอย่างกับปล่อยให้บุคคลผู้ทำหน้าที่ป้องกันประเทศอดอยาก แล้วจะเอาเรี่ยวแรง เอากำลังที่ไหนไปรักษาประเทศชาติให้เรา ?

ดังนั้น...ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นวันสำคัญยิ่งวันหนึ่งของชนชาติไทย กระผม/อาตมภาพจึงขออาศัยโอกาสนี้ บอกกล่าวให้แก่พระภิกษุสามเณร หรือญาติโยมทั้งหลายที่ไม่ได้อยู่วัดท่าขนุน แต่ติดตามเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนนี้อยู่

สิ่งหนึ่งประการใดที่ท่านได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนาก็ตาม ได้โปรดอุทิศให้แก่พระสยามเทวาธิราชทุก ๆ พระองค์ ที่ปกปักรักษาบ้านเราเมืองเรา เจ้าพ่อหลักเมืองและบริวารที่รักษาบ้านรักษาเมืองทุกแห่ง เทวดาที่ปกปักรักษาองค์ในหลวง พระบรมราชินี ตลอดจนกระทั่งพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์

เราต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อให้ พรหม เทวดา ที่รักษาประเทศ รักษาสถานที่สำคัญและบุคคลสำคัญเหล่านี้ มีกำลังเพียงพอที่จะช่วยให้ประเทศชาติของเรา รอดพ้นจากภัยอันตรายใหญ่ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ถ้าลำพังแค่อาศัยพวกเราไม่กี่คนที่ปฏิบัติธรรมอยู่ที่นี่ ยังไม่เพียงพอ จึงต้องอาศัยท่านทั้งหลายที่ติดตามเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนอยู่ช่วยกันอีกแรงหนึ่ง

สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)