@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 10 กรกฎาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    "รับพัสดุด้วยครับ" พนักงานจากรถสีส้มถือกล่องพัสดุมาส่งให้ถึงหน้ากุฏิ พลังงานที่แผ่ออกมาจากกล่องพัสดุรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง น้อมจิตกราบอัญเชิญท่านเข้ากุฏิพร้อมกับการเซ็นรับ...
    เป็นพัสดุที่ส่งมาจากคุณกอบชัย มงคลทิพย์ เมื่อเปิดออกมาก็พบกับมีดหมอเทพศาสตราลายเพชรพญาธรเล่มใหญ่ ของหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม กับลิงแกะจากไม้ตับเต่า ของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ที่ค่อนข้างจะหายากจนถึงยากที่สุด...
    ทำการเจิมน้ำมันชาตรีรับขวัญมีดหมอ พลังงานที่แผ่ซ่านไปทั่วทำเอาขนลุกไปทั้งตัว ยังไม่ทันไรหลวงพ่อกวยก็ดึงอาตมาพรวด "ออกไปข้างนอก" แล้วชี้กลับไปยังร่างที่กำลังเช็ดถูมีดหมออยู่ "ดูเอาไว้..จะได้หายสงสัยเสียที"...
    ที่อาตมาสงสัยก็คือ พลังงานของวัตถุมงคลแต่ละครูบาอาจารย์ที่แตกต่างกันนั้น นอกจากสมาธิจิตและวิชาการที่ศึกษามาแล้ว ยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่ ? ในส่วนของสายหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้นอาตมาไม่สงสัย พลังงานที่ท่วมฟ้าท้นดินนั้นเป็นพุทธบารมี ธรรมะบารมี สังฆบารมี ตลอดจนพรหม เทวดา และครูบาอาจารย์ที่เมตตาช่วยสงเคราะห์ แล้วสายอื่น ๆ อย่างของหลวงปู่ทิม หลวงพ่อกวย นั้นเป็นอย่างไร ? ทำไมถึงทะลุทะลวงได้ดุดันถึงใจขนาดนี้ ?
    สิ่งที่เห็นก็คือร่างกายของอาตมาที่นั่งอยู่นั้น มีพลังงานหมุนวนอยู่รอบกายในแนวตั้ง เป็นรูปเหมือนกับปีกผีเสื้อสองข้าง ดูเหมือนกับว่าปีกทั้งสองนั้นเป็นอิสระต่อกัน แต่ก็หมุนวนผสมกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน...
    "เอ้า..คราวนี้มาดูตรงนี้" ท่านลากพรวดเดียวไกลออกไป จนกระทั่งเห็นโลกเราโตประมาณลูกฟุตบอลเท่านั้น ภาพที่เห็นก็คือพลังงานที่แผ่ออกมาจากโลกเป็นไปในลักษณะเดียวกัน "นั่นคือสิ่งที่พวกแกเรียกว่าแรงแม่เหล็กโลก วิชาการทางสายจีนเรียกว่าไท้เก๊กหรือไท่จี๋ ทางสายอินเดียเรียกว่าพลังจักรวาล"
    "คราวนี้มาดูสิ่งที่แกเคยมองมานานแล้ว" อาตมาโดนลากออกไปไกลลิบ มองย้อนกลับมาเห็นหมู่ดาราจักร (Galaxy) มากมายเต็มไปหมด แต่ละดาราจักรต่างก็ประกอบด้วยพลังงานมหึมาหลากล้น ทั้งกระจายออกและรวมเข้า เพื่อจัดระเบียบแต่ละดาราจักรให้มีขอบเขตเฉพาะของตน...
    "ตรงนั้นคือกลุ่มหมอกเพลิง (Nebula) ที่ยังจัดระเบียบตัวเองไม่เสร็จ ถ้าจัดระเบียบตัวเองเสร็จแล้วก็จะเกิดเป็นดาราจักรใหม่ขึ้นมา ส่วนดาราจักรที่หมดพลังงานแล้ว ก็ระเบิดสลายตัวเองกลับไปเป็นกลุ่มหมอกเพลิงใหม่"
    ไหนคนเขาบอกว่าหลวงพ่อเรียนหนังสือมานิดเดียว วันนี้ทั้งดาราศาสตร์ทั้งฟิสิกส์มาครบถ้วนเลย ? "ข้ามาเก่งตอนตายแล้วโว้ย..!"
    พูดจบพลังจิตของท่านก็แผ่ออกจากกายเป็นกลุ่มก้อน ครอบคลุมทั้งดาราจักร ดึงเอาพลังงานพุ่งเป็นลำมหึมาเชี่ยวกรากตรงไปยังโลกมนุษย์ หมุนวนจนกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพลังแม่เหล็กโลก แล้วควบแน่นเป็นลำเล็กประมาณบาตรพระ พุ่งลงตรงกระหม่อมร่างของอาตมาที่นั่งเช็ดมีดหมออยู่ ดึงเอาพลังงานประจำร่างกายทั้งหมด พุ่งเข้าสู่มีดหมอในมือจนสว่างเจิดจ้าดุจพระอาทิตย์ยามเที่ยง..!
    เหมือนกับร่างกายชาเห่อพองใหญ่ขึ้นหลายเท่า ขุมขนทุกเส้นตั้งชัน แผ่พลังงานออกมาเป็นระลอก...ระลอก ไม่ขาดสาย..!
    "หายสงสัยแล้วครับ..!" ถ้าไม่หายมีหวังตัวระเบิดตาย..! "คราวนี้แกดูนี่" พลังจิตของท่านพุ่งตรงไปเหมือนกับจะทะลุทะลวงฟ้า ผ่านครูบาอาจารย์หลายท่านเร็วจนมองแทบไม่ทัน ภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใหญ่มหึมาเต็มจักรวาลปรากฏอยู่ข้างหน้า...
    เพียงหลวงพ่อท่านน้อมจิตกราบลงแทบพระบาท พลังงานประหนึ่งมหาสมุทรหลากล้นท้นท่วมก็ทะลักทลายกลบกลืนไปทั้งเอกภพ (Universe) หมู่ดาราจักร กลุ่มหมอกเพลิง และจักรวาลแห่งดวงดาวอื่น ๆ (Stars System) ถูกกลืนหายไปภายใต้พลังงานที่ยิ่งใหญ่จนประมาณไม่ได้..!
    "นี่คืออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยที่พวกแกอาศัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก ข้าเองก่อนหน้านี้ใช้แค่พลังสมาธิสมาบัติเฉพาะตัว วิธีดึงพลังจากจักรวาลมาใช้งาน เพิ่งจะมารู้เอาตอนที่ตายแล้ว ถือว่ายกให้แกเอาไปใช้ก็แล้วกัน แต่พอเทียบกับคุณพระศรีรัตนตรัยแล้ว คงหมดราคาจนแกอาจจะไม่สนใจเลยก็ได้"
    น้อมจิตกราบแทบพระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแทบเท้าหลวงพ่อกวยที่เมตตาถ่ายทอดเพิ่มเติมความรู้ให้ "ผมเป็นคนงกครับหลวงพ่อ ต่อให้มีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน ถ้ามีคนให้อีกบาทหนึ่งสลึงหนึ่งผมก็ยังรับอยู่ดี ถึงตัวเองจะไม่ได้ใช้งาน แต่ก็ยังเป็นประโยชน์กับลูกศิษย์ของหลวงพ่ออีกจำนวนมาก กราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ"
    สติกลับคืนมาอยู่กับเนื้อกับตัว มือยังถือมีดหมอค้างอยู่ เจิมน้ำหอมน้ำมันรับขวัญมีดหมออยู่แท้ ๆ ดันฝันกลางวันแสก ๆ อีกแล้ว..!
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกบ้านเติมบุญ เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓
    ที่มา : www.watthakhanun.com
    #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #หลวงพ่อเล็ก
    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
    #พระพุทธศาสนา #watthakhanun
    jmkYc_bgzXDgA2BW4-uSXunR32rGfNcYE&_nc_ohc=qhu6sFXzsNEAX8RpN5F&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-8.jpg
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ถาม : คนที่เขาเป็นโรคไต ถึงขั้นฟอกไตแล้ว พอจะรักษาได้ไหมคะ ?
    ตอบ : ใช้เซี่ยงจี๊หมู ๑ ข้าง ล้างให้สะอาด ฝานบาง ๆ แกะพวกเอ็นขาว ๆ ออกให้หมด แล้วก็ต้มกับน้ำฝน ๓ ชาม ต้มให้เหลือน้ำแค่ ๑ ชาม ระหว่างที่ต้ม ให้เอาเมล็ดลิ้นจี่ ๗ เม็ด ทุบให้แตก ห่อผ้าขาวบางต้มไปด้วย ถึงเวลากินให้หมดทีเดียว แล้วจะฟื้นสภาพไตชนิดที่ไม่ทำงานแล้ว ให้ทำงานใหม่ได้
    แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นฟอกไต ให้ใช้หญ้าหนวดแมวสัก ๓ - ๕ ช่อมาต้มน้ำ กินแทนน้ำไปเลย มีสรรพคุณในการขับปัสสาวะ ต้องขยันเข้าห้องน้ำหน่อย จะช่วยล้างไตให้สะอาด
    ถาม : อย่างนี้คนทั่ว ๆ ไปก็ล้างไตได้ ?
    ตอบ : ทำได้จ้ะ ช่วงไหนที่เราไม่ได้ออกไปไหน ก็ลองดูสักวัน
    ถาม : แล้วล้างลำไส้ละคะ ?
    ตอบ : ใช้ใบชุมเห็ดสักก้านหรือสองก้าน ย่างไฟพอเกรียม ๆ แล้วก็ใส่ไปในหม้อน้ำร้อน กินแทนน้ำ แต่ถ่ายดุเดือดน่าดูเลยนะ
    ถาม : ต้นชุมเห็ดหรือคะ ?
    ตอบ : จ้ะ ใช้ใบชุมเห็ด อย่าให้เกินสองก้านนะจ๊ะ ถ้าใช้เยอะ เดี๋ยวจะถ่ายข้ามวัน ไม่ได้ไปทำงานกันพอดี
    __________________
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ที่มาhttps://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2447&page=5
    #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #หลวงพ่อเล็ก
    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
    #พระพุทธศาสนา #watthakhanun
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ระยะนี้ทุกท่านก็รู้อยู่แล้วว่ามีเรื่องวุ่นวายต่าง ๆ เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาของเรามากเป็นพิเศษ ต้องเน้นตรงนี้เลยว่า "#มากเป็นพิเศษ" ซึ่งตรงนี้หลายท่านให้คำอธิบายว่า "เป็นทฤษฎีสมคบคิด"
    คำว่า ทฤษฎีสมคบคิด ก็คือ การที่หลายสิ่งหลายอย่างบังเอิญเกิดขึ้น แต่พอไปเกิดขึ้นติด ๆ กันก็เหมือนอย่างกับมีคนวางแผนให้เป็นไป
    แต่กระผม/#อาตมภาพขอยืนยันว่า #เรื่องนี้ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด #แต่เป็นความตั้งใจอย่างแน่นอน เนื่องจากว่าได้สังเกตมาเป็น ๑๐ ปีแล้วว่า ถ้าหากใกล้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา #จะมีข่าวคราวไม่ดีเกี่ยวกับพระภิกษุสามเณรปะทุขึ้นมาทันที
    แล้วบรรดาผู้สื่อข่าวทุกประเภทก็จะรุมเล่นข่าวกันอย่างหนักมาก โดยเจตนาที่จะลดเครดิต คือความน่าเชื่อถือของพระพุทธศาสนาให้เหลือน้อยที่สุด ทำให้ญาติโยมเสื่อมศรัทธาให้มากที่สุด เมื่อถึงเวลาแล้ว พอศาสนาอื่นผงาดขึ้นมาแทน เราจะได้ไม่ปฏิเสธเขา เพราะไปเห็นว่าศาสนาพุทธนั้นไม่ดีเสียแล้ว
    เหตุที่กระผม/อาตมภาพกล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่า เป็นเรื่องที่ตั้งใจทำให้เกิด ก็เพราะว่าสังเกตต่อเนื่องกันมาเป็น ๑๐ ปี ถ้าหากว่าทำมานานขนาดนี้ก็พอที่จะสรุปได้ว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีบางคน บางคณะ บางศาสนา วางแผนมาอย่างดี และตั้งใจให้เกิด โดยที่มีพระภิกษุสามเณรของเราจำนวนหนึ่งที่ไป "#เตะลูกเข้าทางตีน" ของพวกเขา
    ขณะเดียวกัน #ก็มีอีกจำนวนหนึ่งที่รับจ้างบวชเข้ามา #เพื่อที่จะสร้างความเสียหายตามราคามากน้อยที่ได้รับจ้างมา อย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นคลิปแล้ว นั่นบังอาจมาก ถึงขนาดปลอมเป็นพระป่าเลย..!
    แต่เมื่อโดนเจ้าคณะปกครองสอบถาม โดยที่แลกเปลี่ยนกันว่า ถ้ายอมบอกความจริงก็จะไม่ดำเนินคดี เขาถึงได้สารภาพว่า "#โดนจ้างมาให้สร้างความเสียหายให้เกิดกับพระพุทธศาสนา" โดยเฉพาะถ้าถ่ายคลิปเป็นหลักฐานได้ยิ่งดี แล้วส่งไปให้ผู้ว่าจ้าง ก็จะได้รับค่าจ้างตามที่เขากำหนดเอาไว้ ว่าการสร้างความเสียหายระดับไหน จะได้ค่าจ้างเท่าไร
    ในเมื่อเป็นเช่นนี้ #สิ่งที่ท่านทั้งหลายต้องระมัดระวังอย่างยิ่งก็คือ อย่าไปทำตัวแบบ "#เตะลูกเข้าทางตีน" เขา สิ่งหนึ่งประการใดก็ตามที่เราทำ เราอาจจะคิดว่าไม่มีอะไร บริสุทธิ์ใจ แต่คนเห็นไม่คิดอย่างนั้น
    อย่างเช่นมีพระสังฆาธิการรูปหนึ่ง ก็แค่โพสต์ภาพตัวเองลงเฟซบุ๊ก #คราวนี้ท่านไปใส่แว่นตาที่ปรับสีตามความเข้มของแสง #เมื่อไปถ่ายรูปกลางแจ้งเวลาเที่ยง#จึงกลายเป็นแว่นตาดำ แล้วก็มีคนเข้ามาคอมเมนท์ทันทีว่า "ใส่แว่นตาแบบนี้เป็นมาเฟียหรือเป็นพระสงฆ์ ?" เหตุผลอะไรก็ไม่สอบถามเสียก่อน สรุปไปตามสิ่งที่ตนเห็น แล้วก็ฟันธงเลย..!
    เรื่องพวกนี้ท่านทั้งหลายจะเจอมากขึ้นเรื่อย ๆ #เพราะว่าความเคารพในพระพุทธศาสนาของบุคคลในประเทศเราลดน้อยถอยลงไปเรื่อย จนกระทั่งมีหลายคนที่เลิกนับถือศาสนาไปเลย แม้กระทั่งต่างประเทศก็เป็นแบบนี้ แต่พอถึงเวลาตัวเองทุกข์จนหาทางออกไม่ได้ หลายคนก็ซมซานกลับมา เรื่องพวกนี้จะมีมากขึ้น..มากขึ้นไปตามลำดับ
    ที่อยากจะเตือนก็คือว่า ท่านทั้งหลายเป็นพระภิกษุสามเณร ญาติโยมที่ฟังอยู่เป็นพุทธบริษัท สิ่งหนึ่งประการใดที่เกิดขึ้น #ขอให้เราเข้าใจว่าเป็นธรรมดาของโลก
    #พระภิกษุสามเณรก็คือปุถุชน #ไม่ใช่อริยชนระดับพระโสดาบันขึ้นไป #จะได้ไม่ทำผิดทำพลาด แล้วบุคคลที่จะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า #ตั้งแต่ระดับพระโสดาบันขึ้นไปนั้น #ก็คงมีประมาณเขาวัว อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เปรียบเอาไว้ วัวตัวหนึ่งมีเขา ๒ ข้าง #แต่บุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล #พระองค์ท่านเปรียบว่ามีมากเหมือนกับขนวัว วัวทั้งตัวมีขนกี่หมื่นเส้น ?..."
    คัดลอกบางส่วน...เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕
    =AZUAp2mBJ4UvXJ9HljSIqc22oX6CoecazOkLtgj17Uf7te_w4u-HpzXi--zYNU14Utfu8EwivW6MN3N5aF7h5q2L8qqq9KnDl41nqauKoGCBPSzMKMi0dGum5JJKLfz8cZqaRwg-D0l61KHabeUObIMKpTF9pPYAXZyPDpBFmj2WptCnwfx4SYUly783Bt0ci58&__tn__=EH-R'] kvA-ZxGQRgPE9qF4gFtXknWmOY6LQioj-&_nc_ohc=qkmhIZu4h1EAX9SpXS7&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-4.jpg
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    “...มีบางสิ่งบางอย่างที่อยากจะตักเตือนพวกเราในฐานะบุคคลผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ก็คือว่าอีกประมาณไม่ถึงเดือน บ้านเราจะเจอทั้งพายุและฝนหนักมาก ถ้าหากว่าใครอยู่ที่ลุ่มมีข้าวของอะไรจะน้ำท่วมเสียหายก็ต้องตระเตรียมโยกย้ายเอาไว้ ถ้าไม่เกินกำลังหาเรือเล็ก ๆ ไว้สักลำได้ก็ดี
    ประการต่อไปก็คือเศรษฐกิจโลกที่ย่ำแย่อยู่จะโดนซ้ำเติมหนักยิ่งขึ้นจากเงินเฟ้อเกือบทุกประเทศและจากข้าวปลาอาหารที่แพงขึ้น พลังงานแพงขึ้น เราต้องรู้จักเตรียมพร้อมในระดับหนึ่งว่าจะรับมืออย่างไรให้ตนเองเดือดร้อนน้อยกว่าคนอื่น
    อีกส่วนหนึ่งก็คือถ้าเศรษฐกิจไปไม่ได้ตลาดหุ้นก็เจ๊งกะบ๊งไปด้วย ตัดใจตัดขาดทุนได้ก็เจ็บตัวน้อย ตัดขาดทุนไม่ได้ก็เจ็บตัวมาก โดยเฉพาะพวกที่เล่นบิทคอยน์ที่อาตมาเห็นผิดทุกทีว่า บิทดอย หรือติดดอยนั่น สายตาคนแก่เห็น ค เป็น ด หมดเนื้อหมดตัวเอาง่าย ๆ เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้มีมูลค่าที่แท้จริง
    ถ้าหากว่าเป็นคำพูดอมตะของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร (พระบิดาแห่งการเกษตรแผนใหม่ของไทย) ท่านกล่าวเอาไว้ว่า เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาถึงเป็นของจริง ดังนั้นเราต้องพิจารณาถ้าในระดับบุคคลทั่วไปอย่างเรา สิ่งที่จำเป็นในชีวิตก็คือปัจจัย 4 อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค คราวนี้ในส่วนที่อยู่อาศัยถ้ามีแล้วก็ลืมไปได้เลยเพราะว่าอีกหลายสิบปีกว่าที่จะต้องซ่อมแซมหรือว่ากว่าที่จะต้องสร้างใหม่ เครื่องนุ่งห่มก็ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าจะใส่กันจริง ๆ เป็นเดือนก็ไม่ซ้ำ แต่มักจะบอกว่าไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ มันเกิดอะไรขึ้น ยารักษาโรคถ้าหากว่าเราซื้อใหม่อยู่ได้ 4 ปี และที่แน่ ๆ ก็คือที่บอกว่าหมดอายุนั้น ยาไม่ได้หมดอายุ มันหมดแต่ตัวเลข ถ้าจำเป็นสามารถใช้งานต่อไปได้
    ก็มีอย่างเดียวก็คือเรื่องของข้าวปลาอาหาร ถ้าพวกเราเริ่มตั้งแต่ตอนนี้หากะโหลกกะลา กระป๋อง ยางรถยนต์ กะละมัง อะไรก็ได้ ปลูกพริก ปลูกตะไคร้ ปลูกต้นหอม ต้นกระเทียม อะไรไว้บ้างอย่างละเล็กอย่างละน้อย ถึงเวลาไม่ต้องไปเสียเงินให้แม่ค้า เพราะสมัยนี้ไปบอกว่าซื้อพริกขี้หนู 5 บาท เค้าบอกว่าหยิบไม่ได้ค่ะ อาตมาพอโยมหยิบไม่ได้ อาตมาหยิบเอง แต่เค้าร้องลั่นบอกว่าไม่ได้มันแพง หาทางอย่างไรก็ได้ถ้ามีที่มีทางของตัวเอง พยายามศึกษาเกษตรทฤษฎีใหม่ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 แล้วทำตามให้ได้มากที่สุด ถึงเวลาชาวโลกเค้าเดือดร้อน เราก็จะได้เดือดร้อนน้อยกว่า
    อีกส่วนหนึ่งฝากถึงบุคคลที่มีญาติอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะยุโรปหรืออเมริกาหรือว่าท่านที่ฟังเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนอยู่ในขณะนี้ก็คือ ถ้าหากว่าไม่ห่วงหน้าพะวงหลังจนเกินไปก็เตรียมกลับบ้านเราเถอะ ถ้าเหตุการณ์มันรุนแรงกว่านี้เดี๋ยวจะกลับไม่ได้ เรื่องอื่นพูดมากกว่านี้ก็คงจะลำบากนะ.....”
    ส่วนหนึ่งของ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    https://www.youtube.com/watch?v=U5SdJ-uv7Jk
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    วันที่ 8 พ.ค. 2565
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    พระอาจารย์เล่าว่า ......

    "วันเสาร์ที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ แรม ๓ ค่ำเดือน ๖ ปีชวด เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาประมาณตีสองครึ่ง ความเคยชินก็คือส่งจิตไปกราบพระบนพระนิพพาน กำหนดภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สถิตอยู่เหนือเศียรเหนือเกล้า แผ่พระรัศมีครอบคลุมลงมาทั่วกาย แล้วนึกถึงวัตถุมงคลที่พกติดตัวทุกชิ้น กราบอาราธนาบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ทุกท่าน ช่วยปกปักรักษา หากวันนี้หมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือว่าเกิดอุบัติเหตุอันตรายจนถึงแก่ชีวิตก็ตาม ลูกขอไปอยู่ที่พระนิพพานกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งเดียวเท่านั้น

    เมื่อภาพพระสว่างไสวในดวงจิต วัตถุมงคลทุกชิ้นปรากฏชัดเจนในห้วงนึก ก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ ตอนที่ปิดประตูห้องน้ำแล้วหมุนตัวกลับมา ยังไม่ทันจะเดินไปนั่งที่โถส้วม

    "เปรี้ยยงง..!" เสียงดังสนั่นปานฟ้าผ่า วัตถุบางอย่างพุ่งชนบริเวณหัวใจจนอาตมากระเด็นถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วของชิ้นนั้นกระเด็นแฉลบออกทางช่องลมห้องน้ำไป ภาพพระยังมั่นคง สภาพจิตไม่หวั่นไหว เอามือคลำดูบริเวณที่โดนพุ่งชน โอ้โฮเว้ย..มันกะเอาตายเลยนะนี่..!

    ตรงนั้นเป็นช่องกระเป๋าเล็ก ๆ ในช่องนั้นอาตมาใส่สมเด็จองค์ปฐมรุ่น ๒ ของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง พระขุนแผนผงพุทธคุณ ของหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ และมีดหมอเทพศาสตราขนาดปากกา ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ เอาไว้

    บัดนี้มีดหมอเทพศาสตรา หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ งอพับจนต้องดึงออกมาจากช่องเก็บอย่างทุลักทุเล จากด้ามตรง ๆ กลายเป็นงอโค้งเกือบ ๗๐ องศา แรงที่พุ่งเข้ามากระแทก ถ้าเปรียบกับลูกปืนก็ไม่ต่ำกว่า ๑๒๐ ฟุต/ปอนด์..!

    อาตมาวางมีดหมอลงบนแท่นหินแกรนิตข้างอ่างล้างมือ กดลงจนสุดกำลังแล้วก็ยังงออยู่อีกไม่น้อย จนต้องชักออกจากฝัก มือหนึ่งจับด้ามมือหนึ่งจับใบมีด ดัดให้เข้าที่พร้อมกับภาวนาว่า "อย่าหักนะครับหลวงปู่ นี่เป็นมีดปากกาด้ามสุดท้ายที่ผมมีอยู่ ถ้าหักก็คงต้องพกเล่มใหญ่แล้วครับ..!"

    เดชะบุญคุณพระคุ้ม สามารถดัดมีดจนกลับเข้าที่ได้ เหลือแต่รอยยับเยินบริเวณแผ่นเงินรัดคอใบมีด อ้าว..เฮ้ย..ลืมถ่ายรูปเอาไว้ก่อน เลยไม่มีรูปตอนมีดงอพับไว้เป็นหลักฐาน"

    "อาราธนามีดหมอกลับเข้าที่ เข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวแล้ว กลับห้องนอนมาใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปมีดหมอเอาไว้ ยังพอมีร่องรอยการชำรุดให้เห็นอยู่บ้าง แต่ถึงใครจะเอาเล่มสมบูรณ์จากไหนมาเปลี่ยนก็ไม่ยอม เพราะว่าถ้าไม่ได้มีดหมอเล่มนี้ที่ช่วยรับไว้ให้มีหวังตายไปแล้ว..!

    หลวงวิจิตรวาทการท่านได้กล่าวไว้ว่า "อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้ จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน" ตอนแรกที่เห็นบุคคลรุมทำไสยศาสตร์ใส่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง อาตมาก็สงสัยว่าจะทำไปทำอะไรวะ ?

    หลังจากนั้นถึงได้ทราบว่ามีหลายสาเหตุด้วยกัน ประการแรกก็คือหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังมาก ถ้าใครสามารถล้มท่านลงได้ ตนเองก็จะโด่งดังในวงการเป็นอย่างยิ่ง

    ประการที่สองก็คือ ญาติโยมแห่กันไปทำบุญกับหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นจำนวนมาก เขาคิดกันง่าย ๆ ว่า ถ้าไม่มีหลวงพ่อวัดท่าซุงเสียแล้ว ก็จะได้มีคนไปหาตัวเองบ้าง

    ประการสุดท้ายก็คือ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจัดงานเป่ายันต์เกราะเพชร ซึ่งเป็นคู่ปรับของไสยศาสตร์โดยตรง เมื่อมียันต์เกราะเพชรคอยคุ้มครอง อำนาจไสยศาสตร์ก็ทำอันตรายไม่ได้ ทำให้บรรดาหมอไสยศาสตร์โดนตัดทางทำมาหากินไปมาก จึงต้องจัดการล้มหลวงพ่อท่านลงให้ได้..!

    อาตมาเองรบกับบรรดาไสยศาสตร์ทั้งหลายจนขี้เกียจรบ แต่ก็ยังมีมาเป็นปกติ จึงต้องอาศัยบารมีคุณพระศรีรัตนตรัยและพรหมเทวดา ตลอดจนครูบาอาจารย์ทั้งหลายคอยคุ้มครองรักษา แต่ครั้งนี้เขาเอาหนักจริง ๆ กะเล่นกันถึงตายเลย..!

    "วันนี้เป็นวันเสาร์ข้างแรมครับ ถ้าทำไสยศาสตร์จะมีอานุภาพมากขึ้น คนทำก็เลยพลอยซวยหนักขึ้นไปด้วย" ท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณในภาค ย.ยักษ์ เขี้ยวใหญ่ ถือกระบองยืนตัวใหญ่ค้ำฟ้า เมตตาเฉลยให้ทราบ

    "สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงอย่าได้มีเวรมีกรรมและเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเถิด"

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ยืนยันในสิ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเตือนเอาไว้ตั้งแต่สมัยฆราวาส เมื่อเห็นอาตมาไม่พกวัตถุมงคลอะไรเลยว่า

    "แกอย่าได้ประมาท มีวัตถุมงคลให้อาราธนาติดตัวไว้บ้าง หลวงพ่อปานท่านเก่งขนาดไหน เมื่อวาระกรรมมาถึงยังโดนเขาทำไสยศาสตร์จนล้มทั้งยืน แกจะเก่งกว่าท่านเชียวหรือ ?"

    เก็บตกบ้านเติมบุญ
    เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    “หลวงปู่เจี๊ยะ” ตอบปัญหา “การเพ่งพระพุทธรูปนั้นเป็นมรรค” ?


    หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท
    ตอบปัญหาธรรมสมเด็จพระสังฆราชเจ้า (ชื่น)
    ในคราวที่กลับจากท่านพระอาจารย์มั่นนั้น เข้ามากราบสมเด็จฯ ท่านที่วัดบวรฯ พระองค์ได้รับหนังสือธรรมะของหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระองค์เมื่อนำมาอ่านแล้วก็ถามเราขึ้นว่า
    “เจี๊ยะ ! เราอ่านหนังสือของหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ เขาเขียนว่า การเพ่งพระพุทธรูปนั้นเป็นมรรค เธอคิดว่าอย่างไร”
    เรากราบทูลไปว่า “แล้วพระองค์พิจารณาว่าการเพ่งอย่างนั้นเป็นมรรคหรือไม่ ?” พระองค์ทรงนิ่ง แล้วหันมามองเรา แสดงอาการว่า พระองค์อยากทราบความคิดของเราในเรื่องนี้ จึงกราบทูลไปว่า “กระหม่อมคิดว่า ถ้าจะเป็นมรรคก็ต้องคิดพิจารณา อันนำไปสู่ภาวนามยปัญญา การเพ่งพระพุทธรูปเช่นนั้น ก็ต้องหาเหตุผลว่าเพ่งเพื่ออะไร ได้อะไร แต่การนั่งเพ่งมองเฉยๆ หาเหตุผลไม่ได้ ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไร” กราบทูลท่านเท่านี้เราก็หยุด เพราะกลัวจะเฟ้อไปแบบไร้เหตุผล เป็นคำพูดไม่มีที่จบ อันแสดงถึงความไม่รู้จักประมาณของคนที่พูด เดี๋ยวจะเป็นกรรมฐานหลงดงหลงป่า ภาษาธรรมเรี่ยราด ขาดเหตุผล
    พระองค์จึงตรัสขึ้นว่า “เออ...ว่าต่อไปซิ...กำลังฟังอยู่หยุดทำไม”
    เราจึงกราบทูลต่อไปอีกว่า “การพิจารณานั้นควรเพ่งเข้ามาภายใน ควรรู้ข้างในก่อน ไม่ควรปล่อยจิตออกจากวงกาย เวทนา จิต ธรรม สติปัฏฐานสี่ควรพิจารณาตั้งลง ณ ที่กายจิตนี้ ถ้าปล่อยให้จิตส่ายแส่ออกไปที่อื่น ในสภาวะที่ใจไม่สามารถคุ้มครองตนเองได้นั้น กระหม่อมคิดว่าไม่ควรอย่างยิ่ง จะเป็นสมุทัยไปเสียอีก แต่ถ้าย้อนเข้ามาพิจารณาภายในกายตนเอง อันเป็นส่วนวิปัสสนา เพื่อละทิฏฐิมานะ เพื่อละอหังการ ความหลงตน อหังการ ความทะนงตนนั้น เป็นการสมควรอย่างยิ่ง เป็นมรรค กระหม่อมคิดว่าเป็นมรรคแท้”
    “การพิจารณากาย เป็นกายานุปัสสนานั้น เธอพิจารณาอย่างไร ?” พระองค์ตรัสถามด้วยความสนพระทัย ไม่ทรงแสดงอาการว่าทดสอบ แต่เป็นพระกิริยาที่อยากจะสนทนาธรรม ด้วยความที่พระองค์เป็นผู้ประพฤติธรรม
    “จะสมควรหรือ ? กระหม่อม” เรากราบทูลเพราะเกรงจะไม่บังควร จะเป็นการเอามะพร้าวไปขายสวน
    “สนทนาธรรม ไม่สมควรตรงไหน นักบวชไม่สนทนาธรรม จะสนทนาอะไรล่ะ” พระองค์ตรัสย้ำ แบบไม่ทรงถือตัว
    กระหม่อมคิดว่า “”
    “เออ !...ดี พระป่านี่ดี...เรียนตำราเดิมของพระพุทธเจ้าได้ดี” พระองค์พูดสั้นๆ เท่านั้น เราก็กราบลาไปพักที่กุฏิลออ...
    การพิจารณากายนั้น ต้องมีสมาธิเป็นพื้นฐานก่อน การพิจารณานั้นจิตจึงจะมีกำลัง พิจารณาเพ่งตัดกายออกเป็นชิ้นๆ ซึ่งในขณะที่พิจารณาอย่างนั้น จิตดำเนินในทางสมาธิมรรค มรรคองค์อื่นๆ จะเป็นมัคคสมังคีโดยพร้อมพรั่ง เมื่อพิจารณาถึงเหตุถึงผล จิตจะเด่นดวงขึ้นมา จิตนั้นจะอยู่เหนืออริยสัจ เหนือมรรค เป็นไปเพื่อความรู้แจ้งดับสนิทไม่มีเชื้อเหลือ PdSKwb8EARRqyGp82vQ58wkKP9AdoryFm&_nc_ohc=UX9ESavEUIcAX_lgFbm&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg
    wx0L-WmAZj3XPS2EpfhTc9w2XzJgJ2tBd&_nc_ohc=kJK0oE8BQugAX-EOMeJ&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg

    พระโพธิธรรม
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ...ถ้าใครลองไปอ่านเรื่อง "อัศจรรย์โลกใบนี้" ในเว็บวัดท่าขนุน จะมีเปรตอยู่ตนหนึ่ง ด่าบุคคลที่ต้องอาบัติปาราชิก แล้วตัวเองไปเกิดเป็นเปรต ต้องทนทุกข์ยากหิวโหยอยู่เป็น ๑,๐๐๐ ปี #อย่าลืมว่าแม้บุคคลนั้นจะต้องอาบัติปาราชิก แต่จากการที่เราด่า เราไม่ได้ด่าตัวบุคคล เราใช้คำว่า #พระ ซึ่งคำว่า พระ แปลว่า ผู้ประเสริฐ โดยเฉพาะสมัยนี้เห็นในโซเชียลมีเดียมีการคอมเมนต์ต่าง ๆ ใช้คำพูดรุนแรงมาก ด่ากันหยาบ ๆ คาย ๆ #โดยใช้คำว่าพระ #แต่ละคนตายเมื่อไรจะรู้ว่าตนเองจะได้รับโทษอะไรบ้าง..!
    .
    .
    "หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยกล่าวเตือนไว้นานแล้วว่า ถ้าพูดถึงตัวบุคคลที่เป็นนักบวชอย่าใช้คำว่าพระ #เพราะคำว่าพระเหมารวมตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา #กลายเป็นจะสร้างโทษใหญ่ให้เกิดแก่ตัวเองโดยไม่รู้ตัว
    อาตมาเห็นแต่ละคนแล้ว ในปัจจุบันนี้เหมือนกับว่าถ้าสามารถแสดงความเห็นในลักษณะด่าพระได้แล้ว รู้สึกว่าโก้หรือว่าเท่มาก อยากจะบอกว่าอาตมารู้สึกหวาดกลัวแทนพวกเขา #แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร #ถ้าหากว่าตายลงไปวันไหน #มาขอร้องให้อาตมาไปช่วยก็คงไม่ทันแล้ว
    โซเชียลมีเดียมีดีตรงที่ว่าข่าวคราวทุกอย่างไปได้เร็ว แต่พอไปเร็ว #การแสดงความเห็นนั่นแหละ #ที่ไปกระพือเรื่องราวให้ร้ายแรงแล้วก็รุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ ควรที่จะได้สติหันมาตั้งหน้าตั้งตาทำการทำงาน ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เรื่องจะจบอย่างไรเรามีโอกาสได้ดูได้เห็นแน่ ๆ #อย่าไปใส่อารมณ์ตาม #แล้วทำให้ใจของเราเศร้าหมอง
    นักปฏิบัติธรรมที่ดี ถ้าสภาพจิตใจของตนเองเศร้าหมองจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก #เพราะว่าทำให้ผลการปฏิบัติของเราถอยหลังไปอีกนาน กว่าจะขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสคืนมาได้ก็เสียเวลามาก #ถ้าตายลงไปตอนนั้นก็ขาดทุนอีก #เพราะจิตใจที่เศร้าหมองย่อมพาลงสู่อบายภูมิ"


    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๐
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ถาม : คนที่ดูหมิ่นในความสามารถของบุคคลอื่น ในทางโลกที่ผู้ถูกดูถูกเป็นคนธรรมดา เป็นคนมีศีล เป็นคนที่เจริญฌาน เป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตา บำเพ็ญทานรักษาศีล หรือผู้บำเพ็ญตนในวิปัสสนาญาณปรารถนาพระนิพพาน หรือคนที่ได้โมทนาบุญจากบุคคลทุกท่าน และพระทั้งหมดทั้งนิพพาน
    ตอบ : คนดูถูกนี้ซวยแน่ๆ สรุปแค่นั้นพอ ความดีของท่านมีผลมหาศาล ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดก็คือ #นางขุชชุตตรา #ท่านไม่ทราบว่าเพื่อนท่านเป็นภิกษุณีอรหันต์แล้ว ได้ขอให้เพื่อนช่วยหยิบเครื่องแต่งตัวให้หน่อยเท่านั้นเอง ต้องไปเกิดเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ
    ท่านที่ทรงความดีอยู่ก็เหมือนอย่างกับไฟ #ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องก็เป็นคุณอนันต์ #ถ้าปฏิบัติผิดก็โทษมหันต์ ความดีท่านยิ่งสูงเท่่าไหร่ ถ้าเราทำไม่ดีกับท่านก็ยิ่งโดนตอบแทนคืนมาแรงเท่านั้น ท่านไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรหรอก #แต่ว่ากฎของกรรมกับสิ่งที่เราทำมันจะเล่นเราเอง
    เพราะฉะนั้นสรุปได้ว่าไม่ต้องให้ถึงขนาดที่ว่ามาหรอก #ขอให้คนที่มีความดีอยู่บ้างถ้าเราไปล่วงเกินเข้า #มีโอกาสก็ขอขมาเสีย ไม่อย่างนั้นเกิดโทษกับตัวแน่ๆ
    ถาม : ถึงแม้จะเป็นเรื่องทั่วๆ ไปหรือครับ
    ตอบ : เรื่องทั่วๆ ไปไม่ว่าจะอะไรก็ตาม #พระอรหันต์มีคุณอนันต์ก็มีโทษมหันต์ #ดังนั้นฆราวาสที่เป็นอรหันต์ท่านเลยต้องจำเป็นให้ตัดให้ตาย อยู่นานไม่ได้หรอก คนไม่รู้ไปล่วงเกินเข้าเป็นโทษแน่ๆ อย่างเช่นว่า อาจจะเคยเป็นเพื่อนฝูง เป็นลูกไล่กันมาก่อน เตะตูดเขกกบาลเล่นได้ #แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ไปแล้วเราไปทำอย่างนั้นเราก็ซวยไม่จบ หากท่านอยู่ต่อไปจะเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ฯ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๔๖
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ถาม : ถ้ากล่าวปรามาสพระสงฆ์ที่ยังไม่ได้บรรลุ กับกล่าวปรามาสบุคคลที่เป็นอริยบุคคล ?
    ตอบ : สาหัสพอกัน #พระจะเป็นสมมติสงฆ์หรือพระอริยสงฆ์ก็ตาม #เป็นบุคคลที่มีศีลมากกว่าเราตั้งกี่เท่า เอา ๕ ไปเทียบกับ ๒๒๗ #ก็เหมือนกับเอาไม้จิ้มฟันไปงัดไม้ซุงชัด ๆ พูดง่าย ๆ ว่า #หาเรื่องเดือดร้อนเอง
    โบราณมีอยู่คำหนึ่งที่เหมาะสมที่สุด แต่คนมักจะคิดว่าเป็นการช่างหัวมัน ก็คือคำว่า "#ชั่วช่างชี #ดีช่างสงฆ์" #เพราะถ้าไปแตะผิดนี่โทษมหันต์ แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราทำจะเป็นคุณอนันต์ ในเมื่อเป็นดังนั้นท่านก็เลยชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ เราไม่ไปยุ่งด้วยหรอก
    #คิดก็บาปกรรมแล้ว #อย่าไปพูด #อย่าไปทำให้บาปหนักขึ้นอีกเลย ยกเว้นว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นเป็นความจริงแท้แน่นอน ว่าเป็นความเสื่อมทรามของตัวท่าน ว่าเป็นการทำลายพระศาสนา ถ้าจะว่ากล่าวก็ให้ใช้ตามหลักสาราณียธรรม ๖
    หลักสาราณียธรรมพระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ว่า #จะคิดก็คิดต่อท่านด้วยเมตตา #จะพูดก็พูดต่อท่านด้วยเมตตา #จะทำก็ทำต่อท่านด้วยเมตตา ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ #โทษที่เกิดขึ้นก็จะไม่มี #เพราะว่าจิตไม่ได้มุ่งร้าย #ไม่ได้เกิดโทสะ #ไม่ได้เกิดวิหิงสาวิตก
    #แต่ถ้าเราทำใจอย่างนี้ไม่ได้ #โทษจะเกิดแก่ตัวเองมาก พระจะเป็นพระสมมติสงฆ์ หรือพระอริยสงฆ์ก็ตาม #เหมือนกับไฟฟ้าเป็นหมื่นเป็นแสนโวลต์ มีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ #แตะผิดเมื่อไรโดนช็อตเกรียมทันที..!
    ถาม : ถ้าเขาติฉินนินทา #ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ?
    ตอบ : ปล่อยเขาเถอะ #กว่าเขาจะรู้ก็ตอนตายแล้ว
    ถาม : แต่ก็เป็นโทษ ?
    ตอบ : เป็นจ้ะ...เพราะฉะนั้น..บุคคลที่เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ยังพอทน #บุคคลที่เป็นพระอรหันต์เขาต้องปรับให้ตายภายใน ๗ วัน #เพราะถ้าอยู่แล้วคนอื่นไปแตะเข้า เดี๋ยวเฮงไม่รู้ตัว
    ถ้าอยู่ในเพศของความเป็นพระเป็นเณรจะอยู่ได้ เพราะว่าเป็นอุดมเพศ คือเพศอันสูง ที่คนให้ความเคารพอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นฆราวาสเพื่อนไม่รู้ มาถึงก็ตบหลังป้าบ “เป็นอย่างไรบ้าง..?!” กลายเป็นทำร้ายพระอริยเจ้าโดยไม่รู้ตัวแล้ว ซวยอย่าบอกใครเลย #เรื่องพวกนี้จึงต้องระวังให้หนัก...
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๖
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    #เรื่องปรามาสพระอริยเจ้า
    ผู้ถาม :» การปรามาสพระอริยเจ้าด้วยเจตนาก็ตาม ไม่เจตนาก็ตาม โมโหด้วยความตั้งใจก็ตาม อยากเรียนถามว่า จะมีกรรมมากไหมครับ ?
    หลวงพ่อ :» ก็ลงนรกด้วย เจตนาก็ตาม ไม่เจตนาก็ตาม ลงนรกเหมือนกัน
    ผู้ถาม :» ไม่ต้องสอบสวนหรือครับ ?
    หลวงพ่อ :» ไม่ต้องสอบ สบาย
    ก็ไม่ยาก ก็ไปขอขมาต่อพระพุทธเจ้าเสียซิ ถ้าไม่พบพระพุทธเจ้าก็พระพุทธรูป
    ผู้ถาม :» แล้วอย่างพระโสดาบันที่บวชเป็นพระ กับโสดาบันที่เป็นฆราวาส ถ้าเราปรามาสโทษจะเป็นอย่างไรครับ ?
    หลวงพ่อ :» เครือกัน..!
    ผู้ถาม :» เพราะฉะนั้นพวกเราจำไว้นะ ฆราวาสที่เป็นพระอริยะ มีเยอะแยะ
    หลวงพ่อ :» เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน
    พระโสดาบันไปตันแค่ ศีล
    ๑. เคารพพระพุทธเจ้า
    ๒. เคารพพระธรรม
    ๓. เคารพพระอริยสงฆ์
    ๔. มีศีล ๕ บริสุทธิ์ องค์พระโสดาบันมีแค่นี้
    .................................................................
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม
    ฉบับพิเศษเล่ม ๑๐ หน้า ๑๒๐-๑๒๑
    โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ถาม : ถ้าเรารู้สึกจิตใจหม่นหมอง ตั้งสติไม่ได้ ควรทำอย่างไรคะ ?
    ตอบ : ภาวนา ถ้ากำลังใจทรงตัวก็จะหายหม่นหมองไปเอง แสดงว่าเราไปฟุ้งซ่านแทน ต้องอยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า เลิกคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ผู้ชายคนเดียวหาใหม่เมื่อไรก็ได้
    ถ้าไม่อยากใจเศร้าหมอง ภาวนาไม่ได้ก็ต้องได้ แปลว่าอย่างไรเสียก็ต้องพยายาม แรก ๆ ก็จะฟุ้งซ่าน แต่ถ้าเรารู้ตัวดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออก รู้ตัวแล้วดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออก ไม่นานใจยอมสงบเอง แต่ เราต้องสู้จริง ๆ
    ถาม : (ไม่ชัด)
    ตอบ : ไม่ต้องรู้สึกหรอก ถ้ามัวแต่รู้สึกอยู่ก็ไม่รอด ถ้ารักที่จะปฏิบัติธรรมต้องเริ่มตายด้าน ไม่เอาความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น อารมณ์ใจอยู่กับปัจจุบัน คืออยู่กับลมหายใจตรงหน้าเท่านั้น อยู่กับตอนนี้ อยู่กับเดี๋ยวนี้ ที่ผ่านมาไม่คิด ที่ยังมาไม่ถึงไม่คิด พักเดียวใจก็นิ่งแล้ว
    วันก่อนอบรมพระ บอกกับท่านว่า "ที่ผมให้พวกคุณทำแบบนี้เพราะว่าผมเองทำมาแล้ว ในปัจจุบันนี้ผมพยายามลองบังคับให้ตัวเองคิดชั่ว ยังคิดไม่ออกเลย" บังคับแล้วยังคิดไม่ออกเลย ใจไม่เอาด้วย ไปทางดีอย่างเดียว ก็เลย เออ...เรื่องแบบนี้มีครูบาอาจารย์คนไหนเขามาลองบ้า ๆ แบบเราบ้างวะ ? พยายามบังคับให้คิดชั่วแล้วใจไม่เอาด้วย
    ต้องค่อย ๆ คิดดีไปเรื่อย ๆ พอใจชินกับดีก็จะไม่เอาชั่วแล้ว
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓
    ที่มา : www.watthakhanun.com
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    1f6d1.png วิบากกรรมของผู้อวดอ้าง “#พุทธวจน1f6d1.png
    #แล้วปรามาสพระสงฆ์อยู่เป็นอาจิณ
    ( 1f525.png ด่าว่า ดูหมิ่นดูแคลน ด้อยค่าพระสงฆ์ 1f525.png )



    ๑. #ไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ
    ด้วยว่าอ่านแต่ตำรา รู้แต่ตัวหนังสือ ไม่เคยได้ประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริง
    จึงไม่อาจบรรลุถึงธรรมใด ๆ ในพระศาสนา คือศีลของตนเองก็ยังไม่สมบูรณ์ สมาธิขั้นต้น แม้เพียงปฐมฌานก็ยังไม่เคยได้
    อาการปรามาส (ไม่เคารพ ดูหมิ่นดูแคลน) พระสงฆ์จึงมีตามมา #และด้วยว่าการปรามาสด่าว่าตำหนิติเตียนพระสงฆ์นั้น #ถือว่าเป็นการไปทำลายรากเหง้าของพระพุทธศาสนาที่มีสืบต่อกันมา ซึ่งการถ่ายทอดพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นล้วนผ่านพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสืบ ๆ กันมา
    ดังนั้น ผู้ที่ปรามาสพระสงฆ์อยู่บ่อย ๆ เป็นอาจิณ ย่อมถือเป็นผู้มีส่วนทำลายรากเหง้าของพระพุทธศาสนา #เนื่องจากตนเองนั้นก็ไม่ได้มีความเคารพต่อพระสงฆ์ #ซึ่งเป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยอยู่แล้ว #ด้วยคิดว่าตนเองนั้นมีความรู้ในธรรมวินัยเหนือกว่าพระสงฆ์ทั้งมวล อันเป็นทิฏฐิมานะแรงกล้ายากแก่การถอดถอน ทั้งยังมีส่วนร่วมในการชักจูงให้คนที่ยังไม่เข้าถึงพระรัตนตรัยนั้น ให้ขาดความเคารพในพระสงฆ์อีก
    #จึงถือว่าเป็นภัยหนึ่งที่ทำลายพระพุทธศาสนาให้เสื่อมถอยดับสูญสิ้นไป (ส่วนใหญ่ที่มาปรามาสด่าว่าพระสงฆ์โดยไม่รู้ไม่เข้าใจในพระธรรมวินัยอย่างแท้จริงแล้ว มักจะอ้างตนเองว่ามาปกป้องพระพุทธศาสนาแต่ความเป็นจริงแล้วตรงข้าม คือการทำลาย)
    และหลักการของการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาก็คือ "ปฏิบัติ" ในมรรคมีองค์ ๘ เพื่อให้บรรลุคุณธรรมที่ยังไม่ถึง ซึ่งมีบุรุษ ๔ คู่ อันได้แก่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค และ อรหัตผล
    ไม่ใช่วัน ๆ เอาแต่ยกหัวข้อพระธรรมวินัยที่มีอยู่ในตำรา ซึ่งเปรียบเหมือนทฤษฎีมานั่งวิเคราะห์ วิจัย วินิจฉัยตีความ แล้วสรุปฟันธง โดยที่ตนเองนั้นยังปฏิบัติไม่ได้ สมาธิ ฌาน ญาณ ก็ยังไม่มีขึ้นในตน แล้วมาคิดสรุปเอาเอง ว่าที่ตนคิดนั้นถูกต้องที่สุดแล้ว คนอื่นที่มีความเห็นไม่ตรงกับตนเองนั้นผิดหมด ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร แม้แต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสุปฏิปันโนมาตอบและชี้แนะด้วยเหตุผลที่ถูกต้องตามธรรมอย่างไร ก็ไม่รับฟัง (ตรรกะวิบัติ / ทิฏฐิวิปลาส)
    ๒. #เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว
    สมาธิ ฌาณ ญาณ ถ้าเคยได้แล้ว ก็จะเสื่อมหายไปทันที
    ๓. #สัทธรรมของภิกษุนั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว
    #เป็นผู้มีตรรกะวิบัติ
    คิดไม่เป็นเหตุเป็นผล สรุปใจความด้วยความมีเหตุผลไม่ได้
    ๔. #เป็นผู้เข้าใจว่าตนได้บรรลุในสัทธรรมทั้งหลาย
    เห็นผิด มั่นใจว่าที่ตนคิดเห็นนั้น ถูกต้องฝ่ายเดียว
    #อันนี้หนักและน่าสงสารมาก เพราะจะไม่ฟังใครทั้งนั้น ที่มีความเห็นต่างไปจากตน ไม่ว่าจะเป็นใคร แนะนำ บอกกล่าว สอนอะไรไม่ได้ เอาแต่อยากแสดงแต่ความเห็นของตนที่มั่นใจว่าถูกต้องที่สุดอยู่ผู้เดียว
    (บ้างก็ชอบอ้าง "พุทธวจน" โดยที่ตนเองก็ยังไม่เข้าใจโดยละเอียดถูกต้องในธรรม ในบริบทนั้น)
    สรุปคือบ้าแต่คิดว่าตนเองนั้นสติดี และกลับกล่าวหาคนปกติทั้งโลกว่าบ้าหมด
    จัดเป็นพวก "#ปทปรมะ" คือพวกตากระทู้ หูกระทะ สอนไม่ได้ เอาดีไม่ได้ โง่ เพราะเขามีความคิดว่า “เขาฉลาดกว่าผู้อื่นอยู่เสมอ”
    ๕. #เป็นผู้ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์
    ถ้าเป็นภิกษุ ก็จะต้องสึกหาลาเพศไปจากเพศบรรพชิต
    ถ้าเป็นฆราวาสก็จะไม่ยินดีที่จะประพฤติพรหมจรรย์ ไม่เคารพผู้ประพฤติพรหมจรรย์
    ๖. #ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง
    เป็นผู้มีศีลมัวหมอง ไม่สามารถที่จะยังคุณธรรมของตนให้สูงขึ้นได้
    ๗. #ย่อมถูกโรคอย่างหนัก
    ประสบเคราะห์กรรม ต้องเป็นโรคอย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามาเบียดเบียน ทำให้เกิดทุกขเวทนา ทุกข์กายทุกข์ใจอยู่เป็นนิตย์
    ๘. #ถึงความเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน
    บาปกรรมจากการปรามาสพระสงฆ์จะก่อกวนรบกวนจิตใจ ให้จิตขุ่นมัว มีความเดือดร้อน กระวนกระวายใจ วุ่นวายใจ ไม่รู้จบ ยิ่งเอาแต่จะจ้องจับผิดคิดตำหนิติเตียนผู้อื่น จนตนนั้นอยู่ไม่เป็นสุข วัน ๆ เอาแต่คอยเที่ยวสอดส่ายหาเรื่องเพ่งโทษ โจทย์โทษผู้อื่น ยกงวงชูหาง วิพากษ์วิจารณ์ #โจทย์โทษความผิดให้แต่ผู้อื่น #ส่วนความผิด_ความชั่วของตนเองนั้น_ไม่เห็น_ไม่รู้_ไม่แก้ไข
    ๙. #เป็นผู้หลงใหลกระทำกาละ
    ด้วยว่าจิตคิดแต่เพ่งโทษผู้อื่น โดยเฉพาะการเพ่งโทษพระสงฆ์ซึ่งเป็นหนึ่งในพระรัตนรัยแล้ว #ย่อมถือเป็นการซ้อมลงนรกอยู่ทุกวี่ทุกวัน ด้วยจิตมีแต่ความคิดอกุศล คือการคิดตำหนิติเตียนผู้อื่น ยามถึงกาละคือตาย ก็ย่อมตายด้วยจิตปริวิตก อกุศลกรรมครอบงำจิตตอนตาย
    ๑๐. #เมื่อตายไปย่อมเข้าถึง_อบาย_ทุคติ_วินิบาต_นรก
    *********************
    อ้างอิงจาก: พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
    พยสนสูตร
    [๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายกล่าวโทษพระอริยะ ภิกษุนั้นจะไม่พึงถึงความฉิบหาย ๑๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ความฉิบหาย ๑๐ อย่างเป็นไฉน คือ
    ภิกษุนั้นไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ ๑
    เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ๑
    สัทธรรมของภิกษุนั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว ๑
    เป็นผู้เข้าใจว่าตนได้บรรลุในสัทธรรมทั้งหลาย ๑
    เป็นผู้ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ๑
    ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑
    ย่อมถูกโรคอย่างหนัก ๑
    ถึงความเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน ๑
    เป็นผู้หลงใหลกระทำกาละ ๑
    เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดด่าบริภาษ เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย กล่าวโทษพระอริยะ ภิกษุนั้นจะไม่พึงถึงความฉิบหาย ๑๐ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ฯ
    =====================================
    อ่านเพิ่มเติมเรื่อง...
    1f6d1.png รวมบทความเปิดโปงพฤติกรรม หงายธรรมที่บิดเบือนของผู้อวดอ้าง "พุทธวจน"
    https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=125603273418963&id=106333578679266
    *
    2b50.png "ด่าพระเลยไปเกิดเป็นเปรต"(เรื่องอัศจรรย์โลกใบนี้)
    https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=113062191339738&id=106333578679266
    2b50.png "กรรมจากการด่าพระ"
    https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=109493351696622&id=106333578679266
    2b50.png "ข่าวพระ อย่าทำตนเป็นคนตัดสินเหตุต่างๆเพราะเราจะสร้างกรรมไม่รู้ตัว"
    https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=129042063075084&id=106333578679266
    *
    1f525.png "แผนทำลายพระพุทธศาสนาในประเทศไทย"
    https://www.facebook.com/106333578679266/posts/127626879883269/
    "ภัยร้ายทำลายพระพุทธศาสนาจากสื่อ"
    https://www.facebook.com/106333578679266/posts/117491467563477/
    "ข้อสังเกตของผู้ที่มีทิฏฐิวิปลาสจากการปรามาสพระรัตนตรัย"
    https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=111243291521628&id=106333578679266
    *
    1f496.png "วิธีพิทักษ์พระพุทธศาสนา"
    https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=117281390917818&id=106333578679266
    87bI4flXG1uNUoJkHKr_8A4-kApvtZdoMzKkUpNwkGSpjGW_8UXjsfBRb3ksw&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.jpg
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    บุคคลให้ข้าว ชื่อว่าให้กำลัง
    ให้ผ้า ชื่อว่าให้วรรณะ
    ให้ยานพาหนะ ชื่อว่าให้ความสุข
    ให้ประทีป ชื่อว่าให้จักษุ
    และผู้ให้ที่พักอาศัย ชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง
    ส่วนผู้ที่พร่ำสอนธรรม ชื่อว่าให้อมตะ
    .......
    ข้อความบางตอนใน กินททสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕
    http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=15&siri=42

    G7yCBBcYl0QzZiHbb8lhQqHF72a1ffBeZ&_nc_ohc=gscOZMMz59UAX_jYAlK&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk29-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    #โดนไสยศาสตร์เล่นงานรอดได้ด้วยบารมีพระ
    "วันเสาร์ที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ แรม ๓ ค่ำเดือน ๖ ปีชวด เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาประมาณตีสองครึ่ง ความเคยชินก็คือส่งจิตไปกราบพระบนพระนิพพาน กำหนดภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สถิตอยู่เหนือเศียรเหนือเกล้า แผ่พระรัศมีครอบคลุมลงมาทั่วกาย แล้วนึกถึงวัตถุมงคลที่พกติดตัวทุกชิ้น กราบอาราธนาบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ทุกท่าน ช่วยปกปักรักษา หากวันนี้หมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือว่าเกิดอุบัติเหตุอันตรายจนถึงแก่ชีวิตก็ตาม ลูกขอไปอยู่ที่พระนิพพานกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งเดียวเท่านั้น
    เมื่อภาพพระสว่างไสวในดวงจิต วัตถุมงคลทุกชิ้นปรากฏชัดเจนในห้วงนึก ก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ ตอนที่ปิดประตูห้องน้ำแล้วหมุนตัวกลับมา ยังไม่ทันจะเดินไปนั่งที่โถส้วม
    "เปรี้ยยงง..!" เสียงดังสนั่นปานฟ้าผ่า วัตถุบางอย่างพุ่งชนบริเวณหัวใจจนอาตมากระเด็นถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วของชิ้นนั้นกระเด็นแฉลบออกทางช่องลมห้องน้ำไป ภาพพระยังมั่นคง สภาพจิตไม่หวั่นไหว เอามือคลำดูบริเวณที่โดนพุ่งชน โอ้โฮเว้ย..มันกะเอาตายเลยนะนี่..!
    ตรงนั้นเป็นช่องกระเป๋าเล็ก ๆ ในช่องนั้นอาตมาใส่สมเด็จองค์ปฐมรุ่น ๒ ของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง พระขุนแผนผงพุทธคุณ ของหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ และมีดหมอเทพศาสตราขนาดปากกา ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ เอาไว้
    บัดนี้มีดหมอเทพศาสตรา หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ งอพับจนต้องดึงออกมาจากช่องเก็บอย่างทุลักทุเล จากด้ามตรง ๆ กลายเป็นงอโค้งเกือบ ๗๐ องศา แรงที่พุ่งเข้ามากระแทก ถ้าเปรียบกับลูกปืนก็ไม่ต่ำกว่า ๑๒๐ ฟุต/ปอนด์..!
    อาตมาวางมีดหมอลงบนแท่นหินแกรนิตข้างอ่างล้างมือ กดลงจนสุดกำลังแล้วก็ยังงออยู่อีกไม่น้อย จนต้องชักออกจากฝัก มือหนึ่งจับด้ามมือหนึ่งจับใบมีด ดัดให้เข้าที่พร้อมกับภาวนาว่า "อย่าหักนะครับหลวงปู่ นี่เป็นมีดปากกาด้ามสุดท้ายที่ผมมีอยู่ ถ้าหักก็คงต้องพกเล่มใหญ่แล้วครับ..!"
    เดชะบุญคุณพระคุ้ม สามารถดัดมีดจนกลับเข้าที่ได้ เหลือแต่รอยยับเยินบริเวณแผ่นเงินรัดคอใบมีด อ้าว..เฮ้ย..ลืมถ่ายรูปเอาไว้ก่อน เลยไม่มีรูปตอนมีดงอพับไว้เป็นหลักฐาน"
    "อาราธนามีดหมอกลับเข้าที่ เข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวแล้ว กลับห้องนอนมาใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปมีดหมอเอาไว้ ยังพอมีร่องรอยการชำรุดให้เห็นอยู่บ้าง แต่ถึงใครจะเอาเล่มสมบูรณ์จากไหนมาเปลี่ยนก็ไม่ยอม เพราะว่าถ้าไม่ได้มีดหมอเล่มนี้ที่ช่วยรับไว้ให้มีหวังตายไปแล้ว..!
    หลวงวิจิตรวาทการท่านได้กล่าวไว้ว่า "อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้ จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน" ตอนแรกที่เห็นบุคคลรุมทำไสยศาสตร์ใส่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง อาตมาก็สงสัยว่าจะทำไปทำอะไรวะ ?
    หลังจากนั้นถึงได้ทราบว่ามีหลายสาเหตุด้วยกัน ประการแรกก็คือหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังมาก ถ้าใครสามารถล้มท่านลงได้ ตนเองก็จะโด่งดังในวงการเป็นอย่างยิ่ง
    ประการที่สองก็คือ ญาติโยมแห่กันไปทำบุญกับหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นจำนวนมาก เขาคิดกันง่าย ๆ ว่า ถ้าไม่มีหลวงพ่อวัดท่าซุงเสียแล้ว ก็จะได้มีคนไปหาตัวเองบ้าง
    ประการสุดท้ายก็คือ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจัดงานเป่ายันต์เกราะเพชร ซึ่งเป็นคู่ปรับของไสยศาสตร์โดยตรง เมื่อมียันต์เกราะเพชรคอยคุ้มครอง อำนาจไสยศาสตร์ก็ทำอันตรายไม่ได้ ทำให้บรรดาหมอไสยศาสตร์โดนตัดทางทำมาหากินไปมาก จึงต้องจัดการล้มหลวงพ่อท่านลงให้ได้..!
    อาตมาเองรบกับบรรดาไสยศาสตร์ทั้งหลายจนขี้เกียจรบ แต่ก็ยังมีมาเป็นปกติ จึงต้องอาศัยบารมีคุณพระศรีรัตนตรัยและพรหมเทวดา ตลอดจนครูบาอาจารย์ทั้งหลายคอยคุ้มครองรักษา แต่ครั้งนี้เขาเอาหนักจริง ๆ กะเล่นกันถึงตายเลย..!
    "วันนี้เป็นวันเสาร์ข้างแรมครับ ถ้าทำไสยศาสตร์จะมีอานุภาพมากขึ้น คนทำก็เลยพลอยซวยหนักขึ้นไปด้วย" ท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณในภาค ย.ยักษ์ เขี้ยวใหญ่ ถือกระบองยืนตัวใหญ่ค้ำฟ้า เมตตาเฉลยให้ทราบ
    "สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงอย่าได้มีเวรมีกรรมและเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเถิด"
    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ยืนยันในสิ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเตือนเอาไว้ตั้งแต่สมัยฆราวาส เมื่อเห็นอาตมาไม่พกวัตถุมงคลอะไรเลยว่า
    "แกอย่าได้ประมาท มีวัตถุมงคลให้อาราธนาติดตัวไว้บ้าง หลวงพ่อปานท่านเก่งขนาดไหน เมื่อวาระกรรมมาถึงยังโดนเขาทำไสยศาสตร์จนล้มทั้งยืน แกจะเก่งกว่าท่านเชียวหรือ ?"
    เก็บตกบ้านเติมบุญ
    เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓
    aeh-sq4qfR-yX04jh0ObLIrU4fwZZPkca&_nc_ohc=XN9NJo0EkF4AX_dDpOo&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk29-2.jpg
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อเล็กวัดท่าขนุน เทศนาให้ข้อคิด สำหรับท่านที่จะเข้าไปบวชไว้ดีมาก ๆ ผมจึงอยากจะนำมาให้ท่านที่จะเข้าไปบวชพิจารณาดูว่า มีอานิสงส์มากมายเพียงใด ยิ่งถ้าบวชแล้วหวังพระอริยะเจ้าขั้นเบื้องต้น อย่างพระโสดาบัน ก็คงจะไม่ยากเกินไปสำหรับท่านที่ประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจัง
    ขอโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะครับ
    ที่มา :
    "ความเป็นพระ" พระกรรมฐาน ๔๐ กอง ตอนที่ ๔
    เทศนาโดย "พระครูวิลาศกาญจนธรรม ดร."
    (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) วัดท่าขนุน
    https://youtu.be/-igtGmsZxhc

    _838gbu9lBhlIHjOgbvBx5npLETXyRqcZ&_nc_ohc=6hhOoO07L60AX_CzTGD&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-1.jpg

    ศรัทธาบารมี หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ระยะนี้เป็นระยะที่ท่านท้าวเวสสุวรรณต้องรับภาระหนักมาก เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว วัดทั้งหลายก็มักจะสร้างวัตถุมงคลตามกระแส ก็คืออะไรดังขึ้นมาก็สร้าง ซึ่งต่างจากวัดท่าขนุน เพราะว่ากระผม/อาตมภาพนั้น หลายต่อหลายครั้งก็เป็นผู้นำกระแส แม้กระทั่งท้าวเวสสุวรรณก็ได้สร้างมาก่อนคนอื่นเขา จนกระทั่งจำหน่ายหมดเกลี้ยง ไม่มีอะไรเหลือแล้ว คนอื่นค่อยมาฮือฮาและมาทำตาม
    วันก่อนซึ่งได้ทำการปลุกเสกวัตถุมงคลเนื่องในโอกาส ๙๙ ปีวันอาภากร ที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กระผม/อาตมภาพก็ยังได้ปรารภกับพระครูปลัดสมนึก สุธมฺมถิรสทฺโธ ซึ่งเป็นรุ่นน้อง แต่ว่าบัดนี้ได้ทำหน้าที่เจ้าอาวาสวัดจันทาราม (ท่าซุง) แล้ว ว่าการจะทำอะไรก็ตาม เราต้องเป็นผู้นำกระแส ถ้าหากว่าคุณวิ่งตาม มีหวังเหนื่อยตายแน่นอน..!
    แล้วก็เล่าเรื่องต่าง ๆ ที่กระผม/อาตมภาพทำหน้าที่วิ่งนำคนอื่น เพื่อที่จะลาก จะจูง บรรดาเพื่อนพระสังฆาธิการในเขตปกครอง ให้วิ่งตาม ๆ กันไป แม้ว่าส่วนหนึ่งจะก้าวขาออกบ้าง ไม่ออกบ้าง แต่ว่าถ้าเรานำอยู่ข้างหน้า ก็เป็นอันว่าเหนื่อยน้อยหน่อย แต่ถ้าหากว่าต้องวิ่งตามหลังนั้น จะเป็นอะไรที่เหนื่อยมากอย่างยิ่ง
    เมื่อปรารภไปแล้ว ก็ยังได้กล่าวว่า การที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ได้สอนมโนมยิทธิให้แก่พวกเรานั้น จะว่าไปแล้ว ในเรื่องทางโลกก็คือทำให้พวกเราทั้งหลายได้รู้ว่า อะไรที่เกิดขึ้นมาแล้ว อะไรที่กำลังเกิดขึ้น และอะไรที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
    แม้กระทั่งเรื่องทางโลกแบบนี้ เราก็ยังมีโอกาสที่จะรู้ก่อนคนอื่นเขา ทำให้ตัดสินใจได้ว่า สิ่งนี้เราควรที่จะทำอะไร สิ่งนี้เราควรที่จะไม่ทำอะไร อย่างเช่นว่า ในเรื่องของเงินทอนวัด ซึ่งกระผม/อาตมภาพขอบอกกล่าวแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายที่ฟังอยู่ว่า "เรื่องนี้ยังไม่จบ อีกไม่กี่วันจะมีปะทุขึ้นมาอีก" นี่คือสิ่งที่ท่านทั้งหลาย ถ้าหากว่ารู้ล่วงหน้าแล้ว จะทำการแก้ไขอย่างไร
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๕
    https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8615
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
    #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #หลวงพ่อเล็ก
    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
    #พระพุทธศาสนา #watthakhanun
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า มี ๒ อย่าง คือ สมมติเทศนา (เทศนาเกี่ยวกับสมมติ) ๑ ปรมัตถเทศนา (เทศนาเกี่ยวกับปรมัตถ์) ๑.
    ในจำนวนเทศนาทั้ง ๒ อย่างนั้น สมมติเทศนา มีรูปความอย่างนี้ว่า บุคคล สัตว์ หญิง ชาย กษัตริย์ พราหมณ์ เทพ มารเป็นต้น.
    ส่วนปรมัตถเทศนา มีรูปความอย่างนี้ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขันธ์ ธาตุ อายตนะ สติปัฏฐานเป็นต้น.
    ในจำนวนเทศนาทั้ง ๒ อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสมมติเทศนาแก่เหล่าพุทธเวไนยผู้ที่ฟังพระธรรมเทศนาว่าด้วยเรื่องสมมติแล้ว เข้าใจเนื้อความทะลุปรุโปร่ง สามารถละโมหะบรรลุคุณวิเศษได้
    ส่วนคนเหล่าใดฟังพระธรรมเทศนาว่าด้วยเรื่องปรมัตถ์แล้ว เข้าใจเนื้อความทะลุปรุโปร่ง สามารถละโมหะบรรลุคุณวิเศษได้ พระองค์ก็ทรงแสดงปรมัตถเทศนาให้เขาฟัง.
    เปรียบเทียบความ
    ในการทรงแสดงพระธรรมเทศนาทั้ง ๒ อย่างนั้นมีข้อเปรียบเทียบดังต่อไปนี้. อุปมาเหมือนอาจารย์ผู้บรรยายไตรเพท รู้ภาษาถิ่น เมื่อพูดภาษาทมิฬ นักเรียนพวกใดเข้าใจความหมาย ก็จะบอกเขาเหล่านั้นด้วยภาษาทมิฬ. แต่ถ้าพวกใดเข้าใจความหมายด้วยภาษาใดภาษาหนึ่งในจำนวนภาษาทั้งหลายมีภาษาอันธกะเป็นต้น ก็จะบอกเขาเหล่านั้นด้วยภาษานั้น. เมื่อเป็นเช่นนั้น มาณพน้อย (นักเรียน) เหล่านั้นได้อาศัยอาจารย์ผู้ฉลาดหลักแหลม จะเรียนศิลปะได้เร็วทีเดียวฉันใด.
    ในข้ออุปไมยนั้นก็ฉันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงทราบว่าเหมือนอาจารย์ พระไตรปิฎกที่อยู่ในภาวะที่จะต้องทรงสอนเหมือนไตรเพท พระปรีชาฉลาดในสมมติและปรมัตถ์ เหมือนความฉลาดในภาษาถิ่น เวไนยสัตว์ผู้สามารถแทงตลอดด้วยสมมติเทศนาและปรมัตถเทศนา เหมือนมาณพน้อย (นักเรียน) ผู้พูดภาษาถิ่นต่างๆ พระธรรมเทศนาว่าด้วยสมมติและปรมัตถ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนการบอก (ไตรเพท) ด้วยภาษาทมิฬเป็นต้นของอาจารย์.
    และในการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสมมติเทศนาและปรมัตถเทศนานี้ พระโบราณาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า :-
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่าผู้สอนทั้งหลาย
    ได้ตรัสสัจจะไว้ ๒ อย่าง คือ สมมติสัจจะ ๑ ปรมัตถสัจจะ ๑ไม่มีสัจจะอย่างที่ ๓ พระพุทธดำรัสเกี่ยวกับสมมติ (สังเกต) ชื่อว่าเป็นสัจจะ เพราะเหตุที่เป็นสมมติของโลก
    ส่วนพระพุทธดำรัสเกี่ยวกับปรมัตถ์ ชื่อว่าเป็นสัจจะ
    เพราะเหตุที่เป็นความจริงของธรรมทั้งหลาย เพราะฉะนั้น
    สำหรับพระโลกนาถศาสดา ผู้ทรงฉลาดในโวหารเทศนา
    ตรัสถึงสมมติ มุสาวาทจึงไม่เกิดขึ้น (ไม่เป็นการกล่าวเท็จ) ดังนี้.
    เหตุตรัสบุคคลกถา ๘ ประการ
    อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสบุคคลกถา (ถ้อยคำระบุบุคคล) ด้วยเหตุ ๘ ประการ คือ
    ๑. เพื่อทรงแสดงถึงหิริและโอตตัปปะ
    ๒. เพื่อทรงแสดงถึงความที่สัตว์มีกรรมเป็นของๆ ตน
    ๓. เพื่อทรงแสดงถึงการกระทำของคนโดยเฉพาะตัว
    ๔. เพื่อทรงแสดงถึงอนันตริยกรรม
    ๕. เพื่อทรงแสดงถึงพรหมวิหารธรรม
    ๖. เพื่อทรงแสดงถึงบุพเพนิวาสานุสสติญาณ
    ๗. เพื่อทรงแสดงถึงทักขิณาวิสุทธิ
    ๘. เพื่อไม่ทรงละทิ้งสมมติของโลก.
    ขยายความเหตุ ๘ ประการ
    เมื่อพระองค์ตรัสว่า ขันธ์ธาตุอายตนะทั้งหลายละอายแก่ใจอยู่ เกรงกลัวบาปอยู่ มหาชนจะไม่เข้าใจ พากันพิศวงงงงวย โต้แย้งว่า นี้อะไรกัน ขันธ์ธาตุอายตนะทั้งหลายละอายแก่ใจ เกรงกลัวต่อบาปด้วยหรือ? ดังนี้
    แต่เมื่อพระองค์ตรัสว่า บุรุษ กษัตริย์ พราหมณ์ เทพ มาร (ละอายแก่ใจ เกรงกลัวต่อบาป) ดังนี้. มหาชนจะเข้าใจ ไม่พิศวงงงงวย ไม่โต้แย้ง เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงหิริและโอตตัปปะ.
    แม้ในพระดำรัสที่ตรัสว่า ขันธ์ธาตุอายตนะทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของตนดังนี้ ก็นัยเดียวกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงความที่สัตว์มีกรรมเป็นของๆ ตน.
    แม้ในพระดำรัสที่ตรัสว่า มหาวิหารมีพระเวฬุวันเป็นต้น ขันธ์ธาตุอายตนะทั้งหลายสร้างไว้ดังนี้ ก็นัยเดียวกันนั่นแหละ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงการกระทำของคนโดยเฉพาะตัว.
    แม้ในพระดำรัสที่ตรัสว่า ขันธ์ธาตุอายตนะทั้งหลายปลงชีวิตมารดา บิดา พระอรหันต์ ทำโลหิตุปบาทกรรม (ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต) (และ) ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ดังนี้. ก็นัยเดียวกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงอนันตริยกรรม.
    แม้ในพระดำรัสที่ตรัสว่า ขันธ์ธาตุอายตนะทั้งหลายย่อมเมตตา (รักใคร่สัตว์ทั้งหลาย) ดังนี้ ก็นัยเดียวกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงพรหมวิหารธรรม.
    แม้ในพระดำรัสที่ตรัสว่า ขันธ์ธาตุอายตนะทั้งหลายระลึกชาติที่เคยอยู่ก่อนของเราได้ ดังนี้ ก็นัยเดียวกันนั่นแหละ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงการระลึกชาติที่อยู่มาก่อนได้.
    แม้ในพระดำรัสที่ตรัสว่า ขันธ์ธาตุอายตนะทั้งหลายรับทานดังนี้ มหาชนจะไม่เข้าใจ พากันพิศวงงงงวย โต้แย้งว่า นี้อะไรกัน ขันธ์ธาตุอายตนะทั้งหลายรับทานด้วยหรือ? ดังนี้.
    แต่เมื่อตรัสว่า บุคคลผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมรับทานดังนี้ มหาชนก็เข้าใจ ไม่พิศวงงงงวย ไม่โต้แย้ง เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงความบริสุทธิ์แห่งทักษิณาทาน.
    เพราะว่า ธรรมดาพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายจะไม่ทรงละทิ้งสมมติของโลก ทรงดำรงอยู่ในถ้อยคำของชาวโลก ในภาษาของชาวโลก ในการเจรจาของชาวโลกนั้นแหละทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถาไว้เพื่อไม่ละทิ้งสมมติของโลกเสีย.
    ฉะนั้น ท่านองค์นี้ (พระสารีบุตรเถระ) เมื่อจะไม่ให้ขัดแย้งกับพระธรรมเทศนาพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ดำรงอยู่ในสมมติของโลก แล้วกล่าวคำมีอาทิว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคล ๔ ประเภทเหล่านี้ ดังนี้ เพราะเหตุเป็นผู้ฉลาดในสำนวนโลก เพราะฉะนั้น บุคคลในที่นี้โปรดทราบตามสมมติเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงปรมัตถ์.
    ข้อความบางตอนใน อรรถกถาอนังคณสูตร
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=53...
    ศึกษาเพิ่มเติมใน อนังคณสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒
    http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=12&siri=5
    ดูเทียบกับ อรรถกถาเอกปุคคลวรรคที่ ๑๓ http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=139


    พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า มี ๒ อย่าง คือ สมมติเทศนา (เทศนาเกี่ยวกับสมมติ) ๑ ปรมัตถเทศนา (เทศนาเกี่ยวกับปรมัตถ์) ๑.
    ในจำนวนเทศนาทั้ง ๒ อย่างนั้น สมมติเทศนา มีรูปความอย่างนี้ว่า บุคคล สัตว์ หญิง ชาย กษัตริย์ พราหมณ์ เทพ มารเป็นต้น.
    ส่วนปรมัตถเทศนา มีรูปความอย่างนี้ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขันธ์ ธาตุ อายตนะ สติปัฏฐานเป็นต้น.
    ในจำนวนเทศนาทั้ง ๒ อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสมมติเทศนาแก่เหล่าพุทธเวไนยผู้ที่ฟังพระธรรมเทศนาว่าด้วยเรื่องสมมติแล้ว เข้าใจเนื้อความทะลุปรุโปร่ง สามารถละโมหะบรรลุคุณวิเศษได้
    ส่วนคนเหล่าใดฟังพระธรรมเทศนาว่าด้วยเรื่องปรมัตถ์แล้ว เข้าใจเนื้อความทะลุปรุโปร่ง สามารถละโมหะบรรลุคุณวิเศษได้ พระองค์ก็ทรงแสดงปรมัตถเทศนาให้เขาฟัง.
    เปรียบเทียบความ
    ในการทรงแสดงพระธรรมเทศนาทั้ง ๒ อย่างนั้นมีข้อเปรียบเทียบดังต่อไปนี้. อุปมาเหมือนอาจารย์ผู้บรรยายไตรเพท รู้ภาษาถิ่น เมื่อพูดภาษาทมิฬ นักเรียนพวกใดเข้าใจความหมาย ก็จะบอกเขาเหล่านั้นด้วยภาษาทมิฬ. แต่ถ้าพวกใดเข้าใจความหมายด้วยภาษาใดภาษาหนึ่งในจำนวนภาษาทั้งหลายมีภาษาอันธกะเป็นต้น ก็จะบอกเขาเหล่านั้นด้วยภาษานั้น. เมื่อเป็นเช่นนั้น มาณพน้อย (นักเรียน) เหล่านั้นได้อาศัยอาจารย์ผู้ฉลาดหลักแหลม จะเรียนศิลปะได้เร็วทีเดียวฉันใด.
    ในข้ออุปไมยนั้นก็ฉันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงทราบว่าเหมือนอาจารย์ พระไตรปิฎกที่อยู่ในภาวะที่จะต้องทรงสอนเหมือนไตรเพท พระปรีชาฉลาดในสมมติและปรมัตถ์ เหมือนความฉลาดในภาษาถิ่น เวไนยสัตว์ผู้สามารถแทงตลอดด้วยสมมติเทศนาและปรมัตถเทศนา เหมือนมาณพน้อย (นักเรียน) ผู้พูดภาษาถิ่นต่างๆ พระธรรมเทศนาว่าด้วยสมมติและปรมัตถ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนการบอก (ไตรเพท) ด้วยภาษาทมิฬเป็นต้นของอาจารย์.
    และในการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสมมติเทศนาและปรมัตถเทศนานี้ พระโบราณาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า :-
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่าผู้สอนทั้งหลาย
    ได้ตรัสสัจจะไว้ ๒ อย่าง คือ สมมติสัจจะ ๑ ปรมัตถสัจจะ ๑ไม่มีสัจจะอย่างที่ ๓ พระพุทธดำรัสเกี่ยวกับสมมติ (สังเกต) ชื่อว่าเป็นสัจจะ เพราะเหตุที่เป็นสมมติของโลก
    ส่วนพระพุทธดำรัสเกี่ยวกับปรมัตถ์ ชื่อว่าเป็นสัจจะ
    เพราะเหตุที่เป็นความจริงของธรรมทั้งหลาย เพราะฉะนั้น
    สำหรับพระโลกนาถศาสดา ผู้ทรงฉลาดในโวหารเทศนา
    ตรัสถึงสมมติ มุสาวาทจึงไม่เกิดขึ้น (ไม่เป็นการกล่าวเท็จ) ดังนี้.
    เหตุตรัสบุคคลกถา ๘ ประการ
    อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสบุคคลกถา (ถ้อยคำระบุบุคคล) ด้วยเหตุ ๘ ประการ คือ
    ๑. เพื่อทรงแสดงถึงหิริและโอตตัปปะ
    ๒. เพื่อทรงแสดงถึงความที่สัตว์มีกรรมเป็นของๆ ตน
    ๓. เพื่อทรงแสดงถึงการกระทำของคนโดยเฉพาะตัว
    ๔. เพื่อทรงแสดงถึงอนันตริยกรรม
    ๕. เพื่อทรงแสดงถึงพรหมวิหารธรรม
    ๖. เพื่อทรงแสดงถึงบุพเพนิวาสานุสสติญาณ
    ๗. เพื่อทรงแสดงถึงทักขิณาวิสุทธิ
    ๘. เพื่อไม่ทรงละทิ้งสมมติของโลก.
    ขยายความเหตุ ๘ ประการ
    เมื่อพระองค์ตรัสว่า ขันธ์ธาตุอายตนะทั้งหลายละอายแก่ใจอยู่ เกรงกลัวบาปอยู่ มหาชนจะไม่เข้าใจ พากันพิศวงงงงวย โต้แย้งว่า นี้อะไรกัน ขันธ์ธาตุอายตนะทั้งหลายละอายแก่ใจ เกรงกลัวต่อบาปด้วยหรือ? ดังนี้
    แต่เมื่อพระองค์ตรัสว่า บุรุษ กษัตริย์ พราหมณ์ เทพ มาร (ละอายแก่ใจ เกรงกลัวต่อบาป) ดังนี้. มหาชนจะเข้าใจ ไม่พิศวงงงงวย ไม่โต้แย้ง เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงหิริและโอตตัปปะ.
    แม้ในพระดำรัสที่ตรัสว่า ขันธ์ธาตุอายตนะทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของตนดังนี้ ก็นัยเดียวกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงความที่สัตว์มีกรรมเป็นของๆ ตน.
    แม้ในพระดำรัสที่ตรัสว่า มหาวิหารมีพระเวฬุวันเป็นต้น ขันธ์ธาตุอายตนะทั้งหลายสร้างไว้ดังนี้ ก็นัยเดียวกันนั่นแหละ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงการกระทำของคนโดยเฉพาะตัว.
    แม้ในพระดำรัสที่ตรัสว่า ขันธ์ธาตุอายตนะทั้งหลายปลงชีวิตมารดา บิดา พระอรหันต์ ทำโลหิตุปบาทกรรม (ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต) (และ) ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ดังนี้. ก็นัยเดียวกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงอนันตริยกรรม.
    แม้ในพระดำรัสที่ตรัสว่า ขันธ์ธาตุอายตนะทั้งหลายย่อมเมตตา (รักใคร่สัตว์ทั้งหลาย) ดังนี้ ก็นัยเดียวกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงพรหมวิหารธรรม.
    แม้ในพระดำรัสที่ตรัสว่า ขันธ์ธาตุอายตนะทั้งหลายระลึกชาติที่เคยอยู่ก่อนของเราได้ ดังนี้ ก็นัยเดียวกันนั่นแหละ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงการระลึกชาติที่อยู่มาก่อนได้.
    แม้ในพระดำรัสที่ตรัสว่า ขันธ์ธาตุอายตนะทั้งหลายรับทานดังนี้ มหาชนจะไม่เข้าใจ พากันพิศวงงงงวย โต้แย้งว่า นี้อะไรกัน ขันธ์ธาตุอายตนะทั้งหลายรับทานด้วยหรือ? ดังนี้.
    แต่เมื่อตรัสว่า บุคคลผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมรับทานดังนี้ มหาชนก็เข้าใจ ไม่พิศวงงงงวย ไม่โต้แย้ง เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงความบริสุทธิ์แห่งทักษิณาทาน.
    เพราะว่า ธรรมดาพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายจะไม่ทรงละทิ้งสมมติของโลก ทรงดำรงอยู่ในถ้อยคำของชาวโลก ในภาษาของชาวโลก ในการเจรจาของชาวโลกนั้นแหละทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถาไว้เพื่อไม่ละทิ้งสมมติของโลกเสีย.
    ฉะนั้น ท่านองค์นี้ (พระสารีบุตรเถระ) เมื่อจะไม่ให้ขัดแย้งกับพระธรรมเทศนาพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ดำรงอยู่ในสมมติของโลก แล้วกล่าวคำมีอาทิว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคล ๔ ประเภทเหล่านี้ ดังนี้ เพราะเหตุเป็นผู้ฉลาดในสำนวนโลก เพราะฉะนั้น บุคคลในที่นี้โปรดทราบตามสมมติเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงปรมัตถ์.
    ข้อความบางตอนใน อรรถกถาอนังคณสูตร
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=53...
    ศึกษาเพิ่มเติมใน อนังคณสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒
    http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=12&siri=5
    ดูเทียบกับ อรรถกถาเอกปุคคลวรรคที่ ๑๓ http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=139

    ncxNBRF-7eTvmhpmgnpdEFZROzxgnDl-a&_nc_ohc=WGIUIwnZOM4AX8rjRtl&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk29-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ เมื่อเช้าตอนจัดงานภาวนาพระคาถาเงินล้าน พระท่านสั่งว่า "งานครั้งหน้าให้เอาข้าวสุกมาเข้าพิธีด้วย" คือเรื่องนี้กระผม/อาตมภาพพยายามหลีกเลี่ยงแล้ว แต่ดูท่าว่าจะไม่พ้น ก็คือพระท่านสั่งให้ทำพระคำข้าว แต่กระผม/อาตมภาพขอผลัดผ่อนไปก่อน เพราะว่าถ้าทำออกมา คนรุ่นใหม่ ๆ จะไม่รู้จักพระคำข้าวของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง แต่จะมาเอาของวัดท่าขนุนแทน
    เรื่องนี้กระผม/อาตมภาพได้ปรารภกับท่านพระครูปลัดสมนึก สุธมฺมถิรสทฺโธ เจ้าอาวาสวัดจันทาราม (ท่าซุง) ไปแล้วด้วย ว่าอย่างไรก็ยังไม่ทำ จนกระทั่งภายหลังกลายเป็นว่าต้องมานั่งลบผง สร้างพระยอดขุนพลกาญจนบุรีแทน แต่ถ้าหากว่าเป็นอย่างที่พระท่านสั่ง ก็แปลว่าต้องทำผงพระคำข้าวเตรียมเอาไว้ เมื่อถึงวาระที่เหมาะสม ก็คงจะต้องสร้างจนได้
    เรื่องของการสร้างพระคำข้าวนั้น เป็นวิชาเดียวที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "ถ้าแกถามว่าสร้างอย่างไร ? ข้าก็ตอบไม่ถูก" เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าโดยปกติแล้ว ตั้งแต่สมัยหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) วัดระฆังโฆสิตาราม ที่ท่านสร้างพระสมเด็จวัดระฆังลือลั่นสนั่นเมืองมาจนทุกวันนี้ ที่ราคาแพงจนจับไม่ติด
    ถ้าองค์สวย ๆ อย่างที่กระผม/อาตมภาพถวายหลวงพ่อพระพรหมเสนาบดี วัดปทุมคงคาไป ๔๐ - ๕๐ ล้านขายได้แน่นอน แต่ด้วยความที่รู้จักมักคุ้นกับท่านมานาน ตั้งแต่สมัยที่หลวงปู่สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดปทุมคงคายังอยู่ แล้วท่านปรารภว่า "ในชีวิตอยากได้พระเบญจภาคีไว้บูชาติดตัวบ้าง แต่เท่าที่มีคนถวายมาเป็นร้อย ๆ องค์ เอาไปให้เขาเช็คแล้ว..ปลอมหมด..!"
    ด้วยความสงสารว่าท่านได้ของมามากแต่ก็ปลอมทั้งนั้น กระผม/อาตมภาพก็เลยรับปากท่านว่า "เดี๋ยวเจอหน้าครั้งต่อไป จะเอามาถวายหลวงพ่อองค์หนึ่ง" เมื่อเอาไปถวายท่านแล้ว เจอหน้ากันอีกครั้ง ท่านบอกว่า "เช็คแล้ว..แท้แน่นอน..ขอบคุณมาก" ทุกวันนี้เจอหน้าเมื่อไร ก็ตบหน้าอกให้ดู บอกว่า "ใช้ติดตัวอยู่นะ"
    แต่คราวนี้พอวิชานี้สืบสายมาถึงหลวงปู่เนียม วัดน้อย ไม่ทราบว่าท่านได้สร้างพระคำข้าวไว้บ้างหรือเปล่า ? เพราะว่าในประวัติไม่ได้มีบอกกล่าวเอาไว้ แต่พอมาถึงหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านสร้างเป็นพระพุทธรูป หน้าตักประมาณ ๕ นิ้ว ก็คือสร้างองค์เดียว
    พอมายุคของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านสร้างไว้ ๒ รุ่น รุ่นแรก ๑๐๐,๐๐๐ องค์ รุ่นที่สอง ๕,๐๐๐,๐๐๐ องค์ ทุกวันนี้ราคาของวัดอยู่ที่องค์ละ ๑,๖๐๐ บาท แต่ถ้าหากว่าสวย ๆ แถมมีเส้นเกศาด้วย เขาสู้กันราคาองค์ละเป็นหมื่นเหมือนกัน
    เมื่อเดือนที่แล้วกระผม/อาตมภาพไปขอแบ่งให้ท่านพระครูโสภณกาญจนพัฒน์ เจ้าอาวาสวัดห้วยสะพาน ที่ท่านเคารพหลวงพ่อฤๅษีฯ แบบสุดจิตสุดใจ บอกว่า "อาจารย์..ช่วยหาพระสมเด็จคำข้าวให้ผมหน่อย" ถามว่าทำไม ? "สงครามจะเกิดแล้ว ผมจำได้แม่นที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า หลังจากนี้ ๓๐ ปี สงครามใหญ่จะเกิด ถึงเวลาแล้วพระสมเด็จคำข้าว พระสมเด็จหางหมาก ราคาจะแพงมาก"
    กระผม/อาตมภาพก็เลยหาให้ท่านไป โดยเลือกที่มั่นใจเลย ก็คือบรรจุในถุงเก่าสมัยนั้นไปด้วย คิดราคาท่านมาตรฐานวัดท่าซุง คือ องค์ละ ๑,๖๐๐ บาท ท่านบูชาไป ๑๐๐ องค์ ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเก็บเอาไว้คู่วัด หรือว่าจะแจกจ่ายให้กับญาติโยมของท่าน
    คราวนี้จากที่ปรารภกับท่านพระครูปลัดสมนึก ก็คือว่า ถ้าหากว่าทางวัดท่าขนุนสร้าง คนยุคนี้ก็จะเอาแต่ของวัดท่าขนุน ของหลวงพ่อวัดท่าซุงที่เป็นของดีที่ท่านตั้งใจทำอย่างยิ่ง ราคาก็จะไปได้ไม่ไกล
    โดยเฉพาะการสร้างพระสมเด็จคำข้าว เป็นวิชาการที่ไม่มีในตำรา ตั้งแต่สมัยหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดระฆังโฆสิตาราม ก็คือ ฉันอาหารคำไหนอร่อย ก็คายออกเก็บไว้ เป็นการห้ามตนเองไม่ให้ติดรสอาหารอย่างหนึ่ง เมื่อถึงเวลาก็ไปตากแห้ง ทำเป็นผงสร้างพระ สมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ก็ทำลักษณะเดียวกัน
    แต่มาสมัยของหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้น รุ่นแรกท่านก็ใช้วิธีเสกข้าวจากคำข้าวที่อร่อยเหมือนกัน แต่พอมาถึงรุ่นที่ ๒ พระท่านให้ใช้วิธีลัด ตักข้าวใส่ถ้วย โดยเฉพาะต้องเป็นข้าวปากหม้อ แล้วก็เอาไปเสก
    คราวนี้ที่ท่านบอกว่า "ถ้าแกถามว่าสร้างอย่างไร ? ข้าก็บอกไม่ถูก" ก็เพราะว่าในแต่ละวัน เมื่อตักข้าวมาจะเสก พระท่านก็มากำกับเองว่าวันนี้ใช้คาถาบทไหน บางทีก็บทเดียวกัน ๗ วันรวด บางทีวันนี้บทหนึ่ง รุ่งขึ้นอีกบทหนึ่ง มะรืนอีกบทหนึ่ง เปลี่ยนไปเรื่อย ท่านถึงได้บอกว่า ไม่สามารถที่จะบอกได้
    พวกกระผม/อาตมภาพก็ยังกราบเรียนหลวงพ่อว่า "ไม่ต้องบอกก็ได้ครับ หลวงพ่อสร้างเอาไว้เยอะ ๆ ถึงเวลาสิ้นหลวงพ่อแล้ว พวกผมก็ขุดกรุมาขาย..!" แต่ปรากฏว่าหลังสิ้นหลวงพ่อแล้ว ของขึ้นราคา คนแย่งกันซื้อ แย่งกันบูชา กระผมที่มีอยู่เป็นพัน ๆ องค์ก็ไม่เหลือสักองค์..!
    เพราะว่าสมัยนั้นกระผม/อาตมภาพออกกิจนิมนต์ได้เงินมา ก็เก็บเอาไว้ร่วมบุญกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน ใครทำบุญ ๑๐ บาทก็ได้พระองค์หนึ่ง กระผม/อาตมภาพทำบุญแต่ละครั้งก็ได้เป็นร้อยองค์ จนกระทั่งพระพี่พระน้องก็ยังบ่นว่า "จะเก็บไปทำอะไรหนักหนา ของมีตั้งเยอะตั้งแยะ บ้าหรือเปล่า ?"
    เจตนาแรกเลยก็คือ ได้ช่วยแบ่งเบาภาระการก่อสร้างให้กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เจตนาที่สองก็คือ เมื่อได้วัตถุมงคลมาก็เก็บเอาไว้ เผื่อที่จะต้องใช้งานในโอกาสข้างหน้า
    กระผม/อาตมภาพอาจจะเป็นคนที่รู้มาก รู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในวัดท่าซุงตลอดไป ออกจากวัดเมื่อไร ถ้าไปแบบมือเปล่า ไม่มีข้าวของอะไรติดไปเลย ถ้าต้องไปก่อสร้างที่อื่น ก็คงจะไม่มีปัญญาหาเงิน ตั้งใจว่าถ้ามีวัตถุมงคลครูบาอาจารย์อยู่ ก็จะได้จำหน่าย หาเงินสร้างวัดได้ แต่พอสิ้นหลวงพ่อลงไป วัตถุมงคลขึ้นราคาจากองค์ละ ๑๐ บาทเป็น ๑๐๐ บาท ไอ้พวกที่ว่ากระผม/อาตมภาพบ้าหรือเปล่านั่นแหละ มากวาดไปเรียบเลย ให้องค์ละ ๑๐ บาท น่าตายมาก..!
    ทุกวันนี้ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงบางคนมีเป็นหมื่นองค์ แล้วเป็นคนที่กระผม/อาตมภาพรู้จักมักคุ้นด้วย ถึงขนาดว่าถ้าออกปากก็ขอแบ่งกันได้ แต่ก็เกรงใจเขา เพราะว่าเขาบูชามาในช่วงองค์ละ ๑,๖๐๐ บาท ลองนึกดูว่าองค์ละ ๑,๖๐๐ บาท แล้วบูชาเป็นหมื่นองค์ คิดเป็นเงินเท่าไร ?
    ดังนั้น...ถ้าหากว่าเป็นการจัดภาวนาพระคาถาเงินล้านครั้งหน้า ก็น่าจะเป็นช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ถ้ากระผม/อาตมภาพลืม ก็อย่าลืมเตือนด้วย ก็คือต้องใช้ข้าวปากหม้อมาเข้าพิธีด้วย แปลว่าหุงเสร็จแล้วต้องตักออกมาเลย งานต่อ ๆ ไปก็แล้วแต่ท่านว่าจะสั่งอีกเมื่อไร
    แต่ว่าหลังจากเข้าพิธีเสร็จแล้ว ก็คงจะต้องตากแห้ง ซึ่งระยะหลังสบายหน่อย เพราะว่าแม้กระทั่งช่วงที่หลวงพ่อท่านสร้างพระคำข้าวรุ่นที่ ๒ ครูนนทากับครูยุ้ย ก็ยังใช้วิธีเอาข้าวปลาอาหารไปอบในเตาไมโครเวฟ แห้งกรอบดีแท้ แห้งจนไหม้เลยก็มี เพราะว่าเผลอตั้งเวลานานไปหน่อย ของเราเองก็คงไม่มีปัญหา แม้เป็นหน้าฝนก็ใช้ไมโครเวฟอบแห้งได้
    สำหรับรูปแบบ ก็ตั้งใจว่าจะสร้างสัก ๓ ขนาด ก็คือขนาดมาตรฐานของครูบาอาจารย์ แต่คราวนี้ครูบาอาจารย์มี ๓ ขนาดมาตรฐาน ก็เลยว่าจะว่าตามทั้ง ๓ องค์ ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องทำเมื่อไร แต่พระท่านสั่งให้ทำผงแล้ว
    เรื่องพวกนี้ก็เลยกลายเป็นอะไรที่ต้องบอกว่า "กลืนไม่เข้า คายไม่ออก" เกรงใจต้นสังกัด แต่ขณะเดียวกันคำสั่งพระ คำสั่งครูบาอาจารย์ก็เป็นสิ่งที่ฝืนไม่ได้ ขนาดเบี่ยงเบนไป จนกระทั่งมาสร้างพระยอดขุนพลกาญจนบุรี ก็นึกว่าจะพ้นแล้ว ยังคงไม่พ้น ท่านตามมาสั่งเพิ่มจนได้ ก็คงจะทำตามที่พระองค์ท่านได้บอก ได้กล่าว ได้สั่งเอาไว้ ส่วนที่ว่าจะต้องเสกด้วยอะไรนั้น คงไม่ต้องไปเสียเวลาคิด เพราะถึงเวลาท่านก็จะมาบอกด้วยพระองค์เอง
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๕
    https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8644
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
    #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #หลวงพ่อเล็ก
    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
    #พระพุทธศาสนา #watthakhanun
    W-16gaoTDm2k9mcnU8bvpnZlCE2eSVyXV&_nc_ohc=gErx4DJxdXsAX-Nr88W&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-7.jpg
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...