ติดตามสถานะการณ์

จังหวัดกระบี่ พบครูสอนภาษาโรงเรียนระดับประถมศึกษา หญิงอายุ 27 ปี สัญชาติบราซิล มีประวัติเดินทางกลับจากกรุงเทพมหานคร เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ติดเชื้อ COVID-19 โดยก่อนพบเชื้อร่วมงานเลี้ยงส่งนักเรียนที่จบการศึกษาและมีกิจกรรมปาร์ตี้ในชั้นเรียน เจ้าหน้าที่จึงต้องนำเด็กนักเรียนไปตรวจหาเชื้อและขอให้ผู้ปกครองแยกกักตัวเด็กเป็นเวลา14 วัน สำหรับจังหวัดกระบี่ ขณะมีผู้ติดเชื้อสะสม 11 คน
#COVID19ระบาดใหม่ #กระบี่ #ThaiPBSศูนย์ข่าวภาคใต้

 

สสจ.นครศรีธรรมราช ชี้กรณีคู่รักหนุ่มสาวติดเชื้อ COVID-19 ขึ้นเครื่องบินจากกรุงเทพมหานคร กลับบ้านที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ต้องถูกดำเนินคดี เหตุปกปิดข้อมูล กระทำผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ รวมทั้งห้องแลปตรวจเชื้อของเอกชน ก็ต้องถูกดำเนินคดีด้วย เหตุไม่แจ้งข้อมูลการพบเชื้อกับเจ้าพนักงาน
อ่านข่าวเพิ่มเติม : คู่รักวัย 26 ปี ป่วย COVID-19 แอบบินกลับบ้าน - เร่งตามหาคนบนเครื่อง https://news.thaipbs.or.th/content/303296

 

#คำขาดของไบเดน
#ซัมซุงต้องทิ้งตลาดจีนมาผลิตชิพให้สหรัฐเท่านั้น

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และ จีน กำลังจะขยายจักรวาล กลายเป็นหนังภาคต่อไม่รู้จบเหมือนหนังฮอลลิวู้ดไปเสียแล้ว เมื่อโจ ไบเดน ยื่นคำขาดกับ ซัมซุง บริษัทผู้ผลิตชิพรายใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ว่าหากยังต้องการผลิตชิพป้อนตลาดสหรัฐ ต้องผลิตในโรงงานที่ตั้งในสหรัฐเท่านั้น ไม่ใช่จีน

คำขาดของโจ ไบเดน ไม่ต่างจากการทิ้งระเบิดลูกโตให้ผู้บริหารของซัมซุงต้องคิดหนักมาก เมื่อต้องเลือกระหว่างตลาดสหรัฐ และจีน ที่มีมูลค่ามหาศาลพอๆกันทั้งคู่ แต่วันนี้อาจไม่สามารถเก็บเธอไว้ทั้ง 2 คนได้

ข่าวนี้มาจากวงประชุมผู้ประกอบการด้านเซมิคอนดักเตอร์ในทำเนียบขาว ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา และ ซัมซุง คือผู้ผลิตชิพจากต่างประเทศเพียงรายเดียวที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุม โดยมี ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ร่วมวงประชุมด้วย

ซึ่งหัวข้อหลักของการประชุมครั้งนี้ คือปัญหาชิพประมวลผลขาดตลาดอย่างหนักตั้งแต่ปี 2020 เนื่องจากผลพวงของสงครามการค้าระหว่างจีน และสหรัฐ ที่ต่างฝ่าย ต่างพยายามกีดกันช่องทางการเข้าถึงชิพประมวลผลขั้นสูง ที่เป็นหัวใจสำคัญของ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิก ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ Smartphone รถไฟฟ้า EV และอุปกรณ์ไอทีรุ่นใหม่ๆ ที่กำลังจะออกมารองรับเทคโนโลยีรุ่นใหม่อย่าง AI หรือ 5G

และซัมซุงก็เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรายใหญ่ ที่ไม่ใช่ใหญ่แค่ที่เกาหลีใต้อย่างเดียว แต่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจาก Intel ของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

จึงไม่แปลกใจแล้วว่าทำไม ทำเนียบขาวถึงได้ส่งเทียบเชิญให้ซัมซุงเข้าร่วมการประชุมร่วมกับบริษัทผู้ผลิตชิพในสหรัฐอเมริกา แถมมีโจ ไบเดน มาร่วมวงด้วย

ไบเดนยื่นคำขาดให้ซัมซุงเปิดโรงงานผลิตชิพในสหรัฐ เพื่อป้อนชิพรุ่นใหม่ให้สหรัฐเท่านั้น ไม่ใช่จีน!

สิ่งที่ไบเดนต้องการคือ สหรัฐต้องได้เทคโนโลยีชิพรุ่นใหม่จากซัมซุง หรืออย่างน้อยต้องได้ก่อนประเทศอื่น และที่สำคัญกว่านั้นคือกีดกันจีนไม่ให้เข้าถึงตลาดชิพ เป็นการตัดขาจีนจากการพัฒนาเทคโนโลยีรุ่นใหม่ๆ ที่จีนตั้งใจจะให้เป็นตัวขับเคลื่อนในการรุกตลาดโลก

แต่ทำไมต้องเป็นซัมซุง ในเมื่อสหรัฐก็มี Intel อยู่แล้ว?

แม้ว่าผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดจะอยู่ที่สหรัฐ แต่ผู้คุมตลาดเซมิคอนดักเตอร์ในโลกจริงๆอยู่ที่เอเชีย ซึ่งนอกจากเกาหลีใต้แล้ว ยังมีไต้หวันที่เป็นผู้ผลิตชิพรายใหญ่ ต่อคิวมาเป็นอันดับ 3 ของโลก

และเมื่อรวมส่วนแบ่งตลาดชิพประมวลผลในโลก เฉพาะเกาหลีใต้ + ไต้หวัน ก็กินส่วนแบ่งกว่า 70% ไปแล้ว

ตัวเลขอาจจะฟังดูเกินจริง แต่หากมองถึงตลาดผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ออกมาเป็นตัวชิพจริงๆ ไม่ใช่ยี่ห้อ จะพบว่าผู้ผลิตตัวจริงคือไต้หวัน และเกาหลีใต้ ด้วยต้นทุนการผลิต และขนส่งที่ได้เปรียบกว่าสหรัฐ ดังนั้นบริษัทแบรนด์ใหญ่ๆอย่าง Intel หรือ Apple จึงใช้วิธีจ้างให้บริษัทในเอเชียเหล่านี้ผลิตชิพให้ ตามรูปแบบที่ต้องการ แล้วมาสวมแบรนด์ของตนทีหลัง

แต่หากสิ่งที่สหรัฐต้องการต่อจากนี้ คือการสกัด Supply chain ในการป้อนชิพเข้าสู่ตลาดจีน สหรัฐก็จะไม่เกรงใจที่จะพูดออกมาตรงๆว่า ถ้ายังอยากเข้าถึงตลาดสหรัฐ ก็ต้องทิ้งตลาดคู่แข่งไปซะ นั่นคือ สร้างโรงงานผลิตชิพในสหรัฐ เพื่อป้อนให้สหรัฐเท่านั้น

ฝ่ายซัมซุงอาจจะคาดไม่ถึงแต่แรกว่าไบเดนจะจริงจังถึงขนาดนี้ เพราะการสร้างโรงงานผลิตชิพในสหรัฐอยู่ในแผนของซัมซุงอยู่แล้ว เพียงแค่กำลังตัดสินใจเลือกว่าจะสร้างที่ไหน ระหว่าง นิวยอร์ค เท็กซัส หรือแอริสโซน่า แต่สหรัฐต้องการกดดันซัมซุงให้เดินหน้าโครงการโรงงานผลิตชิพสัญชาติเกาหลีใต้ให้เร็วที่สุด

เพราะ TSMC บริษัทผู้ผลิตชิพตัวจริง เสียงจริง จากไต้หวันได้มาลงทุนสร้างโรงงานในสหรัฐเรียบร้อยแล้วด้วยทุนกว่า 1.2 หมื่นล้านเหรียญที่รัฐแอริสโซน่า ซัมซุงก็รีบตามมาไวๆซะ อย่าให้เสียเวลาเรียกมาประชุมบ่อยๆ

และสหรัฐก็ได้ประกาศคว่ำบาตร ห้ามส่งออกชิพ และอุปกรณ์เทคโนโลยีไปจีนแล้ว ดังนั้นสิ่งที่สหรัฐต้องทำคือบีบผู้ผลิตชิพเจ้าใหญ่ในเอเชียเข้ามาผลิตชิพให้ตัวเองในบ้าน ซึ่งชิพเหล่านี้จะไม่สามารถเล็ดลอดไปสู่ตลาดจีนได้เลย

จึงสร้างความหนักใจให้ซัมซุงไม่น้อย เพราซัมซุงก็มีโรงงานผลิตชิพที่จีนเหมือนกัน และยอดขายเฉพาะในตลาดจีนสูงถึง 25% ของยอดขายทั้งหมดแล้ว และยอดสั่งซื้อจากจีนก็ยังโตต่อเนื่องไม่หยุด เป็นตลาดที่กำลังรุ่งสุดๆของซัมซุง

แต่หากต้องสร้างโรงงานผลิตชิพให้กับสหรัฐ เท่ากับว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่เกิดในประเทศสหรัฐ จะนำมาใช้ผลิตชิพในอุปกรณ์เทคโนโลยีที่จะขายในตลาดจีนไม่ได้เลย

จึงเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออก ไม่รู้ว่าการได้เกียรติรับเชิญจากทำเนียบขาว และได้มาพบโจ ไบเดน จะเป็นวิกฤติหรือโอกาสของซัมซุงกันแน่หนอ

แหล่งข้อมูล

http://m.koreaherald.com/view.php?ud=20

https://m-en.yna.co.kr/view/AEN20210413003800320

https://www.lightreading.com/securi...-with-biden-over-chip-shortages/d/d-id/768691

http://www.businesskorea.co.kr/news/articleView.html?idxno=64141

https://m.pulsenews.co.kr/view.php?year=2021&no=353708

https://www.cnbc.com/2021/04/12/us-...oks-to-cut-out-china-secure-supply-chain.html

https://www.zippia.com/advice/largest-semiconductor-companies-world/

 

>>รอบนี้หนัก!!!
>>รพ.จุฬาลงกรณ์ ประกาศ งดรับผู้ป่วยนอก งดผ่าตัด
>>เว้นเคสจำเป็นเร่งด่วน ตั้งแต่ 16-30 เม.ย. 64
.
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ออกประกาศปรับการให้บริการผู้ป่วย จากสถานการณ์ไวรัสโควิดแพร่ระบาด ดังนี้
.
ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ( COVID-19 ) ทำให้ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อการบริการในภาพรวมของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อภายในโรงพยาบาลฯ
.
ดังนั้น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จึงขอเรียนปรับงานบริการให้ทราบ และแจ้ง ดังนี้
.
งดบริการผู้ป่วยนอกทั้งคลินิกในเวลาราชการและคลินิกพิเศษ
.
นอกเวลาราชการ ยกเว้นรายที่จำเป็นเร่งด่วน ฉุกเฉิน
.
งดผ่าตัดและหัตถการที่ไม่จำเป็น ยกเว้นรายที่จำเป็น เร่งด่วน ฉุกเฉิน
.
โดยทางโรงพยาบาลฯจะติดต่อประสานงานเพื่อให้ผู้ป่วยทุกท่านได้รับการบริการที่เหมาะสม และขอให้ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน โปรดหลีกเลี่ยงการเดินทางมาโรงพยาบาลฯ
.
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16-30 เมษายน 2564 และหากมีการเปลี่ยนแปลง ทางโรงพยาบาลฯ จะแจ้งข้อมูลให้ทราบเพิ่มเติมตามลำดับต่อไป
.
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-256-4000
.
#TheStatesTimes
#NewsFeed

 

อรรถกถาวัชรสูตรจาก 5 คณาจารย์
แปลจาก โอกาแฮ ซอรวี (五家解說誼) ของท่านคีฮวา (己和) พระภิกษุชาวเกาหลีสมัยราชวงศ์โชซอน คือตำรานี้แปลว่า อรรถกถารวมห้าสำนัก นำการตีความวัชรสูตรของพระเถระสำคัญหาท่านมารรวมกัน

เยื้อความส่วนหนึ่งมีดังนี้

พระสูตรกล่าวว่า “(สุภูติ เธอคิดเห็นเป็นอย่างไร? ตถาคตได้บรรลุอนุตตราสัมมาสัมโพธิหรือไม่? มีธรรมะใดที่ตถาคตแสดงหรือไม่” พระสุภูติตอบว่า “ดังนี้แล้ว ข้าพระองค์จะอธิบายความหมายที่แท้จริงของคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีธรรมะตายตัวของอนุตตราสัมมาสัมโพธิและไม่มีธรรมะตายตัวที่ตถาคตอาจจะแสดงได้) เพราะเหตุใดเล่า? การแสดงธรรมของตาถคตไม่สามารถยึดถือหรืออธิบายได้ ทั้งไม่ใช่ธรรมะหรือไม่ใช่ไม่ใช่ธรรมะ” (จากปริเฉทที่ 7 ของวัชรัจเฉทิกาปรัชญาปารมิตาสูตร)

ท่านคีฮวากล่าวว่า "เมื่อพระพุทธเจ้าอธิบายธรรมบางครั้งทรงบอกว่ามีสัญญาณและบางครั้งทรงก็บอกว่าไม่มีสัญญาณ ทรงตรัสได้อย่างอิสระโดยไม่มีอุปสรรคและไม่ถูกขัดขวางโดยการยึดมั่นอย่างสุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง ดังนั้นเราจึงไม่สามารถยึดติดกับคำพูดของพระองค์ได้ [ข้อควรพิจารณา] ข้อที่ว่าด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เราไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นคำสอนและเราไม่สามารถพูดได้ว่านั่นไม่ใช่คำสอน หากเราบอกว่ามีคำสอนที่แน่นอน ก็จำเป็นต้องใช้แพข้ามแม่น้ำ ถ้าบอกว่ามีสอนแน่นอนก็ไปถึงฝั่งอื่นได้โดยไม่ต้องนั่งเรือ ดังนั้นโดยการนำพาตัวเองไปตามมรรคในเวลาที่เหมาะสม เราจะเข้าถึงความจริงด้วยคำพูดเพียงคำเดียว ขับไล่ความคิดที่มีเงื่อนไขทางโลก และบรรลุความเป็นปราชญ์ โดยการนำพาตัวเองไปตามมรรคในเวลาที่เหมาะสม เรตาจักใช้ยานสามยาน ปฏิจจสมุปบาทสิบสอง นี่คืออะไร? คือ "การกู่ร้องในถ้วยร้อน" และ "ตบแต่งอุจจาระให้อลังการ" คำกล่าวที่ว่านี้ก็อิงตามหลักนี้ (ท่านคีฮวา เหป็นพระนิกายฌานชาวเกาหลีในสมัยศตวรรษที่ 14 - 15 สมัยโชซอน) ดังนั้นคำอธิบายของท่านจึงออกไปทางนิกายฌานหรือนิกายเซน)

ท่านจงมี่กล่าวว่า "พระอสังคะกล่าวว่า: "'ไม่สามารถยึดถือ' หมายถึงเวลาที่คนหนึ่งฟังอย่างถูกต้อง 'อธิบายไม่ได้' หมายถึงเวลาที่มีคนอธิบายอย่างถูกต้อง 'ไม่ใช่ธรรม' (หรือ 'ไม่มีปรากฏการณ์') เป็นเพราะลักษณะแห่งการปรุงแต่ง 'ไม่ใช่ไม่ใช่ธรรม' (หรือ 'ไม่ใช่ไร้ปรากฏการณ์') เพราะเป็นธรรมที่ไร้ตัวตน พระวสุพันธุกล่าว่า ธรรมและไม่ใช่ธรรม นี้เป็นคำอธิบายที่สร้างขึ้นจากความรู้เกี่ยวกับความเป็นจริง คำที่ว่า 'ไม่ใช่ธรรมะ เป็นถ้อยคำที่เกิดขึ้นมาเนื่องจากปรากฏการณ์ทั้งหมดไร้สารัตถะและลักษณะ 'ไม่ใช่ไม่ใช่ธรรม' เป็นถ้อยคำที่เกิดขึ้นมา เพราะลักษณะแห่งไร้ตัวตนและตถตานั้นปรากฏอยู่ เหตุใดจึงกล่าวเฉพาะการแสดงออกทางวาจาเท่านั้นที่ไม่ได้ปรากฎ? ทันทีที่มีการแสดงออกทางวาจา วาจานั้นจะแสดงลักษณะแห่งความหมายถ้าพวกเขา หากไม่ได้ปรากฎแล้ว จักไม่มีใครแสดงออกได้” (ท่านจงมี่เป็นหนึ่งในปรมาจารย์แห่งนิกายอวตังสกะ หรือนิกายหัวเหยียนสมัยราชวงศ์ถัง และยังเป็นปริมารรจารย์นิกายฉานสายเหอเจ๋ออีกด้วย)

ท่านฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "เป็นเพราะตถาคตมีความกังวลว่าผู้คนจะยึดติดกับคำวลีและประโยคที่เป็นเนื้อหาของการแสดงธรรมของพระองค์และไม่ได้ตื่นขึ้นมาสู่หลักการศูนยตา ทำให้เกิดความเข้าใจอย่างผิดๆ ดังนั้นพระองค์จึงตนัสว่า "ไม่อาจยึดถือ" เนื่องจากตถาคตให้ความสำคัญกับแต่ละคนตามความสามารถของแต่ละบุคคล ดังนั้นแล้วจะมีธรรมะที่ทรงแสดงจะตายตัวได้อย่างไร? ผู้ปฏิบัติไม่เข้าใจเจตนาอันลึกซึ้งของตถาคตเพียงแค่สาธยายคำสอนที่ตาถาคตได้อธิบายโดยไม่หยั่งรู้จิตดั้งเดิมของตนเองและในที่สุดก็ไม่บรรลุการตรัสรู้ ดังนั้นพระองค์จึงตรัสว่ามันอธิบายไม่ได้ เมื่อคนหนึ่งสวดสาธยายด้วยปากของตนและจิตไม่ได้ทำให้แจ้ง นี่คือไม่ใช่ธรรม เมื่อคนหนึ่งสวดสาธยายด้วยปากและและจิตทำให้แจ้งได้ ความลึกซึ้งย่อมเกินหยั่น ฉะนี้แล้วคือไม่ใช่ไม่ใช่ธรรม" (ท่านฮุ่ยเหนิงคือบูรพาจารย์ลำดับที่ 6 แห่งนิกายฉาน ท่านได้ไม่รู้่หนังสือ แต่บรรลุธรรมโดยไร้ตัวหนังสือ ทว่า แรกนั้นท่านได้สดับผู้อ่านวัชระสูตรแล้วเกิดความรู้แจ้งขั้นต้น)

ฟู่ต้าซื่อ กล่าวว่า
การตรัสรู้เป็นอิสระจากการอธิบายด้วยวาจา
ผู้นนานาถึงครานี้ไม่สามารถบรรลุสิ่งนี้ได้
อาศัยหลักการของการไม่ยึดมั่นในตัวตนสองแบบ
เพื่อตระหนักถึงกายของธรรมราชา
การดำรงอยู่และจิตเป็นทั้งความหลงผิด
การไม่ยึดติดเรียกว่า "ความเป็นจริง"
เมื่อเข้าใจว่าไม่ใช่ธรรมะ
เราจะพ้นจากอายตนะทั้งหกอย่างแน่นอน
(ฟู่ต้าซื่อคือพระอริยะบุคคลในยุคหนานเป่ยเฉาของจีน ราวศตวรรษที่ 5 และ 6 มีเรื่องอัศจรรย์มากมายเกี่ยวกับท่าน ท่านลือนามในเรืองการแสดงวัชรสูตร)

ท่านเหย่ฟูกล่าวว่า "นี่คืออะไร" (ท่านเหย่ฟู ต้าวเฉวียน คือพระนิกายฌานสมัยราชวงศ์หนานซ่ง ท่านอธิบายวัชรสูตร)

*****************************************
ภาพประกอบ "วัชรัจเฉทิกาปรัชญาปารมิตาสูตร" อักษรศิลป์โดยชาวเกาหลี อึมดงชอน (엄동천 작 '금강반야바라밀경) ภาพจาก http://www.ccdailynews.com

 

สแกนเชิงรุกชุมชน แยกกักตัวผู้ติดเชื้อ


การแพร่ระบาดเชื้อไวรัส “โควิด-19” ยังน่ากังวลคนไม่น้อยฝากความหวังไว้กับ “วัคซีน” โดยมีข้อมูลพื้นฐานให้เชื่อมั่นได้ว่า หากได้ฉีดวัคซีน 60–70% ของประชากรทั้งหมดแล้วจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้อย่างปลอดภัย

คำถามสำคัญมีว่า...จะเพียงพอหรือไม่?

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หรือ “หมอดื้อ” คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าต้องฉีด 100% เพราะถ้าฉีด 60 ถึง 70% คนที่เหลือที่ยังไม่ได้ฉีดก็ยังติดเชื้อได้...ประเทศบราซิลในเขตเฉพาะเป็นตัวอย่างที่ติดเชื้อตามธรรมชาติถึง 76% ของคนในพื้นที่



ซึ่งควรจะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุด แต่แล้วก็มีการแพร่ไปเงียบๆและกระจายไปทั่วประเทศจนปะทุใหม่ปลายเดือนธันวาคมและเป็นเชื้อใหม่

น่าสนใจด้วยว่า “คนที่ฉีด” ไปแล้วก็ยัง “ติดเชื้อ” ได้

ถึงแม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม และขึ้นอยู่กับตัวของผู้ได้รับวัคซีนเองด้วย ไม่ได้ขึ้นกับชนิดของวัคซีนอย่างเดียว เมื่อติดก็สามารถจะแพร่กระจายไปเรื่อยๆ แม้หวังว่าปริมาณของเชื้อที่ปล่อยออกมาจะน้อยกว่าและสั้นกว่าธรรมดา...ซึ่งการแพร่ไปเรื่อยๆจะอนุโลมให้ไวรัสกลายพันธุ์เอง โดยที่ไม่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

หัวใจสำคัญในการป้องกันการแพร่ระบาดในวงกว้างก็คือ “คัดกรอง” ต้องเร็วที่สุดและ “แยกตัว” ทันที

“การคัดกรองที่เข้าถึงได้ทุกคน” เป็นกุญแจสำคัญ หมอดื้อ บอกว่า เรื่องนี้พูดแล้วพูดอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่มีนาคม 2563

“การคัดกรองว่ามีใครติดเชื้อหรือไม่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดที่จะป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อและหยุดการระบาดให้ได้เพื่อทำให้เศรษฐกิจไม่ล่มจม ทั้งนี้เนื่องจากการแพร่เชื้อที่สำคัญจะมาจากคนที่ไม่มีอาการแทบทั้งสิ้น”

การคัดกรองด้วยวิธีการหาเชื้อแยงจมูก ด้วยกระบวนการพีซีอาร์ ไม่สามารถระบุได้จากการตรวจเพียงครั้งเดียวและต้องการการตรวจซ้ำสองถึงสามครั้งทำให้งบประมาณบานปลาย และการปฏิบัติยังทำได้ยาก และเกิดความล่าช้า และความเสี่ยงทั้งผู้ปฏิบัติงานและในห้องแล็บ


การตรวจคัดกรองและสามารถวินิจฉัยได้ด้วยความแม่นยำและความไว 100% สามารถกระทำได้โดยการตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกันซึ่งจะเป็นเครื่องชี้บอกว่าเกิดการติดเชื้อขึ้นแล้วและสามารถกระทำได้ทั้งในคนที่มีและไม่มีอาการก็ตาม

สำหรับ “คนที่มีอาการ” รายงานได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร PlosONe และสำหรับคนที่ไม่มีอาการนั้นล่าสุดจากกรณีของการระบาดในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปรียบเทียบคนที่ไม่มีอาการ 55 รายที่ปล่อยเชื้อได้จากการตรวจด้วยกระบวนการพีซีอาร์ พบว่าการตรวจเลือดสามารถระบุได้ 100%

...เป็นการยืนยันข้อมูลก่อนหน้านี้ที่ทดสอบในปี 2563 และตรวจในพื้นที่ต่างๆ รวมเป็นหมื่นรายการตรวจคัดกรองเชิงรุกประกอบด้วย หนึ่ง...การตรวจเลือดต้องทำทุกคน

ถัดมา...วิธีการตรวจด้วยชุดการตรวจมาตรฐาน Elisa เช่นของศูนย์ปฏิบัติการโรคอุบัติใหม่สภากาชาดไทยจุฬา ซึ่งยืนยันความไวและความจำเพาะแล้ว และเป็นวิธีเดียวกันกับที่ US FDA ให้การรับรองในการใช้ตรวจ ยี่ห้อ genscript Cpass

สาม...การตรวจที่สมบูรณ์จะเป็นการตรวจ IgM IgG และภูมิที่ยับยั้งไวรัสได้หรือที่เรียกว่า Neutralizing antibody (NT) ราคา 1,000 บาท แต่ขั้นตอนในการคัดกรองสามารถตรวจแต่ IgM IgG ได้ ราคา 400 บาท สี่...เมื่อได้ผลเป็นบวกไม่ว่าตัวใดตัวหนึ่งต้องทำการคัดแยกตัวทันที และปฏิบัติการตรวจต่อว่าแพร่เชื้อได้หรือไม่ ด้วยกระบวนการพีซีอาร์ ซึ่งต้องตรวจอย่างน้อยที่สุดสองครั้ง

ห้า...ในคนที่เลือดเป็นบวกและพิสูจน์แล้วว่าไม่มีเชื้อปล่อยออกมาดังข้อสี่จึงสามารถปล่อยจากการกักตัวได้กระบวนการเหล่านี้ถือว่าเป็นบับเบิล แอนด์ ซีล จนกระทั่งสามารถปล่อยตัวออกมาสู่สังคมได้

หก...กระบวนการสุดท้ายคือการปรับเปลี่ยนรูปแบบการคัดกรองจากการตรวจเลือดด้วย Elisa ที่ต้องส่งเลือดมายังห้องปฏิบัติการ ใช้เวลา 3 ชั่วโมงเป็นการตรวจด้วยการเจาะเลือดปลายนิ้วและหาภูมิคุ้มกัน (rapid test)

เจ็ด...ชุดการเจาะเลือดปลายนิ้วต้องมีคุณสมบัติของการคัดกรองที่สมบูรณ์คือมีความไว 100% นั่นคือคนที่ติดเชื้อทุกรายจะต้องมีผลบวกทั้งสิ้น แต่แน่นอนจะมีผลบวก (+) เกินในระดับที่รับได้ คือประมาณ 2-5%


ทั้งนี้จุดเด่นก็คือประชาชนทุกคนเข้าถึงได้ สถานบริการสถานที่ที่ต้องมีคนใช้ประกอบกิจกรรม แม้กระทั่งโรงเรียนสถานศึกษานำไปใช้ได้ และคนไทยทุกคนสามารถประเมินตนเองได้

แปด...การตรวจเลือดไม่ว่าจะเป็นการตรวจแบบมาตรฐาน Elisa หรือการตรวจปลายนิ้วในคนที่มีกิจกรรมตลอดเวลาไปทำงานขึ้นรถสาธารณะมีโอกาสรับเชื้อและแพร่เชื้อจะต้องทำการตรวจทุกเจ็ดวัน ทั้งนี้เนื่องจากว่าการติดเชื้อในสี่ถึงห้าวัน...การตรวจเลือดจะไม่เป็นบวกและการตรวจหาเชื้อไม่เป็นบวกเช่นกัน

แน่นอนว่า...การตรวจเชิงรุกจริงๆในชุมชน ด้วยวิธีที่ได้ผลเร็ว ดี ถูก...เท่านี้ก็รอดแล้ว เพราะเมื่อเจอเร็ว ก็แยกตัวได้เลย หรือถ้ารู้ว่า สุ่มเสี่ยงอยู่ในวงระบาดก็กักตัวเองกันแต่เนิ่นๆ

“กักตัวที่บ้าน” ทำอย่างไร? ศ.นพ.ธีระวัฒน์ยอมรับว่า ไม่คิดว่าสถานการณ์ในวันนี้จะเลวร้ายกว่าปีที่แล้ว คงต้องย้ำชัดๆกันอีกรอบ การกักตัวเริ่มจาก...ไม่ให้ไปทำงาน ไม่ใช่หมายความว่าให้ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ ซึ่งถ้าติดเชื้อก็สามารถแพร่เชื้อได้ก่อนมีอาการด้วยซ้ำ และแม้มีอาการก็อาจน้อยนิด แต่ปล่อยเชื้อได้


ถัดมา...ให้อยู่บ้าน ไม่ใช่หมายความว่า อยู่พักผ่อนสังสรรค์กันในครอบครัวอย่างใกล้ชิดชวนเพื่อนมาจัดปาร์ตี้...แล้วอยู่บ้านอยู่ยังไง? ก็แยกอยู่คนเดียวห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 2 เมตร ควรใส่หน้ากากอนามัยชนิดจริงๆ ไม่ใช่ทำจากผ้า เพราะถือว่าขณะนี้ตนเองเป็นคนปล่อยเชื้อได้ แยกจานข้าว ช้อนส้อม แก้วน้ำ

เมื่อเข้าห้องน้ำ ถ้าอยู่บ้านหรูหรา ก็ยึดห้องน้ำหนึ่งห้องไปเลย แต่ถ้าเราเป็นคนธรรมดาต้องใช้ห้องน้ำรวม รอให้คนอื่นเข้าจนเสร็จก่อนและเข้าคนสุดท้าย...จัดการทำความสะอาดทุกสิ่งอย่างในห้องน้ำด้วยน้ำกับสบู่ หรือที่แน่นอนคือ น้ำยาฆ่าเชื้อ รวมทั้งอ่างน้ำ ก๊อก ชักโครก ลูกบิดประตู

...กรณีอยู่บ้านคนเดียว ถ้าคนอื่นทำงานนอกบ้าน คนที่ถูกกักเอาโทรศัพท์ไว้ข้างๆตัว เกิดมีอาการอะไรจะได้โทร.บอกคนอื่นได้ ไม่ใช่ถูกปล่อยทิ้งอยู่คนเดียว สลบไสลอยู่ไม่มีใครรู้

หากเกิดมีอาการขึ้นทำไงต่อ? ข้อนี้สำคัญไม่น้อยไปกว่าข้ออื่น ศ.นพ.ธีระวัฒน์ บอกว่า รถที่จะนำไปส่งโรงพยาบาล ต้องแจ้งคนขับแท็กซี่ หรือถ้าจะใช้รถส่วนตัวต้องทำการล้างห้องโดยสารทั้งห้องอย่างสะอาดเอี่ยม


“อย่าขึ้นรถประจำทางสาธารณะ หรือไม่ก็โทร.แจ้งโรงพยาบาลให้ส่งรถมารับ”

รายละเอียดปลีกย่อยอื่น เช่น เสื้อผ้า เครื่องใช้ ก็ต้องซักแยกต่างหากออกจากคนอื่นอย่างเด็ดขาด สุดท้าย...ถามว่าจะเก็บกักตัวไปนานเท่าไหร่? ก็เอาตามมาตรฐานคือ “14 วัน” แม้ว่าจะมีรายงานว่าระยะฟักตัวยาวถึง 24 หรืออาจถึง 27 วัน เอาเบาะๆแค่นี้ จะทำได้มั้ย

ตื่นตัว...อย่าตื่นตูม ร่ายคาถาการ์ดอย่าตก ท่องไว้ให้แม่นๆรับมือไวรัสร้ายแห่งปี “โควิด–19”.

https://www.thairath.co.th/news/society/2068629

 

ป่าแถบเทือกเขาหิมาลัยไฟไหม้รุนแรงที่สุดในรอบ 15 ปี
แต่รัฐยังขาดความพร้อมรับมือ
.
ช่วงฤดูร้อนของทุกปีมักจะมีข่าว ‘ไฟป่า’ เกิดขึ้นเป็นประจำ แต่นานวันเข้า ความถี่ของการเกิดไฟป่าเริ่มทวีความรุนแรง และขยายขอบเขตกว้างออกไปครอบคลุมหลายพื้นที่ที่ของโลก ไม่เว้นแม้แต่เทือกเขาหิมาลัย ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาเผยว่าเกิดไฟป่าบริเวณแถบเทือกเขาหิมาลัยรุนแรงที่สุดในรอบ 15 ปี
.
ป่าแถบเทือกเขาหิมาลัยครอบคลุมพื้นที่รัฐอุตตราขัณฑ์ ประเทศอินเดีย และบางส่วนของประเทศเนปาล โดยปีนี้ กรมป่าไม้อุตตราขัณฑ์บันทึกเหตุการณ์ไฟไหม้ได้ถึง 1,500 ครั้ง ประกอบกับการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของ Copernicus Atmospheric Monitoring Service (CAMS) ศูนย์พยากรณ์อากาศสหภาพยุโรป ทำให้พบว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ไฟป่าเขตพื้นที่อุตตราขัณฑ์ปล่อยคาร์บอนออกมาเกือบ 0.2 ล้านตัน
.
ส่วนไฟป่าในเนปาลที่อยู่บริเวณใกล้เคียงก็ปล่อยคาร์บอนเกือบ 18 ล้านตัน สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2016 โดยเมื่อเดือนที่ผ่านมามีบันทึกการเกิดไฟป่าประมาณ 500 ครั้งในเนปาล ส่งผลให้คุณภาพอากาศเมืองกาฐมาณฑุปกคลุมไปด้วยหมอกควันระดับอันตรายต่อเนื่องหลายสัปดาห์
.
“สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงที่ไฟกำลังลุกลามในภูมิภาคนี้ และเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก” มาร์ค พาร์ริงตัน (Mark Parrington) นักวิทยาศาสตร์อาวุโสของ CAMS กล่าว
.
ป่าบริเวณดังกล่าวเผชิญกับความแห้งแล้งมาหลายเดือน สภาพตอนนี้จึงไม่ต่างอะไรจากเชื้อเพลิงชั้นดีที่พร้อมติดไฟอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ทำให้คนในพื้นที่รู้สึกกังวลคือ ไฟป่ามักจะเกิดขึ้นสูงสุดช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งหมายความว่าสิ่งเลวร้ายที่สุดกำลังใกล้เข้ามาในไม่ช้า
.
เจ้าหน้าที่รัฐอุตตราขัณฑ์และเนปาลระบุว่า ไฟป่าหลายจุดเกิดจากการเผาตอซังในพื้นที่เกษตรกรรมที่อยู่ติดกับป่า แต่ผู้เชี่ยวชาญแย้งว่า ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องของการเผาตอซัง เพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศก็มีส่วนทำให้ความแห้งแล้งรุนแรงขึ้น และรัฐบาลมักจะคิดว่าป่าเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน แต่ลืมไปว่าป่าสามารถถูกเปลี่ยนเป็นแหล่งสร้างคาร์บอนได้เองเช่นกัน
.
แม้สถานการณ์ไฟป่าภูมิภาคนี้จะไม่สู้ดีนัก แต่หน่วยงานจัดการภัยพิบัติแห่งชาติ (NDMA) ของอินเดียกลับไม่จัดให้ไฟป่าอยู่ในหมวดภัยธรรมชาติ โดยในเว็บไซต์ระบุเฉพาะพายุไซโคลน สึนามิ ภัยแห้ง ดินถล่ม น้ำท่วม และแผ่นดินไหว ทั้งที่ป่าไม้เกือบ 1 ใน 3 ของประเทศมีแนวโน้มเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดไฟไหม้
.
สมาชิกของ NDMA ออกมาอธิบายว่า สาเหตุที่ไม่จัดให้ไฟป่าอยู่ในหมวดภัยธรรมชาติ เนื่องจากไฟป่าในอินเดียส่วนใหญ่มักเกิดจากการเผาเพื่อการเกษตร ดังนั้นจึงเป็นภัยจากมนุษย์ แต่ทาง NDMA ตระหนักดีว่าไฟป่ากำลังเป็นภัยร้ายแรง จึงมีการทำงานร่วมกับหน่วยงานป่าไม้และหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐเพื่อจัดการกับปัญหานี้ โดยรัฐบาลอินเดียได้จัดสรรงบประมาณเพื่อรับมือกับไฟป่าปี 2021-2026 ประมาณ 670 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่าในอดีตถึง 5 เท่า
.
ทว่าที่ผ่านมา มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งออกมาเผยว่า การให้บริการดับเพลิงของอินเดียขาดความพร้อมแทบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นยานพาหนะ อุปกรณ์กู้ภัยที่มีไม่เพียงพอถึง 80 เปอร์เซ็นต์ หรือจำนวนเจ้าหน้าที่ดับเพลิงมีน้อยกว่าความต้องการถึง 96 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งภายหลังมีการเพิ่มเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจาก 50,000 คน เป็น 75,000 คน
.
อย่างไรก็ตาม นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมในรัฐอุตตราขัณฑ์มองว่า ฝ่ายบริหารแทบไม่ได้เตรียมความพร้อมสำหรับรับมือกับไฟป่าที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากพื้นที่ป่ามีขนาดใหญ่มาก แต่เจ้าหน้ายังมีจำนวนจำกัด ดังนั้น หากเกิดไฟป่ารุนแรงขึ้น เจ้าหน้าที่อาจไม่เพียงพอในการจัดการ
.
ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้ในเนปาลกล่าวทำนองเดียวกันว่า เนปาลได้รับเป็นเงินสนับสนุนจากต่างประเทศเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ แต่เงินส่วนนั้นกลับไม่ได้นำมาใช้จ่ายเพื่อป้องกันหรือต่อสู้กับไฟป่า
.
ปรากาช ลัมซาล์ (Prakash Lamsal) โฆษกกระทรวงป่าไม้ของเนปาลออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด พวกเขากำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรับมือกับไฟป่าเท่าที่ทำได้ แต่การเกิดไฟป่านั้นมักเกิดขึ้นในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่เข้าถึงยากลำบาก และปัจจัยในการเกิดไฟป่ามาจากสภาพอากาศที่แห้งแล้ง รวมถึงผู้คนที่จงใจก่อให้เกิดไฟไหม้ จึงช่วยอะไรไม่ได้มาก
.
“เราทุกคนคงเห็นแล้วว่าการป้องกันไฟป่านั้นยากเพียงใด แม้ในประเทศที่พัฒนาแล้วก็ตาม” ลัมซาล์ทิ้งท้าย
.
อีกปัญหาหนึ่งในการรับมือไฟป่าในภูมิภาคนี้คือ ประชาชนในพื้นที่ไม่ไว้วางการบริหารจัดการของรัฐ สาเหตุมาจากชุมชนพื้นเมืองหลายแห่งต้องการให้รัฐมอบสิทธิ์ในการใช้ที่ดินและเข้าถึงทรัพยากรป่าไม้ แต่รัฐไม่ยินยอม โดยอ้างว่าเพื่ออนุรักษ์ป่า จึงมีความตึงเครียดกันระหว่างสองฝ่ายเกิดขึ้น ทั้งที่คนในพื้นที่สามารถเป็นกำลังสำคัญช่วยป้องกันหรือควบคุมไฟได้เป็นอย่างดี
.
ที่มา:
- https://www.bbc.com/news/world-asia-india-56671148
- https://www.ft.com/content/a4853b9f-4004-4e2c-85c1-04cf144b6da7
.
เรื่อง: สุธามาส ทวินันท์
ภาพ: AFP
.
#TheMomentum #StayCuriousBeOpen #Environment #ClimateChange #Indian #Himalayan #Nepal #ForestFires

 

#ข่าวสั้น (14 เมษา) จ. เฮียวโกะ พบผู้ติดเชื้อเกิน 500 รายเป็นครั้งแรก (507 ราย)

สายกลายพันธุ์อังกฤษ (N501Y) เหมือนโอซาก้า
โตเกียวเมื่อวานเจอคลัสเตอร์สายกลายพันธุ์อังกฤษใน รพ. แล้ว คาดว่าน่าจะมาถึงเร็ว ๆ นี้

#กิ๊ฟจังนั่งเล่า #ข่าวญี่ปุ่น

兵庫県 新型コロナ 新たに507人感染確認 初めて500人超える https://www3.nhk.or.jp/news/html/20210414/k10012973881000.html

 

#ภาพข่าว (14 เมษา) The show must go on // การวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกพาราลิมปิกที่โอซาก้า

นักกีฬาส่งต่อคบเพลิงหลังวิ่งคนละ 200 เมตรในสวนสาธารณะอนุสรณ์งาน Expo'70 แบบไร้คนดู

‍♂️ แทนการวิ่งกลางเมือง เพราะโควิด

‍♂️วันนี้จัดงานในสวนเป็นวันที่ 2

ประธาน IOC เผยว่า “จะจัดโอลิมปิกอย่างแน่นอน”

———

เนื้อข่าว
https://www3.nhk.or.jp/kansai-news/20210414/2000043949.html

ภาพ: NTV

#กิ๊ฟจังนั่งเล่า #โอลิมปิก

 

UPDATE: สธ. คาดหลังหยุดยาวสงกรานต์ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เฉลี่ย 2,996 คนต่อวัน

วันนี้ (14 เมษายน) สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย พบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 1,335 ราย แบ่งเป็นติดเชื้อเดินทางจากต่างประเทศ (เข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้) 9 ราย และผู้ติดเชื้อภายในประเทศ 1,326 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 97 ราย
.
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดอยู่ในช่วงขาขึ้น ในภาพรวมการระบาดรอบนี้จะเป็นคนไทยอายุ 20-29 ปี มีกิจกรรมเยอะและพบผู้สัมผัสเยอะ เริ่มมีสัญญาณการติดเชื้อในครอบครัวมากขึ้น
.
ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขคาดการณ์หลังวันหยุดยาวสงกรานต์ 5 กรณี ได้แก่
.
กรณีที่ 1 ไม่มีมาตรการใดๆ เลย คาดว่าจะพบผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 9,140 คนต่อวัน แต่สถานการณ์ของไทยมีการปิดสถานบันเทิงไปแล้ว การระบาดคงไม่ถึงขั้นนั้น
.
กรณีที่ 2 ปิดสถานบันเทิงในจังหวัดเสี่ยง คาดว่าว่าจะพบผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 2,996 คนต่อวัน ซึ่งสถานการณ์วันนี้ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้
.
กรณีที่ 3 ปิดสถานบันเทิง + เน้นปรับพฤติกรรมส่วนบุคคล เช่น ลดการจัดงานปาร์ตี้ คาดว่าจะพบผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 934 คน
.
กรณีที่ 4 ปิดสถานบันเทิง + เน้นปรับพฤติกรรมส่วนบุคคล + ลดกิจกรรมการรวมตัวกัน คาดว่าจะพบผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 593 คน
.
กรณีที่ 5 ปิดสถานบันเทิง + เน้นปรับพฤติกรรมส่วนบุคคล + ลดกิจกรรมการรวมตัวกัน + ทำงานที่บ้าน คาดว่าจะพบผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 391 คน
.
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co/
#TheStandardNews

—————————————————
ติดตามข่าวธุรกิจ เศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ THE STANDARD WEALTH

 

โควิด-19 พบตามร่างกายบริเวณใดมากที่สุด

อย่างที่ทราบกันดีว่าเชื้อโควิด-19 นั่นแพร่เชื้อผ่านสารคัดหลั่งในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำลาย น้ำมูก หรืออุจจาระ เราถูกสอนให้ไอจามบริเวณข้อพับแขน ยืนเว้นระยะห่าง 1-2 เมตร และปิดฝาชักโครกทุกครั้งก่อนกดชำระล้าง แต่คุณรู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น นี่คือคำตอบของการกระทำดังกล่าว
.
อ้างอิง: กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
.
เรื่อง: พลอยจันทร์ สุขคง
ภาพประกอบ: เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล
.
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co/pop
#โควิด19 #WhatCultureMeans #TheStandardInfographic #TheStandardPop

 

ทัวร์ลง ทหารพราน พ่นฆ่าเชื้อโควิดโขดหิน ชาวเน็ตจวกทำไปเพื่อเปลืองงบประมาณ

หาทำจนโดนด่า ทหารพราน พ่นฆ่าเชื้อโควิดโขดหิน หลังชาวเมียนมาอพยพกลับ ชาวเน็ตจวกทำไปเพื่อเปลืองงบประมาณ

เมื่อวันที่ 13 เม.ย.64ที่ผ่านมา ทวิตเตอร์ของกรมประชาสัมพันธ์ ได้มีการเผยแพร่ภาพการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมกับระบุข้อความว่า “ชายแดนก็ต้องปลอดโควิด ทหารพราน36 ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 เพิ่มอีก 5 พื้นที่รองรับ ภายหลังผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา เดินทางกลับไปยังภูมิลำเนา

อั้นไม่อยู่! ยอดติด โควิด19 ทะลุพันครั้งแรกของปี ศบค.ตัวเลขเผยป่วยใหม่ 1,335 ราย

หลังจากที่ภาพได้ถูกเผยแพร่ ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยชาวเน็ตหลายรายได้ระบุความเห็นว่า กองทัพน่าจะสอบถามทางนักไวรัสวิทยา หรือทางสาธารณสุขก่อนนะครับว่าวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องควรทำอย่างไร ไม่ควรฉีดยาฆ่าเชื้อใส่ก้อนหิน เพราะไม่เกิดประโยชน์ ซ้ำยังเปลืองน้ำยา

ขณะที่ทางด้าน อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงประเด็นนี้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ยังมีอยู่เรื่อยๆ นะครับ ที่มีการเอาสารเคมียาฆ่าเชื้อ มาฉีดพ่นตามถนน ตามที่สาธารณะ ด้วยความที่เชื่อกันว่าป้องกันโรคโควิด-19 ได้ (อย่างล่าสุดนี่ ถึงขนาดเอาไปพ่นกันตามป่าตามเขาเลย) ซึ่งก็เตือนอยู่ตลอดว่า ไม่ควรทำนะครับ !

เพราะนอกจากจะไม่ได้ผลอะไรในการควบคุมโรค (แหล่งแพร่เชื้อโรคคือร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อ ควรควบคุมตรงการคลุกคลีกันระหว่างผู้คนมากกว่า) ยังเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ เพราะเชื้อไวรัสสามารถตายได้โดยไม่ยาก ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงและแสงแดดจัด และที่สำคัญคือ ทำให้หลงเข้าใจผิดว่าป้องกันโรคได้ ทำให้คนในชุมชนอาจไม่ระมัดระวังตนเองเพียงพอ หลังจากเคยมีการฉีดพ่นสารฆ่าเชื้อไปแล้ว (มันเป็นการฆ่าเชื้อโรค ไม่ใช่เป็นการป้องกันเชื้อมาปนเปื้อนในบริเวณนั้น) แถมจะมีอันตรายแก่ประชาชนและสัตว์เลี้ยง ที่สูดดมหรือสัมผัสสารเคมีเข้าไปได้ด้วยนะครับ

วิธีการที่ดีที่สุดในการควบคุมโรค covid 19 นี้ ก็คือ การควบคุมระยะห่างจากสังคม ลดกิจกรรมที่จะมีการรวมกลุ่มของผู้คน ดูแลสุขอนามัยในการอยู่ร่วมกัน แค่นั้นก็เพียงพอแล้วครับ”

นายกฯ ห่วงใย แนะเลี่ยงรวมกลุ่มดื่มสุรา ป้องกันติดเชื้อโควิด-19บุ๋ม ปนัดดา จวกสาวรู้ตัวว่าติดโควิด-19 แต่ยังเดินทางกลับนครศรีธรรมราช ลั่นคนเห็นแก่ตัว ควรมีบทลงโทษอย่างไรดี...??



Source : #AmarinTV #ข่าววันนี้ #ข่าว

 

ขนส่งทางบก งดอบรม-ทดสอบใบขับขี่ ตั้งแต่ 16 เม.ย.64 จนกว่าโควิดจะคลี่คลาย

กรมการขนส่ง งดอบรม สอบทำใบขับขี่ เฉพาะคนทำใหม่ และคนอบรมต่ออายุใบขับขี่ ณ สำนักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย.64 เป็นต้นไป ส่วนการต่ออายุใบอนุญาตอื่นๆ

Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

 

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันในอินเดียทุบสถิติไม่หยุด ล่าสุดเพิ่มขึ้นอีกกว่า 184,000 คนในรอบ 24 ชั่วโมง และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็นหลักพัน ขณะที่ผู้แสวงบุญชาวฮินดูนับแสนคนยังคงแห่ร่วมพิธีอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่แม่น้ำคงคา ท่ามกลางมาตรการล็อกดาวน์ที่ถูกประกาศใช้ในหลายพื้นที่
.
กระทรวงสาธารณสุขอินเดียรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ 184,372 รายวันนี้ (14 เม.ย.) ทำให้ยอดติดเชื้อสะสมในอินเดียเพิ่มไปอยู่ที่ 13.9 ล้านคน รั้งอันดับที่ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา ส่วนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1,027 คน รวมเป็น 172,085 คน
.
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีชาวฮินดูนับแสนๆ คนมุ่งหน้าไปประกอบพิธีอาบน้ำในแม่น้ำคงคาช่วงเทศกาลกุมภเมลา (Kumbh Mela) ซึ่งกินเวลาหลายสัปดาห์
.
สัญชัย กุนจยาล จเรตำรวจซึ่งทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของเทศกาลกุมภเมลา ระบุว่าในเช้าวันนี้ (14) มีประชาชนประกอบพิธีอาบน้ำที่แม่น้ำคงคามากถึง 650,000 คน
.
“เจ้าหน้าที่จะปรับเงินกับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมตามท่าน้ำต่างๆ ที่ไม่มีคนมากนัก ส่วนท่าที่มีคนหนาแน่นการควบคุมและสั่งปรับก็ทำได้ลำบาก” เขากล่าว
.
คนในพื้นที่ยืนยันกับรอยเตอร์ว่า ผู้แสวงบุญส่วนใหญ่ไม่มีการเว้นระยะห่าง หรือสวมหน้ากากอนามัยกันเลย
.
จากที่เคยมียอดป่วยรายวันไม่ถึงหมื่นคนเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เวลานี้อินเดียกลับมาเผชิญวิกฤตการระบาดระลอกสองที่มีผู้ติดเชื้อรายวันมากที่สุดในโลก ต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. ซึ่งรัฐบาลโทษว่าเป็นเพราะสังคมเริ่มปล่อยปละละเลยเรื่องการจำกัดการเดินทางและการเว้นระยะห่างทางสังคม
.
รัฐมหาราษฏระซึ่งเป็นรัฐร่ำรวยที่สุด และยังเป็นศูนย์กลางการระบาดระลอกใหม่ที่มีผู้ติดเชื้อราว 1 ใน 4 ของทั้งประเทศ เตรียมบังคับใช้มาตรการคุมเข้มตั้งแต่วันนี้ (14) เป็นต้นไปเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยใหม่ลงให้ได้ ขณะที่ในภูมิภาคอื่นๆ พบว่าโรงพยาบาลเอกชนเริ่มปฏิเสธที่จะรับผู้ป่วยโควิด-19 เข้ารักษา ซึ่งทำให้สถานพยาบาลของรัฐต้องรับภาระหนักยิ่งขึ้นไปอีก
.
ที่มา: รอยเตอร์

 

ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาเผยผู้ที่เกี่ยวข้องกับคลัสเตอร์ ‘น้ำหวานเนื้อย่างเกาหลี’ รีบมาแจ้งเพื่อตรวจเชื้อโควิด 19 ด่วน หลังพบเจ้าของและพนักงานติดแล้ว 14 ราย

วันที่ 14 เม.ย. 2564 นายวิเชียร จันทรโณทัย ผวจ.นครราชสีมา ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ 32 อำเภอว่า พบผู้ป่วยระลอกใหม่ 9 ราย ไทม์ไลน์สัมผัสผู้ป่วย 7 ราย และเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง 2 ราย ทั้งหมดอยู่ระหว่างสอบสวนโรค รวมผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 123 ราย

การสอบสวนโรคพบคลัสเตอร์ ‘น้ำหวานเนื้อย่างเกาหลี’ บุฟเฟ่ต์ราคาคนละ 99 บาท ตั้งอยู่ใน ถ. 30 กันยา เขตเทศบาลนคร (ทน.) นครราชสีมา ซึ่งมีไทม์ไลน์เชื่อมโยงจากผู้ป่วยรายที่ 32 ชายอายุ 21 ปี อาชีพธุรกิจส่วนตัว มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยรายที่ 7 หญิงอายุ 30 ปี ลูกจ้างหน่วยราชการที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา มีประวัติร่วมงานปาร์ตี้ฉลองวันคล้ายวันเกิดที่พูลวิลล่า อ.ปากช่อง

วันที่ 3 เม.ย เดินทางไปเยาวราช กับผู้ป่วยรายที่ 19 (พี่ชาย) อายุ 22 ปี ประกอบธุรกิจส่วนตัว วันที่ 5 เม.ย เวลา 19.00 น. ได้มากินเนื้อย่างที่ร้านน้ำหวาน ภายในค่อนข้างแออัด พนักงานของร้านไม่สวมหน้ากากอนามัยและให้ลูกค้าตักอาหารกันเอง จนกระทั่งวันที่ 9 เม.ย. ทราบข่าวมีการระบาดจากสถานบันเทิง จึงเดินทางไปตรวจกับพี่ชาย (ผู้ป่วยรายที่ 19) ที่โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ยืนยันพบเชื้อ

ต่อมาเจ้าหน้าที่งานระบาดวิทยาลงพื้นที่สอบสวนโรคประสานเจ้าของร้านน้ำหวานนำพนักงานทั้งหมด 29 คน มาตรวจ 17 คน พบเชื้อ 14 คน รวมทั้งเจ้าของร้านก็ติดเชื้อด้วย สิ่งที่น่าเป็นห่วงร้านดังกล่าวตั้งอยู่ในละแวกที่ตั้งหอพักนักศึกษามหาวิทยาลัยราชมงคลอีสาน (มทร.) มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาและมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุลฯ จึงมีลูกค้าเป็นกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานมาใช้บริการช่วงเวลาดังกล่าว จนกระทั่งทราบผลติดเชื้อ โดยมีคนหมุนเวียนประมาณ 1,500-2000 คน

นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า การเตรียมเปิด รพ.สนามนั้น ในพื้นที่นอกจากที่อาคารชาติชายฮอลล์ ภายในสนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ์ 80 พรรษา อ.เมือง แล้ว ได้เตรียมที่สนามลิปตพัลลภฮอลล์ 120 เตียง และที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี 200 เตียง สำหรับ รพ.สนามหลัก ที่ชาติชายฮอลล์ รองรับได้ 120 เตียง แบ่งเป็นชาย 60 เตียง หญิง 60 เตียง ผู้ป่วยที่จะใช้ รพ.สนามนั้นจะเป็นผู้ป่วย ที่มีอาการไม่หนัก ไม่มีโรคประจำตัว ไม่ใช้เครื่องช่วยหายใจ อายุ 15-65 ปี และจะนอนรักษาตัว 14 วัน ทั้งนี้ รพ.สนามจะสามารถเปิดใช้ได้ในวันที่ 16 เมษายน 2564 นี้ เพื่อรองรับกับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวันขณะนี้

นอกจากนี้ยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปทำความเข้าใจ ขอความร่วมมือกับร้านหมูกระทะทุกแห่ง โดยเฉพาะร้านในลักษณะบุฟเฟต์ ให้มีการเสิร์ฟอาหารแทนการให้ผู้ไปใช้บริการตักเองเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคด้วย

#workpointTODAY
#สาระความรู้เพื่อวันนี้
ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK
-----------------

 

วันก่อนกองกำลังกะเหรี่ยงโดนถล่มบอมบ์ไปแล้ว คราวนี้ถึงคิวกลุ่มคะฉิ่น
.....รัฐบาลพม่าเคยประกาศหยุดยิง 1 เดือนในเดือน เม.ย.64 แต่ "ยกเว้น" การปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบตามกฎหมาย และการปราบปรามกองกำลังติดอาวุธที่ทำร้ายเจ้าหน้าที่ก่อน ซึ่งรัฐบาลพม่าได้ทำตามคำมั่นตามที่เขาได้บอกไว้ หากม็อบไม่ปิดถนน วางเพลิงเผาบ้านเผาเมือง ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ม็อบจุดนั้นก็จะไม่ถูกวิสามัญ
....หรือกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ใดไม่ใช้ความรุนแรงลอบใช้อาวุธโจมตีเจ้าหน้าที่ ทางรัฐบาลพม่าก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวใดด้วย เช่น กลุ่มว้า หรืออีกราว 24 กลุ่ม ฯลฯ แต่ถ้ากลุ่มใดแข็งข้อประกาศร่วมกับกบฎฝ่ายค้านพม่า แล้วลอบโจมตีเจ้าหน้าที่ด้วยอาวุธ กองทัพพม่าก็จะเล่นงานรุนแรงด้วยอาวุธจรวดหรือทิ้งระเบิดใส่ทันที เช่น กองกำลังกะเหรี่ยง ที่ยังอ่วมอยู่จนบัดนี้
.....ล่าสุดกองทัพพม่าส่งเครื่องบินถล่มระเบิดใส่ฐานกำลังกลุ่มคะฉิ่นบนภูเขาสูงอย่างหนักและถล่มปืนใหญ่ใส่เมือง Momauk เพื่อตอบโต้ที่กลุ่มคะฉิ่นลอบโจมตีโรงพัก และด่านผ่านทาง ทำให้มีเจ้าหน้าที่รัฐเสียชีวิตจำนวนหนึ่ง กลุ่มติดอาวุธคะฉิ่นจะอยู่ทางเหนือของพม่าที่มีภูเขาสูงสลับซับซ้อน การถล่มด้วยอาวุธจากเครื่องบินทั้งวันทั้งคืน จะทำลายที่ตั้งกลุ่มคะฉิ่นจนอ่วม คาดว่าคิวต่อไปคือไทใหญ่ไต้ ของเจ้ายอดศึก ที่วันก่อนลอบโจมตีทหารพม่าภาคพื้นดินและบนเฮลิปคอปเตอร์จนบาดเจ็บ
Cr. เจ้าของภาพ
#มะกันหลอกใช้ม็อบพม่า
#สู้รัฐบาลก็เกิดสงครามแบบพม่า

 

"สมศักดิ์" ย้ำ ไม่เคยเรียน ป.เอก ชี้ นักการเมือง ส. คือ “สามารถ”

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ยืนยันไม่เคยเรียน ป.เอก พร้อมระบุ คนที่ไปเรียน ป.เอก คือ นายสามารถ เจนชัยจิตวนิช ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม และให้มาชี้แจงเอง

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีมีการนำเสนอข่าว นักการเมืองชื่อย่อ ส. กระทรวงยุติธรรม ส่งลูกน้องเรียน และสอบหลักสูตรภาษาอังกฤษระดับปริญญาเอกแทน จนถูกสั่งตัดสิทธิการเรียน ว่า กระทรวงยุติธรรมไม่เคยส่งใครไปเรียนในหลักสูตรนี้ ตนได้ตรวจสอบแล้ว แต่หากมีใครไปเรียน ตนไม่ขัดข้อง เปิดให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี และการที่มีบุคคลในสื่อระบุชื่อย่อ ส. รวมทั้งมีบางสื่อใช้รูปเงาดำที่คล้ายกับตนนั้น ตนขอยืนยันว่า ชื่อ ส. ไม่ใช่ตนแน่นอน ตนไม่เคยเรียนปริญญาเอก และไม่ได้ติดต่อประสานกับบุคคลากรของมหาวิทยาลัย การที่สื่อบางสื่อนำรูปของตนไปขึ้นหน้าข่าว ทำให้ผู้คนเกิดความสงสัยเป็นการทำงานที่ไม่ละเอียด ตนขอร้องให้ตรวจสอบข้อมูลต่างๆให้ชัดเจนก่อนที่จะนำมาเสนอ การนำเสนอข่าวทำได้และถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ขอให้ช่วยตรวจสอบให้ละเอียดชัดเจนก่อน เพราะวันนี้บ้านเมืองสับสนมากพอแล้ว

ส่วนเรื่องที่มีข้าราชการการเมืองในกระทรวงไปเรียนนั้น นายสมศักดิ์ ระบุว่า ตนได้สอบถามแล้ว พบว่า มีนายสามารถ เจนชัยจิตย์วาณิชย์ ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม ที่ไปเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษนี้ และได้สอบถามนายสามารถถึงเรื่องดังกล่าว และนายสามารถ มาบอกกับตนว่า หลักสูตรดังกล่าว มีการเก็บคะแนน 2 ทาง คือ การเข้าฟังอาจารย์บรรยายและสอบควิกเทส และการไปสอบโทเฟล-โทอิก
แต่นายสามารถ ได้เลือกสอบโทเฟล-โทอิก ซึ่งจะสอบแทนกันไม่ได้ แต่รายละเอียดอื่น ๆ ตนยังไม่ทราบ ต้องรอเจ้าตัวมาชี้แจงเอง

 

#ผู้ป่วยโควิดเชียงรายแยกเป็นอำเภอ ✅
จังหวัดเชียงรายพบผู้ป่วยโควิดสะสม รวม 70 ราย(ข้อมูล ณ. 13 เม.ย.64) จำแนกผู้ป่วยตามอำเภอ พบมากสุด อ.เมืองเชียงราย 37 ราย รองลงมา แม่สาย 13 ราย..ส่วนอำเภอที่ยังไม่พบผู้ป่วยคือ เวียงแก่น ขุนตาล ป่าแดด แม่สรวย ดอยหลวง เวียงเชียงรุ้ง #เป็นข่าว

 

ความสัมพันธ์ในครอบครัวแบบจีน ๆ กับพลังงานอันเหลื่อเชื่อจากสุดยอดคุณแม่
.
สำหรับที่เคยคลอดลูกมาแล้ว คงจะจำโมเม้นท์นั้นได้ดีว่าร่างกายมันอ่อนแรง แต่จิตใจผองโตขนาดไหน
.
หลายคนคุ้นกับภาพพ่อแม่ลูกถ่ายรูปครอบครัวภาพแรกในชีวิต อ่อนโยน อบอุ่น อุดมด้วยความรัก
.
แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เกิดขึ้นกับคุณแม่ชาวจีนท่านนี้
.
แทนที่จะได้นอนอ้อนสามี และจ้องตาลูก กลับกลายเป็นพลังแห่งความโกรธแค้น
.
ทะยานขึ้นจากเตียง คว้ารองเท้าแตะโรงพยาบาลบุกไปกะจะตบผัวตัวดี
.
พยาบาลสาว 3 นาง พยายามจะหยุดยั้ง คุณแม่มือใหม่ แรงดีราวกับม้าพยศ
.
สุดท้ายช่วยกันหิ้วปีกกลับไปสติอารมณ์ที่เตียงพักฟื้น
.
ถามว่าอะไรทำให้เธอโกรธแค้นได้มากถึงเพียงนี้?
.
แหล่งข่าวผู้ไม่กล้าเปิดเผยนาม เล่าว่า คุณแม่หัวร้อนโมโหสามีและแม่สามีของเธอ
.
ที่ใจไม้ไส้ระกำ ไม่ยอมให้คุณหมอทำการบล๊อคหลังฉีดยาแก้ปวด
.
ปล่อยให้เธอต้องคลอดลูกแบบเจ็บ ๆ
.
เรียกว่าเป็นความเชื่อเก่า ๆ ของคนจีนยุคล้าสมัย ที่อะไร ๆ ก็เทไปให้เด็กทารกทั้งหมด
.
กลัวว่าถ้าฉีดยาแก้ปวดให้แม่ที่กำลังคลอด เด็กที่ออกมาจะไม่แข็งแรง 100%
.
เป็นการตัดสินใจที่เกิดขึ้นระหว่างที่เธออยู่ในห้องคลอด ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้
.
พอคลอดเสร็จฟื้นตัว เลยพุ่งขึ้นมาเอาเรื่องทันทีตามภาพ
.
ทั้งนี้ สาเหตุที่แท้จริง ทางครอบครัวยังไม่ออกมายืนยัน
.
เพียงแต่ภาพความร้อนระอุทะลุร้อยองศาในเดือนเมษายนถูกปล่อยออกมาในโลกออนไลน์
.
ให้ชาวเน็ตทั้งไทยและจีนได้แสดงทัศนะกัน
.
#ไทยคำจีนคำ #คลอดลูก #ทารก #คุณแม่ #แม่ผัว #สามี #ผัวเมีย #เดือด #ตบ #พยาบาล #จีน #นางพยาบาล #วันครอบครัว
.
ที่มา
千寻社评

 

รอดูสถานการณ์ไปก่อน ผมยังไม่เห็นว่ารุนแรง เพราะ การระบาดของประเทศไทย อยู่ๆ ก็กลับเป็นปกติ รอดูหลังสงกรานต์ 1 อาทิตย์ดีกว่าจะเป็นยังไงต่อ ตอนนี้บอกอะไรไม่ได้เลย

----

+1335
ที่สำคัญ
1)ไม่ใช่ขาลง แต่กำลังขาขึ้น
2)ต้องยอมรับ ยิ่งมีเคสมาก ยิ่งเพิ่มโอกาส มีเคสรุนแรง ปอดอักเสบ อยู่ไอซียู
3)คนไข้เพิ่มเป็นพันเป็นหมื่น แต่เจ้าหน้าที่มีเท่าเดิม
4)โปรดเห็นใจพวกเรา ถ้าช่วงนี้มา รพ.เพื่อตรวจ แล้วล่าช้า
พวกเราทำงานยาว ยังไม่มีวันหยุด