ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นักวิทยาศาสตร์พบเคสผู้ป่วยมะเร็งมีเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในร่างกายยาวนาน 105 วัน และอยู่ในระยะแพร่เชื้อได้ 70 วัน

    ผลศึกษาตีพิมพ์ในวารสาร Cell รายงานกรณีผู้ป่วยหญิงวัย 71 ปีในเมืองเคิร์กแลนด์ รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าก่อโรคโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นการของการแพร่ระบาด ผลตรวจเชื้อแบบพีซีอาร์หลายครั้งในช่วงหลายสัปดาห์ ออกมาเป็นบวก ผู้ป่วยรายนี้มีภูมิคุ้มกันต่ำ เนื่องจากเป็นมะเร็งโลหิตวิทยา (blood cancer) แต่ไม่แสดงอาการของโควิด-19 เลย

    สตรีรายนี้เข้ารับการรักษาภาวะโลหิตจางในรพ. และตรวจพบติดเชื้อจากการคัดกรอง เพราะแพทย์ทราบว่าเธอมาจากบ้านพักคนชราที่มีโควิด-19 ระบาดครั้งใหญ่ นักวิจัยศึกษาตัวอย่างจากระบบหายใจส่วนบนของคนไข้ ที่รพ.จะต้องเก็บส่งตรวจเป็นระยะ พบว่าเธอมีเชื้อไวรัสในระยะแพร่ได้อย่างน้อย 70 วันนับจากผลตรวจเป็นบวกครั้งแรก และผ่านไป 105 วันแล้ว ถึงไม่พบไวรัสในร่างกายเลย

    วินเซนต์ มันสเตอร์ นักไวรัสวิทยา สถาบันโรคติดต่อและภูมิแพ้แห่งชาติในสหรัฐ กล่าวว่า ณ เวลาที่เริ่มศึกษาเรื่องนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่มีความรู้มากนักเกี่ยวกับระยะเวลาขับเชื้อ และเมื่อไวรัสเริ่มแพร่ระบาด ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำจะติดเชื้อได้ง่ายกว่า จึงต้องทำความเข้าใจว่า ไวรัส SARS-CoV-2 จะแสดงพฤติกรรมอย่างไรในประชากรกลุ่มนี้

    นักวิจัยเชื่อว่าผู้ป่วยยังคงติดเชื้อได้เป็นเวลานาน เพราะระบบภูมิคุ้มกันต่ำ ไม่เอื้อให้ร่างกายตอบสนอง ผลตรวจเลือดยังพบว่าร่างกายของผู้ป่วยรายนี้ไม่สามารถสร้างแอนติบอดีได้ และเมื่อใช้แอนติบอดีจากผู้ป่วยที่หายดีแล้ว ก็แทบไม่มีผลกับเธอเช่นกัน แต่ถึงจะไม่สร้างสารคุ้มกัน เธอก็ไม่แสดงอาการของโควิด-19

    นักวิจัยเชื่อว่านี่อาจเป็นเคสผู้ติดเชื้อ ไวรัส SARS-CoV-2 แบบแพร่เชื้อได้ยาวนานสุดขณะไม่แสดงอาการ กรณีแบบนี้พบเห็นมาก่อนในผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ และโรคซาร์ส ซึ่งเกิดจากไวรัสตระกูลโคโรน่าเช่นเดียวกัน และคาดว่าอาจจะพบเพิ่มได้อีกในอนาคต

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตอนดึกๆของเมื่อคืน มีการประกาศการนับคะแนนของมลรัฐเพนซิลเวเนียที่ Joe Biden มีคะแนนนำทิ้งห่างจาก Donald Trump อย่างชัดเจน ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป Biden สามารถรวบรวมคะแนนเสียงจากทั่วประเทศได้ทะลุ 270 คะแนนก่อน Trump

    ผลลัพธ์อย่างไม่เป็นทางการจึงปรากฏออกมาว่า Donald Trump ได้แพ้เลือกตั้งในศึกครั้งนี้ไปโดยอัตโนมัติแล้ว ด้วยคะแนนล่าสุดอยู่ที่ 290 ต่อ 214 (คาดว่าฝั่ง Trump น่าจะได้คะแนนไม่เกิน 230-240 หลังจากผลการนับของทุกมลรัฐออกมา 100% แล้วซึ่งก็แพ้อยู่ดี)

    แต่ดูเหมือน Trump จะยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เท่าใดนัก หากดูจาก Twitter ส่วนตัวของเขา เขายังทวีตข้อความประชดประชันฝั่ง Biden กล่าวหาว่า Biden และพรรค Democrat โกงเลือกตั้งผ่านระบบโหวตทางไปรษณีย์อยู่เลยเมื่อคืนนี้

    ทำให้หลายๆฝ่ายเริ่มมองว่า Donald Trump นั้นกำลังมีทัศนคติแบบ 'ขี้แพ้ชวนตี' ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง แล้วยังมีการทวีตข้อความแย้งผลเลือกตั้งอีกว่าเขาคือ "ผู้ชนะการเลือกตั้งตัวจริง" โดยอ้างถึงคะแนนกว่า 71,000,000 เสียงที่โหวตให้เขา

    ผมเห็นประเด็นนี้แล้วก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องซุบซิบภายในตระกูลของ Donald Trump อยู่เรื่องหนึ่ง ที่เคยออกเป็นข่าวฉาวหลังหลานสาวคนโตของเขาออกมาแฉเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมานี้ โดยการเขียนลงเป็นหนังสือชื่อ 'Too Much and Never Enough'

    ในหนังสือเล่มนั้น หลานสาวของ Trump ซึ่งเป็นลูกสาวของพี่ชายคนโตของ Trump (Freddy) เขียนวิเคราะห์ในเชิงจิตวิทยาเอาไว้ว่า Trump นั้นเป็นคนที่มีปัญหาทางจิต และเป็นเด็กที่มีปมด้อยขาดความอบอุ่นมาตั้งแต่สมัยเด็ก ตอนเกิดมาแรกๆแม่ก็ป่วยเข้าโรงพยาบาลบ่อย พ่อก็ไม่เคยดูแล (พ่อ Trump เป็นคนบ้างาน)

    Trump จึงโตมากับคนใช้ พี่เลี้ยง และพี่สาวที่คอยดูแล เอาใจใส่แทนพ่อแม่ ทำให้เขาไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่อย่างเพียงพอ และเมื่อ Trump เริ่มโตขึ้นมาหน่อย เริ่มจำความได้ พ่อของ Trump ก็ให้ความสนใจไปที่พี่ชายคนโตของ Trump มากกว่า

    แต่พ่อของ Trump ก็ไม่ค่อยชอบลูกชายคนโตสักเท่าไร เพราะก็ดื้อรั้นไม่ยอมเดินตามเส้นทางที่พ่อขีดไว้ให้ (พ่อ Trump อยากให้พี่ชายคนโตของ Trump โตมารับช่วงต่อทางธุรกิจอาณาจักร Trump แต่พี่ชายของ Trump อยากเป็นนักบิน)

    จุดนี้จึงกลายเป็นโอกาสและช่องว่างให้ Trump เริ่มมีพฤติกรรมเป็นเด็กเกเร ชอบแกล้งคนอื่นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากพ่อ ซึ่งพ่อ Trump ก็ดูจะชอบใจไม่น้อย เพราะอย่างน้อย Trump ก็สู้คน และไม่ดูอ่อนปวกเปียกเพ้อฝันอยากจะมีอาชีพรายได้น้อยอย่างนักบินแบบพี่ชายของเขา (พ่อของ Trump เป็นคนที่รังเกียจอาชีพนักบิน และแอร์โฮสเตส โดยจะสอนลูกเสมอว่าอาชีพพวกนี้เหมือนอาชีพคนขับรถเมล์ และกระเป๋ารถเมล์เท่านั้น)

    พ่อของ Trump มักสอนให้ลูกๆโตมาเป็นผู้ชนะ โตมาเป็นผู้ที่ต้องแข็งแกร่งที่สุด ถ้าลูกทำไม่ได้ตามที่ตนเองต้องการก็จะล้อเลียน และหยามลูก อย่างพี่ชายคนโตของ Trump ก็โดนพ่อล้อเลียนอยู่ตลอดว่ามีความฝันไร้สาระ ทำตัวอ่อนแอ ไม่รู้จักโลกภายนอก อะไรทำนองนี้

    การที่พี่ชายถูกพ่อล้อเลียนบ่อยๆ เลยทำให้ Trump ฝังใจ และกลัวจะเป็นอย่างพี่ชายมากๆ จึงเริ่มมีการสร้างกลไกป้องกันตนเองอะไรทำนองนี้ขึ้นมา ทั้งเพื่อปกป้องตัวเองไม่ให้กลายเป็นผู้แพ้ และก็เพื่อที่จะเอาชนะใจพ่อของตนเองด้วย เพราะ Trump อยากให้พ่อรัก

    ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Trump ก็กลายเป็นเด็กซ่า ดื้อ ซน และชอบแกล้งคนที่อ่อนแอกว่ามาตลอด ตอนช่วงมัธยมเขาก็ชอบแกล้งเพื่อนในห้องเรียน ชอบดูถูกผู้หญิง ชอบเอาของเล่นของน้องชายไปซ่อนเพื่อให้น้องชายร้องไห้ Trump ดื้อถึงขั้นที่พ่อเขาต้องส่งเขาไปอยู่โรงเรียนดัดสันดาน ที่โรงเรียนเตรียมทหาร

    แต่นั่นก็เป็นการตัดสินใจที่ผิดเมื่อ Trump ถูกส่งไปอยู่โรงเรียนเตรียมทหาร ก็เลยเจอการปลูกฝังแบบวัฒนธรรมทหาร ใครอ่อนแอก็แพ้ ใครล้มก็จะถูกซ้ำ ทำให้ยิ่งเกิดการตอกย้ำในทัศนคติผู้แข็งแกร่งคือผู้อยู่รอดภายในจิตใต้สำนึกของ Trump ไปโดยปริยาย

    ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญนี้เลยกลายเป็นช่วงที่ฝึกให้ Trump กลายเป็น "คนแบบนี้" ในปัจจุบันไป หลังจากเขาโตขึ้น เขาจึงกลายเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะคนอื่น ไม่ว่าจะโกงข้อสอบเพื่อที่จะเรียนต่อในมหาวิทยาลัยกลุ่ม Ivy League โกงเงินจากบริษัทพ่อตัวเอง (The Trump Management) โกงเงินมรดกจากพ่อตัวเอง เป็นต้น

    หลานสาวของ Trump วิเคราะห์ว่า ความเป็นคนไม่ยอมแพ้คนอื่น หรือ แพ้ไม่เป็น ของ Donald Trump นี้ ยังแสดงออกมาให้เห็นในอีกหลายๆโอกาสตั้งแต่เด็กจนโตยันแก่นี้ด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่ง Trump เคยออกไปตกปลากับพี่ชาย และกลุ่มเพื่อนๆของพี่ชาย

    แต่เขาตกปลาไม่เป็น แค่เหวี่ยงเบ็ดก็ยังเหวี่ยงไม่ถูก พอเพื่อนๆของพี่ชายจะสอนวิธีเหวี่ยงเบ็ดตกปลาให้ Trump ก็รู้สึกเสียหน้า แล้วก็รีบแย่งเบ็ดคืนมาจากมือของเพื่อนพี่ชายอย่างรวดเร็ว แล้วจากนั้นก็โชว์วิธีการตกปลาแบบผิดๆให้ดู โดยบอกว่า

    Trump: "ไม่ต้องมาสอนกู กูรู้ว่าต้องตกปลายังไง"

    เพื่อนๆของพี่ชาย Trump: "เออ นี่ขนาดมึงรู้นะ มึงยังใช้เบ็ดตกปลาไม่เป็นเลย 5555" (แล้วทุกคนบนเรือก็หัวเราะเยาะ Trump)

    อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเห็นว่าน่าโน้ตเอาไว้เป็นเกร็ดคือ ถ้าใครสังเกตเห็นวิธีการพิมพ์ข้อความ หรือเขียนหนังสือของ Donald Trump มาบ้างในช่วง 4 ปีนี้ น่าจะเห็น wording ที่เป็นเอกลักษณ์ที่แสดงออกถึงความเป็น Trump บ่อยอยู่พอสมควร

    มันจะมีคำประเภทที่ว่า 1. Ever
    2. The best
    3. The most
    4. Billions and billions
    5. Tremendous
    6. Great

    อะไรพวกนี้อยู่บ่อยๆ ลองไปค้นใน Twitter ส่วนตัวเขา หรือไม่ก็หา Speech ของ Trump เปิดฟังดูก็ได้ครับ จะได้ยินคำพวกนี้ออกมาบ่อยๆ ใน Youtube มีคนทำเป็นคลิปรวบรวมเอาไว้ล้อเลียนอยู่ ว่า Trump พูดแบบนี้บ่อยมากจริงๆ ในการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ หรือกล่าวอะไรสักอย่างต่อสาธารณะ

    คำพวกนี้ จริงๆแล้วมีความหมายลึกๆอยู่ที่ความรู้สึก 'ขาดอะไรบางอย่าง' ทำให้เขาต้องการเติมเต็มมันตลอดเวลา พูดในภาษาที่เข้าใจง่ายก็คือ ลึกๆแล้ว Trump ยังรู้สึกโหยหาการยอมรับ และต้องการเป็นที่่ 1 เป็นหมายเลข 1 อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เด็กจนโต

    มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เป็นงาน gathering หรือ งานรวมญาติของครอบครัว Trump จะชอบพูดจาโอ้อวดทุกคนถึงผลงานที่ตัวเองทำไว้เสมอ ตอนสร้างโรงแรมเสร็จ ผมจำชื่อโรงแรมไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นโรงแรมไหน แต่น่าจะเป็น Grand Hyatt ช่วงที่ Trump เพิ่งเริ่มดังใหม่ๆ

    ตอนนั้นหลานสาวของ Trump พาเพื่อนมาเที่ยวด้วย Trump เลยเดินพาหลานสาวและเพื่อนๆไปเดินดูโรงแรมแล้วชี้มือชี้ไม้ให้หลานๆดูถึงผลงานตนเองว่าสวยอย่างนั้น สวยอย่างนี้ แล้วพูดแนวโม้ๆว่า "นี่ๆดูสิๆ หน้าต่างนี้อาเลือกเองกับมือเลยนะ สุดยอดไปเลยไหมล่ะ?"

    อีกครั้งหนึ่งคือตอนที่ Trump จะจ้างหลานสาวของตัวเองไปช่วยเขียนหนังสือชีวประวัติให้ ช่วงประมาณปี 2017-2018 Trump ก็เลยพาหลานสาวตัวเองไปขึ้นเครื่องบิน Air Force One วันนั้น พอหลานมาถึง Trump ก็กางปีกออก แล้วผายมือไปข้างๆลำตัวพร้อมตะโกนถามด้วยสีหน้าเบิกบานว่า "เป็นไง เครื่องบินของอาเอง สุดยอด เท่ไปเลยไหมล่ะ?"

    โดยรวมผมว่ามันก็สะท้อนเยอะอยู่นะ ผมเองไม่ได้เรียนหรือศึกษาทางด้านจิตวิทยามา เลยขอจำกัดการแสดงความคิดเห็นในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องเชิงเทคนิคในด้านดังกล่าวนี้เอาไว้ แต่คิดว่าข้อมูลเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์อยู่บ้าง หากใครอยากจะลองวิเคราะห์พฤติกรรม หรือ แนวคิดทัศนคติของ Donald Trump ว่ามันมีเหตุปัจจัยเบื้องหลัง และมีที่มาอย่างไร

    เพราะเท่าที่สังเกตเอาตามที่หลานสาวของ Trump ได้เขียนวิเคราะห์เอาไว้ในหนังสือชีวประวัติ มันก็มีเหตุมีผล และ Rationale พอให้ทำความเข้าใจอยู่บ้าง ไม่ได้ถึงขั้นกล่าวเกินเลยแต่อย่างใด ผมเข้าใจว่า Disclaimer หนึ่งที่คนทั่วไปเข้าใจนั้นคือในหนังสือชีวประวัติมันอาจจะไม่ได้มีความจริงอยู่ 100% นัก

    แต่พิจารณาเอาจากพื้นเพของ Mary (หลานสาวของ Trump) ซึ่งไปหาข้อมูลการเขียนหนังสือมาจากสมาชิกคนอื่นๆภายในครอบครัวของ Trump ทั้งพี่สาว พี่ชาย และญาติของ Trump ภายใต้สถานการณ์ที่คนในครอบครัวของ Trump ก็ไม่ได้ชอบขี้หน้าเธอสักเท่าไร

    ยังได้ข้อมูลเรื่องบ้าๆบอๆของ Trump มาได้ขนาดนี้ ก็น่าจะมี credibility ของข้อมูลอยู่บ้างพอสมควรนะครับ อาจจะประมาณ 60-70% เลยก็ว่าได้ (อีกเหตุผลหนึ่งน่าจะเป็นเพราะคนในครอบครัวเองก็ไม่ค่อยจะชอบนิสัย Trump สักเท่าไรเช่นกัน ก็เลยทำให้เกิดการยอมปล่อยข้อมูลนี้ออกมาได้) ก็ตามวิจารณญาณของผู้อ่านเลยครับ

    Blockdit (ลิงค์สำหรับคนที่สะดวกอ่านในแอพ Blockdit): https://www.blockdit.com/articles/5fa784015dbf030cbaa7f2fe

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมื่อตอนเช้าๆผมมาลองไล่เรียงประเด็น และตัวแปรหรือเหตุปัจจัยอันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการได้รับชัยชนะของ Joe Biden ภายในศึกการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี 2020 นี้ ว่าเขาชนะ แล้วรวบรวมคะแนนเสียงจาก Delegates ให้ได้ครบ 270 เสียงก่อน Donald Trump ได้อย่างไร ผมพบว่ามีตัวแปรหลักๆดังนี้

    ประการแรกเลยนะครับ ผมมองว่าครั้งนี้ Biden ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากไวรัส COVID-19 และปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำเป็นอย่างมากในช่วงตลอดปี 2020 จนทำให้เกิดความตึงเครียดในหมู่ประชาชนอเมริกา แล้ว Approval ratings ของประธานาธิบดี Trump ก็ตกมายาว บางสำนักให้ติดลบเลยก็มี

    มันจึงง่ายสำหรับ Biden มากที่จะเกาะกระแสนี้แล้วเสนอตัวเข้ามาเป็นทางเลือกให้แก่สาธารณชนแทนที่จะโหวต Trump พูดง่ายๆก็คือ จังหวะมันเหมาะพอดีสำหรับ Biden คนจำนวนมากในอเมริกาเขาเบื่อ Trump และเกลียด Trump เพราะเรื่องไวรัส COVID-19 และเรื่องปัญหาการว่างงานพอดี

    ผมไปตามอ่านบทสัมภาษณ์และสกู๊ปของสำนักข่าวหลายๆหัวที่ไปคุยกับคนอเมริกามาเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อนว่ามีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษไหมทำไมถึงเลือก Joe Biden ส่วนใหญ่แล้วคนที่ตอบเขาตอบไปในทางเดียวกัน คือ เขาเลือก Biden แค่เพราะว่า Biden ไม่ใช่ Trump เท่านั้นเอง (เลือกเพราะเกลียด Trump)

    ดังนั้นปัจจัยแรกๆเลยที่ Biden ชนะครั้งนี้ผมจึงให้ว่าน่าจะเป็นส้มหล่น และจังหวะจะโคนที่เหมาะสมครั้งใหญ่ เลยทำให้การหาเสียง การขยายฐานเสียงของพรรค Democrat ในช่วงนี้มันเป็นไปได้ไม่ยาก เมื่อเทียบกับตอนที่ Hillary Clinton พยายามจะขยายฐานเสียงเมื่อปี 2016

    ประการถัดมา นอกจากประเด็นเรื่องกลุ่มคนที่เลือก Biden เพราะเกลียด Trump แล้ว ถ้ามาแยกองค์ประกอบ และกลุ่มประชากรที่กาให้ Biden ในปี 2020 นี้จะเห็นว่า Biden ฐานเสียงหลักๆของ Biden ยังเป็นแค่กลุ่มเดิมๆ กับที่ Barack Obama เคยทำไว้ คือ กลุ่มผู้หญิง คนดำ คนเอเชียผิวเหลือง คนฮิสแปนิค คนละติน กลุ่มคนที่เป็นชายขอบของสังคม พูดง่ายๆรวมๆก็คือ กลุ่มที่เป็นผู้เสียเปรียบในด้านสิทธิทางสังคม (identity politics) ตามสไตล์เดิมของ Democrat นั่นแหละครับ

    ** เอาแค่คนดำในอเมริกาก็มีเกือบๆ 40,000,000 คนแล้ว แล้ว Biden ได้รับการออกตัวสนับสนุนจาก Obama อย่างเต็มที่เมื่อตอนกลางปี อย่างน้อยๆเกินครึ่งหนึ่งของจำนวน 40,000,000 คน คือ 20,000,000 คนนั้นต้องเอนมาทาง Biden แล้วแน่นอน

    นอกจากในเรื่องอัตลักษณ์ สีผิว ชาติพันธุ์แล้วก็จะเป็นกลุ่มพวกคนเมืองชนชั้นกลางที่มีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย (college-educated middle-class) ซึ่งก็ไม่ได้หนีทฤษฎีเดิมของ Clinton และ Obama ไปมาก

    แต่จุดที่น่าสนใจสำหรับเรื่อง Coalition หรือ องค์ประกอบฐานมวลชนของ Joe Biden ในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็คือ กลุ่มวัยรุ่น วัยทำงานตอนต้นที่เพิ่งมีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก (first-time voters) รวมถึงกลุ่มมวลชนหัวก้าวหน้าภายในพรรค Democrat (ที่เรียกว่าปีก Progressivism) นั่นแหละที่เข้ามาช่วยเป็นปัจจัยเสริมให้กับชัยชนะของ Biden

    ในช่วง 3-4 เดือนก่อนการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนนี้ มีการรณรงค์ และการผลักดันในหมู่คนที่มีแนวคิดหัวก้าวหน้า และสังคมนิยมภายในพรรค Democrat อยู่อย่างเข้มข้น ว่าต้องช่วยร่วมมือกันโหวตให้ Biden ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ Trump กลับเข้ามาเป็นประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 ได้ (ผมเจอบทความลักษณะดังกล่าวนี้ในหนังสือพิมพ์ที่เอียงพรรค Democrat อยู่หลายฉบับ เฉลี่ยแล้วสัปดาห์ละอย่างน้อย 2-3 บทความ)

    อีกทั้ง Bernie Sanders และ Elizabeth Warren หัวเรือใหญ่ของฝ่ายสังคมนิยมและหัวก้าวหน้าภายในพรรคเองก็ประกาศสนับสนุน Biden หลังจากที่คะแนน Primary ของ Biden แซงทั้ง 2 คนไปไกลเมื่อตอนกลางปี ทำให้การเลือกตั้งในครั้งนี้ Biden ยังพอมีพลังช่วยจากกลุ่มหัวก้าวหน้า และคนรุ่นใหม่พยุงไว้ค่อนข้างเยอะ

    ตรงนี้ต้องยกความดีความชอบให้ Biden ที่ยอมรับเอาข้อเสนอ และแนวคิดทางนโยบายของฝั่ง Progressive อย่างนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามาเป็นหาเสียง ทำให้คนรุ่นใหม่ และกลุ่มฝ่ายซ้ายส่วนหนึ่งภายในฐานมวลชนของพรรคยอมหันมาเลือก Biden ได้

    ประการที่สามเลยคือ Biden คิดถูกแล้วที่ดึงเอา Kamala Harris ซึ่งเป็นคนเชื้อสายอินเดียเข้ามาร่วมในฐานะ Running-mate ตำแหน่งรองประธานาธิบดี แทนที่จะเป็น Elizabeth Warren ตามกระแสสังคมที่เชียร์ๆกันในช่วงต้นปี 2020 หลังจาก Warren ประกาศถอนตัวออกจากการแข่งขัน

    เพราะ Warren นั้นมีนโยบาย และภาพลักษณ์ที่ออกแนวสังคมนิยมมากเกินไป แถมยังมีนโยบายที่ถูกฐานมวลชนภายในพรรค Democrat วิพากษ์วิจารณ์ว่าเพ้อฝันจนเกินไปอย่างนโยบายปฏิรูปการศึกษา นโยบายภาษีอีกด้วย ถ้าตอนนั้น Biden พลาดเลือก Warren มาเป็นแคนดิเดทรองประธานาธิบดี อาจจะไม่ได้รับชัยชนะแบบนี้

    ในทางกลับกัน Harris อดีตอัยการสูงสุดของมลรัฐแคลิฟอร์เนียนั้นถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีมาก เนื่องจาก Harris นั้นเป็นนักการเมืองสาย Moderate หรือก็คือสายกลางมากพอที่จะเป็นตัวเลือกที่ไม่ได้ค้านสายตาของพวกผู้ใหญ่ภายในพรรค Democrat หรือ ผู้มีอิทธิพลภายในพรรคมากนัก

    ** แนวคิดสังคมนิยม หรือแนวคิดที่เอียงซ้ายมากเกินไปนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ และกลุ่มก๊กการเมืองที่มีอิทธิพลภายในพรรค Democrat ยังไม่ค่อยเปิดรับกันสักเท่าไร การเลือก Harris มาแทน Warren จึงเป็นแผนที่ดีแผนหนึ่งของทีม Biden ในครั้งนี้เลย

    ประการที่ 4 นี้คงจะละเลยไม่พูดถึงทฤษฎี The Blue Wall หรือพวก Rust Belt States แถบๆตะวันตกกลาง (Midwest) อย่างมลรัฐเพนซิลเวเนีย มิชิแกน วิสคอนซินไปไม่ได้ เพราะค่อนข้างมีบทบาทในการนับคะแนนครั้งนี้ อีกทั้งยังเคยเป็นฐานมวลชนเดิมของพรรค Democrat ที่ถูก Trump แย่งไปเมื่อตอนการเลือกตั้งปี 2016 อีกด้วย (3 มลรัฐนี้คิดเป็นตัวเลขก็เกือบๆ 50 คะแนนน่ะ)

    อนึ่ง 3 มลรัฐ รวมถึงรัฐอื่นๆรอบๆบริเวณกำแพง Blue Wall นี้ เป็นพื้นที่ที่ประชากรส่วนมากนั้นเป็นคนผิวขาว คนบ้านนอก คนชนชั้นแรงงาน (blue-collar) ที่ไม่ค่อยได้เรียนหนังสือระดับมหาวิทยาลัยกันสักเท่าไร ตอน Trump มาหาเสียงกับคนกลุ่มนี้เขาใช้วิธ๊การเอาวิวาทะชาตินิยม และ America First มาหลอกล่อ ทำให้คนกลุ่มนี้หลงเทใจไปให้ Trump ในปี 2016 แทน Clinton ก็เลยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ Democrat แพ้ไปเลยในปี 2016

    เรื่องนี้ผมชื่นชม Biden มาก เพราะมันมีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนประชุมแผนยุทธศาสตร์การหาเสียงของพรรค Democrat ก่อนหน้านี้ คนในพรรค Democrat ไม่ว่าจะทีมงานภายในพรรค หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ภายในพรรคหลายๆคน เขาบอก Biden เลยนะ ว่าไม่ต้องกลับไปหาเสียงกับกลุ่มคนที่อยู่แถบๆ Rust Belt States หรือย่านชนชั้นแรงงาน กรรมกรพวกนี้หรอก "เอาเวลาไปหาเสียงกับคนผิวสี กลุ่มผู้หญิง กลุ่ม LGBT กลุ่มคนรุ่นใหม่ดีกว่า"

    ตอนนั้น Biden แย้งอย่างสุดใจครับ ว่าจะกลับไปหาเสียงเอากับคนกลุ่มนี้ เพื่อดึงคนจาก Rust Belt ซึ่งเคยเป็นฐานเสียงเดิมของพรรค Democrat นั้นกลับมาในมือของพรรคอีกครั้งให้ได้ อาจจะด้วยเพราะตัว Biden เองเคยมีพื้นเพเป็นคนบ้านแถวนั้น (บ้านเกิดอยู่ที่สแครนตัน, เพนซิลเวเนีย) ตอนเด็กๆและตอนเป็นวัยรุ่นก็วิ่งเล่นอยู่แถวนั้น

    มีความผูกพันและความรู้สึกเชื่อมโยงกับคนแถวนั้นมาก่อน จึงค่อนข้างมั่นใจในตัวเองสูงว่าจะสามารถดึงคนพวกนั้นกลับมาได้ ตอนหาเสียง Biden ก็เลยเน้นหาเสียงกับคนกลุ่มนี้เป็นพิเศษ ทั้งเอาเรื่องสหภาพแรงงาน เรื่องการฟื้นอุตสาหกรรมยานยนต์ของตนเองในสมัย 10 ปีก่อนเข้ามาโฆษณาโน้มน้าวคนกลุ่มนี้ เลยทำให้สามารถชิง 3 มลรัฐนี้กลับคืนมาได้ในที่สุด

    ประการที่ 5 นั้นผมมองว่าเป็นตัวแปรที่เกิดมาจากฝั่ง Trump เอง คือ อย่างที่ทราบกันดีมาตลอด 4 ปีนี้นะครับว่า Trump บริหารประเทศด้วยวิธีการแบบไหน ใช้ทฤษฎีอะไรในการบริหารประเทศ ถ้าติดตามข่าวสายตรงจากทำเนียบขาวมา จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า Trump มีโลกทัศน์ที่มองตนเองเป็นศูนย์กลางอย่างมากคนหนึ่ง

    เขาไม่ได้มองคนในทำเนียบขาวเป็นเพื่อนร่วมงาน หรือ เป็นคนที่มีสถานะเท่าเทียมกับเขานะครับ เขามองทุกคนในทำเนียบขาวว่าเป็นลูกน้องเขา เป็นคนใช้ของเขา เวลาเขาเรียกลูกน้องมาบรีฟงานใน Oval Office เวลาเขาไม่พอใจ เขาด่าเลย แล้วไม่ใช่ด่าธรรมดา บางทีด่าแล้วขยำเศษกระดาษปาลงใส่พื้นเพื่อแสดงอารมณ์ด้วย

    ด่าตอนอยู่กันแค่ 2 คน หรือด่าหลังไมค์ยังพอว่า แต่ Trump ไม่ได้ทำแค่นั้น Trump ด่าคน ด่าลูกน้องตัวเองออกไมค์ ออกสื่อตลอด ไม่ว่าจะที่ปรึกษาด้านความมั่นคง (National Security Advisor) เจ้าหน้าที่ภายในทำเนียบขาว หรือแม้แต่เพื่อนๆวุฒิสมาชิกภายในพรรค Republican เองเขาก็ด่า หมอ Anthony Fauci คนดังเขาก็ด่าออกสื่อมาแล้ว

    Trump บริหารประเทศเหมือนตัวเองเป็นเจ้านาย แล้วไม่ค่อยฟังความคิดเห็นคนอื่น หรือเพื่อนร่วมงานเลยตลอด 4 ปี ทีมงานในทำเนียบขาวเรียกผู้เชี่ยวชาญมาบรีฟ เรียกหมอใหญ่ๆมาให้คำแนะนำในการจัดการโรคระบาด Trump ก็ไม่เคยฟังหมอ Trump แทบไม่ฟังใครเลย

    ตรงนี้เป็นจุดบอดสำคัญของ Trump ที่ทำให้แรงสนับสนุนภายในพรรคมันอ่อนลง แล้วทำให้คนในพรรค Republican บางส่วนเขาหันไปเลือก Joe Biden แทน เพราะทนเลือก Trump ต่อไม่ไหว ถ้าไปตามอ่านบทสัมภาษณ์ที่เขาไปสกัดมาจากคนในพรรค Republican จะเห็นว่าช่วงหลังๆนี้คนในพรรค Republican เองก็ไม่ค่อยพอใจ Trump สักเท่าไร

    ฝั่ง Biden เองก็มีวาทศิลป์ ตอนหาเสียงปีนี้ Biden ไม่ได้ใช้วิธีด่ากราดแบบ Trump ใครเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ Biden ไม่ว่าจะศัตรูทางการเมือง หรือคนจากพรรค Republican นั้น Biden ก็พูดหาเสียงแบบเนิบๆตามสไตล์เดิมของเขาไปเรื่อย อะไรดีเขาก็ชม ไม่ได้เน้นโจมตีเป็นหลักแบบ Trump เลยทำให้คนจากฝั่ง Republican หันไปออกตัวสนับสนุน Biden กันหลายคน บ้าน McCain ของ John McCain ก็ออกตัวว่าจะสนับสนุน Biden พวกนักการเมืองท้องถิ่น และผู้ว่าการรัฐที่เคยสังกัด Republican ก็หันไปสนับสนุน Democrat กันหลายคนอยู่

    ** อันข้อ 5 นี้เป็นเรื่องที่อาจจะตรวจสอบยากและใช้เป็นตัวชี้วัดยากสักหน่อย เพราะกระแสความคิดเห็นโดยรวมของคนในพรรค Republican ที่มีต่อ Donald Trump มันขึ้นๆลงๆตลอดทั้งปี ตอนจะ Impeachment นั้นก็เห็นออกมาปกป้องกันดี แต่บางโอกาสก็ออกมาทำท่าเหมือนจะตีตัวออกห่าง Trump (เอาเป็นว่าข้อ 5 นี้ ท่านผู้อ่านชั่งน้ำหนักกันดูละกันครับ)

    ปล. เรื่อง Mail-in ballots ก็มีส่วนครับ แต่ผมขี้เกียจเขียนแล้ว เพราะเพจอื่นเขียนกันไปเยอะแล้ว เปลืองพื้นที่ ท่านผู้อ่านเองก็จะอ่านผ่านๆตามาเยอะแล้ว ขออนุญาตไม่เขียนถึงนะครับ

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นอนหลับฝันดีนะครับ
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จีนยิงจรวดส่งดาวเทียมเพื่อทดสอบ “ระบบสัญญาณ 6G” ดวงแรกของโลกขึ้นสู่อวกาศแล้ว
    .
    สำนักข่าว Asia Times รายงานว่า จีนประสบผลสำเร็จในการนำดาวเทียม 6G ดวงแรกของโลกขึ้นสู่อวกาศเพื่อทดสอบเทคโนโลยีตรวจวัดระบบสัญญาณ โดยดาวเทียมดวงกังกล่าวถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรพร้อมกับดาวเทียมอีก 12 ดวงจากศูนย์ปล่อยดาวเทียมไท่หยวน มณฑลซานซี
    .
    ดาวเทียม 6G เป็นหนึ่งในดาวเทียมทั้ง 3 ดวงของจีนที่ประสบความสำเร็จในการส่งขึ้นสู่วงโคจร พร้อมกับดาวเทียมสำรวจระยะไกลเชิงพาณิชย์อีก 10 ดวง ที่พัฒนาโดย บริษัท Satellogic ของอาร์เจนตินา
    .
    การทดสอบระบบสัญญาณ 6G จะใช้ความถี่เทราเฮิร์ตซ์ (Terahertz) เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้รวดเร็วกว่าระบบสัญญาณ 5G โดยไม่ต้องตั้งเสาสัญญาณก็สามารถให้บริการเชื่อมโยงสื่อสารได้ทั่วทุกมุมโลก
    .
    เทคโนโลยีนี้คาดว่าจะเร็วกว่า 5G ประมาณ 100 เท่า ทำให้สามารถส่งข้อมูลแบบไม่สูญเสียไปในอวกาศ เพื่อให้เกิดการสื่อสารทางไกลด้วยกำลังไฟที่น้อยลง
    .
    ทั้งนี้เทคโนโลยี 6G ยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น และยังต้องเอาชนะอุปสรรคทางเทคนิคอีกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นในด้านฮาร์ดแวร์และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ก่อนที่เทคโนโลยีจะสามารถวางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ได้
    .
    เพื่อให้ท่านไม่พลาดทุกสิ่งที่น่าสนใจจากเพจ Thailand State กด Like เพจและตั้งค่า See First ⭐️ เพื่อติดตามข้อมูลดีๆได้เลยครับ
    .
    Source : https://asiatimes.com/2020/11/china...Z8vU0-2UpTzhk9iC9yxYfalaV_t0VZnv5nqFwbvMXbj-w
    .
    #ThailandState #ThailandStateUpdate

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กัปตันไบเดน อาจต่างแรงกดดันจีน vs สหรัฐฯ แต่ทิศทางยังเหมือนกัน!
    .
    โจ ไบเดน เป็นผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2563 ผู้เชี่ยวชาญของจีนคาดการณ์ว่าผลลัพธ์จะนำไปสู่ "ช่วงเวลาหยุดพักรบ " สำหรับความสัมพันธ์จีน - สหรัฐฯ ที่ตึงเครียดมาตลอด และเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาในการสื่อสารระดับสูงต่อไป พร้อมกับสร้างความไว้วางใจทางยุทธศาสตร์ซึ่งกันและกันระหว่างสองประเทศ
    .
    ซิน เฉียง รองผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาของสหรัฐอเมริกา ที่มหาวิทยาลัยฟู่ตั้น เกริ่นกับโกลบอลไทม์สว่า ความสัมพันธ์ที่เสื่อมโทรมระหว่างจีนและสหรัฐฯ ได้เข้าสู่วงจรอุบาทว์ ไม่มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ขาดการสื่อสารระดับสูง และแม้มีความร่วมมือก็เป็นรูปธรรมเพียงเล็กน้อย
    .
    ซิน ตั้งข้อสังเกตว่า จีนและสหรัฐฯ มีโอกาสมากขึ้นที่จะกลับมาร่วมมือกันอย่างจริงจังในเรื่องวัคซีน การต่อสู้เพื่อต่อต้านการแพร่ระบาดและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกการประสานงานบางอย่างและการเจรจาที่หยุดชะงักนั้น คาดว่าจะกลับมาทำงานต่อได้
    .
    “แต่จะต้องใช้เวลาในการสร้างความไว้วางใจเชิงกลยุทธ์ซึ่งกันและกันอีกครั้ง” รองผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาของสหรัฐอเมริกา ที่มหาวิทยาลัยฟู่ตั้น กล่าว
    .
    จิน ฉั่นหรง รองคณบดีคณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยเหรินหมิน สาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า ไบเดน จะเข้าสู่ "ช่วงผ่อนพัก" ความสัมพันธ์จีน - สหรัฐฯ ที่แย่มานาน
    .
    “ไบเดน จะมีความเป็นผู้ใหญ่ มีวุฒิภาวะ ในการจัดการด้านการต่างประเทศ” จิน กล่าว
    .
    ไบเดน สามารถแต่งตั้งเจ้าหน้าที่การทูตมืออาชีพให้กับทีมของเขาได้มากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ - จีนจะพักชั่วคราว
    .
    อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงผู้นำสหรัฐที่รอดำเนินการจะไม่เปลี่ยนทิศทางโดยรวมของวอชิงตันในนโยบายจีน ผู้สังเกตการณ์กล่าว ไม่ว่าใครจะคุมทำเนียบขาว สหรัฐฯ ก็จะรักษาแนวทางปัจจุบันต่อจีนในระดับหนึ่ง
    .
    ผู้สังเกตการณ์กล่าวว่า นโยบายจีนของไบเดน จะไม่ย้อนกลับไปสู่ยุคของโอบามาในปี 2559 และดูเหมือนว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างจีน - สหรัฐฯ และภูมิทัศน์ของโลกได้เปลี่ยนไปอย่างมาก
    .
    “เราไม่ควรคาดหวังกับไบเดนมากเกินไป” จิน กล่าว“ เนื่องจากการควบคุมและเผชิญหน้ากับจีนถือเป็นความเห็นพ้องทางยุทธศาสตร์ระหว่างสองพรรคใหญ่ของสหรัฐฯ”
    .
    ไบเดน อาจมีมาตรการที่แตกต่างกันกับทรัมป์ แต่ไม่ใช่ทิศทางที่แตกต่าง
    .
    ต้าเหว่ย ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และความมั่นคงระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปักกิ่ง เห็นด้วยว่า "บรรดากลุ่มผู้นำและประชาชนในทั้งสองประเทศได้ปรับเปลี่ยนมุมมองของตนที่มีต่อประเทศของกันและกัน"
    .
    “นโยบายจีน น่าจะเป็นมรดกทางการเมืองที่สำคัญที่หลงเหลือจากการบริหารของทรัมป์” ต้าเหว่ยกล่าว และเตือนว่า
    .
    "สองพรรคฯ ในสหรัฐฯ มีความเห็นพ้องกันของว่า นโยบายการมีส่วนร่วมกับจีนจำเป็นต้องมีการยกเครื่องใหม่ และจะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อไบเดนเข้ารับตำแหน่ง"

    ไบเดนจะมาแบบไหนกับจีนยังไม่ชัดเจน ... โปรดติดตาม ทั้งในด้านสงครามการค้า - นโยบายไต้หวัน - ฮ่องกง และแบนหัวเว่ย ติ๊กต่อก จะเป็นอย่างไร ในยุคไบเดน

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1604916492218.jpg

    สมุดบันทึกของมารี คูรี -
    มารี คูรี (ค.ศ. 1867 – 1934) นักฟิสิกส์และนักเคมีชาวโปแลนด์ ผู้บุกเบิกงานวิจัยด้านกัมมันตภาพรังสีและเป็นผู้ค้นพบธาตุเรเดียมที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง ผู้สัมผัสรังสีธาตุเรเดียมมากจนส่งผลภายหลัง มือไหม้ ป่วยหนักและเสียชีวิตด้วยโรคลูคีเมีย เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 1934

    แม้กระทั่งทุกวันนี้สมุดบันทึกในห้องปฏิบัติการของเธอ ตั้งแต่ปี 1899-1902 ยังคงมีกัมมันตภาพรังสีปนเปื้อน และจะยังคงแผ่รังสีอีก 1,500 ปี

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รถไฟความเร็วสูงลาวส่ง 600 คนไปฝึกอบรมที่จีน เตรียมพร้อมเปิดเดินเครื่อง ธ.ค. 64
    .
    รถไฟความเร็วสูงลาว-จีนเร่งสร้างบุคลากร เตรียมพร้อมเปิดวิ่งรับผู้โดยสารปลายปีหน้า ติวเข้ม 600 คนลาวชุดแรก ส่งไปดูงานคุนหมิง ก่อนกลับมาสอบบรรจุเป็นพนักงาน ...
    .
    คลิกอ่าน >> https://mgronline.com/indochina/detail/9630000115716

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รัฐบาล #ญี่ปุ่น คาดหวังให้นาย #โจไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ กลับมาให้ความสำคัญกับชาติพันธมิตร และขับเคลื่อนนโยบาย “#อินโดแปซิฟิก” ร่วมกับญี่ปุ่น อินเดีย และออสเตรเลีย เพื่อปิดล้อม #จีน

    อ่านต่อที่
    https://mgronline.com/japan/detail/9630000115787

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มาแล้วจ๊ะ กับข้าววว ! พ่อค้า-แม่ค้ารถเร่ อีกหน่อยใช้คิวอาร์โค้ด นั่งขายจากบ้านได้เลย

    ไปดูนิคมนวัตกรรมหูหลี่ เมืองเซี่ยเหมิน มณฑลฝูเจี้ยนทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ใช้รถส่งอาหารเทคโนโลยี 5จี (5G) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไร้คนขับ 4 คัน วิ่งให้บริการในนิคมฯ

    รถแต่ละคันสามารถขนส่งอาหารเช้ามากกว่า 200 ชุด หรืออาหารกลางวันหรืออาหารเย็น 100 ชุด และมีการติดตั้งฉนวนกันความร้อนภายในตัวรถ เพื่อควบคุมอุณหภูมิของอาหารให้อุ่นร้อนตลอดเวลา โดยลูกค้าในพื้นที่สามารถรับอาหารหลังจากชำระเงินด้วยการสแกนรหัสคิวอาร์ (QR) ที่แสดงอยู่บนรถด้วยสมาร์ตโฟน

    (ซินหัวฯ บันทึกภาพวันที่ 6 พ.ย. 2020)

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nov 9 , 2020 เดนมาร์ก กำจัดมิงค์ 17 ล้านตัว หวังสกัดการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา
    .
    นิวยอร์กไทมส์ รายงานรัฐบาลเดนมาร์กเผยว่าจะมีการฆ่ามิงค์หลายล้านตัวเนื่องจากความกังวลต่อการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
    .
    โดยนายกรัฐมนตรี เมตเต เฟรเดอริกเซน แถลงว่าเดนมาร์กได้เริ่มกำจัดมิงค์ 17 ล้านตัว จากฟาร์มทั่วประเทศ 400 แห่งที่ติดเชื้อหรือมีความใกล้ชิดกับฟาร์มที่ติดเชื้อ หลังพบว่ามีการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาในฟาร์มผลิตขนสัตว์
    .
    โดยก่อนหน้านี้ในเดือนตุลาคมได้เริ่มฆ่ามิงค์ 2.5 ล้านตัวในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศหลังพบมิงค์ในฟาร์มอย่างน้อย 63 แห่งติดเชื้อไวรัสโคโรนา
    .
    นักระบาดวิทยาหัวหน้าสถาบันเซรั่มและหน่วยงานด้านสาธารณสุขและโรคติดเชื้อของรัฐบาลเตือนว่า การกลายพันธุ์ของไวรัสอาจส่งผลให้วัคซีนในอนาคตมีประสิทธิภาพลดลง
    .
    ขณะเดียวกันองค์การอนามัยโลกได้รับแจ้งจากรัฐบาลเดนมาร์กเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของไวรัส และมีผู้ติดเชื้อไวรัสจากมิงค์จำนวนมาก.
    .
    โดยขณะนี้ยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับลักษณะของการกลายพันธุ์หรือวิธีการทดสอบตัวแปรของไวรัส
    .
    ทั้งนี้ มิงค์เป็นสัตว์ในตระกูลเดียวกับพังพอนซึ่งติดเชื้อได้ง่าย รวมถึงอาศัยอยู่กันอย่างแออัดจึงเหมาะสมต่อการแพร่กระจายของไวรัส นอกจากนี้ยังมีมิงค์ในประเทศอื่นๆ ที่ติดเชื้อเช่นกัน อาทิ เนเธอร์แลนด์ และบางรัฐในสหรัฐอเมริกา
    .
    ขณะที่องค์กรคุ้มครองสัตว์เดนมาร์กแนะนำว่าวิธีการที่ถูกต้องคือยุติการเลี้ยงมิงค์ และช่วยเหลือเกษตรกรในการประกอบอาชีพอื่นๆ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนและสวัสดิภาพของสัตว์
    .
    #มิงค์ #เดนมาร์ก #โคโรนา #โควิด19 #Covid19 #Misterban

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nov 9 , 2020 PTTGC เผยไตรมาส 3 กำไรลดลง 66% อยู่ที่ 908 ล้านบาท ส่งผลให้ 9 เดือน ขาดทุน 6,200 ล้านบาท ลดลง 155% จากปีก่อน หลังรายได้จากการขายลดลง - ขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ - ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน
    .
    บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 3 /63 มีกำไรสุทธิ 908.38 ล้านบาท ลดลง 66% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,663.33 ล้านบาท
    .
    ซึ่งไตรมาสนี้มีรายได้จากการขายรวม 76,407 ล้านบาท ลดลง 27% จากไตรมาส 3/62 บริษัทฯ มี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 6,254 ล้านบาท ลดลง 16% จากไตรมาส 3/62
    .
    โดยธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตั้ง แต่ช่วงต้นไตรมาส เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน (PE) เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 17% ถึงแม้ว่าโรง LDPE และโรง LLDPE หน่วยที่ 2 มีการปิดซ่อมบำรุงตามแผน ส่งผลให้ปริมาณการขายโพลิเมอร์ลดลงเล็กน้อย
    .
    ส่วนของธุรกิจโรงกลั่น บริษัทฯ ยังคงการปรับรูปแบบการผลิตโดยปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันอากาศยานและเปลี่ยนไปผลิตเป็นน้ำมันดีเซลตามภาวะความต้องการน้ำมันอากาศยานที่ลดลงตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ธุรกิจโรงกลั่นมีค่าการกลั่น (GRM) อยู่ที่ 1.22 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
    .
    สำหรับธุรกิจอะโรเมติกส์มีส่วนต่างผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ (BTX P2F) ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 176 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน มาอยู่ที่ 78 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยได้รับปัจจัยกดดันจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง จากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบ รวมทั้งปริมาณการขายปรับตัวลดลงเล็กน้อยตามแผนปิดซ่อมบำรุงโรงงานอะโรเมติกส์หน่วยที่ 2
    .
    ทั้งนี้ บริษัทฯ รับรู้ผลกำไรจากสต็อกน้ำมันและรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Gain Net NRV) เป็นกำไรรวม 492 ล้านบาท ผลกำไรจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง 172 ล้านบาท และผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 427 ล้านบาท
    .
    ส่วนงวด 9 เดือนปี 63 พลิกขาดทุนสุทธิ 6,205 ล้านบาท ลดลง 155% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11,308.25 ล้านบาท
    .
    โดยมีรายได้จากการขายรวม 238,714 ล้านบาท ลดลง 26% จากไตรมาส 3/62 บริษัทฯ มี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 19,065 ล้านบาท ลดลง 23% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
    .
    สำหรับแนวโน้มปี 64 คาดว่าความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น คาดการณ์แนวโน้มตลาดน้ำมันในปีหน้าว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ค่าเฉลี่ย 42-47 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากที่สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ประเมินความต้องการใช้น้ำมันของโลกอยู่ที่ระดับ 97.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 5.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตามยังมีความไม่แน่นอนจากการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งอาจมีความยืดเยื้อจนส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจของโลก จะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันได้
    .
    สำหรับความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันต่าง ๆ โดยเฉพาะน้ำมันอากาศยานอาจยังคงมีความไม่แน่นอนสูง แต่ในปีหน้ามีแนวโน้มความต้องการจะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ ส่งผลให้ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 7-8 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ปรับลดการผลิตน้ำมันอากาศยานที่มีอุปสงค์ลดลงและผลิตน้ำมันดีเซลที่ยังมีความต้องการที่ดีอยู่ทดแทน แต่คาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตปีหน้าได้เต็มกำลังที่ 103%
    .
    แนวโน้มของสถานการณ์ผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องในปีหน้าคาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์จะทรงตัวจากปีนี้ จากการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบที่ดีขึ้นเล็กน้อย รวมทั้งราคาแนฟทาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเนื่องจากกำลังการผลิตของโรงกลั่นต่าง ๆ ที่การฟื้นตัวอาจจะยังไม่มากนัก
    .
    ทั้งนี้ในปี 64 บริษัทฯ จะมีกาลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นจากโรงโอเลฟินส์หน่วยใหม่ (ORP) กำลังการผลิตติดตั้ง 750,000 ตัน บริษัทฯ คาดการณ์การใช้กำลังการผลิตในปีหน้าของธุรกิจโอเลฟินส์จะอยู่ 95% จากแผนการการปิดซ่อมบeรุงของโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 3 ตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาสที่ 3 เป็นเวลา 39 วันและคาดการณ์การใช้กำลังการผลิตของธุรกิจโพลิเมอร์จะอยู่ที่ 105%
    .
    #PTTGC #PTT #Misterban #กำไร #ลดลง

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nov 9 , 2020 ประธานสมาคมธนาคารไทยชี้ 1 – 2 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจไทยต้องอยู่ภายใต้ "พายุใหญ่แห่งยุค"ที่มีความรุนแรง-ไม่แน่นอน แนะต้องกล้าทำสิ่งใหม่-ปรับตัวให้ยืดหยุ่น
    .
    นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ยังมีความท้าทายจากเรื่องผลกระทบของโควิด-19 และการปรับตัวให้อยู่รอดในยุค Disruption เศรษฐกิจจึงอยู่ภายใต้ "พายุใหญ่แห่งยุค" หรือ Perfect Storm ที่มีความรุนแรงและความไม่แน่นอน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก แต่สำหรับไทยอาจจะเจอกับความท้าทายมากกว่าหลายๆ ประเทศ เพราะโครงสร้างทางเศรษฐกิจยังไม่เอื้ออำนวย เช่น การพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวในระดับสูง ปัญหาหนี้ครัวเรือน และการเข้าสู่สังคมสูงอายุ โดยพายุใหญ่แต่ละครั้งจะทิ้งมรดกแห่งการเปลี่ยนแปลงไว้ ซึ่งในครั้งนี้มองว่ามี 3 ประเด็นสำคัญ ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็น New Paradigm ที่เกิดขึ้น ได้แก่
    .
    ประเด็นแรก คือ การฟื้นตัวจะเป็นแบบ K-Shaped Recovery จะไม่ได้เป็นการกลับไปอยู่ที่จุดเดิม หรือ status quo โดย K-Shaped Recovery หมายถึง ทิศทางการฟื้นตัวที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างกลุ่มแรกที่สามารถกลับสู่จุดเดิมได้เร็ว และกลุ่มที่สองที่กลับมาได้ช้าหรือกลับมาไม่ได้ โดยในระยะสั้นเห็นได้ชัดว่าหลายกิจกรรมยังโดนจำกัดโดยมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด ทำให้ฟื้นตัวได้ยากและยังไม่รู้จุดสิ้นสุดของมาตรการ นอกจากนี้ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปเกิดเป็น New Normal ซึ่งธุรกิจที่เก็บเกี่ยวโอกาสได้ เช่น ธุรกิจแพลตฟอร์มจะเติบโตได้ดี ขณะที่มีธุรกิจอีกจำนวนมากที่ปรับตัวไม่ทัน
    .
    ประเด็นที่สอง คือ แนวคิดทางนโยบายที่เปลี่ยนไปจากเดิม ธนาคารกลางและ Think Tank อย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกมาบอกว่าสามารถใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยที่ความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อและปัญหาหนี้สาธารณะตามมามีค่อนข้างน้อย และไม่ต้องรีบถอนนโยบายเหมือนในอดีต สหรัฐฯ และยุโรป จึงมีแนวโน้มจะมีการใช้ทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลังที่เข้มข้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในเบื้องต้นแนวคิดใหม่นี้ อาจทำให้ตลาดการเงินคลายความกังวลในเรื่องหนี้สาธารณะ และลดโอกาสเกิดปัญหาหนี้ซ้อนปัญหาสาธารณสุขโดยไม่จำเป็น แต่ก็แลกมาด้วยการสั่งสมความเปราะบางในระยะยาวที่มากกว่าเดิม
    .
    ประเด็นที่สาม คือ การจัดใหม่ของระบบทุนนิยม โดยโลกเสี่ยงที่จะแบ่งขั้ว หรือ Deglobalize ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะยังดำเนินต่อไป ขณะที่ระบบทุนนิยมจะโดนเรียกร้องให้ปรับตัวในหลายมิติ เช่น การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อระบบนิเวศมากขึ้น รวมทั้งการให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมและความเป็นธรรมในเชิงสังคมและเศรษฐกิจ เพราะนี่เป็นจุดอ่อนที่สำคัญของระบบทุนนิยมเดิม โดยเฉพาะการที่ Digital Disruption มักทำให้เกิด Winner และ Loser ในลักษณะ Winner takes all และนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำและช่องว่างทางสังคมที่ขยายกว้างขึ้น
    .
    โลกข้างหน้าที่จะเกิดขึ้นยังไม่มีใครบอกได้ว่า New paradigm ทั้งสามจะนำไปสู่รูปแบบการทำธุรกิจอย่างไร มีสูตรสำเร็จหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ธุรกิจต้องเดินไปข้างหน้าอย่างยืดหยุ่น และต้องกล้าทำในสิ่งใหม่ๆ โดยยึดหลักที่ว่า การลองผิดลองถูกนั้นจะช่วยให้มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มโอกาสในการหา The right solution ภายใต้ต้นทุนของการผิดพลาดที่ต่ำ เปรียบได้กับการใช้ Speed boat เพื่อความคล่องตัว และก้าวข้ามข้อจำกัดต่างๆ ของการเปลี่ยนแปลง
    .
    #สมาคมธนาคารไทย #perfectstorm #พายุใหญ่แห่งยุค #เศรษฐกิจ #ไทย #Misterban

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nov 9,2020 ประชุมอาเซม รมว.คลัง เอเชีย - ยุโรป รับห่วงสถานการณ์โควิดระลอก 2 ทำเศรษฐกิจทรุด แนะนำเศรษฐกิจดิจิทัลมาปรับใช้ เพิ่มขีดความสามารถประเทศ
    .
    นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเชีย-ยุโรป (Asia-Europe Finance Ministers’ Meeting: ASEM FinMM) หรืออาเซมครั้งที่ 14 ในรูปแบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 6 พ.ย.2563 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ เป็นประธาน พร้อมด้วยผู้แทนระดับสูงจากประเทศสมาชิกอาเซม ทั้งจากยุโรป และเอเชีย รวม 43 ประเทศ รวมถึงผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ สหภาพยุโรป สำนักเลขาธิการอาเซียน ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ มูลนิธิเอเชีย-ยุโรป และสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 เข้าร่วมการประชุม
    .
    โดยหัวข้อหลักที่ใช้ในการหารือคือการสร้างความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งยั่งยืนทั่วถึงและสมดุลจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)

    1) การระบาดของCOVID-19นำมาซึ่งความท้าทายที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ต่อนานาประเทศทั่วโลก ทั้งยังได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการจ้างงาน รายได้ การประกอบธุรกิจ การลงทุน การค้า และวิถีการดำรงชีวิตประจำวันโดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเปราะบางรวมไปถึงผลกระทบต่อความก้าวหน้าในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยที่ประชุมได้แสดงความกังวลถึงผลกระทบที่เกิดจากการระบาดระลอก 2 ที่มีต่อประเทศสมาชิก
    .
    นอกจากนี้ได้มีการหารือเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจากโควิด-19 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 1 ล้านคน และได้มีข้อเสนอแนะในการให้ความสำคัญกับการนำระบบเศรษฐกิจดิจิทัลมาปรับใช้ และพัฒนาขีดความสามารถของแต่ละประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวเพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนในระยะยาว รวมทั้งการให้ความสำคัญกับความร่วมมือกันระหว่างประเทศเพื่อก้าวข้ามวิกฤตทางเศรษฐกิจจาก โควิด-19 โดยเฉพาะการช่วยเหลือกลุ่มประเทศพัฒนาน้อยที่สุด
    .
    2. การประชุม ASEM FinMM ในครั้งนี้ประเทศสมาชิกได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการรับมือและการใช้มาตรการต่างๆ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของ COVID-19 โดยในส่วนของประเทศไทย การออกมาตรการการเงินและการคลังเพื่อช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น อาทิ เงินช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการว่างงาน สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การขยายระยะเวลาชำระหนี้ของธนาคารพาณิชย์แก่บริษัทและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มาตรการเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวภายในประเทศ
    .
    ทั้งนี้ จากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการรับมือกับวิกฤตโควิด-19 ของประเทศสมาชิกแสดงให้เห็นว่า การบรรเทาผลกระทบจากCOVID-19 ทั้งต่อเศรษฐกิจและสังคม การควบคุมและป้องกันการระบาด การประคับประคองผู้ประกอบการและธุรกิจ และการคิดค้นและแสวงหาแนวทางการรับมือโควิด-19 ที่ยั่งยืนล้วนเป็นประเด็นที่ประเทศสมาชิกให้ความสำคัญ และเอเซมยังคงเชื่อมั่นในการสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งและความเข้าใจอันดีระหว่างกันของ 2 ภูมิภาค โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศสมาชิกล้วนประสบกับความยากลำบากและความท้าทายอันเกิดจากโควิด-19
    .
    #โควิด #Covid19 #Misterban #กระทรวงการคลัง

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nov 9 , 2020 ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เผยพบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ 3 ราย รวมยอดติดเชื้อสะสม 3,840 ราย ยอดเสียชีวิต 60 ราย
    .
    โดยขณะนี้มีผู้ป่วยในโรงพยาบาล 119 ราย รักษาหายแล้ว 3,661 ราย เสียชีวิต 60 ราย
    .
    โดยผู้ป่วยรายใหม่ 3 ราย อยู่ในพื้นที่ State Quarantine
    .
    ได้เดินทางมาจากเอธิโอเปีย 2 ราย และโอมาน 1 ราย
    .
    #ศบค #Covid19 #ไวรัส #Misterban

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nov 9 , 2020 ปตท.เชื่อเศรษฐกิจโลกปี 2564 จะกลับมาฟื้นตัว ขานรับ ‘โจ ไบเดน’ ขึ้นเป็น ปธน.สหรัฐฯ ทำสงครามการค้าผ่อนคลายลง
    .
    นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. เปิดเผยว่า คาดว่าแนวโน้มรายได้ปี 2564 จะมีทิศทางที่ดีขึ้นจากปีนี้ หลังประเมินราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวในกรอบ 40-50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในทิศทางที่สูงขึ้น แต่ไม่มากนักจากเฉลี่ย 41-42 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลในปีนี้ ขณะที่ปริมาณขายที่น่าจะเพิ่มขึ้น ตามทิศทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวหลังนายโจ ไบเดน คว้าชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และหากมีวัคซีนต้านโควิด-19 ออกมาใช้ก็จะทำให้สถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลายลง
    .
    ส่วนกรณีนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ มีท่าทีประนีประนอม จะทำให้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนผ่อนคลายลง รวมทั้งนโยบายสนับสนุนพลังงานทดแทนมากกว่าพลังงานจากฟอสซิล ก็น่าจะทำให้การผลิตน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิสจากสหรัฐออกมาน้อยลง ก็จะเป็นผลดีต่อทิศทางราคาที่จะปรับเข้าสู่สมดุล ตลอดจนนโยบายจัดเก็บภาษีจากผู้มีรายได้มากให้สูงขึ้น และหันไปเพิ่มค่าจ้างแรงงานระดับล่างก็จะกระตุ้นกลุ่มฐานรากให้มีกำลังซื้อมากขึ้นส่งผลดีต่อเศรษฐกิจให้เติบโต
    .
    อย่างไรก็ตามการกำหนดนโยบายด้านภาษีของนายไบเดน อาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงและมีผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นสามารถชดเชยกับเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นก็จะหนุนการส่งออกของไทยให้ดีขึ้นด้วย
    .
    ส่วนทิศทางราคาน้ำมันดิบในปีหน้าจะอยู่ที่ระดับ 40-50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งจะใช้เป็นสมมติฐานสำหรับการจัดทำงบประมาณและแผนงานของปตท.ด้วย โดยเตรียมนำแผนงานและงบลงทุน 5 ปี (ปี 64-68) เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการปตท.ในเดือนธ.ค.นี้
    .
    ด้านสถานการณ์ความต้องการใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลเริ่มกลับมาปกติหลังปริมาณการใช้ชะลอไปช่วงสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่น้ำมันอากาศยานยังฟื้นตัวกลับมาไม่ถึง 50% ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มปตท.บริหารจัดการในการผลิตน้ำมันของโรงกลั่นน้ำมันทั้ง 3 แห่งให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
    .
    #ปตท #พลังงาน #เศรษฐกิจโลก #โจไบเดน #Misterban

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nov 9 , 2020 สื่อจีนเชื่อ ‘โจ ไบเดน’ชนะเลือกตั้งสหรัฐฯ จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ - จีนกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง
    .
    หนังสือพิมพ์โกลบอล ไทมส์ ซึ่งเป็นสื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ตีพิมพ์บทบรรณาธิการแสดงความหวังในแง่ดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐ หลังจากที่นายโจ ไบเดน ประกาศออกมาประกาศชัยชนะในการเลือกตั้ง
    .
    โดยระบุว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จงใจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กลยุทธ์ในการกดดันผ่านทางนโยบายสหรัฐ-จีน
    .
    "หากความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งสองเริ่มที่จะผ่อนคลายและสามารถควบคุมได้ จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งประชาชนของพวกเราและประชาคมระหว่างประเทศ" บทบรรณาธิการระบุ
    .
    ขณะที่หนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาลจีนอีกสำนักหนึ่ง ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องความสัมพันธ์จีน-สหรัฐ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ว่า การจะปรับปรุงความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศให้ฟื้นคืนได้นั้น ควรเริ่มที่การค้าและการฟื้นฟูเจรจาการค้า ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้เกิดความเข้าใจ และความไว้วางใจซึ่งกันและกันกลับคืนมาได้อีกครั้ง
    .
    #สหรัฐ #จีน #สงครามการค้า #Misterban

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nov 9 , 2020 รมว.คลังสั่งเร่งรัดเบิกจ่ายงบปี 64 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมเตรียมเสนอครม.ตั้งคณะกรรมการเบิกงบลงทุนขนาดใหญ่ ชี้รัฐวิสาหกิจต้องเบิกจ่ายให้เต็ม 100%
    .
    นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้มอบนโยบายให้กรมบัญชีกลางเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 2564 ของหน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ และสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลต่างๆ ทั้งมาตรการจ่ายเงินผ่านบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบด้วยมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน มาตรการคนละครึ่ง และมาตรการช้อปดีมีคืน
    .
    โดยเรื่องของการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ คลังได้เสนอคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ตั้งคณะกรรมการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูง โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน เพื่อติดตามให้การเบิกจ่ายลงทุนมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง พร้อมไปกับการดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านอื่นๆ โดยเฉพาะการฟื้นภาคการท่องเที่ยวที่ยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
    .
    เพราะในส่วนของหน่วยงานราชการเบิกจ่ายงบประมาณได้ 95% ในส่วนของรัฐวิสาหกิจมีประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีกว่าควรเบิกจ่ายเงินงบประมาณได้ 100%
    .
    สำหรับงบประมาณ 2564 วงเงิน 3.28 ล้านล้านบาท ในเดือน ต.ค. 2564 ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณเบิกจ่ายได้แล้ว 3.55 แสนล้านบาท หรือ 10.81% ของงบประมาณ เป็นงบประมาณประจำ 2.63 ล้านล้านบาท เบิกจ่ายได้ 3.42 แสนล้านบาท หรือ 12.97% ของประมาณรายจ่ายประจำ และงบลงทุน 6.48 แสนล้านบาท เบิกจ่ายได้ 1.31 หมื่นล้านบาท หรือ 2.03% ของงบประมาณลงทุน
    .
    นอกจากนี้ยังได้มอบนโยบายให้กรมบัญชีกลางดูแลการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและคนพิการ ให้จ่ายให้รวดเร็วและไม่ให้มีการขาดตอน เพราะเป็นเงินที่สำคัญในการใช้จ่ายของคนแก่และคนพิการ
    .
    ขณะเดียวกันได้ให้กรมบัญชีกลางปรับปรุงเทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการต่างประเทศ เข้ามาประมูลโครงการจัดซื้่อจัดจ้างของไทย ได้คล่องตัวมากขึ้น พร้อมทั้งขยายขอบเขตผู้รับเหมาที่มีเทคโนโลยีสูง เข้ามาประมูลจัดซื้อจัดจ้างโครงการลงทุนของไทยได้มากขึ้น
    .
    #เบิกจ่าย #ปีงบ2564 #คลัง #เศรษฐกิจ #อาคม #Misterban

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นายพล เซอร์ นิค คาร์เตอร์ ให้สัมภาษณ์กับสกายนิวส์ สื่อมวลชนของอังกฤษ ว่า หายนะทางเศรษฐกิจที่โหมกระพือขึ้นจากโรคระบาดใหญ่ ได้จุดชนวนความขัดแย้งต่างๆ ในระดับภูมิภาค ซึ่งมีความใกล้เคียงกันอย่างมากกับความขัดแย้งต่างๆ ที่เคยนำไปสู่สงครามโลก 2 ครั้งก่อนหน้านี้

    อ่านต่อ >>https://sondhitalk.com/2020/11/09/10970
    .............................................
    ติดตามคลิป VDO เพิ่มเติมได้ที่
    YoutubeSondhitalk: https://www.youtube.com/c/Sondhitalk
    Website: https://www.sondhitalk.com
    Podcast Sondhitalk: https://sondhitalk.podbean.com/

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รัฐบาลซาอุดีอาระเบียประกาศแสดงความยินดีกับชัยชนะของ โจ ไบเดน ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไบเดน หยิบยื่นความพ่ายแพ้ให้แก่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีความสนิทชิดเชื้อเป็นการส่วนตัวกับมกุฎราชกุมาร โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน

    อ่านต่อ >>https://sondhitalk.com/2020/11/09/10973
    .............................................
    ติดตามคลิป VDO เพิ่มเติมได้ที่
    YoutubeSondhitalk: https://www.youtube.com/c/Sondhitalk
    Website: https://www.sondhitalk.com
    Podcast Sondhitalk: https://sondhitalk.podbean.com/

     

แชร์หน้านี้

Loading...