สารพันปัญหา ตอบโดยคุณ nopphakan

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย รูปติดบัตร, 26 พฤศจิกายน 2016.

  1. sittipong01

    sittipong01 ว่างเปล่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2020
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +13
    ขอบคุณครับผม รบกวนถามอีกอย่างกสิณไฟถ้ามีนิมิตรเป็นสีขาวกลมสว่างกว่านิมิตรไฟขึ้นมาแทนคืออะไรครับ ไม่ต้องจับมาเป็นอารมณ์ใช่ไหมครับ ถ้าผมขาดตกบกพร่องตรงไหนช่วยแนะนำผมด้วยนะครับ อ.นพ แล้วผมพอจะมีของเก่าบ้างไหมครับ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ใช่ห้ามสนใจนิมิตอื่นที่ไม่ใช่ ไฟเลย
    ปล จิตเราในอดีตกสิณไฟมันจะเด่นสุด
    และ อากาศกับลม เด่นรอง
    ตามมา ซึ่ง นิมิตที่เกี่ยว กับ อากาศและลม
    ตรงนี้ มันก็จะขึ้นมาเป็นตัวขวางให้เราไปได้ช้าได้
    เป็นเรื่องปกตินั่นเอง พอเข้าใจเนาะ
     
  3. lordsir

    lordsir Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +76
    กราบคารวะ อาจารย์นพ
    เรียนถาม

    เมื่อวางจิตสบายๆเพ่งมองไปในพื้นขาว จะเห็นเป็นกังหันหมุน และ เป็นกงจักรใสขอบทอง หมุนไปมา ขยับเคลื่อน เหมือนล้อหมุน ทั้งแนวตั้งและแนวนอนนี่เป็นกสิณ กองใดและพัฒนาอย่างไรต่อครับ

    ขอบคุณครับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    เป็นนิมิต กสิณในอดีต มาจากการรวมกสิณ
    กลางได้ ๕ กองมาก่อนในอดีต เนื่องเมตตาบวกกับความกลัวตายผ่าน ่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่ เลยเกิดขึ้นมีมา
    ใช้ในการตัดสายใยวิญญาณ กรณีคนถูกดวงจิตอื่นๆมาแทรก ใช้รักษาโรคฯลฯ
    ถ้าจะใช้ได้ในปัจจุบัน

    ทั่วไปพัฒนานาเมตตาจากภายในไปภายนอก
    คือเมตตาไม่เลือก ไม่ว่าคน สัตว์ ภพภูมิ
    ให้ความเคารพทุกภพภูมิ กรวดน้ำอุทิศส่วน
    เยอะๆ ทำบุญบ่อยๆ


    ทางเทคนิค ในท่านอน ให้เรียก กสิณ ให้ลอยขึ้นมาเหนือหน้าอก ให้ได้ น้ำ ดิน ไฟ ลม อากาศ
    หรือกองเดียวก็ได้ก่อน


    ปล แรกๆมันจะขาวๆ ยังไม่หมุน

    พอเริ่มหมุน จะเริ่มเห็นเอง

    พอเมตตาและความกลัวตายผ่าน
    การทดสอบ จะเห็นและรู้เอง
    แบบนิมิต และจะรู้ว่าทำอะไรได้บ้าง

    ปล อีกหน่อยก็เคร
     
  5. sittipong01

    sittipong01 ว่างเปล่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2020
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +13
    ขอบคุณมากครับผมอาจารย์นพ ที่ให้คำแนะนำ ถ้ามีอะไรติดขัดตรงไหนต้องขอความกรุณาอีกเด้อ คงไม่ว่ากันเด้อครับ หากมีวาสนาคงได้เจอกันสักครั้งนะขอรับ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ สาตุ
     
  6. lordsir

    lordsir Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +76
    ขอบพระคุณ อาจารย์นพ ที่เมตตาชี้แนะครับ
     
  7. [tai]

    [tai] สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +7
    อยากสอบถามคะ
    ไม่ทราบว่าตัวเรานี้มีของเก่าติดมาไหมคะ?
    ถ้ามีเป็นแบบไหนอย่างไรคะ?
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    มีทางด้านตาพิเศษกับแนวอฐิษฐานจิตให้เกิดผล
     
  9. [tai]

    [tai] สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอบคุณมาก ๆ คะ
    ถ้าเราต้องการให้ของเก่ากลับมา ต้องทำอย่างไรคะ?

    ขอรบกวนถามอีกเรื่องคะ
    การสื่อผ่านด้วยวาจาเรา (มีบางอย่างอยากบอกบางสิ่งให้อีกคนรู้โดยผ่านตัวเรา ไม่ใช่การสวมร่าง)
    เราจะยุติ และหยุดการสื่อผ่านได้ไหมคะ
    และการปฎิบัติแบบไหนจึงทำให้ยุติได้คะ
    (ประตูอาจจะเปิดอยู่ เราต้องการปิดประตูนั้นนะคะ)
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ปรับพื้นฐาน

    คำว่าของเก่า ในที่นี้ เป็นนามธรรม

    หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่จิต ณ ปัจจุบัน

    มันได้เคยผ่าน รับรู้ไม่ว่ทางใด
    สะสมหรือ กระทำมาก่อน

    ในอดีตที่ผ่านมา
    เก็บสะสมไว้ในรูปแบบนามธรรมนั้นเอง



    ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า แรงที่เป็นอนุภาคขององค์ประกอบสะสาร ที่เป็นหนึ่งในส่วนประกอบอะตอม เป็นแรงประเภท

    ที่เรียกว่าปัวซอง มีคุณลักษณะ
    ที่เป็นสื่อนำแรงปกติมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
    แต่ตรวจจับได้ด้วยเครื่อง ตรวจจับอนุภาค
    เหมือนแรงดึงดูด แรงโน้มถ่วง อากาศ
    มีเอกลักษณ์คือ สามารถ เพิ่มลด ดึงดูดซึ่งกันและกัน และสร้างอัตลักษณ์เฉพาะได้

    เรียกๆง่ายๆ แบบไม่ต้องคิด คือของเก่า
    เรียกง่ายกว่านั้นอีกคือสัญญาที่อยู่ในจิต



    ทั่วๆไปของเก่ามันกลับมาได้อยู่แล้วปกติ

    ไม่ว่าเราจะปฏิบัติหรือไม่ปฎิบัติก็ตาม

    เพียงแต่บางครั้ง มันก็ข้ามไปเลยก็มี
    เหมือนๆที่เรามักเห็นภาพ เกจิ ครูบาร์อาจารย์
    หรือบุคคลอื่นๆ สถานที่อื่นๆ ในนิมิต ในฝัน
    หรือแม้กระทั่งตาเปล่านั่นเอง

    ถามว่ามันขึ้นมาเองได้อย่างไร
    ย้อนไปเรื่องแรง พวกปัวซอง ในแรงประเภทหนึ่งที่เราเรียกว่า แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน
    มันแปลกตรงที่มันสามารถเปลี่ยนแปลงอนุภาคได้(ฝรั่งใช้คำนี้) พูดง่ายๆคือ เปลี่ยนจากอีกตัวไปเป็นอีกตัวได้ ในขณะที่อีกตัวมันหายไปได้ถ้ามันหลุดออกจากแรงตัวหนึ่ง(นิวเคลียส)
    ถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลงประจุจากขั้วบวดไปเป็นลบเกิดขึ้น
    ทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันพบว่ามันหายไป
    (เครื่องมือปัจจุบันพบเท่านี้ จริงไม่หาย
    แต่สภาวะนี้มันเร็วกว่าแสง ในอนาคต
    อาจจจะมีเครื่องมือที่ตรวจจับได้)

    แต่ทางปฏิบัติ มันคือสภาวะว่าง หรือกิริยาที่จิตว่าง หรือกิริยาที่จิตคลายตัวเองได้
    นั่นแระ คือ การเริ่มต้นของคำว่าของเก่า
    คือ กริยาของสภาวันนี้ เมื่อเกิดการเปลี่ยน
    ประจุนั้น มันจะมีอนุภาคบางตัวที่หลุดออกมาจากนิวเคลียส ขึ้นมา (ที่ฝรั่งเข้าว่าหาย)
    กลายมาเป็นของเก่า ในรูปแบบต่างๆ
    ที่ทำให้จิตเห็นแบบต่างๆ หรือทำให้จิตมีความสามารถทำได้แบบต่างๆ

    สภาวะนี้เองคือ ปฐมบทของคำว่า "ของเก่า"

    ถ้าสังเกตุ สภาวะนี้ ปกติ มันไม่ได้เกิดนาน
    อาจจะเกิดได้แบบตั้งใจ ด้วยการฝึกกรรมฐานต่างๆเป็นตัวนำ และไม่ได้ตั้งใจ
    เกิดจากความบังเอิญต่างๆแบบชั่วคราว
    ของเพียงแต่ ณ เวลานั้น เกิดกิริยาจิตว่าง
    หรือจิตคลายตัวได้ชั่วคราวมาสนับสนุนพอ

    ดังนั้นทุกสิ่งที่จิตเห็นได้ ล้วนแล้วแต่
    เคยเก็บมาไว้แล้วในตัวจิตทั้งสิ้น
    เพียงแต่ความเข้าใจในสิ่งที่เห็นจะมาจาก
    กำลังสติทางธรรมที่ได้จากการเจริญสติในชีวิตประจำวัน และการเจ้าใจและปล่อยวาง
    มาจากการเดินปัญญาทางธรรมมาก่อน
    หรือวิปัสสนานั่นเอง เอาง่ายๆว่ามันยังเป็นนามธรรม ยึดไม่ได้นั่นเอง รับรู้แล้วควรวาง

    อะไรคือวาง กิริยาที่นำไปสู่การวาง คือ
    ถ้ามันจะรับรู้อะไร ก็ปล่อยมันรับรู้ไป
    รู้แล้วๆก็แล้วไป ไม่อะไรๆกับมัน

    ถ้ามันไม่รู้ ก็ช่างมัน ไปต้องไปอยากรู้ ไปอยากอะไร ให้แล้วๆไปอีก

    ถึงจะรู้และไม่รู้ก็ช่างมัน แล้วก็แล้วๆไปให้เป็น

    ถอยออกจากตัวเพ่งรู้ ตัวไปรู้ให้เป็น
    ไม่ว่าจะเป็นคน ภพภูมิ หรือสรรพสัตว์
    หรือไม่ว่าอะไร
    จิตจะได้ไม่ต้องคา ไม่วกวน ซึ่ง
    การวกวน ต้องตา มันจะดลให้จิต
    ประพฤติหรือกระทำเป็น ไปตาม
    จริต อนุสัย หรือวิบากอย่างใดอย่างหนึ่งได้
    อย่างที่เราคาดไม่ถึง

    ถอยออกจากการเพ่งรู้ ไปรู้ รับรู้เป็นแล้ว
    จิตมันถึงจะค่อยๆ คลายตัวเอง ได้เรื่อยไป
    คลายได้บ่อยๆ จิตก็จะค่อยๆกลับ สู่เนื้อ
    หาเดิมแท้ได้ของมันเอง ของเก่ามันก็จะค่อยๆขึ้นมาได้ของมันเองตามวาระนั่นแล

    ปล จิตที่ไม่ชื่นชมในกามคุณ ไม่ยินดีในกามอารมณ์ ไม่ว่ารูปธรรมก็ดี ไม่ว่านามธรรมก็ดี
    ย่อมมีคุณวิเศษในตนเองเป็นปกติ
    เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ยุคพุทธกาลแล้ว
    สำหรับดวงจิตที่มีคุณวิเศษ
    กับ อีกพวกที่บรรลุด้วยการฟังมาก่อน
    แล้วพิจารณา จนบรรลุธรรมได้
    จะกลับมาพร้อมกับความสามารถ
    ใช้งานทางจิตได้ในชีวิตประจำแบบปกติ
    ส่วนมากมักเป็นห่มเหลือง ปัจจุบันมีแต่ดวงจิตที่เข้าใจว่าตนบรรลุ แต่ความสามารถใช้งานทางจิตแบบทั่วไปไม่มี เรียกว่าหลง

    และกลุ่มที่เกิดมาพร้อมกับความสามารถ
    ทางจิตใช้งานได้เลย เราเรียกว่า พวกญาณวิถี เป็นทางมหายาน ร้อยละ ๙๐ คนจะมองแปลกไป ถ้าญานวิถี เปิดก่อนจิตคลายตัวได้ หรือแยกรูปแยกนามได้ก่อนนั่นเอง เพราะหายตัวในญาณวิถีไม่เป็น
    (เช่น เดินไปแยกไม่ออกว่าใครผีใครคน)
    หรือรู้อะไร ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ตนรู้ไปหมด
    คล้ายคนดูละครแล้วอินเหมือนตนเองเป็นตัวละครนั้นๆ
    พวกนี้ไม่ต้องฝึกอะไร หลายคนจะผ่านโรงพยาบาลโรคจิต แต่ทั่วไปจะหาย
    หลังมาฝึกสมาธิฝึกเจริญสติ

    ปล ไม่มีไรหรอก ทั่วไปประมานที่เล่า
    **ความสามารถทางหูกับตามักมาคู่กันเสมอ
    เป็นเรื่องปกติขอองวิถีจิตที่มาทางด้านการอฐิษฐานจิต**

    สำคัญ อยู่ให้เป็น พอ เครเนาะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2020
  11. lordsir

    lordsir Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +76
    กราบคารวะ อาจารย์นพ
    อยากให้อาจารย์นพ มาเล่านิทานเกี่ยวกับปฐวีธาตุ ครับ
    ปล.ภาพนี้ ได้รับจากท่านผู้อุปการะคุณ ที่ห้องศิษย์ในดง ว่ากันว่า มีพญานาครักษาอยู่1องค์ ตอนได้รับมาก็ฝันเห็นถึงพญานาคองค์ใหญ่มาก อาจารย์มีความเห็นว่าเช่นไรครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. [tai]

    [tai] สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอบคุณคะ
    สรุปสุดท้าย "สำคัญ อยู่ให้เป็น พอ"
    นั้นคือปัญหา ปัญญาเรามีน้อยนิด จึงไม่กระจ่าง ยังคงค้างคา
    การอยู่ให้เป็น คือแบบไหน
    คือการรู้แล้ววาง รู้ก็คือรู้ ไม่อะไรกับมัน
    เมื่อไม่รู้ก็ไม่ต้องอยากรู้มันปล่อย ๆ ไป เช่นนั้นหรือ

    และคำถามอีกเรื่อง การปิดประตูที่เปิด นั้นต้องทำอย่างไร
    การอยู่แบบ การรู้แล้วปล่อยวาง ไม่รับรู้ นั้น
    เมื่อมีสิ่งที่ต้องการสื่อเข้ามา แล้วเรารู้แค่รู้ ไม่อะไรกับมันนั้น ทำให้มีการต่อต้านกันภายในกาย ทรมาน ร่างกายจะแตก ระเบิด ความรู้สึกถูกบีบอัดจากข้างใน คือคนมองเราบ้า
    และไม่รู้อย่าไปอยากรู้ เราไม่เคยอย่ารู้อะไรสักอย่างในเรื่องสายนี้ ที่ถามถึงของเก่า เพราะดูจากการตั้งคำถามของคนที่เข้ามาถามในบอร์ดนี้ เพื่อเป็นคำถามเปิดทางนำเข้าสู่ปัญหาที่แท้จริงที่อยากรู้เพียงเรื่องเดียว คือการปิดอะไรก็แล้วแต่ที่เราเปรียบเหมือนประตูที่เปิดรับสื่อที่มองไม่เห็น

    เราต้องปฎิบัติเช่นไร เพื่อปิดประตู หรือไม่สามารถปิดได้
    ขอความกรุณา ให้ความกระจ่างกับผู้ด้อยปัญญาในการมองหาคำตอบในข้อความที่ท่านส่งมา
    ขอความกรุณาด้วยคะ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ปกติวัถตุถ้ามีอะไรดีๆ มักจะไม่เงียบ
    ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสัมผัสได้แบบไหน
    เช่น ฝันว่ามาก่อน มาก่อนค่อยฝัน มาก่อนค่อยเห็นตาเปล่า ทำสมาธิแล้วมาให้เห็นตาเปล่าฯลฯ
    ถ้าปฐวี ธาตุได้พยานาคสีแดงติดมาก็ดี


    ในส่วนของกสิณนะ ธาตุดินเป็นธาตุุ
    ที่มีมวลพลังงานหนาแน่นที่สุดแล้ว
    และก็ฝึกยากสุดในทุกกอง

    เชื่อกันว่า ให้คุณมากที่สุด และก็สร้างให้เกิด
    ก็ยากด้วย เพราะใช้กำลังสมาธิความชำนาญ
    มากกว่าปกติทั่วไปหน่อย


    พวกแนวๆสร้างธาตุ ต้องยกให้ภูมิพญานาค
    เพราะผู้เป็นเลิศทางวิชาเดินธาตุโบราณ
    ก็เป็นพนานาคนะ

    กลุ่มนี้ เค้าใช้ฟองอากาศ ที่ผุดขึ้นในน้ำ มาทำ
    เป็นคล้ายลูกแก้วได้ด้วยนะ หน้าตาจะเหมือน
    ที่เค้าทุบออกจากหินมา เค้าเอาไว้ใส่พาน
    ถวายพระพุทธฯ เหมือนเราเอาดอกไม้ถวายพระนั่นแระ


    ลป. ชื่อย่อ ค.พ นะ ไปไหนที่ พญานาคตามเป็นหมื่นเป็นแสน พวกนั้นเรียกว่าท่านปู่นะ

    ถือว่าฟังเป็นนิทานแล้วกัน
     
  14. maxmi

    maxmi แม็กคับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2017
    โพสต์:
    479
    ค่าพลัง:
    +1,205
    สวัสดีครับ รบกวนถามว่าเลี้ยงสัตว์ไว้ขายบาปมั้ยครับ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    หาเลี้ยงชีพ ไม่ได้เลี้ยงแล้วฆ่า
    ไม่บาปหรอกอย่าคิดมาก
    ถึงแม้จะฆ่าเพื่อการดำรงชีพ(เลี้ยงชีพตนจริงๆ)
    มันก็มีวิถีแห่งวิบากมารองรับ
    ที่ไม่ส่งผลอยู่
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    คงยังไม่เข้าใจจริงๆ แต่ไม่ใช่ประเด็นหลัก เอาใหม่นะ
    0. เข้าใจคำว่า อยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างแยบยลไหม
    ถ้าเรามีพฤติกรรมอะไร ที่สังคมเห็นเราแปลกๆ
    แสดงว่าเรายังไม่แยบยล โลกนี้
    ไม่ได้ต้องการคนที่อยากจะพูดอะไรในสิ่งที่ตนเองอยางพูด
    แต่ต้องการคนที่พูดในสิ่งที่เค้าต้องการฟัง
    พยายาม อย่าเป็น I(ไอ) เวลาจะทำอะไรให้นึกถึง You

    ดวงจิตที่จะมีความสามารถ มีคุณวิเศษ
    ล้วนแล้วแต่เป็นดวงจิต ที่อยู่ร่วมกับโลกได้อย่างแยบยล
    แม้อยู่บ้านหลังเดียวกัน บางทีก็ยังไม่รู้เลยก็มี
    พอเข้าใจไหม

    ๑.อย่าพึ่งสรุป และไม่ควรสรุป เพราะเป็นแค่การเริ่มต้น
    ๒.ไม่เกี่ยวกับเรื่องปัญญา ที่แนะนำเป็นทางปฏิบัติ
    ไม่ใช่ปัญญาในการลด ละ กิเลส หรือ เรื่องความฉลาดอะไร
    ๓.รู้แล้ววาง ถ้ารู้ก็คือแค่รู้ แต่อย่าไปยึดในสิ่งที่รู้
    และ ไม่อะไรๆ คือ ไม่อะไร อะไร กับ มัน
    ไม่ใช่ไม่อะไรกับมันเฉยๆ และคำว่า ถอยออกจากตัวเพ่งรู้ให้เป็น
    ไปไหน
    (ตย. มองเก้าอี้ เรียกถูกว่าเป็นเก้าอี้ คือ จากสัญญา
    แต่ถ้า มองว่า สวยไม่สวยคือปรุง ออกจากตัวเพ่งรู้ คือ รู้ว่า
    เป็นเก้าอี้ ก็เฉยๆ เหมือนเราเดินเข้าบ้าน เฟอร์นิเจอร์
    วางอยู่ปกติ แต่เราไม่ได้สนใจ และเฟอร์นิเจอร์ มันก็ไม่ได้หายไปไหน)

    ๔.เมื่อไม่รู้ก็อย่าพยายามที่จะรู้ ควร ปล่อยๆมันไป
    ไม่งั้น จะกลายเป็นความพยายามที่จะไปรู้ ยิ่งอยากรู้
    จะกลายเป็นพยายามซ้อนพยายาม เรียกว่า โมหะ ซ้อน โมหะ
    มันเป็นเรื่อง เบสิค สำหรับจิตที่จะพัฒนาทางความสามารถควรมีเป็นต้นทุน
    อย่าไปคิดแบบ ตรรกะทางโลก ที่ต้องศึกษาค้นคว้าหาความรู้
    มันคนละวิถีกันเลย จำไว้



    ได้ลองเฉยๆ ไม่อะไรกับอะไร ทำมากี่ครั้ง กี่วันแล้ว... อย่าบ่น
    เพราะเราไม่ทิ้ง ไม่สนใจจริงๆ ก็เป็นแบบนี้แระ
    กำลังสติ และสมาธิสะสมช่วยได้
    แต่ต้องให้เวลาตรงนี้ด้วย


    ใช่ตรงที่ไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นนิสัยของจิตที่ติดมา
    ปิดนะปิดได้ แต่ไม่ใช่แบบที่เราเข้าใจ ลอง

    ค่อยๆอ่านนะ จะอธิบาย ในอีกมุมให้ฟัง
    มองดูท้องฟ้านะ เห็นก้อนเมฆ มันขยับเปลี่ยน
    รูปร่างไปเรื่อยๆไหม แต่ฟ้าก็ไม่เคยขยับไปไหน
    เปรียบได้กับความคิด สัมผัสต่างๆ มันก็มีเกิดขึ้นมาได้
    หากเราเฉยๆ ตัวเราก็จะเหมือนท้องฟ้านั่นแระ
    ไม่ว่าจะมีเมฆ รูปร่างหน้าตาอย่างไร
    ความคิด สัมผัสอะไรแบบไหนก็ตาม
    ่ตัวเราก็นิ่งเหมือนท้องฟ้าได้นั่นแระ
    นี่ที่เค้าเรียก เฉยๆ ไม่อะไรอะไรๆมัน

    เช่น เห็นผีตาเปล่า แล้วเราก็ อือ แล้วไง และไม่สนใจ หลับตานอนต่อ
    หรือ ได้ยินเสียง ก็ อือ แล้วไง ไม่สนใจ นอนต่อ นี่คือ เฉยๆ

    ส่วนการปิดนะ มันไม่ใช่ว่า จะไปทำโน้นนี่นั้น
    แล้วมันจะปิดได้ พวกนั้นเป็นแค่ปลายเหตุ
    เหมือนรถกำลังวิ่ง แล้วเราจะไปดับเครื่องมันเลยไม่ได้
    มันจะทำให้เครื่องพัง รถพังได้
    เราจะไม่ทำกัน แต่เราจะใช้วิธีไม่สตาร์ทเครื่องยนต์แทน
    คือ ไม่ให้มันวิ่งเลย


    เปรียบเหมือนลูกตาเรา
    ยังไงมันก็มองเห็น หูยังไงก็ได้ยิน เพราะเป็นธรรมชาติของมัน
    เพียงแต่ เราไม่ดึงสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยินเข้ามาปรุง
    เหมือนดูละคนเฉยๆ ไม่ได้เข้าไปเป็นผู้เล่น
    เราจึงไม่ได้ไปอินอะไรกับบทอะไรของตัวละคร


    จิตบางดวง เกิดมาพร้อมกับเรา
    แต่ตัวจิตกลับมีความสามารถสื่อสาร ได้ยิน
    นามธรรม
    พูดคุยได้ นั่นไม่ใช่เป็นตัวเรา
    แต่เป็นธรรมชาติและนิสัยของจิต
    ดวงนั้นที่อยู่ในกายเรา
    อย่าไปดึงเข้ามาให้เป็นตัวเรา
    มันจะสร้างผลกระทบกับร่างกายและจิตใจเราได้
    ควรเข้าใจตรงนี้ไว้ก่อน

    และ

    เราควรจะต้องเข้าใจก่อนว่าจิต
    มันทำงานอย่างไร มันถึงมีความสามารถ
    แบบนั้นเกิดขึ้นมาได้
    จิตจะทำงานได้ มีองค์ประกอบดังนี้
    (ให้นึกว่า จิตเป็นก้อนกลมๆและ
    ตัววิญญาณการรับรู้เป็น เส้นๆที่ส่งออกมาจาก
    ก้อนกลมๆนี้ เป็นนามธรรมนะ ให้ตัดร่างกายทิ้งไปเลย)


    ๑ ตัวจิต ส่งตัววิญญาณการรับรู้
    ออกจากตัวจิตส่งไปกระทบภายนอก
    ไม่ว่ารูปธรรมหรือนามธรรมใดๆก็ได้
    ถ้าสิ่งที่ตัววิญญาณไปกระทบนั้น
    มีในสัญญาความจำได้ในจิต
    เราจะเรียกได้ว่าเป็นอะไร
    ถ้าไม่มีสัญญาในจิต
    เราจะเรียกไม่ถูกและไม่รู้ว่าคืออะไร
    แม้เห็นได้หรือได้ยินก็ตาม


    ๒ ภายนอกที่เป็นนามธรรมส่งตัววิญญาณ
    เข้ามากระทบกับตัวจิตเรา (ถ้าภายนอกเป็นรูปธรรมมากระทบจะกระทบกายเราที่เป็นรูปธรรมก่อนอันนี้เข้าใจง่าย)
    แต่ถ้าจิตไม่มีสัญญาอะไร เราจะไม่รู้สึกอะไรเลย
    เช่น คนไม่มีสัญญาเรื่องการเห็นผี แต่ให้ผียืนอยู่ข้างหน้าเป็นร้อย
    ก็มองไม่เห็น พอนึกออกนะ

    ถ้าจิตมีสัญญา แต่ตัววิญญาณไม่เข้าใจหรือคลื่นของตัววิญญาณที่เข้ามาไม่ตรงกับคลื่นตัววิญญาณของจิต ณ เวลานั้น เราจะรู้สึกเหมือนมีพลังงานบางอย่าง รู้สึกตรงร่างกายบริเวนโน้นนี่นั้น


    และ ๓ จิตส่งตัววิญญาณการรับรู้ออกไป และ ภายนอกที่เป็นนามธรรมส่งวิญญาณการรับรู้เข้ามาเช่นกัน เกิดคลื่นตรงกัน มีสัญญาณและสัญญาตรงกัน เราจะเห็นเป็นภาพ และสื่อสาร เข้าใจได้
    แต่ถ้าคลื่นตรงกันได้ มีสัญญาตรงกันบางส่วน
    เราจะได้ยิน เห็นภาพได้ แต่ไม่เข้าใจทั้งหมด



    ดังนั้น การไม่อะไรๆ หรือ ไม่อะไรอะไรกับมันเลยคือ
    ให้เฉยๆ ไม่สนใจเลย การระลึก นึกขึ้นได้ หงุดหงิด รำคาญ
    ไม่อยากมี อยากปิด อยากเอาออก พวกนี้คือ การปรุง
    หมายความว่า จิตส่งตัววิญญานการรับรู้ไปรวมกับกระแส
    ภายนอกที่ส่งเข้ามาแล้ว.......

    ดังนั้นให้เฉยๆ ช่างมัน...... ถามว่า มีทริคอะไรไหม

    (จริงๆส่วนตัว ลืมแนะนำตรงนี้ไปเอง..)

    ทุกครั้ง ที่ระลึกขึ้นได้ นึกขึ้นได้ คิดขึ้นได้ สัมผัสได้ เมื่อไหรก็ตาม
    ให้กำหนด ผลักออกจากกลางลิ้นปี่ (ให้นึกว่า ร่างกายเป็น คล้ายท่อปะปา
    กลมๆ ตรงต่ำแหน่งลิ้นปี่ บริเวณต่ำกว่า หน้าอกนั้น ให้กำหนดเข้าไปข้างใน
    ตรงต่ำแหน่งศูนย์กลางภายในร่างกาย หรือ ศูนย์กลางท่อปะปานี้)
    ด้วยการผลักออกไป แบบไม่ต้องสนใจทิศทางอะไร ก็จะเริ่มรู้สึกนิ่งๆได้เอง จากนั้น ให้กำหนด อุทิศบุญที่เคยทำมา ทั้งหมด กำหนดการส่งบุญ
    ออกจากต่ำแหน่งเดียวกันนี้ออกไป มันถึงจะรู้สึกใจเบา กายเบาได้เอง

    ในช่วงสองสัปดาห์แรก จะระลึก นึกคิด สัมผัส ได้บ่อยหน่อยเรื่องปกติ
    ให้ทำๆไป อย่างน้อยสองเดือน เดียวจะเป็นปกติ และเราจะเริ่มทิ้งเป็น เฉยๆเป็นวางเป็นได้ อัตโนมัติเอง

    ต้องทำแบบที่ว่า นี้ก่อนไปซักพักนะ
    ปล. อย่าลืมว่า ให้ทำทุกครั้ง ที่ระลึก นึกขึ้น สัมผัสได้ เครเนาะ


    มีตัวอย่างประโยคคำพูด มาให้พิจารณา

    '' เรียนอย่างไรก็ไม่ได้เกรด A''
    '' ทำอย่างไร จะเรียนได้ เกรด A ''

    เห็นความแตกต่างของทั้งสองประโยคไหม
    ความแตกต่างทางด้านพฤติกรรมทางกาย
    และทางความคิดในอนาคตที่จะกระทำ

    และ

    ''ด้อยปัญญา''
    ''กับยังไม่เข้าใจ''

    เห็นความแตกต่าง ทางด้านพฤติกรรมทางจิตไหม

    จำไว้ จิตที่จะมีความสามารถพิเศษ
    ไม่ว่า จะจากตัวจิตเอง หรือ จากบุคคลได้กระทำให้เกิดมี
    ต้อง ระวัง คำพูดในเชิงลบ ไว้ทุกๆกรณี
    คำต่อไปนี้ในวงเล็บคือคำที่ ห้ามพูดเลย คือ
    คำว่า
    '' เบื่อ เซง กลุ้ม '' จำเอาไว้ให้ดีๆ.....

    เคร เนาะ
     
  17. [tai]

    [tai] สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอบคุณสำหรับทริคที่ให้คะ

    จิตบางดวง เกิดมาพร้อมกับเรา
    แต่ตัวจิตกลับมีความสามารถสื่อสาร ได้ยิน
    นามธรรม
    พูดคุยได้ นั่นไม่ใช่เป็นตัวเรา
    แต่เป็นธรรมชาติและนิสัยของจิต
    ดวงนั้นที่อยู่ในกายเรา
    อย่าไปดึงเข้ามาให้เป็นตัวเรา
    มันจะสร้างผลกระทบกับร่างกายและจิตใจเราได้
    ควรเข้าใจตรงนี้ไว้ก่อน


    ไม่เข้าใจตรงนี้
    จิตที่อยู่ในกายนั้นไม่ใช่เราหรือ?
    ในเมื่อกายไม่มีจริงเพียงสมมุติ จิตนั้นยังคงอยู่
    กายเป็นการรวมตัวของธาตุ เมื่อหมดวาระกรรม ไม่ว่าจะถึงเวลาหรือเร่งให้ถึงเวลา จิตออกจากกาย กายก็สลายไป
    จิตยังคงอยู่และจุติทันทีไม่ว่าจะจุติในสภาวะใดก็ตาม
    (เป็นความเข้าใจตลอดมา ตัวเรานั้นไม่มี กายเรานั้นไม่มี จิตนั้นเกิดดับตลอดกาล จนกว่าจะนิพพานคือความว่าง ความไม่มีอะไร ธรรมชาติ เป็นความเข้าใจที่ไปยังไม่ถึง)
    ***ช่วยให้ความกระจ่างตรงนี้ หน่อยนะคะ ยังเกิดความไม่เข้าใจและขัดแย้งในใจ ขอบคุณคะ****
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2020
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    เหมือนมาปรับพื้นฐานใหม่เลยนะ..
    ความเข้าใจทางด้านนามธรรม ให้จำไว้ว่า
    อย่า พี่งรีบ ไปคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ตีความ เอาเองเป็นอันขาด
    จะทำให้เราไม่เข้าใจ มันไม่ใช่ การอ่านหนังสือเพื่อไปสอบเอาเกรด
    มันคนละแบบกัน จำไว้
    เพราะเราจะเข้าใจแค่ที่เราปฏิบัติถึงเท่านั้น
    เรื่องแบบนี้ จะไปสรุป จากการคิด วิเคราะห์ แยกแยะตีความ
    เอาไม่ได้เลย ไม่ว่าจะรับรู้มาทางใดก็ตาม ให้วางใจเป็นกลางๆไว้ก่อน


    จิตที่อยู่ในกายมันก็ไม่ใช่เรานะซิ ถ้าใช่ทำไมเราบังคับมันไม่ได้
    ลองสั่งให้มันนิ่งไม่ต้องคิดซิ ลองสั่งให้มันไม่ต้องปรุงแต่งซิ
    ลองสั่งให้มันตัดสัมผัสต่างๆซิ ลองสั่งให้มันไปส่งออกไปนอกกายซิ
    ลองสั่งให้มัน
    ดึงความสามารถเก่าเราออกมาซิ
    ลองสั่งให้มันไม่คิดถึงอดีตที่ผ่านมาแล้วซิ
    ลองสังให้มันไม่คิดถึงอนาคตซิ

    ลองสั่งให้มันไปรัปประทานอุจาระซิ
    ลองสังให้มันกระโดนหน้าผาซิ ลองสังให้มันกินเลือดสดๆซิ
    ลองสั่งให้กินเนื้อสดๆซิ ลองสั่งให้มันเห็นภาพนี้ตลอดไปซิ ฯลฯ ทำไมมันไม่ทำตามหละ พอนึกออกไหม ถ้าบอกว่า มันเป็น ''เรา'' ก็ต้องทำตาม
    ที่เราคิดและสั่งได้ทุกอย่างซิ...... เราเลยต้องมาฝึกเจริญสติ
    เพื่อสร้างสติทางธรรม สำหรับไปควบคุมมัน ไปให้มันคลายจากความคิด
    คลายจากขันธ์ ๕ นามธรรม จนกระทั่งมันแยกรูปแยกนามได้
    เพื่อเป็นฐานสำหรับการเดินปัญญาไปเพื่ออะไรหละ พอนึกภาพออกไหม

    เพราะคำว่า เรา หรือ ตัวตนนั้น

    มันประกอบด้วยองค์ประกอบดังต่อไปนี้
    ๑.ประกอบด้วย จิต บวก ความคิด หรือ บางเรียก จิตว่าใจ
    หรือเรียกความคิดว่า ใจ อย่าดูที่คำ ให้ดูกิริยาที่สื่อแทน
    ๒. จิตบวกขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    หรือ
    ๓.จิต บวก ความคิด บวกขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม

    ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม คือ ความคิดที่ผุดขึ้นมาเองโดยไม่ได้ตั้งใจ
    มักเป็นเรื่องราวในอดีต สายป่าเรียก วิบากกรรม
    สายญานวิถี หรือ พวกมีสัมผัสภายในเรียก กระแสจร สายวิปัสสนา
    เรียก ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม สายรับรู้พลังงาน เรียก กระแสภายนอก
    ทั้งหมดทั้งมวล ไม่ว่าจะเรียกว่า อะไร มันคือ ตัวเดียวกัน
    ประกอบด้วย สัญญา สังขาร วิญญาน และ เวทนา
    การทำงาน
    ยกตัวอย่างการทำงานที่รวดเร็วของมัน ให้เข้าใจง่ายๆด้วย ตัวอย่าง
    เช่น นาย ก มองเห็นเก้าอี้ตัวหนึ่งรู้สึกว่าไม่ชอบเก้าอี้รูปแบบนี้สีนี้
    น่าจะเป็นรูปแบบสีอื่นน่าจะสวยกว่า..... นี่คือ ครบการทำงาน
    ของขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมแล้ว.......

    แยกให้ดูเล่นๆ นาย ก มองเห็นเก้าอี้ ก็คือ ตัวจิตนาย ก ส่งตัววิญญาน
    หรือไอ้แท่งๆ ออกจากตัวจิต ไปกระทบวัตถุ ส่งผ่านทางลูกนัยต์ตา
    หรือเรียกหล่อๆที่ปลายๆเหตุว่า ส่งผ่านวิญญานการรับรู้ทางตา
    นี่คือ ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมตัวแรก เรียกว่า วิญญาน

    ต่อจากนั้น พอตัววิญญาน ไปกระทบวัตถุ นาย ก เรียกได้ถูกว่า ''เก้าอี้''
    ที่เรียกได้ถูกว่า เก้าอี้ เพราะได้เก็บความจำได้ สำหรับวัตถุแบบนี้
    ในภาษาสมมุติ ที่เรียกว่า ''เก้าอี้'' แล้วเก็บมาจากไหน อาจจะ
    ได้อ่านหนังสือมา(รับรู้ทางตามาก่อน)หรือได้ยินคนพูดมา(รับรู้ทางหูมาก่อน)หรือ ได้เห็นทางตาและมีคนบอกว่า คือเก้าอี้ (รับรู้ทางตาและหูมาก่อน) หรือ เคยได้เห็น ได้จับ มาก่อน แล้วมีคนบอก (รับรู้ทางตา ทางกาย ทางหู มาก่อน) พวกนี้ ไม่ว่ารับรู้ทางอะไรมา ล้วนแล้วแต่เป็นการรับรู้
    ที่ผ่านมาแล้วในอดีตทั้งสิ้น ตรงนี้ที่บอกว่า คือ สัญญา เป็นขันธ์ ๕
    นามธรรมอีกตัว ที่มักเป็นเรื่องราวในอดีต ถ้าไม่มี จะเรียกไม่ได้ นึกไม่ออก
    พอเริ่มเกทไหม ตัวที่ ๒ แล้วนะสำหรับขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม

    พอมองเห็นเป็นเก้าอี้แล้ว รู้สึกไม่ชอบ หรือ อาจจะรู้สึกว่า ชอบก็ได้
    แต่ไม่ว่า ชอบหรือไม่ชอบ มันก็คือ การยึดว่าชอบและยึดว่า
    ไม่ชอบเหมือนกัน ถ้าชอบเราจะเรียกว่า สุขเวทนา ถ้าไม่ชอบ
    เราจะเรียกว่า ทุกข์เวทนา เพื่อความเข้าใจได้ง่าย ตัวนี้ คือ เวทนา
    ในขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมตัวที่ ๓ แล้วนะ.....

    สมมุติว่า นาย ก ดันชอบ ก็อยากจะได้เก้าอี้ตัวนี้อีก คิดว่าจะเอาไปวาง
    หรือซื้อมา หรือถ้ามีตังค์แล้วซื้อ หรือ มองดูแล้วสวยดีจัง สีแบบนี้แระสวยแล้ว ที่เล่ามาคือ การปรุงแต่ง ในส่วนขันธ์ ๕ นามธรรม เรียกว่า ''สังขาร''
    มันมาถึง ตรงนี้ได้ไง ก็ปรุงแต่ง โดยเริ่มมาจาก สัญญาการรับรู้
    ในอดีตว่า รูปร่างแบบนี้เรียก เก้าอี้นะ ที่สวยต้องแบบนี้ โดยผ่านทางวิญญานการรับรู้ที่ผ่านทางอายตนะ(ไม่ว่าจากการเห็น การอ่านการได้ยิน หรือ ได้จับ มาก่อน )
    มีสัญญา วิญญาน ๒ ตัวแล้วนะ พอสองตัวประกอบกัน เลยเกิดเป็น
    ความรู้สึกว่า ชอบ หรือ ไม่ชอบ หรือ เวทนา กลายเป็น ๓ ตัวแล้วนะ
    สุดท้าย ปรุงต่อไปว่า น่าจะต้องสีนี้ หรือรูปร่างแบบนี้ กลายเป็น สังขาร
    แล้ว ตัวที่ ๔ แล้วนะ สังเกตุไหมว่า มันทำงานร่วมกันอยู่พวกนี้
    ทำพร้อมกันในขณะเวลาเดียวกัน เพียงแค่ เรามองเห็น
    วัตถุอย่างหนึ่งและเราเรียกชื่อถูก และมีความรู้สึกว่าชอบหรือไม่ชอบ
    หรือแม้แต่เฉยๆ และคิดจะให้เป็นรูปร่างแบบนี้ หรือแบบนี้ สีนี้ดีกว่า
    สวยกว่า .......... ทางปฏิบัติเลยมักเรียก กิริยาของขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    ว่ามันมัดรวมกันมานั่นเอง........


    ลองไปนึกภาพตามก็จะเข้าใจว่า ทำไมถึงใช้คำว่า มัดรวมกันมา

    เอาแค่นี้ ให้ลองมองย้อนถามตัวเองว่า พอจะแยกได้ไหม....
    ที่พูดยกตัวอย่างมาให้อ่าน คือ การแยกในกระบวณการที่มันเกิดไปแล้ว
    ยังไม่มาถึงฐาน หรือยังไม่ได้เกิดปัญญาทางธรรมอะไรเลยนะ
    ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่อง นิพพงนิพพาน ไม่ต้องมีตีความอะไรหรอก
    ณ เวลานี้...



    ประเด็นที่ ๑. จิตคือองค์ประกอบเริ่มต้นของการมีกาย(ฟังอธิบายตอนหลังจะเข้าใจ) และ
    ใครบอกมาว่า กายไม่มีจริง ไม่มีกายจริง ถ้าไม่มี
    มันจะมีคำว่า มนุษย์ มีคนได้
    อย่างไรบนโลกใบนี้ นี่ยังไม่รวมสรรพสัตว์ต่างๆนะ
    และโลกใบนี้ คำว่า กาย มันมาจากไหนหละ
    มันไม่ใช่มันไม่มีจริง แต่มันไม่สามารถคงอยู่
    ได้ตลอดไป ทางปฏิบัติจึงใช้คำว่า ''ไม่เที่ยง'' ลุงๆป้าๆ คนทั่วไปเรียก
    สังขารไม่เที่ยง เพราะมันมีการ
    เสื่อมสลายได้ ทั้งๆที่มัน เป็นรูปธรรมมาก่อน จับต้องได้ มันยังไม่เที่ยง
    ไม่ต้องไปนับว่า การเห็นกายละเอียดแบบต่างๆ ที่ไม่ใช่ในมนุษย์
    มันจะเที่ยงได้เลย ยิ่งกว่า ไม่เที่ยงอีก

    คำว่า กายคือ การรวมตัวของธาตุ มันแค่การไปเห็นแค่ช่วงปลายๆมากแล้ว
    คำพูดนี้ มันอ่านเอา คิดเอา วิเคราะห์เอา และตีความเอาเองแบบง่ายๆก็ได้
    คนไม่ต้องปฏิบัติก็รู้ได้........ หรือ คนปฏิบัติไม่เข้าใจก็พูดกันได้
    เรียกง่ายๆว่า มันพูดได้ง่ายๆ เข้าใจได้แบบง่ายๆ แต่มันก็แค่ปลายๆ

    ก่อนจะมีคำว่า ''กาย'' มันเริ่มจากการเกิดก่อน
    การเกิดในที่นี้ ทางโลกเข้าใจว่า คือ การเกิดของตัวจิต
    แต่มันไม่ใช่ ตัวจิตที่มันเกิด เพียงแต่เค้าเรียกเป็นภาษาสมมุติ ให้ง่ายเพื่อความเข้าใจ
    การเกิดในที่นี้มันคือ คือ กิริยาของตัววิญญาน ที่มันส่งออกมาจากตัวจิต
    ซึ่งลักษณะนิสัย ของตัววิญญาน ที่ส่งออกมาจากตัวจิต(ตอนยังไม่มีกายนะ)อย่างที่บอก มันเป็นเส้นๆ มันส่งไปกระทบอะไรก็ตาม และรับรู้อะไรก็ตาม มันก็จะดึง
    มาเก็บไว้ แต่มันมักจะไปรับรู้และแต่มันไม่เข้าใจ
    ทางโลกก็เลยเรียกง่ายๆอีกว่า ''มันหลง'' นั่นเอง
    มันเลยเป็นปฐมบท แห่งการกำเนิดก่อนจะมีกาย
    นี้ขึ้นมา........... พอเห็นไหม มีกายมันแค่ ปลายๆ

    แล้วกายมันเกิดอย่างไร
    ก็เมื่อตัววิญญานมันส่งไปกระทบอะไรก็ตามแล้วเก็บไว้
    คำว่า เก็บไว้ คือ เก็บสิ่งที่ไปกระทบทุกอย่างนั่นแระ
    มันเก็บมากเข้ามากเข้า
    มันก็เลย สร้างช่องทาง ให้ตัววิญญานนี้ ผ่านออกไปกระทบได้ง่ายขึ้น
    ช่องทางที่ว่า นี้ก็มี ลูกกระตา มีหู มี ลิ้น มีปาก มีกาย
    รวมๆกันมาเป็นร่างกาย ถ้าเหมือนๆ เราๆ ก็จะเรียกว่า กายคน
    กายมนุษย์ หรือ กายหยาบ นั่นเอง......
    หรือ เรียกง่ายๆว่า มีกายในภพของมนุษย์
    หรือ เรียกง่ายกว่านั้นอีกว่า มาเกิดในภพมนุษย์

    (นั่นคือ มีกายรวมกับตัวจิตแล้ว)


    ประเด็นที่ ๒. คำว่า ''กายเป็นการรวมตัวของธาตุ'' ก็ใช่ แต่มันแค่บางส่วน
    และมันก็แค่ปลายๆอีกนั่นแระ....... เค้าเรียกเป็นสำนวนว่า
    น้ำท่วมตาตุ่ม ไม่ได้ว่านะ เปรียบเทียบให้ฟังเฉยๆ....

    ให้ย้อนอ่าน ๑ จะเริ่มรู้ปฐมบทแห่ง การมีกาย....
    และกายนี้ ประกอบด้วยธาตุ ๔ มี ดิน น้ำ ลม ไฟ นี่ก็คือ พื้นๆ
    อ่านเอาก็ได้ ใครก็รู้ แต่ การที่จะเรียกว่า กายมนุษย์ หรือ คน
    หรือ ที่เกิดในภพมนุษย์ได้ นั้น คำว่า กายนั้นจะต้องประกอบด้วยธาตุ
    ต่างๆดังต่อไปนี้ คือ จิตธาต(ที่มีตัววิญญานส่งออกไป)
    ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ วิญญานธาตุ(ตัวเดียวกันที่ส่งออกจากจิตแต่แยกออกมา
    ให้เห็นชัดขึ้น)
    และอากาศธาตุที่มีอยู่แล้วภายนอกปกติ
    ซึ่งถ้าไม่มี วิญญานธาตุและอากาศธาตุแล้ว
    ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ จะไม่สามารถดำรงคงอยู่ได้เลย
    เห็นไหมว่า มันมี ๗ ธาตุ ไม่ใช่แค่ ๔ ธาตุ..... มันต้องมีองค์ประกอบ
    ธาตุต่างๆเหล่านี้ครบทั้ง ๗ ธาตุ
    ถามว่า เอามาจากไหน ตอบว่า ปฏิบัติให้เข้าถึง ก็จะรู้ได้เอง
    โดยไม่ต้องไม่ถามใคร.....

    ส่วนนี้เล่าให้ฟัง ประดับความรู้ อ่านตอนนี้อาจจะยังไม่เกท...
    ธาตุดิน เกิดจากอนุภาคสะสาร(เรียกง่ายๆทางพุทธว่าธาตุนั่นแระ) ที่เข้ากันได้ รวมตัวกัน
    น้ำคือ อนุภาคที่ไม่เข้ากัน ไฟคือ อนุภาคที่เสียดสีกัน ลม อนุภาคที่รวมกันที่หมุนวนไป
    อากาศ คือ อนุภาคที่รวมตัวกันและมีการเหวี่ยงบางอนุภาคออกไป..(เราเลยรู้แบบ
    หยายๆว่ามันเคลี่อนที่ได้นั่นหละ)
    จิตเป็นอนุภาคชนิดหนึ่ง ที่มันมีตัววิญญาน(ที่เป็นเส้นๆ)ในตัวเอง
    วิญญานธาตุ เป็นอนุภาคอย่างหนึ่ง ที่ส่งออกมาจากตัวจิต
    ถ้าสมมุติ จิตส่งตัววิญญานออกไปกระทบวัตถุอะไรแล้วเราหยุดตรงนี้นะ
    วิญญานธาตุเหมือนๆเป็นทางเดิน เป็นถนน ให้เกิดการแลกเปลี่ยนไปมาได้
    มันเลยเกิด การรู้มากกว่า การรับรู้ต่างๆ สังเกตุได้ว่า มันเดินทางผ่านอากาศ
    ที่ปกติเรามองไม่เห็น ที่พูดมา คือ กระบวณการที่มันเกิดไปแล้ว
    จนเราสามารถเรียกมันได้ ว่าแบบนี้ คือไฟนะ แบบนี้คือ น้ำนะ
    เห็นหรือยังว่า ที่พูดมาทั้งหมด ยังไม่ได้ พูดถึงต้นกำเนิด ของธาตุเหล่านี้เลย
    ถ้าสงสัย อนาคตถามอีกได้


    ประเด็นที่ ๓.เมื่อหมดวาระกรรม
    ไม่ว่าจะถึงเวลาหรือเร่งให้ถึงเวลา
    จิตออกจากกาย กายก็สลายไป รู้สึกไหมว่า เป็นคำพูดที่ง่ายๆ

    คำว่ากรรม หรือ วิบากกรรม มันไม่ใช่มีตัวมีตน เป็นสิ่งโน้นสิ่งนี้
    การมีตัวตนนั้นเป็นเพียงการอุปโลกให้มีภาพ มีสิ่งนั้นขึ้นมา
    พวกนี้ไม่ใช่ทางพุทธศาสนา เพราะการมีภาพแม้ภาพ
    นามธรรม มันก็ยังเป็นการปรุงแต่งอย่างหนึ่งของจิตอยู่(อนาคตจะเข้าใจได้เอง)
    มันเป็นเพียงแค่กระแสอย่างหนึ่ง หรืออนุภาคอย่างหนึ่ง
    เพียงแต่มันไม่ขึ้นกับกาลและเวลา(ย้อนอ่านในเรื่อง อนุภาคบัวซอง
    หรืออนุภาคที่เป็นประเภทสื่อนำแรง เราจะเข้าใจได้)
    ทางสายป่า เรียก ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม ทางพลังงาน
    มันคือ อนุภาคของแรงชนิดหนึ่ง ย้อนอ่าน ที่เคยเขียนก่อนหน้า
    ที่พูดเรื่องแรงว่าสายต่างๆเรียกอย่างไร
    จะพอเข้าใจในภาพรวมกว้างๆ และใน Rep นี้สายอื่นๆเรียกว่า อะไร
    ก็บอกไว้ประมาณหนึ่งแล้ว


    คำว่า หมดวาระกรรม หรือชดใช้กรรมหมด
    เป็นไปไม่ได้ สำหรับจักรวาลนี้ และระบบกาแลคซี่นี้เลย
    ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้แรงดึงดูด(ถ้าไม่มีเราจะลอยออกนอกโลก
    แต่ปกติเราจะมองไม่เห็น และอยู่ร่วมกับมันมาตั้งแต่เกิด)
    และภายใต้แรงโน้มถ่วง คือ การหมุนรอบดวงดาวต่างๆ
    เช่น ดวงจันทร์ หมุนรอบโลก โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
    ดาวต่างๆหมุนรอบดวงอาทิตย์ ดังนั้น คำว่าหมด''วาระกรรม''
    มันเป็นแค่สำนวนที่ใช้พูดในกรณีที่แรงนั้นไม่ได้ส่งผล ณ ช่วงเวลานั้น
    หรือคำว่า''ใช้กรรมหมด''
    มันเป็นแค่ สำนวน ที่ใช้สำหรับ บุคคลที่เสียชีวิตไม่ว่า
    จะเสียชีวิตด้วยการบาดเจ็บ เป็นโรค ความชรา
    หรืออุบัติเหตุต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ....
    หรือ ใช้สำหรับนักปฏิบัติ ที่ยังขาดความเข้าใจ
    คิดว่า ชาตินี้จะชดให้กรรมหมด เพื่อคาดหวังว่า
    ตนเองจะเข้านิพพานได้ ถ้าชดใช้กรรมหมด
    คำว่ากรรมหมด หรือแรงหมด จึงเป็นไปไม่ได้เลย
    ในระบบสุริยะจักรวาลแห่งนี้
    มันจึงทำได้เพียง แต่กระทำที่ไม่ให้แรงนั้นมาส่งผล
    (พอจำได้ไหม คำว่ากระแสจร จรคือ เวียนเข้ามา)
    หรือทำให้แรงนั่นห่างไป หรือ ในระดับท่านๆที่พ้นแล้ว
    คือ ทำให้แรงพวกนี้ไม่มาส่งผลอะไรอีก
    บางท่านก็ยอมๆ เพื่อให้มันไม่ส่งผลนั่นหละ...


    ประเด็นที่ ๔ คำว่า ''ไม่ว่าจะถึงเวลาหรือเร่งให้ถึงเวลา"'
    มาถึงตอนนี้ ควรเข้าใจแล้วว่า กรรม วิบากกรรม
    มันเป็นเรื่องของแรง เป็นกระแสจร ไม่มีวันหมด
    และเป็น อนุภาคที่เป็นองค์ประกอบของสะสาร
    ซึ่งจาก คุณลักษณะของมัน ที่ไม่มีอิงพื้นที่ เลยไม่มีการเดินทาง
    จากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง มันเลยไม่อิงระยะทาง
    เมื่อไม่มีระยะทาง ก็เลยไม่มีการใช้เวลาในการ
    เดินทางจากอีกจุดไปยังอีกจุด เป็นที่มาของคำว่า เหนือกาลเหนือเวลา
    ดังนั้น หากพูดเรื่องกรรม จึงเอาคำว่า เวลา มาเกี่ยวข้องไม่ได้เลย
    หรือจะใช้คำว่าเร่งก็ไม่ได้.... เพราะมันเป็นนามธรรม
    ที่ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา พอเข้าใจนะ...


    ไอ้ที่ เค้าพูด วิบากกรรม ทำอะไรจะได้รับผลกรรมอย่างนั้น
    มันมาจากพวก นักปฏิบัติสายหนึ่ง
    ''ยกตัวอย่าง สมัยพุทธกาล พระมหาระดับผู้ปกครองเมือง
    สั่งประหารชีวิต ตัดศรีษะนักโทษไปกี่คน ทำไปพระพุทธฯ
    ท่านไม่ตรัสว่า มหาบพิตร เวลาท่านตายท่านจะโดนตัดศรีษะ''
    คิดให้ดี มันมีอะไรซับซ้อนมากกว่านั้นอีกเยอะ.....

    และคำว่า เร่ง หรือ หมดกรรมนั้น มันมาจากการ พูดหรือคิด
    วิเคราะห์ ที่เหมารวมเอาทั้งร่างกาย ที่เป็นรูปธรรมเข้ามาปนกับ
    เรื่องของแรงที่เป็นนามธรรม พูดง่ายๆ มองแต่รูปธรรมเป็นหลัก
    แต่ดันพูดเอาเรื่องแรงที่เป็นนามธรรมมาผสมเข้าปนกัน
    พูดอีกอย่างคือ ยังขาดความเข้าใจ หรือพูดๆไปทั้งๆที่ยังไม่รู้เรื่อง


    ประเด็นที่่ ๕ คำว่า ''จิตออกจากกาย กายก็สลายไป''
    นี่ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างหนัก

    ย้อนไปอ่าน ปฐมบท แห่งการมีกายที่เป็นรูปธรรมขึ้นมา
    อะไรเกิดก่อน กายหรือจิต?

    ถ้าจิตออกจากกาย กายก็สลายไป
    ทำไม พวกถอดกายทิพย์ได้ ร่างกายยังคงอยู่ ?
    ทำไม พวกส่งจิตออกนอกกายไปดูโน้นนี่นั้นได้ ทำไมยังไม่ตาย?

    ด้วยที่ปฐมบท ก่อนมีกาย เริ่มจากจิต(ไปย้อนอ่านรายละเอียดเอา)
    ตัวจิตมันสร้างขึ้นมาจนมีกาย มันไม่มีทางทิ้งกายไปก่อน
    ที่กายจะพังหรอก มันจะทิ้งได้ไง เพราะมันสร้างขึ้นมาเอง
    มันยึดมันติด จนขนาดสร้างกายขึ้นมา มันไม่ทิ้งกายนี้ง่ายๆหรอก
    (เอาแค่มีคนจะมาทำร้ายเรา เราป้องกันตัวเองไหม
    ขนาดในฝัน ว่าจะถูกรังแก ยังทำร้ายสิ่งนั้นได้
    หรือทำร้ายแค่เพราะเรากลัว
    หรือมีคนด่าเราว่า สัตว์ประเภทหนึ่ง ทำไมเราโกรธ
    หรือทำไม คนถึงห่วงสวยห่วงหล่อ พวกนี้คือ ยึดกายทั้งนั้นหละ
    ที่แค่ภาพนอกนะ )
    ถ้าร่างกายไม่พังตามธรรมชาติ เพื่อให้ง่ายเรียกว่า สิ้นอายุไข
    หรือ มีเหตุให้ทิ้งกายด้วยเหตุสุดวิสัย เช่น ถูกทำร้าย เกิดอุบัติเหตุ
    มันก็ยังมี ตัวจิตอยู่ กลายเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า วิญญานเร่ร่อน สัมพะเวสี
    เพราะเชื่อว่า ยังไม่สิ้นอายุไข

    ทำไม เพราะคำว่า อายุไข ที่ทางโลกเรียก แท้จริง คือ การกลับคืนสู่ธรรมชาติ
    ดังเดิมของธาตุต่างๆ ที่มันเคยเกิดขึ้นมา(ย้อนอ่านเอา ธาตุเกิดจากอะไร) ก่อนที่จะขึ้นมาเป็น
    ธาตุ ดิน น้ำ ลมไฟฯลฯ นั่นเอง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆก็ตาม
    เรารู้แค่ว่า อวัยวะนั่นพร่อง หรือ ป่วยเป็นโรคโน้นนี่นั้น แบบง่ายๆตามโลกนี้

    เมื่อธาตุเริ่มกลับคืนสู่ธรรมชาติเดิมแท้ของมัน ก่อนที่เราจะเรียกชื่อได้ว่าธาตุอะไร
    มันก็เหมือน การย้อนกระบวนการที่จะสร้างเป็นร่างกายขึ้นมา
    ตรงนี้มันก็เลย จะคงเหลือ แต่ตัวจิต ถึงตรงนี้ จิตก็ไม่มีที่เกาะ(เดิมกายที่มันสร้างขึ้นมานั่นหละ)
    มันเลยต้อง กลายเป็นทิ้งกายนี้โดยปริยายนั่นเอง

    ทางโลกเรียกง่ายๆ ตายแล้วจิตออกจากร่าง เพื่อให้ง่ายให้การทำความเข้าใจ



    คำว่า จุติ นะ ปกติเราใช้สำหรับภูมิเทวดา มันเป็นการเปลี่ยนสภาพจากการกำเนิดหนึ่ง
    ไปยังอีกการกำเนิดหนึ่ง ทางโลก เค้าใช้สำหรับ การลงมาเกิดของภูมิเทวดา หรือ เทพ
    ที่ลงมาเกิดยังโลกมนุษย์ ตัวจิตนะ เมื่อไม่มีกายแล้ว
    มันแค่เปลี่ยนสภาพเท่านั้น มองทางวิทย์คือ เปลี่ยนสภาพของอนุภาคสะสาร
    ซึ่งมันเป็นคุณลักษณะปกติของแรงประเภทนี้ เปลี่ยนสภาพนะมันเปลี่ยนทันทีอยู่แล้ว
    เพราะเรื่องอนุภาคของแรง มันเพิ่ม ลด สร้างอัตลักษณะของมัน และมีการดึงดูด
    กันได้ปกติอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก
    โลกพูดให้ง่ายๆ คือ ถ้าตายตามธรรมชาติ
    ทำดีไปเกิดเป็นเทพเทวดา ทำไม่ดีลงนรก
    ตากไม่ปกติ เป็นผีตายโหง ส่วนพวกตายแล้วไปสถิตย์
    อยู่วัตถุโน้นนั้นนี่ มันแค่เปลี่ยนสภาพภายใต้แรงดึงดูด(คุณลักษณะปกติ)
    แต่เราเรียก รู้จัก ในภาษาสมมุติ ว่า ยึดโน้นนั้นนี่

    ส่วนจิตนะ มันมีของมันอยู่แล้ว ปกตินั่นแระ

    คำว่า กายเราไม่มี ตัวเราไม่มี ร่างกายนั้นไม่ใช่เรา หรือ ชาตินี้ขอเป็นชาติสุดท้ายฯลฯ
    พวกนี้ เป็นอุบาย สำหรับเป็นแนวทาง ใช้สำหรับในส่วนของเรื่องการเดินปัญญา
    หรือเรื่องวิปัสนา สำหรับสร้างหรือเป็นอุบายไม่ให้จิต มันยึดติดกับร่างกายนี้
    ที่ตัวจิตมันหลงสร้างให้มีกายนี้เกิดขึ้นมาในเบื้องต้นจร้า.......
    แต่มันไม่ใช่ว่า ตัวจิตมันจะเป็นอย่างที่พูดหรืออย่างที่เข้าใจ
    มันต้องมาทางด้านปัญญาก่อนจริงๆ ถึงจะคล่อยๆเป็นได้


    นิพพาน ไม่ใช่ความว่าง เพราะว่างมันเป็นกิริยาอย่างหนึ่งได้อยู่
    แต่ว่างในที่นี้ คือ ว่างจากการเกิด คือ ไม่มีการส่งตัววิญญานออกไปอีก
    หรือ ไม่มีการรับกระแสใดๆอีก แม้แต่ตัวจิตมันเอง มันก็วาง ไม่อยากเกิดอีก

    จิตว่าง คนที่ใช้งานทางจิตประจำ เค้าทำกัน วิสองวิ ก็ได้แล้ว
    แต่ถ้าจะให้ ว่างจริงๆ ต้องเป็นว่างแบบธรรมชาติของมันเอง
    ที่มันยังต้อง อาศัยในเรื่องของปัญญาทางธรรม อาศัยการพิจารณา
    จนเข้าใจ
    คำว่า อัตตา อนัตตา เป็นอย่างไร มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร
    รู้เห็น รู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในกายในใจของเรา
    เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์

    รู้เรื่องกิเลสที่เกิดจากใจของเรา ว่ากระบวณการอะไรที่เราถึงเรียกว่าเป็นกิเลส
    กิเลสหยาบกิเลสละเอียด มันเกิดขึ้นได้อย่างไร


    พูดนะมันง่าย สมัยนี้ มีตำรา เขียนแต่ธรรมะสูงๆ
    คนไปอ่าน วิเคราะห์ แยกแยะ ตีความเข้าเอง
    แล้วมาพูดมาเข้าใจไปเอง ณ มันง่าย

    แต่การลงมือจริงๆ มันต้องอาศัยองค์ประกอบระหว่างทาง
    หลายอย่างช่วยหนุน และต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันมั่นเพียรจริงๆ
    เป็นคนที่มีความเพียรอยู่ตลอดเวลา ส่วนมากเป็นพระสงฆ์
    จนสามารถชี้เหตุชี้ผลได้ จิตมันถึงละได้

    ถ้าเราไม่รู้จักจุดละจุดวาง เราก็วางไม่ได้
    ถึงอยากจะวาง เราก็ไม่มีทางวางได้หรอก
    ได้แต่เพียงคิดว่า วางได้ทางสมมุติเฉยๆ
    มันใช่ตัวจิตที่มันวาง


    เพราะการเกิดที่แระ มันคือกิเลสละเอียดที่สุด
    จิตถ้าไม่หลง(ที่ส่งตัววิญญานออกไปรับรู้และกระทบ)
    มันไม่ได้มาเกิดหรอก พูดง่ายๆว่า
    จิต ณ มันหลงตั้งแต่เกิดแล้ว......

    ปล. นิพพง นิพพาน อย่าพึ่งไปพูด ธรรมะ คารมย์ สูงๆ ที่เหมือนจะ
    ทำให้เราดูว่า พ้นง่ายๆ อย่าพึ่งไปสนใจ

    เอาสติทางธรรมให้มันเกิดมีขึ้นมาก่อน
    เอาพื้นฐานตรงนี้ให้มันดีก่อน
    สติทางโลกมันมีกันทุกคนนั่นหละ
    ต่อให้เก่งระดับโลกมันก็ยังเป็นเพียงสมมุติอยู่
    แต่มันไม่ใช่ สติทางธรรม(ตัวที่ทำให้เราเข้าใจนามธรรมต่างๆ
    ด้วยตนเอง นอกจากควบคุมความคิดและพฤติกรรมของจิต)
    ที่เป็นพื้นฐาน สำหรับการเดินปัญญา
    ที่จะส่งผลให้ถึงเป้าหมายได้ในวันข้างหน้า

    เอ้า ลองไปอ่านดูนะ อย่าพึ่งรีบด่วนสรุปอะไร
    วันนี้ ยังไม่เข้าใจ เข้าใจแค่ไหน ก็ช่างมัน
    ปฏิบัติไป เด่วบารมีเรามากขึ้น ปัญญาเรามากขึ้น
    เราก็จะเข้าใจๆอะไรได้ ด้วยตัวเราเองนั่นหละ

    ทุกคนก็เริ่มมาจากการคลาน การเดิน ก่อนที่จะวิ่งได้ทั้งนั้นแระ

    แต่
    วันนี้ก็ โดนไปก่อน ซัก ๕ ดอก เพื่อกระตุ้น
    พื้นฐานไปก่อนนะ...รู้ตอนนี้ ดีกว่าปล่อยไว้
    แบบที่ยังเข้าใจคาดเคลื่อนอยู่ เครเนาะ

    อ่านจบ ถ้าเข้าใจได้ กระจ่างแน่


    '' เวลาชี้ให้มองดวงจันทร์ อย่าไปมองเพียงแค่ที่นิ้ว''
     
  19. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,870
    ท่าน อ.นพ ครับ

    อาการรู้สึกว่ามีอะไรแตกดับไป คล้ายประทัดแบบย่อมๆ
    ที่บริเวณแถวศีรษะ แถวดวงตาก็เหมือนมีอะไรแตกสลายบ่อย
    แต่ดวงตาก็ไม่ได้เจ็บช้ำอะไรๆ ผมก็งงๆกับตัวเองว่าอะไรกันที่มันแตกดับไป
    แบบนี้เป็นอาการอะไรครับ ผมเป็นแบบนี้มาซักพักใหญ่ๆแล้วครับ

     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    คนเริ่มมีปัญญาทางธรรมที่เริ่มเข้าถึงครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิ หรือเริ่มมีครูทางภพภูมิคอยหนุน ก็สามารถเกิดแบบนี้ได้ปกติ
    ถ้าจิตเราเกิดการรับรู้ได้ แต่ว่า ณ เวลานั้นตัวจิตยังไม่สามารถตัดกายได้ขาดจริงๆ คือยังมีห่วง มีคิด มีลังเล

    วิธีแก้ ให้เฉยๆไว้ อย่าไปดู ไปสนใจเพื่อ
    เป็นอุบายให้จิตตัดกายให้ขาด
    เด๋วจะ เข้าใจและหายไปเองได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...