วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขอบคุณน้องnuttadet มากจ้ะที่ทำลิงค์อำนวยความสะดวกให้เพื่อนๆ
     
  2. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    วานนี้ไม่สบายแต่เช้า ตีสี่กว่าๆลุกไม่ขึ้นเจ็บกล้ามเนื้อไปหมดด้านช่วงตัว
    เคยเป็นครั้งหนึ่งเมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว
    กลับลงไปนอนใหม่ เคลิ้มหลับไป แล้วฝันเห็นคุณคณานันท์กับนากามูระมาหา
    ช่วยให้ลุกนั่ง แล้วพูดอะไรจำไม่ได้

    บ่ายแก่ๆได้พูดกับคุณคณานันท์ทางโทรศัพท์ เล่าว่าเมื่อเช้าฝันเห็น คุณคณานันท์บอกว่า "ก็เป็นห่วงพี่เห็นไม่สบายเลยไปเยี่ยม"

    คนมีเมตตาสูง นอนแล้วยังต้องไปสอดส่องสรรพสัตว์
    อนุโมทนาบุญทั้งสองท่านนะคะ
     
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ดังนั้นเมื่อเราได้ใช้กำลังใจในทานบารมี แบบปรมัตถ์ ร่วมกับพรหมวิหารสี่

    ทานที่ทำได้ก็มีอานิสงค์สูงขึ้น สร้างวาระที่ทำได้ตลอดเวลา จะมาบอกว่า ไม่มีโอกาสไม่มีเวลาไม่ได้

    อย่างการทำทานเพียงให้ขอทาน เพียง 1 บาท เราวาง"กำลังใจ" ปรารถนาให้คลายจากความทุกข์ลงไปได้บ้าง แม้เล็กน้อยก็ตาม พิจารณาต่อไปว่า ลูกเขาเมียเขาก็ให้คลายจากทุกข์ลงไป

    จากนั้นตั้งจิตต่อไปว่า ก็ขอให้เจ้ากรรมนายเวรของเขาและครอบครัว (ของผู้ที่เราให้ทาน)จงโมทนาและ อโหสิกรรมให้เขา ให้เป็นอโหสิกรรมเป็นโมฆะกรรมให้ทุกข์ของเขาคลายตัวลงไป ไม่มากก็น้อย โดยไม่เกินกฏของกรรม

    หากทำได้เช่นนี้จิตเราก็เต็มในพรหมวิหารสี่ ในทานบารมี ในเมตตาบารมี ตลอดจน บารมีทั้งสามสิบทัศน์อยู่เสมอ

    ส่วนในยามที่เราทำงานใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นทางโลก หรือทางธรรม หากมีอุปสรรค มีความยากลำบาก เราเองก็มาพิจารณา "ตั้งกำลังใจ"ว่าขอให้ ตัวอุปสรรค ตัวยาก ความลำบากทั้งปวง มาช่วย เติม "ขันติบารมี " "วิริยะบารมี" "อุเบกขาบารมี" ของเราให้เต็มโดยเร็ว

    อย่าปล่อยให้เราเหนื่อยปล่าๆ แกมทุกข์ โดยเปล่าประโยชน์ ดึงมาเป็นบารมีให้หมด

    "เพราะ บารมี แปลว่า กำลังใจ เมื่อตั้งกำลังใจไว้ถูกต้อง บารมีก็เต็มเร็ว "
     
  4. อิน

    อิน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +36
    ขอบพระคุณคุณ chdhorn คุณคณานันท์ และทุกๆท่านเป็นอย่างยิ่งค่ะ
    อ่านแล้วซาบซึ้งมาก จะพยายามปฏิบัติให้ได้ค่ะ
     
  5. golf0046

    golf0046 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +14
    อยากทราบว่าถ้าต้องการ VCD การสร้างบ้านโดยใช้อิฐบล็อกดินประสานจากคุณคณานันท์ต้องทำอย่างไรบ้างครับ ผมมีความสนใจมาก ๆ เลยครับ ช่วยตอบกลับด้วยนะครับ ขอบคุณในความกรุณามาก ๆ ครับ.....กิตติพร
     
  6. pat3112

    pat3112 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +2,904
    โมทนาอย่างสูงครับ สอนตัวเองโดยนำอริยสัจ4
    ทุกข์
    สมุทัย(สาเหตุแห่งความทุกข์)
    นิโรธ(การดับทุกข์)
    มรรค8(ทางแห่งความดับทุกข์)
    1. สัมมาทิฏฐิ ิคือความเข้าใจถูกต้อง
    ..........2. สัมมาสังกัปปะ คือความใฝ่ใจถูกต้อง
    ..........3. สัมมาวาจา คือการพูดจาถูกต้อง
    ..........4. สัมมากัมมันตะ คือการกระทำถูกต้อง
    ..........5. สัมมาอาชีวะ คือการดำรงชีพถูกต้อง
    ..........6. สัมมาวายามะ คือความพากเพียรถูกต้อง
    ..........7. สัมมาสติ คือการระลึกประจำใจถูกต้อง
    ..........8. สัมมาสมาธิ คือการตั้งใจมั่นถูกต้อง

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทกๆพระองค์ มาสอนตนผมเชื่อครับว่าเราทุกคนทำได หลุดพ้น หมดโง่ได้้อย่างพี่คนานันว่า
    ดำเนินแนวทางที่ถูกต้อง ยอมมอบกายถวายชีวิต
    เพื่อตัดสังโยชน์ทั้ง10ประการ
    [SIZE=-1]สักกายทิฏฐิ มีความหลงผิดเข้าใจว่าขันธ์ 5 คือร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา เรามีขันธ์ 5 ขันธ์ 5 มีในเรา ก็คิดว่าร่างกายของเรานี่มันไม่ตายหรอก มันไม่ตาย มันไม่ยอมตาย มันไม่ยอมสลายตัว มันอยู่กับเราตลอดเวลา แล้วก็ร่างกายของบุคคลอื่นก็เหมือนกัน ที่เราชอบเรารัก คิดว่าเขาจะไม่ตาย คิดว่าเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง เขาจะอยู่กับเราตลอดเวลา สรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลายไปเป็นปกติครับ
    วิจิกิจฉา สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า
    สีลัพตปรามาส นี่ได้แก่การรักษาศีลไม่จริง
    กามฉันทะ มีความพอใจในรูปเสียงกลิ่นรสและสัมผัสตามที่อายตนะกระทบกระทั่ง รักอยากได้มาเป็นผัวเป็นเมีย อยากเคล้าเคลียอยู่คู่ครอง
    ปฏิฆะความพยาบาท ความกระทบกระทั่งจิต ความไม่ชอบใจที่เขาทำไม่ถูกใจเรา หรือพยาบาทการจองล้างจองผลาญ นี่ถ้ามันไม่ถูกใจละก็คิดอาฆาต
    รูปณาน หลงอยู่ในรูปฌาน คิดว่าฌานเป็นของวิเศษ
    อรูปณาน หลงในอรูปฌาน
    มานะ การถือว่าเราเสมอเขา เราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา
    อุทธัจจะ อารมณ์จิตฟุ้งซ่าน คิดนอกลู่นอกทาง
    อวิชชา ความโง่ ความปารถนาสามโลก
    เริ่มสังโยชน์สามก่อนก็ได้ครับทรงมรณังนุสติคิดอยู่เสมอว่าตายแน่นอน(ชาวเวปสบายครับ
    ภัยมันไม่บอกอยู่แล้วจะเกิดเมื่อไหร่ เกิดขึ้นเราอาจจะต้องตาย ทรงกันอย่างสบาย)
    ถือศีลห้าให้บริสุทธิ์
    ไม่สงสัยในพระรัตนตรัย
    ทรงบารมีสิบ
    ทานบารมี ให้ทานอยู่เสมอ เพื่อตัดโลภ รัก[/SIZE]
    ศีลบารมี ทรงสีลเพื่อระงับไม่ให้กายเลว วาจาเลว(กรรมบทสิบ ไม่พูดหยาบคาย
    ไม่ส่อเสียดให้ร้ายกัน ไม่พูดจาไร้สาระ ไม่อยากได้ทรัพย์สินผู้อื่น ไม่อาฆาตพยาบาท ไม่สงสัยพระรัตนตรัยตายขอไปนิพพาน)
    เนกขัมมะบารมี บำเพ็ญเพียรภาวนาเช้าคำ่ เอาอย่างพี่คนานันเลยก็ได้ว่างเข้าสมาธิตลอดวัน
    สัจจะ ตั้งมั่นตามวาจา
    อธิษฐาน ตั้งจิตอธิษฐาน(ตายชาตินี้ขอไปนิพพาน)
    ขันติบารมี อดทนอุปสรรคไม่ย่อท้อ
    วิริยะบารมี เพียรสู้ทุกๆอย่าง
    เมตตาบารมี รักเขาเสมอตัวเรา
    อุเบกขา เฉยต่อกฏแห่งกรรมผลกรรมดี กรรมชั่วที่ได้บำเพ็ญมาครับ
    แค่นี้ก็ไปนิพพานได้ไม่ยาก โมทนาพี่น้องๆด้วย หลายท่านก็ปารถนาพุทธภูมิต้องอยู่ทำงานต่อ บางท่านลาพุทธภูมินิพพานชาตินี้ รวมถึงสาวกภูมิทุกๆท่าน(good)
     
  7. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <TABLE class=tborder id=post1106074 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>golf0046<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1106074", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 09:46 PM
    วันที่สมัคร: Apr 2006
    ข้อความ: 6 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 0 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 9 ครั้ง ใน 3 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1106074 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อยากทราบว่าถ้าต้องการ VCD การสร้างบ้านโดยใช้อิฐบล็อกดินประสานจากคุณคณานันท์ต้องทำอย่างไรบ้างครับ ผมมีความสนใจมาก ๆ เลยครับ ช่วยตอบกลับด้วยนะครับ ขอบคุณในความกรุณามาก ๆ ครับ.....กิตติพร
    <!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอเวลาค้นหาก่อนครับ
     
  8. อิน

    อิน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +36

    ขออนุญาตถามเรื่องการบูชาครูค่ะ
    เนื่องจากได้มาอ่านพบกระทู้นี้แล้วสนใจ จึงได้เซฟลงเวิร์ดไว้ กะว่าจะไว้พิมพ์ออกมาอ่าน จึงเพียงแต่อ่านคร่าวๆ ยังไม่ได้ลงละเอียดและยังไม่ได้ปฏิบัติเลยค่ะ
    แต่เมื่อวานเกิดมีอาการเม็ดผื่นขึ้นตามมือและเท้า คันเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกร่างกายเป็นรังของโรคและความทุกข์จริงๆ แต่ก็คิดว่าคงเป็นไม่นานก็น่าจะบรรเทาลง
    มาวันนี้ อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน กำลังจะไปนอน ก็คิดว่า ถ้าโรคที่เป็นอยู่นี้พอจะบรรเทาได้ด้วยวิธีใด ขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เทพพรหมเทวดาทั้งหลายผู้มีความเกี่ยวเนื่องด้วยลูก มีหลวงพ่อปานและหลวงพ่อฤาษีเป็นที่สุด ช่วยดลบันดาลให้พบวิธีและทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยเถิด

    ก่อนจะขึ้นนอน ก็เข้ามาอ่านกระทู้นี้อีกครั้ง เกิดกลับไปอ่านหน้าแรก เลยเพิ่งเห็นข้อความนี้ของคุณคณานันท์ค่ะ
    ขออนุญาตเรียนถามว่า มีความเกี่ยวข้องกันไหมคะ การที่ยังมิได้บูชาครูกับอาการป่วยที่เป็นอยู่ หรือว่าเป็นแค่อาการเจ็บป่วยปกติทั่วไปตามประสาของร่างกายค่ะ

    ขออนุโมทนาในบุญกุศลของทุกๆท่านค่ะ
     
  9. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    ไม่รู้ว่าพี่ได้ลงชื่อขอรับหนังสือแนะนำสำหรับผู้เริ่มปฏิบัติหรือยังนะครับถ้ายัง
    ไปลงชื่อได้ที่นี่เลยครับ (kiss)

    http://palungjit.org/showthread.php?t=119110
     
  10. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขอประทานโทษนะคะทุกๆ คน... ธรติดค้างทุกๆ คนมานานเลยค่ะ...

    ตอนนี้เรามาร่วมกันฝึกจิตต่อเลยนะคะ...

    เมื่อแต่ละท่านสามารถจับลมสบายได้แล้ว จับภาพพระใสเป็นประกายได้แล้ว... รู้วิธีการพิจารณาในวิปัสสนาญาณบ้างแล้ว... เท่ากับว่าตอนนี้แต่ละท่านมีกำลังของสมาธิ มีพระบารมีของพระพุทธเจ้าคอยปกปักรักษาคุ้มครอง และมีปัญญาทางธรรมตามสมควร...

    นอกจากนั้นท่านยังรู้จักการใช้พลังจิต ในการดึงปราณ พลังธรรมชาติ พลังจักรวาล และธาตุทิพย์จากพระนิพพาน... ท่านรู้จักการอธิษฐานกำกับ การอธิษฐานขอบารมีพระท่าน... รู้จักวสีความชำนาญในการเข้าออกฌานกันแล้ว

    นับได้ว่าทุกๆ ท่านมีพื้นฐานในการทรงฌาน และวิปัสสนาญาณดีพอ...

    (แต่ถ้าท่านใดที่ยังปฏิบัติไม่ได้... อย่าเพิ่งนึกท้อนะคะ... พวกเรายังมีเวลาเหลืออยู่ทั้งชีวิต... ขอให้เชื่อเถอะค่ะ... ไม่ว่าตอนนี้ท่านจะจับภาพพระได้หรือไม่ก็ตาม และปฏิบัติสิ่งอื่นๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้นได้หรือไม่ก็ตาม... กุศล บุญบารมีที่เกิดจากความเพียรพยายามของท่านได้บังเกิดขึ้นแล้วอย่างประมาณค่าไม่ได้เลยค่ะ... พยายามกันต่อไปนะคะ... เพื่อผลอันยิ่งกว่าขึ้นไปเรื่อยๆ ค่ะ...)

    ต่อจากนี้ไปเราจะมาทำการชำระล้างจิตให้บริสุทธิ์ขึ้นโดยการลด สลาย และบรรเทากรรมด้านอกุศลให้น้อยลงด้วยกำลังของสมาธิและการอธิษฐาน

    เมื่อจิตเราสะอาดขึ้น ใสขึ้นแล้ว ก็มาร่วมกันรวมบุญใหญ่เข้าสู่จิตของเราด้วยการอธิษฐานมหาโมทนา และต่อด้วยการอธิษฐานเรียกบารมีเก่าให้มารวมตัวกัน เมื่อฐานบุญของเราขยายใหญ่ขึ้นแล้ว ตอนนี้เราก็พร้อมที่จะแผ่บุญนั้นให้กับสรรพชีวิตรอบๆ ตัวแล้ว นั่นคือการแผ่เมตตาอัปปมาณฌาน

    ๑. ขอให้ทุกคนจับลมสบายตามวิธีที่แต่ละคนถนัด

    ๒. จับภาพพระให้ใสสว่างเป็นประกายพรึกให้ได้สว่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้... แล้วอธิษฐานขอให้พระบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาสถิตเป็นหนึ่งเดียวกับพระพุทธรูปในจิตของเรา...
    ทรงอารมณ์ใจนี้ไว้สักระยะ... พร้อมกับน้อมจิตยอมรับนับถือองค์พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุด ไม่มีที่พึ่งอื่นใดจะประเสริฐไปกว่านี้อีกแล้ว... เสร็จแล้วนึกให้เห็นภาพตัวเองก้มลงกราบที่พระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ กันมา... มีองค์หลวงปู่ปาน และองค์หลวงพ่อฤาษีเป็นที่สุด... พร้อมๆ กัน
    - สำหรับท่านที่ได้มโนมยิทธิแล้วให้ยกอทิสมานกายขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพานค่ะ

    ๓. จากนั้นอธิษฐานต่อไปว่า ขอให้องค์พระพิชิตมารทรงเมตตามาเป็นประธาน และเป็นพยานให้แก่ข้าพเจ้าในการอธิษฐานดังต่อไปนี้...

    แล้วน้อมนึกถึงศีลที่คุณเองถือปฏิบัติอยู่... ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ หรือ ศีล ๘ ก็ตาม... (โดยปกติ เวลาที่ใช้ชีวิตประจำวันคุณอาจถือศีล ๕ อยู่ แต่ในจิตลึกๆ แล้วๆ คุณอาจอยากถือศีล ๘ เป็นชีวิตจิตใจ... ดังนั้นเวลาปฏิบัติกรรมฐานคุณสามารถอาราธนาถือศีล ๘ ได้โดยกำหนดถือเฉพาะในช่วงเวลาที่คุณกำลังทำสมาธิอยู่ได้ เมื่อปฏิบัติธรรมเสร็จ คุณก็กลับมาถือศีล ๕ ตามเดิม... ไม่เสียทั้งทางโลกและทางธรรมค่ะ) โดยน้อมนึกว่า...
    "ณ ขณะนี้ ศีล ๕ (๘) ของข้าพเจ้าสมบูรณ์ บริบูรณ์ดีทุกประการ... ข้าพเจ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ได้ลักขโมยผู้ใด ไม่ได้ผิดลูกผัว - เมียใคร ไม่ได้พูดโกหกมดเท็จใดๆ ไม่ได้เสพสุราของมึนเมา หรือเล่นการพนันแต่อย่างใด... (ไม่ได้ทานอาหารหลังเที่ยง, ไม่ได้ใช้เครื่องไล้ของหอม เว้นจากการฟ้อนรำ ดูสิ่งบันเทิงเริงรมย์ ไม่ได้ใช้เครื่องประดับตกแต่งใดๆ, ไม่ได้นอนบนที่นอนสูงใหญ่)"

    ๔. กราบขอขมากรรมต่อองค์พระรัตนตรัย โดยการอธิษฐานว่า...
    "- ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ หากข้าพระพุทธเจ้าได้เคยคิดประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อองค์พระรัตนตรัย อันมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พรหมเทพเทวา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...
    - ขอองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน... ได้โปรดอดโทษทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"
    ก้มลงกราบพระบาทพระองค์ท่านอีกครั้ง

    ๕. เสร็จแล้ว... ให้คุณน้อมนึกถึงกุศลผลบุญ อีกทั้งความดีงามทั้งหลายที่คุณเคยสร้างมาดีแล้วให้มารวมตัวกันที่ดวงจิตของคุณ (นึกให้เห็นดวงจิตของคุณสว่างไสวแพรวพราว) พร้อมกับอธิษฐานขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรของคุณ ดังนี้...
    "- ข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศส่วนกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำมาตั้งแต่ต้นกัปต้นกัลป์ จนมาถึงปัจจุบันนี้ และที่จะทำต่อไปในอนาคต... ให้แก่ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย... ขอให้ทุกๆ ท่านมาร่วมกันอนุโมทนาและได้รับซึ่งกุศลผลบุญเหล่านี้นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน...
    (ตอนนี้ให้นึกเห็นรัศมีความสว่างของกุศลผลบุญ ความดีงามทั้งหลายจากดวงจิตของเราแผ่ออกไปคลุมร่างของเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา)
    - และข้าพเจ้าขออโหสิกรรมต่อท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินพวกท่านไปด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...
    - ขอให้พวกท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ"

    การขออโหสิกรรม หรือการขอขมากรรมนี้ จะช่วยให้การอาฆาตพยาบาท จองเวรจองกรรมต่อกันลดลง หรือสลายตัวลง จนเป็นโมฆะกรรมได้ ซึ่งจะส่งผลให้ชีวิตของเราราบรื่นขึ้น อุปสรรคต่างๆ น้อยลง มีแต่ความปลอดโปร่ง และยังเป็นการช่วยชะลอ หรือลดสภาวะกรรมรวมของโลก ที่จะส่งผลให้เกิดภัยพิบัติต่างๆ ได้ด้วย

    ๖. ขอให้ทุกคนประคองจิตจับภาพพระด้วยใจที่เบาสบาย โล่งโปร่งต่อไป... หลังจากนั้นให้คุณน้อมนึก อโหสิกรรม - ให้อภัย -ให้แก่ผู้ที่เคยล่วงเกินคุณมา อธิษฐานว่า...
    "- นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะมีแต่จิตใจที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความดีงาม เปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย... ข้าพเจ้าอโหสิกรรม ยกโทษให้แก่ พรหม-เทพเทวา สรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจ ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายที่เคยล่วงเกินข้าพเจ้ามาด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...
    - ข้าพเจ้าไม่ถือโทษโกรธเคืองใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ขอเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้ใด และขอให้พวกท่านทั้งหลายมีความสุขกาย สุขใจ พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งมวล มีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงที่สุดแห่งธรรม และมีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ"

    คำอธิษฐานยกโทษให้ผู้อื่นนี้ มีผลอย่างน้อย 2 ประการ คือ...
    1. เป็นการให้อภัยทานซึ่งเป็นทานสูงสุด ต้องใช้กำลังใจสูงสุดในการให้ เมื่อทำได้จริงๆ จิตจะยิ่งเบา สบาย ขึ้น
    2. การที่เราอโหสิกรรมให้คนอื่นนั้น ทำได้ง่ายกว่าการไปขออโหสิกรรมจากเจ้ากรรมนายเวรของเรา... ดังนั้นกรรมที่เคยเกี่ยวเนื่องกันมาจึงลดลงได้มากกว่าและเร็วกว่าการไปขออโหสิกรรม...

    ๗. ขอให้ประคองจิตอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้าท่านต่อไป ด้วยจิตใจที่เบาสบาย พร้อมกับอธิษฐานว่า... "ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานระลึกถึง บุญกุศล บารมี คุณงามความดี และจิตใจที่ดีงาม ของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอริยสงฆ์ พระโพธิสัตว์ พรหมเทพเท-วาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ตลอดจนความดีของสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วมหาอนันตจักรวาลที่ได้บำเพ็ญมานับตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และที่จะบำเพ็ญต่อไปในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล ภาวนา สัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา

    ข้าพเจ้าขอกราบมหาโมทนาในบุญกุศลทั้งหลายเหล่านี้ด้วยความจริงใจ ขอให้อำนาจแห่งการมหาโมทนามัยนี้จงส่งผลเป็นกระแสบุญอันบริสุทธิ์หลั่งไหลสู่ดวงจิตของข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้ด้วยเทอญ"

    ๘. เมื่อเสร็จแล้วให้เราเรียกบารมีเก่าที่อาจหลงลืมหรือตกหล่นไปในอดีตชาติให้กลับมารวมตัวกัน ซึ่งจะส่งผลให้เราสามารถฝึกวิชชาและทำสมาธิได้ง่ายขึ้น อีกทั้งกุศลผลบุญเก่าที่เราเคยสร้างไว้ดีแล้วจะมารวมตัวกันส่งผลต่อตัวเราเร็วขึ้นด้วย...
    ยังคงประคองจิตอยู่ต่อหน้าพระ แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า...
    "ข้าพเจ้าขอตั้งจิตระลึกถึง บุญบารมี คุณความดี สรรพวิชชา และสายสมบัติที่ข้าพเจ้าได้สร้าง ได้ศึกษา ได้ปฏิบัติ และได้บำเพ็ญมา (เพื่อปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณมีพระนิพพานเป็นที่สุด) นับตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และที่จะบำเพ็ญต่อไปในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล สมาธิ ปัญญา สัมมาทิฐิ ให้มารวมตัวกัน ณ บัดนี้ เพื่อให้ข้าพเจ้าได้ใช้สร้างบุญ สร้างบารมี เพื่อความรุ่งเรืองทั้งในทางโลก และทางธรรม มีกำลังใจ กำลังบารมีทั้ง 30 ทัศน์ ได้ช่วยตนเองและสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ ประสบแความสุข พ้นภัยจากวัฏฏสงสาร สัมผัสและเข้าถึงซึ่งพระนิพพานอันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ"


    ๙. ท้ายที่สุดให้คุณน้อมนึกถึงความสุข สดชื่น ความอิ่มเอม เปรมปรีด์ ความชุ่มชื่นใจ... ความรักที่บริสุทธิ์ที่ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน... ความสุขที่สุดที่เมื่อเรานึกถึงครั้งใดก็ตามจะสามารถเรียกรอยยิ้มให้เราได้ ทำให้เรารู้สึกว่าโลกนี้ยิ้มไปกับเราด้วย ทำให้โลกนี้สว่างไสวมีแต่ความเบิกบาน ... ความดีงามทั้งหลายที่เคยสร้างมาดีแล้ว อีกทั้งกุศลผลบุญทั้งหลาย พรหมวิหารสี่ และอภัยทานที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในดวงจิตของคุณให้มารวมตัวกัน (นึกให้เห็นดวงจิตของคุณสว่างไสวแพรวพราว) พร้อมกับอธิษฐานแผ่เมตตาอัปปมาณฌานว่า...
    "- บุญ คือ ความสุขที่ปรากฏ ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมถวาย ความสุข ส่วนกุศลผลบุญ อีกทั้งพรหมวิหารสี่ อันมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พร้อมอภัยทาน แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ ต่อกันมาโดยมีองค์หลวงปู่ปาน และองค์หลวงพ่อฤาษีเป็นที่สุด อีกทั้งท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย บูรพกษัตริย์ไทย บรรพชนไทย นักรบไทยทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน... พรหมเทพเทวา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โดยมีท่านท้าวจตุมหาราช และท่านพญายมราชเป็นที่สุด...
    - ขอทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน ได้โปรดมาร่วมกัน รับและอนุโมทนาในส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านี้ และขอได้โปรดมาเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลผลบุญในครั้งนี้ของข้าพเจ้าด้วยเทอญ...
    (น้อมนึกให้เห็นว่าในมือคุณมีดอกบัวแก้วสว่างไสวแพรวพราว ซึ่งเกิดจากกุศลผลบุญของคุณมารวมตัวกันเป็นดอกบัวนั้น... แล้วน้อมถวายแด่ทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน) พร้อมกับอธิษฐานต่อว่า...
    - และข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศความสุข ส่วนกุศลผลบุญ อีกทั้งพรหมวิหารสี่ อันมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พร้อมอภัยทานนี้ ให้แก่เหล่าสรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจ ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายทั่วสากลจักรวาล อนันตจักรวาลนี้... ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี... ขอให้ทุกๆ ท่านจงมาร่วมกันอนุโมทนาและรับซึ่งส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านี้เฉกเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับนับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน... ขอให้ทุกๆ ท่านประสบแต่ความสุข พ้นจากความทุกข์ พ้นภัยจากวัฏฏสงสาร มีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลัน ได้สัมผัสและมีพระนิพพานอันเป็นบรมสุขเป็นหลักชัยโดยถ้วนทั่วกันด้วยเทอญ"
    แล้วน้อมนึกให้เห็น หรือให้รู้สึกว่าตัวของเราเองสว่างไสวมีแสงรัศมีสีทองเป็นประกาย อันเป็นรัศมีแห่งความรัก ความสุข ความเมตตา ที่เรามีให้แก่สรรพสัตว์ไม่มีวันจบวันสิ้น ไม่มีประมาณ... นึกให้แสงแห่งความเมตตานี้ค่อยๆ แผ่ปกคลุมอาณาบริเวณที่เราอยู่ให้สว่างไสวเรืองรอง เมื่อจิตของสรรพสัตว์ดวงใดได้สัมผัสกับรัศมีนี้ก็ขอให้มีความสุข ความสงบ ความชุ่มเย็นไปด้วย จิตเรายิ่งเปล่งรัศมีมากเท่าไหร่ จิตเราก็จะยิ่งมีความชุ่มเย็นมากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น... ขยายอาณาเขตของการแผ่รัศมีสีทองเป็นประกายระยิบระยับนี้ให้ค่อยๆ ขยายวงกว้างออกเรื่อยๆ ให้ปกคลุมไปทั่ว หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ประเทศไทย ให้เห็นประเทศไทยของเราสว่างไสวเป็นสีทองระยิบระยับไปหมด แล้วอธิษฐานกำกับว่า ขอให้ประเทศไทยจงสงบสุข ร่มเย็น ผู้คนล้วนเป็นสัมมาทิฐิ เป็นคนมีจิตใจดีงาม อยู่ในศีล ในธรรม มีความรัก สมัครสมานสามัคคี ปรองดองกัน... ขอให้พระพุทธศาสนาในประเทศไทย และในโลกนี้ ทุกลัทธิ ทุกนิกาย ทุกสาย จงมารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อความเจริญ ไพบูลย์ ยั่งยืน สถาพรของพระพุทธศาสนาจวบจนกว่าจะครบ 5000 ปี
    แล้วนึกแผ่รัศมีแห่งความสุขนี้ปกคลุมโลกจนเป็นสีทองสว่างไสว แล้วอธิษฐานว่า ขอให้โลกนี้มีสันติสุข ขอให้คนในโลกเป็นสัมมาทิฐิ มีศีล มีธรรม และ มีความสงบสุขร่มเย็นโดยทั่วกันเทอญ
    ต่อไปให้นึกแผ่รัศมีสีทองนี้ออกไปทั่วสากลจักรวาล อนันตจักรวาลนี้โดยไม่มีประมาณ ไม่มีขอบ ไม่มีที่สุด... เมื่อจิตเรายิ่งแผ่รัศมีออกไปได้กว้างไกลและครอบคลุมมากเท่าไหร่ จิตของเราก็จะยิ่งอิ่มเอิบ แย้มยิ้มมากเท่านั้น...
    ยิ่งให้มากเท่าไหร่ จิตเราก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปเท่านั้น ประคองอารมณ์ใจที่แสนจะปิตินี้เอาไว้ให้นานที่สุดจนกว่าจิตจะพอใจ...

    เสร็จแล้วให้น้อมนึกเอาอทิสมานกายของเราเองไปกราบองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่าน และถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ โดยการหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ 3 ครั้ง พร้อมภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ...


    ด้วยพระบารมีแห่งองค์พระรัตนตรัย และกุศลผลบุญที่บังเกิดขึ้นนี้... ขอได้โปรดมารวมตัวกันและส่งผลให้ทุกๆ ท่าน มีความสุขทั้งทางโลก ทางธรรม เป็นสัมมาทิฐิ... มีดวงตาเห็นธรรม... เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป... เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลัน... และมีพระนิพพานเป็นหลักชัยโดยถ้วนทั่วกันด้วยเทอญ
     
  11. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <TABLE class=tborder id=post1106551 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>อิน<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1106551", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 11:03 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 12 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 1,449 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 63 ครั้ง ใน 9 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1106551 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ kananun [​IMG]
    เอาละครับเมื่อเรา ได้ผู้มีสัมมาทิษฐิ และผู้ปรารถนาพุทธภูมิผู้วางกำลังใจไว้ดีแล้วต่อไปเรามาไหว้ครูกันก่อนครับ เตรียมอุปกรณ์ดังนี้ครับ ดอกไม้ 3สี ธูปเทียน เงิน 9 บาท ว่า นะโม 3จบครับ วางอารมณ์ใจว่า ขณะนี้ ข้าพเจ้า มีศีลบริสุทธ์ ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้ประพฤติผิดในกาม ไม่ได้พูดปด ไม่ได้ดื่มสุรา ศีลห้าของข้าพเจ้าบริสุทธ์ ข้าพเจ้าขอตั้งจิตเรียนวิชานี้ด้วยจิตเมตตาเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลก พรหมวิหารสี่ข้าพเจ้าพร้อมบริบูรณ์ ข้าพเจ้าขอน้อมจิตยึดถือไตรสรณคมถ์เป็นที่พึ่งที่อาศัยตลอดชีวิต ตราบเท่าเข้าสู่นิพพาน จากนั้น เปิดซีดีคำสมาทานพระกรรมฐานของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ซึ่งหาได้จากเวปนี้ครับ จากนั้นตั้งจิตอธิฐานต่อไปว่า
    " ข้าพเจ้าขอตั้งจิตเรียนวิชานี้เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ และบำเพ็ญบารมี ด้วยความจริงใจ หากแม้นข้าพเจ้ามีจิตคิดร้ายนำวิชาไปใช้ในทางที่ผิดต่อ ชาติ ศาสนา พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ผู้ประสิทธิประสาทวิชาแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้เรียนวิชานี้สำเร็จ ถึงสำเร็จก็ขอให้วิชาที่ได้มาถูกส่งกลับคืนไปจนหมดสิ้นเมื่อข้าพเจ้าผิดสัจจะ แต่หากข้าพเจ้าใช้วิชาในทางที่ถูกที่ควรขอให้ข้าพเจ้าจงเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยเทอญ "
    ส่วนดอกไม้ ธูปเทียน ให้นำไปบูชาพระ และนำเงินบูชาครูไปทำบุญใส่บาตร หากไม่มีดอกไม้ธูปเทียน เงินบูชาครู และการขึ้นครูตอนนี้ให้ รีบทำภายใน สามวัน หากพ้นจาก สามวัน ไม่บูชาครูแล้วมีอาการเจ็บป่วยให้รีบ ขอขมาพระรัตนไตร บูชาครู และใส่บาตร แล้วจะหายจากอาการป่วย
    เหตุผลที่ให้มีการไหว้ครูเพราะ หนึ่งคือ พระท่านสั่งลงมาให้ทำ สองเป็นเครื่องแสดงความยอมรับนับถือ ให้แรงครูผู้ประสิทธิประสาทวิชาสืบต่อกันมาทั้งที่มีกายเนื้อ และไม่มีกายเนื้อส่งลงมาคุ้มครองศิษย์ได้ สามเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในวิชาและชีวิตของศิษย์นั่นเอง ถึงตัวผมเองก็ต้องทำเช่นกัน พร้อมๆกันกับทุกท่าน เพราะมีวิชาที่เบื้องบนประสิทธิประสาทมาให้พร้อมกันไปด้วยครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขออนุญาตถามเรื่องการบูชาครูค่ะ
    เนื่องจากได้มาอ่านพบกระทู้นี้แล้วสนใจ จึงได้เซฟลงเวิร์ดไว้ กะว่าจะไว้พิมพ์ออกมาอ่าน จึงเพียงแต่อ่านคร่าวๆ ยังไม่ได้ลงละเอียดและยังไม่ได้ปฏิบัติเลยค่ะ
    แต่เมื่อวานเกิดมีอาการเม็ดผื่นขึ้นตามมือและเท้า คันเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกร่างกายเป็นรังของโรคและความทุกข์จริงๆ แต่ก็คิดว่าคงเป็นไม่นานก็น่าจะบรรเทาลง
    มาวันนี้ อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน กำลังจะไปนอน ก็คิดว่า ถ้าโรคที่เป็นอยู่นี้พอจะบรรเทาได้ด้วยวิธีใด ขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เทพพรหมเทวดาทั้งหลายผู้มีความเกี่ยวเนื่องด้วยลูก มีหลวงพ่อปานและหลวงพ่อฤาษีเป็นที่สุด ช่วยดลบันดาลให้พบวิธีและทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยเถิด

    ก่อนจะขึ้นนอน ก็เข้ามาอ่านกระทู้นี้อีกครั้ง เกิดกลับไปอ่านหน้าแรก เลยเพิ่งเห็นข้อความนี้ของคุณคณานันท์ค่ะ
    ขออนุญาตเรียนถามว่า มีความเกี่ยวข้องกันไหมคะ การที่ยังมิได้บูชาครูกับอาการป่วยที่เป็นอยู่ หรือว่าเป็นแค่อาการเจ็บป่วยปกติทั่วไปตามประสาของร่างกายค่ะ

    ขออนุโมทนาในบุญกุศลของทุกๆท่านค่ะ
    <!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>


    ขออนุญาติตอบคุณอินครับ

    อาการที่ว่านี้เป็นอาการป่วยทางกายปกติครับ

    ซึ่งการที่คุณน้อมมาพิจารราในวิปัสนาญาณได้นั้นนับว่า มีปัญญาในทางธรรมอยู่ครับ

    หากมีโอกาสเวลาก็ไหว้ครูท่านก่อน อันพระบรมครู องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราเคารพน้อมไว้เป็นสรณะสูงสุดครับ
     
  12. อิน

    อิน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +36
    ขอบพระคุณคุณคณานันท์เป็นอย่างสูงค่ะ
    วันนี้ได้ไหว้ครูแล้วค่ะ พรุ่งนี้จะไปทำบุญตักบาตรค่ะ

    แฮะๆ อายจัง เป็นโรคปกติของร่างกายนี่เอง

    ขออนุโมทนาในมหากุศลกับทุกๆท่าน ณ ที่นี้นะคะ
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <TABLE class=tborder id=post cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>chdhorn<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 12:16 AM
    วันที่สมัคร: Oct 2007
    ข้อความ: 378 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 2,011 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 6,628 ครั้ง ใน 370 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 398 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_ style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ ทุกๆ คน...

    ขออาราธนาบารมีพระรัตนตรัย ขอให้อำนวยพรให้ทุกๆ คนและครอบครัว มีความสุขกาย สุขใจ ไร้ซึ่งทุกข์ โศก โรค ภัย ทั้งหลายทั้งปวง... หวังสิ่งใดที่ไม่เกินกรรม และเป็นสัมมาทิฐิ ขอให้สมปรารถนา...

    สิ่งใดที่พลั้งพลาดล่วงเกินกันไปด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี... ธรกราบขออภัยทุกๆ คนมาตรงนี้ด้วยค่ะ... และอยากให้ทุกๆ คน ให้อภัยซึ่งกันและกันในสิ่งที่คนอื่นๆ อาจจะทำให้เราไม่พอใจกันบ้าง... มากบ้าง น้อยบ้าง... อโหสิกรรมให้แก่กันและกันนะคะ... แล้วเรามาเริ่มต้นสิ่งดีๆ กันใหม่ ด้วยดวงจิตที่ใสขึ้น สว่าง กระจ่าง เป็นประกายพรึกมากขึ้น...

    ขอให้ทุกๆ คนมีดวงตาเห็นธรรม เจริญในธรรม และเข้าถึงที่สุดแห่งธรรม มีพระนิพพานเป็นหลักชัยกันทุกคนนะคะ...

    (f) (f) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(f) (f)
    <!-- / message --><!-- sig -->
    ____________________________________________________________
    "บุญกุศลและความดีทั้งหลายที่ข้าพเจ้าและสมาชิกพลังจิตพิชิตภัยพิบัติได้สร้างได้บำเพ็ญมานับแต่อดีต ปัจจุบัน และจะบำเพ็ญต่อไปในอนาคต

    ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายแทบพระบาทองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเป็นพระมหาธรรมมิกราชามหาโพธิสัตว์ผู้ทรงเปี่ยมล้นไปด้วยพระคุณอันประเสริฐ อีกทั้งองค์สมเด็จพระสังฆราช ผู้ทรงเป็นองค์พระประมุขแห่งพุทธศาสนจักร

    ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนไตรและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลจักรวาล ได้โปรดอภิบาลทั้งสองพระองค์ท่านให้ทรงพระเกษมสำราญมีพระพลานามัยที่แข็งแรง ทรงพระชนมายุยิ่งยืนนาน แผ่พระบารมีปกเกล้าชาวไทยตลอดไปด้วยเทอญ

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ"
    <!-- / sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    นี่คือการเข้าถึง...ภาวะจิตแห่งนิพพาน...ที่ไม่ต้องละ...รูปกายขัณฑ์
     
  15. พุทธโกมุท

    พุทธโกมุท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +2,807
    ขอปรึกษาอย่างนี้นะครับ

    ผมสามารถจับลมสบายได้ สามารถเข้าออกฌาณได้ตามต้องการ แต่ในการจับภาพพระนั้น เมื่อเริ่มไปได้ระยะหนึ่งภาพมักจะหายไปอยู่เสมอๆ แม้ว่าจะพยายามดึงกลับมาจับภาพอีก ภาพก็หายไปอีก ไม่สามารถจับจนเป็นประกายพฤกษ์ได้ครับ แต่เมื่อภาพหายไปแล้วจิตก็ยังสามารถเป็นเป็นฌาณได้ ไม่ปรากฏภาพพระ แต่ปรากฎเป็นแสงสว่างแทน ไม่รู้ว่าแบบนี้จะใช้ได้หรือไม่ หรือว่าควรตั้งจิตแบบไหนครับ
     
  16. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถ้าเป็นผมก็จะขอให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทเจ้าช่วยสงเคราะห์ ขอให้สามารถจับภาพพระได้ด้วยเถิด
    แล้วก็ทำใจสบายๆครับ บางครั้งอารมณ์ใจหนักไปก็ทำให้ภาพหาย
    ถ้าอารมณ์ยังสบายอยู่ก็ยังจับภาพพระได้ครับ
    ถ้าอารมณ์เริ่มหนักแล้วภาพพระก็จะเริ่มๆเลือนไปครับ
    ดังนั้นแผ่เมตตากำกับด้วยก็อาจจะช่วยได้ครับ
    ของผมจะอธิษฐานขอให้สามารถสัมผัสอารมณ์จิตที่เบาสบายได้เสมอๆกำกับเอาไว้ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2008
  17. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ค่ะ การจับภาพพระ และ การจับแสงสว่าง ทำให้จิตเป็นฌานได้เหมือนกันค่ะ... แต่การจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึกนั้นกำลังฌานจะสูงกว่า เพราะเป็นฌาน 4 ระดับใช้งานได้ค่ะ...

    เวลาจะจับภาพพระให้ทำใจเบาๆ สบายๆ ค่ะ... ต้องค่อยๆ ประคองจิตให้ทรงอยู่ในอารมณ์นั้นให้ได้นานขึ้น... ค่อยๆ ทำนะคะ... พอค่อยๆ ประคองจิตไปอีกสักระยะ จิตเขาจะเริ่มชิน แล้วจะทรงภาพพระท่านได้เป็นปกติเองค่ะ...

    โมทนาในผลการปฏิบัติด้วยค่ะ
     
  18. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    อยากจะลองเล่าถึงประสบการณ์การปฏิบัติธรรมของตัวเองนะครับ
    -ตอนแรกเริ่มที่ผมคิดอยากจะปฏิบัติธรรมเพราะว่าเห็นทุกข์จากความรักครับ
    (ตอนนั้นคิดว่าถ้าไม่แต่งงานจะบวชตลอดชีวิตเพราะไม่มีเหตุผลในการมีชีวิตอยู่)
    -ต่อมาผมก็เลยสนใจศึกษาธรรมะโดยเริ่มจากการบ้าปริยัติผมก็บ้าอ่านแต่ปริยัติแล้วก็พิจารณา กับปฏิบัตินิดๆหน่อยๆ แล้วก็โง่หลงว่าตัวเองได้โสดาบัน โง่มากๆเลยผม
    -แต่รู้สึกว่าอารมณ์มันตกก็เลยรู้ว่าไม่ใช่ เลยพยายามจับลมหายใจ แต่จับยังไงก็ทำไม่ได้เพราะว่าวางอารมณ์ใจหนักไป จับอยู่หลายเดือน อารมณ์หนักดิ้นไปดิ้นมาอยู่สามเดือน ผมพยายามจับวิปัสสนาแบบผิดๆอยู่ตั้งนานก็มิน่าถึงอารมณ์แห้งแถมไม่ก้าวหน้าอีกต่างหาก
    -ต่อมาได้มาเจอกับอาจารย์ก่อนพี่เล็ก ซึ่งท่านบอกว่านิพพานเป็นเมืองแก้ว ทำเอาผมงงไปหลายวันเพราะ หลงโง่คิดมาตลอดว่านิพพานคือความว่างที่แผ่ขยายออกไปอย่างไร้ขอบเขตแล้วก็เรียกว่าว่างอย่างที่สุด จริงๆคืออรูป
    -นิพพานจริงๆแล้วคือเมืองแก้ว ย้ำว่าคือเมืองแก้ว
    -ซึ่งอาจารย์ท่านนั้นก็ให้ผมทำหลายอย่างเช่นใช้หนี้กรรม ฝึกมโน จับภาพพระ จินตนาการว่ากราบพระท่าน ซึ่งก็ได้ผลบ้างในระดับหนึ่ง แต่ตอนแรกก็ทำไม่เป็นมองอะไรไม่เห็น
    -เพราะดันไปคิดว่าตาทิพย์คือการมองเห็นด้วยตาเนื้อ จริงๆแล้วตาทิพย์คือการเห็นในมโนภาพ เหมือนการนึกถึงหน้าคุณพ่อคุณแม่ดีๆนี่เอง แค่นี้แหละ
    -ต่อมาผมจึงไปฝึกมโนต่อที่ซอยสายลม ซึ่งก็ทำตามที่อาจารย์บอกทุกๆประการ แล้วก็ไม่มีปัญหาเพราะอาจารย์ท่านก่อนให้พื้นฐานมาแล้ว
    -พอผมได้ปุ้ป ก็บ้าเห่อ วันๆไม่เรียนจับแต่ภาพพระนิพพาน เรียนอะไรไม่สนแล้ว ผมจะไปพระนิพพานให้ได้
    -ต่อมาก็ยังรู้สึกว่าอารมณ์หนักอยู่ จนกระทั่งมาเจอพี่คณานันท์ที่สอนให้ผมวางอารมณ์ให้เบาสบาย
    -วันที่ผมจะมาฝึกที่สวนลุมพินีครั้งแรก ก็ไม่วายหาสถานที่ฝึกไม่เจอ
    ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี นั่งรอผิดที่อยู่ตั้งนาน จนรู้สึกว่ามันไม่ใช่
    ตอนนั้นผมก็เลยจับภาพพระนิพพาน แล้วก็บอกว่า หากผมมีบุญพอจะได้มาฝึก ขอให้หาสถานที่ฝึกเจอ ต่อมาก็หาเจออย่างน่าอัศจรรย์ สร้างความศรัทธาให้ผมอย่างยิ่ง โชคดีมากๆ
    -ต่อมาผมก็ฝึกกับพี่คณานันท์มาเรื่อยๆ พร้อมกับฝึกกับอาจารย์ท่านเก่าด้วย
    -ก็มาถึงจุดหนึ่ง ที่ผมเกิดความคิดบ้าๆว่า เออ ภายในอาทิตย์นี้นี่แหละ เราจะบรรลุแล้วเหาะไปบวชในป่า โคตรหลงตัวเองเลย มานะทิฏฐิสุมแบบนี้มีหวังต้องคลานไป
    -ผมก็เลยจับลมสบาย ทรงภาพพระ แล้วก็จับวิปัสสนาตลอด
    ช่วงนั้นผมยังหลงผิดอยู่ คือดันไปคิดว่าวิปัสสนาไม่ใช่การพิจารณา ตอนนี้ถึงจะรู้ว่าวิปัสสนาจริงๆคือต้องพิจารณา แต่ต้องพิจารณาในฌาณ
    พิจารณาให้เรารู้สึกว่าการเกิดเป็นทุกข์แล้วไม่อยากเกิด
    ซึ่งผมก็ไปเช็คมาแล้วจากคำสอนของพระสุปัณโณว่าวิปัสสนานั้นต้องพิจารณา
    เราจะทำอะไรอยู่เรื่อยๆ แล้วจะให้บรรลุมันไม่มีทาง
    -ตอนนั้นวิปัสสนาไม่เป็น ดันไปหลงผิด ดังนั้นจึงเหลือแต่สมถะ ผมก็เลยจับลมไปเรื่อยๆ จนเกิดความเย็นสบาย เบา แผ่เมตตาไปเรื่อยๆ
    แล้วก็หลงครั้งที่สาม ครั้งที่สองลืมไปแล้วว่าเมื่อไหร่ หลงว่าบรรลุพระโสดาบัน
    โง่มากๆ พอหลงปุ้ป ก็เลยคิดได้ว่า เออถ้าเราบรรลุจริง อภิญญาต้องรวมตัว แถมอารมณ์ต้องคงที่ไม่ตก ก็เลยไปลองใช้อภิญญา 555+
    ใช้ไม่ได้หรอก ถ้าใช้ได้ก็แปลกแล้ว
    -วันรุ่งขึ้นอารมณ์ตก เลยรู้ว่า เราเผลอไปอีกแล้ว
    -ปกติผมก็อ่านหนังสือของหลวงพ่อฤาษี มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
    ก็เลยจำคำสอนของท่านที่สุดยอดมากข้อหนึ่งว่า
    เมื่อใดที่เรายังคิดว่าเรายังเลวอยู่ เรายังพอจะเหลือความดีอยู่บ้าง
    เมื่อใดที่เราคิดว่าเราดีเลิศสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เราก็ไม่เหลือความดีแล้ว
    เป็นคำสอนที่ผมจำมาเสมอจนถึงทุกวันนี้
    -ตั้งแต่ผมเริ่มสนใจธรรมะจนถึงตอนนี้ก็ประมาณ7เดือนแล้วครับ
    ซึ่งก็รู้สึกว่าสามารถขจัดความเลวออกไปได้เยอะมากๆ
    แต่ว่ายังเหลือความเลวอีกเยอะมากกว่าอีกหลายเท่านัก ที่ต้องรอให้ขจัด
    ผมมีจิตใจที่เมตตามากขึ้น เข้าใจครูบาอาจารย์ และเคารพในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมากขึ้น อันนี้เด่นชัดขึ้นมาเลย
    -ผมสามารถแยกแยะได้ว่าครูบาอาจารย์ท่านไหนเป็นสัมมาทิฏฐิ ท่านไหนเป็นมิจฉาทิฏฐิ
    ซึ่งครูบาอาจารย์ที่เป็นมิจฉาทิฏฐินั้น ก็มีอยู่เยอะ และผมก็เคยไปหลงคิดว่าท่านนั้น เป็นผู้ที่มีความดีควรแก่การเคารพ เพราะว่าเหมือนจริงมากๆ ทั้งหลักปฏิบัติ ทั้งทฤษฎีเหมือนจะถูกต้องสุดๆ แถมยังมีชื่อเสียงรู้จักกันเยอะเหมือนกัน
    ซึ่งตอนแรกที่ผมได้ยินว่าท่านเป็นมิจฉาทิฏฐิผมก็ไม่เชื่อ เรื่องอะไรจะเชื่อ จนเราได้เห็นมากับตาว่าถ้ายังฝึกแบบนี้ต่อไป จิตใจเราจะแห้ง เราจะหลงตัวเองทะนงตน คิดว่าเรามีอภิญญาอย่างอ่อนๆ แล้วก็ถูกครอบเอาไว้ด้วยมิจฉาทิฏฐิ
    หากผมตายตอนนั้นผมคงจะต้องดิ้นๆ อยู่ข้างล่างแน่ๆเลย น่ากลัวๆ
    -ส่วนครูบาอจารย์ที่ท่านเป็นสัมมาทิฏฐินั้น ท่านจะไม่บิดปริยัติ เบือนปฏิบัติ
    แล้วสร้างทฤษฎีของตัวเองขึ้นมาหลอกพุทธศาสนิกชน
    ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นสัมมาทิฏฐินั้น ท่านจะมีคลื่นจิตที่เย็น ที่เบาที่สบาย
    เราจะรู้สึกมีความสุขเวลาอยู่ใกล้ๆ อย่างเช่นหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ทุกๆคนคงจะไม่เถียง แค่เราคิดถึงท่าน ก็มีความสุขแล้ว
    -แต่ผมก็ยังมีอารมณ์หนักอยู่เรื่อยๆ เพราะว่าชอบหลงไปใช้กำลังตัวเอง ไปใช้พลังตัวเอง
    ผมพึ่งจะมารู้ว่าเราควรที่จะใช้กำลังของเบื้องบน โดยการอธิษฐานขอให้เบื้องบนเมตตาสงเคราะห์ เท่านี้ก็พอแล้ว
    -ตอนแรกผมก็หลงผิดไปคิดว่าการขอเบื้องบนมากๆ จะแปลว่าเราขี้เกียจ เราไปรบกวนท่าน ต่อมาผมจึงรู้ว่าแม้แต่ครูบาอาจารย์ ท่านก็จะขอจากเบื้องบนทุกๆครั้งเวลาจะสอน ทั้งนี้เพราะว่าผู้ที่จะสอนได้อย่างไร้ที่ติมีแต่เพียงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
    แล้วเราเป็นใครจึงริอาจยกตนไปเปรียบกับพระองค์ แล้วใช้กำลังอันน้อยนิดดุจผงธุลีของเราเพื่อสอนผู้อื่น
    หากเบื้องบนไม่เมตตาสงเคราะห์ แม้แต่จะขณิกสมาธิ คนเช่นเราก็คงไม่มีวันเข้าถึงได้หรอก
    -การกระทำวิปัสสนาก็ดี ผมก็หลงผิดอยู่หลายเดือน ว่าวิปัสสนาไม่ใช่การพิจารณา
    ซึ่งจริงๆวิปัสสนาต้องพิจารณา ถ้าไม่พิจารณามันก็เป็นเพียงแค่องค์ความรู้ที่เราได้รับมา
    ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงนิสัยหรือพฤติกรรมเราได้
    -การก้าวหน้าในธรรมอย่างแท้จริงอยู่ที่การเปลี่ยนนิสัย
    หากเราไปหลงคิดว่าตัวเองมีความก้าวหน้าสุดๆ สามารถได้อภิญญาอย่างอ่อนๆ แล้วก็หลงติดในความเป็นทิพย์ของตัวเอง
    โดยที่นิสัยของเราก็ยังเลวอยู่เหมือนเดิม โดยไม่พัฒนา แถมยังเห็นแก่ตัวขึ้นอีกต่างหาก ก็แปลว่านอกจากเราจะไม่ก้าวหน้าแล้วแถมยังจะถอยหลังลงอบายอีกต่างหาก
    -นั่นก็คือตัวอย่างประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรมของผมนะครับ
    ซึ่งจะสังเกตุได้ว่ายังมีข้อบกพร่องอยู่อีกเยอะมาก แถมยังหาความดีไม่ค่อยจะได้เสียอีก
    แต่ก็คิดว่าจะมีประโยชน์กับทุกๆท่าน สามารถช่วยให้ทุกๆคนสามารถผ่านความหลงดี ความหลงเก่ง ความหลงในอำนาจทิพย์ของตัวเอง ได้อย่างรวดเร็วนะครับ

    ขอให้ทุกๆคนเข้าถึงซึ่งพระนิพพานโดยฉับไว แล้วเมตตามาสอนผมบ้างนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2008
  19. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ที่คุณโจ้จับภาพพระไม่ได้ตลอดนั้นเนื่องจาก วางอารมณ์ใจหนักไปนิดหนึ่งครับ

    เริ่มต้นให้จับลมหายใจสบาย คลายอารมณ์หนัก อารมณ์กังวลลึกๆ อันเป็นนิวรณ์ห้าออกไป จากนั้น เจริญพรหมวิหารสี่ให้ใจของเราชุมเย็นก่อน พร้อมกับได้ข้อศีลไปพร้อมๆกันด้วย

    แล้วจึงเริ่มทรงภาพพระไว้ในจิต เมื่อจิตสบายก็เริ่มพิจารณา ตัดกายไปทีละน้อย เจริญวิปัสนาญาณจนจิตเบาขึ้นสะอาดขึ้น

    คราวนี้จึงเริ่มขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านเมตตาคุมญาณ คุมจิตเราในกรรมฐานครับ คราวนี้จะสว่างเป็นแก้วระยิบระยับเลย

    ใช้ได้กับทุกๆท่านครับ ขอให้ใจเราเย็นๆสบายๆครับ
     
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอกราบโมทนาในธรรมและผลแห่งการปฏิบัติธรรมของน้องชัชด้วยครับ


    ขอให้ทุกๆคนเจริญในธรรมและตั้งมั่นในสัมมาทิษฐิตลอดไปครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...