ติดตามสถานะการณ์

La nueva era de la tierra - respaldo

ความเสียหายการทำลายล้างในตุรกีโดยแผ่นดินไหว ขนาด 5.7 ที่ผ่านมา

แผ่นดินไหว ขนาด 6.4 และถูกลดขนาดลงเหลือ ขนาด 5.7

 

La nueva era de la tierra - respaldo



กล้องจับภาพช่วงเวลาของแผ่นดินไหวที่รุนแรงของขนาด 5.7 ในตุรกีจากชั่วโมงที่ผ่านมา

 

โดนกระหนาบ ด้วยไซโคลน

Clima Extremo 24

มหาสมุทรแปซิฟิกและอินเดีย



ออสเตรเลียจะเกิดพายุไซโคลน 2 ลูก กับคอนเวกเตอร์ ซึ่งเกิดระเบิดขึ้นระหว่างสองมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย

รูปภาพของพายุไซโคลนเทรเวอร์ ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิกที่ขึ้นฝั่งในรัฐควีนส์แลนด์ การพัฒนาของพายุไซโคลนเวโรนิก้า และในที่สุดเฮ็กเตอร์ระหว่างไซโคลนทั้งสองลูกในพื้นที่ของออสเตรเลียจะถึง 40 ° C ถึง 600 มม. ฝนในเวลาเพียงหนึ่งวัน

อีกด้านหนึ่งของออสเตรเลียคือ ไซโคลน Veronica ในฐานะพายุเฮอริเคนที่มีขนาดใหญ่กว่า +1000 มม. มีรายงานว่ามีไซโคลนก่อตัวอีกหนึ่งและสองในกระบวนการของพวกเขาในอีกมหาสมุทรมหาสมุทรอินเดีย ฉันจะรายงานเกี่ยวกับอีกสองลูกต่อไปในมหาสมุทรอินเดียในสิ่งพิมพ์อื่น

 

Clima Extremo 24

มหาสมุทรอินเดีย



ภาพห่วงโซ่ของระบบเขตร้อน 4 ระบบติดต่อกันในซีกโลกใต้ พายุหมุนเขตร้อน เทรเวอร์, เวโรนิกา, ซาวันนาห์, เฮ็กเตอร์ ...รูปภาพของ SSEC / CIMMS Real Earth ข้อมูลยังอยู่ในการพัฒนา

 

Clima Extremo 24

สหรัฐอเมริกา



พายุลูกเห็บที่ลองบีช ลอสแองเจลิส แคลิฟอร์เนีย บ่ายวันนี้ 20 มีนาคม

 

Clima Extremo 24


สหรัฐอเมริกา



ปริมาณลูกเห็บและฝนทำให้เกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่ของบ่ายนี้ที่ลองบีช ลอสแองเจลิส แคลิฟอร์เนีย

 

Clima Extremo 24


จีน



การทำลายที่รุนแรงในวันที่ 19 มีนาคมในยูนนาน จีน ทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงที่ส่งผลต่อหลังคารถยนต์ฯลฯ..

 

Clima Extremo 24


ออสเตรีย



ช่วงเวลาที่น่าประหลาดใจกับนักเล่นสกี หิมะถล่มในเทือกเขาแอลป์ของออสเตรีย


นักเล่นสกีในออสเตรียจับช่วงเวลาที่หิมะตกอยู่ภายใต้เขา และคนอื่นทำให้เกิดหิมะถล่ม น่าแปลกที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่นักสกีต้องได้รับการช่วยเหลือ

 

กฏหมายภาษี e-Payment ประกาศใช้แล้วเก็บภาษีพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์มีผลบังคับใช้21มี.ค.62 ฝ่าฝืนโทษปรับวันละ 10,000 บาท



Last updated: 20 มีนาคม 2562 | 23:38

กฏหมายภาษี e-Payment ประกาศใช้แล้ว! เก็บภาษีพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์มีผลบังคับใช้ 21 มีนาคม 2562 ชี้ธุรกรรมที่เข้าข่ายคือพวกฝากหรือโอนทุกบัญชีรวมกันมากถึง3,000ครั้งขึ้นไปหรือฝากหรือโอนเงินมากตั้งแต่ 400 ครั้งหรือยอดรวมโอนเงินตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป รมช.คลัง'วิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ'ชี้กฏหมายนี้ไม่กระทบการใช้เงินสดของประชาชน แต่ช่วยป้องปรามกลุ่มธุรกิจสีเทาด้วย

20 มีนาคม 2562- เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาประกาศเผยแพร่ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้ 21 มี.ค. 2562 เพื่อเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ให้ใช้ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มาอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ซึ่งรวมถึงการชำระภาษี ทั้งนี้ผลจากการบังคับใช้ จะทำให้ร้านขายของออนไลน์

กฎหมายเก็บภาษีพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์หรือ กฎหมายภาษีอีเพย์เมนต์นี้ ใจความสำคัญของกฎหมายนี้ได้ระบุว่า หากมีธุรกรรมใดธุรกรรมหนึ่งที่เข้าข่ายต้องเสียภาษี ได้แก่

1 ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 3,000 ครั้งขึ้นไป

2 ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 400 ครั้ง และมียอดรวมของธุรกรรมฝากหรือ รับโอนเงินรวมกันตั้งแต่ 2,000,000 บาทขึ้นไป

ใครที่เข้าข่ายจะต้องส่งส่งรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่มีธุรกรรมลักษณะเฉพาะต่อกรมสรรพากรครั้งแรกภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563 หากใครไม่กำหนดปฎิบัติตามได้กำหนดบทลงโทษทางปรับทางปกครองไม่เกิน “100,000 บาท” และปรับอีกไม่เกินวันละ “10,000 บาท” ตลอดเวลา ที่ยังฝ่าฝืนอยู่หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง รวมถึงปรับปรุงอัตราโทษ กรณีเจ้าพนักงานเปิดเผยข้อมูลของผู้เสียภาษี หากฝ่าฝืน มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธาน กมธ. กล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เจาะจงเก็บภาษีเฉพาะผู้ค้าออนไลน์เท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มการจัดเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพ เพราะจากตัวเลขของกลุ่มที่ใช้แรงงาน อายุ 30 - 39 ปี ที่มี 10.7 ล้านคน พบว่าเป็นผู้มีเงินเดือนประจำ 8.2 ล้านคน ยื่นเสียภาษี 5.2 แสนราย และไม่มีระบบเงินเดือน 2.5 ล้านคน โดยยื่นเสียภาษี 3.1 แสนคน ขณะที่ส่วนนิติบุคคลที่เสียภาษี มี 6.4 แสนราย และยื่นแบบเสียภาษีเพียง 4.2 แสนราย ทำให้สร้างภาระทางการคลัง

“ผมยืนยันว่าร่างกฎหมายนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้เงินสดของประชาชน อีกทั้งผลดีของร่างกฎหมายคือช่วยตรวจสอบ และป้องปรามกลุ่มธุรกิจสีเทาได้ด้วย”






First posted: 20 มีนาคม 2562 | 23:38

http://www.thaitribune.org/contents/detail/303?content_id=34973&rand=1553099892

 

ทนไม่ไหว ปลัด 6 ราย ขอย้ายหนีนายอำเภอ

ข้าราชการและพนักงานราชการที่ทำการปกครองอำเภอทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช รวม 8 คน ประกอบด้วย ปลัดอำเภอ 6 คน เสมียนตรา 1 คน พนักงานราชการ 1 คน ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดขอย้ายไปที่อื่นเหตุทนพฤติกรรมการบริหารงานของนายอำเภอไม่ไหว แสวงหาผลประโยชน์โดยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปดำเนินการแทน

อ่านต่อ ::

 

VOA Thai

ทีมดับเพลิงทำงานอย่างหนักเมื่อวันจันทร์ เพื่อควบคุมเหตุเพลิงไหม้โรงงานปิโตรเคมีในฮิวสตัน รัฐเท็กซัส โดยเพลิงไหม้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ แต่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บจากเพลิงไหม้ครั้งนี้ ตามรายงานของเอพี
#VOATHAI #VOANEWS

 

จีนก็ยังคงเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาต่อไป

'ทรัมป์' ยืนยันเก็บภาษีนำเข้าจีนต่อไปแม้จะบรรลุข้อตกลงการค้ากันได้ มีนาคม 21, 2019

FILE - Shipping containers, including one labelled "China Shipping," are stacked at the Paul W. Conley Container Terminal in Boston, Massachusetts, May 9, 2018.
WHITE HOUSE —
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันพุธว่า มาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจะยังคงมีอยู่ต่อไป แม้ว่าสหรัฐฯ จะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีนได้แล้วก็ตาม

ปธน.ทรัมป์ ระบุว่า การจัดทำข้อตกลงกำลังเดินหน้าไปอย่างราบรื่น โดยผู้แทนการค้าสหรัฐฯ โรเบิร์ต ไลท์ธิเซอร์ และรัฐมนตรีการคลังสหรัฐฯ สตีเว่น มนูชิน จะเดินทางไปจีนในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเพื่อหารือเรื่องนี้

และว่า จนถึงขณะนี้สหรัฐฯ มีรายได้จากภาษีนำเข้าที่เก็บกับสินค้าจากจีนแล้วหลายพันล้านดอลลาร์ และจะเป็นเช่นนี้ต่อไป

การตอบโต้ทางภาษีระหว่างสองประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าในขณะนี้

ปัจจุบัน สหรัฐฯ กับจีนทำการค้าระหว่างกันเป็นมูลค่ากว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี โดยจีนได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ หลายหมื่นล้านดอลลาร์



President Donald Trump talks to reporters as he departs on travel to Ohio from the White House in Washington, March 20, 2019.
และในวันพุธ ปธน.ทรัมป์ เดินทางไปยังรัฐโอไฮโอ ที่ตั้งของบริษัทรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในอเมริกา เจเนอรัล มอเตอร์ส ที่เพิ่งประกาศปิดโรงงานประกอบรถยนต์ขนาดเล็ก ส่งผลกระทบต่อคนงานหลายพันคน

ปธน.ทรัมป์ กล่าวตำหนิทางทวิตเตอร์ว่า ตนไม่พอใจอย่างยิ่งที่จีเอ็มตัดสินใจปิดโรงงานดังกล่าวเมื่อต้นเดือนนี้ ทั้งที่ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศกำลังขยายตัว


FILE - Employees watch as the last Chevrolet Cruze rolls off the assembly line at the General Motors Co assembly plant in Lordstown, Ohio, March 6, 2019, in this photo obtained from social media.

https://www.voathai.com/a/even-with...f69lluOSmAp2VqNvHYrW45v9Ob7jEtBIe1D4FKmh77CoM

 

ธนาคารกลางสหรัฐฯ คาดยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยตลอดปีนี้
มีนาคม 21, 2019

A screen on the floor of the New York Stock Exchange shows the rate decision of the Federal Reserve, March 20, 2019.
WASHINGTON —
ระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserves - Fed) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในวันพุธ และคาดว่าจะไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลอดปีนี้ โดยให้เหตุผลว่าจะรอดูตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ให้เพิ่มขึ้นในระดับที่มีเสถียรภาพเสียก่อน

นั่นหมายความว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ที่ระดับ 2.25% - 2.5% ต่อไปจนถึงสิ้นปี โดยผู้กำหนดนโยบายของ Fed คาดการณ์ด้วยว่า จะมีการขึ้นดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปีหน้า และไม่ขึ้่นเลยในปี ค.ศ. 2021

ก่อนหน้านี้ Fed คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจอเมริกาปีนี้จะขยายตัวที่ระดับ 2.1% แต่แถลงการณ์ที่เปิดเผยในวันพุธ ระบุว่ากำลังมีความกังวลเพิ่มขึ้นต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

นักวิเคราะห์คาดว่า หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอการเติบโตลงจริงๆ Fed อาจต้องหันมาใช้นโยบายลดอัตราดอกเบี้ยแทน


Federal Reserve Chair Jerome Powell gathers his notes as he concludes his news conference in Washington, March 20, 2019.
เมื่อปีที่แล้ว Fed ขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 4 ครั้ง เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ ตำหนิว่า Fed ขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินไป ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ และเศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ที่ผ่านมา ผู้นำสหรัฐฯ วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของประธานคณะผู้ว่าการของ Fed นายเจอโรม พาวเวลล์ หลายครั้งว่าทำร้ายเศรษฐกิจอเมริกัน รวมทั้งนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ย

การที่ผู้นำฝ่ายบริหารออกมาตำหนิการทำงานของธนาคารกลางสหรัฐฯ นั้น ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักในช่วงหลายสิบปีมานี้ เนื่องจากความเป็นอิสระของ Fed ถือเป็นส่วนสำคัญต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เอง


https://www.voathai.com/a/federal-r...gDVNp4v4o78i9bLPZTvoREtiKJqSGOa6YA5k0P4xxfCwE

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Mar 21) ทรัมป์ลั่นสหรัฐเดินหน้าเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีน จนกว่าจีนจะทำตามข้อตกลง : ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวในวันนี้ว่า สหรัฐจะยังคงดำเนินมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าของจีนต่อไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าจีนจะยอมทำตามข้อตกลงทางการค้าที่สหรัฐกำลังทำกับจีน

"เราไม่ได้หารือกันเกี่ยวกับการยกเลิกภาษี แต่กำลังหารือในเรื่องที่ว่าจะยังคงมีมาตรการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้าจีนต่อไปเป็นเวลานาน เนื่องจากเราต้องการสร้างความมั่นใจว่า ถ้าเราทำข้อตกลงกับจีนแล้ว จีนจะต้องทำตามข้อตกลง" ปธน.ทรัมป์กล่าว

คำกล่าวของปธน.ทรัมป์มีขึ้น ท่ามกลางข่าวหลายกระแสที่แตกต่างกันเกี่ยวกับผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า คณะเจรจาการค้าของสหรัฐและจีนเตรียมจัดการเจรจารอบใหม่ในสัปดาห์หน้า เพือหาทางยุติความขัดแย้งทางการค้า
ทั้งนี้ รายงานระบุว่า นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ และนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ จะเดินทางไปยังกรุงปักกิ่งในสัปดาห์หน้าเพื่อเจรจากับนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน ขณะที่นายหลิว เหอ และคณะจะเดินทางมายังกรุงวอชิงตันในสัปดาห์แรกของเดือนเม.ย.เพื่อหารือกับคณะเจรจาการค้าของสหรัฐ

รายงานยังระบุว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนกำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว โดยทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมายที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าภายในสิ้นเดือนเม.ย.
อย่างไรก็ดี สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวระบุว่า ผู้แทนเจรจาการค้าของสหรัฐบางคนได้แสดงความกังวลว่า จีนกำลังบ่ายเบี่ยงที่จะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องทางการค้าของสหรัฐ แม้ว่าปธน.ทรัมป์จะมีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงการค้า

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่จีนได้เปลี่ยนจุดยืน เพราะหลังจากที่จีนยอมทำการเปลี่ยนแปลงนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว รัฐบาลสหรัฐก็ยังไม่ได้ให้การรับประกันว่าจะยกเลิกการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีน

Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

-
https://www.bloomberg.com/news/arti...58p2VDdUKl5DzNI2dNKTjBMZ8VF1J22ge-V7-uyWCzb2k

 

Bank of Thailand Scholarship Students



(Mar 21) หั่น'จีดีพี'เหลือ3.8%ลดคาดการณ์'ส่งออก-ลงทุน-บริโภค'ยกแผง กนง.ปิดประตูขึ้น'ดอกเบี้ย’ :มติ กนง. พลิกกลับมาเป็น "เอกฉันท์" โดยให้ "คง" ดอกเบี้ยที่ 1.75% หลังความไม่แน่นอนเศรษฐกิจโลก-ไทยเพิ่มขึ้น พร้อมหั่น "จีดีพี" ปีนี้ลงเหลือ 3.8% ขยับไส้ในลงยกแผง พร้อมปัด ตอบคำถามสื่อ หวั่นกระทบเลือกตั้ง ด้าน "นักเศรษฐศาสตร์" ชี้ประตูดอกเบี้ยขาขึ้น ปิดแล้ว ขณะ เงินบาทร่วง หลังผลประชุม เซอร์ไพร์สตลาดเงิน

ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวานนี้(20มี.ค.) มีมติ "เอกฉันท์" 7 ต่อ 0 เสียง ให้ "คง" ดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% โดยมีกรรมการ 2 เสียง ที่เปลี่ยนผลโหวต จากเดิมที่เคยเสนอให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบที่ผ่านมา (6 ก.พ.62) เป็นให้คงดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ ขณะที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า มติ กนง. ที่ออกมาในครั้งนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณสิ้นสุดดอกเบี้ยขาขึ้น

นอกจากนี้ กนง. ยังได้ปรับลดคาดการณ์ การขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงเหลือ 3.8% จากเดิม 4% โดยเป็นการปรับลดลงแบบยกแผงในทุกภาคเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐ การส่งออกและการนำเข้า อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่มีมากขึ้น

นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการ กนง. กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ใกล้เคียงศักยภาพ และชะลอลงกว่าที่ประเมินไว้ จากอุปสงค์ต่างประเทศที่ชะลอตัว แต่อุปสงค์ในประเทศก็ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินที่ต้องติดตามต่อเนื่อง ประกอบกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและปัจจัยในประเทศที่มีสูงขึ้น โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐ จีน ที่จำเป็นต้องติดตาม รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลัก ที่อาจส่งผลกระทบมาสู่อุปสงค์ในประเทศได้

ขณะเดียวกัน ยังมีความไม่แน่นอนในประเทศ ทั้งจากการใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ ทั้งการบริโภคและการลงทุน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความล่าช้าของโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจบางแห่ง ซึ่งอาจมีผลต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปได้ ดังนั้นปัจจัยเหล่านี้จึงถือเป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตาม

"กนง.เห็นควรให้คงดอกเบี้ยไว้ เพื่อรอประเมินผลกระทบจากปัจจัยต่างๆให้ชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกันมองว่า ระดับนโยบายการเงินในปัจจุบัน ถือเป็นระดับที่ผ่อนคลาย ช่วยสนับสนุนการขยายตัวเศรษฐกิจและสอดคล้องกับเป้าหมายเงินเฟ้อ”

หั่นจีดีพีเหลือ3.8%ส่งออกโตเหลือ3%

ส่วนสาเหตุที่ กนง. ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเหลือ 3.8% จากเดิมที่ 4% เนื่องจากการส่งออกที่ชะลอลง จากอุปสงค์ในต่างประเทศ ทำให้กนง.ปรับลดคาดการณ์การส่งออกลงเหลือ 3.0% ในปีนี้ จากเดิมที่คาดขยายตัว 3.8% เช่นเดียวกับมูลค่านำเข้าที่ปรับลดลงเหลือ 3.1% จาก 3.8%

นอกจากนี้ ยังปรับลดการบริโภคเอกชน เหลือ 3.9% จาก 4.0% การลงทุนเอกชนเหลือ 4.4% จาก 4.5% และการลงทุนภาครัฐ 6.1% จาก 6.6%

"การปรับจีดีพีรอบนี้ สาเหตุหลักมาจากการปรับมุมมองส่งออกที่ชะลอตัวลงชัดเจน และกนง.ยังให้ทีมสตาฟของธปท.ติดตามผลกระทบจากสงครามการค้า จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด ว่ามีผลกระทบมากกว่าที่คาดหรือไม่”

หั่นเงินเฟ้อพื้นฐานลงเหลือ 0.8%

ทั้งนี้ หากดูการปรับประมาณการเศรษฐกิจรอบนี้ กนง.ยังปรับตัวเลขอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงด้วย เหลือ 0.8% จาก 0.9% เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง จากการขยายตัวของธุรกิจ e-commerce การแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น รวมถึงพัฒนาการของเทคโนโลยีจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นได้ช้ากว่าในอดีต

นอกจากนี้ กนง. ยังขอให้ติดตามดูอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด โดยค่าเงินบาทอ่อนค่าลงหากเทียบกับประชุมครั้งก่อน แต่ยังเคลื่อนไหวสอดคล้องกับสกุลเงินในภูมิภาค ส่วนระยะข้างหน้ามีแนวโน้มผันผวนจากความไม่แน่นอนทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้นกนง.จึงขอให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนเสถียรภาพระบบการเงินยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะความเสี่ยงที่อาจสร้างความเปราะบางต่อเสถียรภาพการเงินในอนาคตได้ แต่จากการใช้มาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมา มีส่วนช่วยดูแลการสะสมความเปราะบางในระบบการเงินจากพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้ในระดับหนึ่ง

แต่ยังต้องติดตามพัฒนาการจากตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย การปรับตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ การขยายสินทรัพย์ของสหกรณ์ออมทรัพย์ รวมทั้งทิศทางการก่อหนี้ของภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่อาจประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าว กนง. ในครั้งนี้ นายทิตนันทิ์ งดตอบคำถามสื่อมวลชนในทุกเรื่อง เพราะเป็นช่วงที่ใกล้กับการเลือกตั้ง จึงไม่อยากให้มีความเห็นใดออกมา โดยจะมีการจัดแถลงข่าวพร้อมตอบคำถามอีกครั้งในการประชุมนักวิเคราะห์ ช่วงเดือนเม.ย.ที่จะถึงนี้

ชี้สัญญาณกนง.ปิดประตูขึ้นดอกเบี้ย

นายสมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารสายวิจัยหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรี กล่าวว่า มติเอกฉันท์ของ กนง. ในครั้งนี้ ทำให้ต้องปรับมุมมองนโยบายการเงินใหม่ โดยคาดว่าในปีนี้ กนง. ไม่น่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว จากเดิมที่คาดว่าจะปรับขึ้นอีกครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี

"ถือว่าปิดก๊อกการขึ้นดอกเบี้ยไปเลย มุมมองเราเปลี่ยนทันที เป็นหยุดการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ และหากคำนวณโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยครั้งต่อไป ก็พบว่าโอกาสคงดอกเบี้ยรอบเดือน พ.ค.อยู่ที่ 82 % เช่นเดียวกันรอบเดือน มิ.ย.ที่พบว่าโอกาสขึ้นดอกเบี้ยมีน้อย ดังนั้นเราต้องเปลี่ยนมุมมองด้านดอกเบี้ยใหม่ เพราะการสื่อสารรอบนี้ชัดเจนมาก”

นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า มติของ กนง. ในรอบนี้สะท้อนให้เห็นว่า ไม่มีความจำเป็นในการขึ้นดอกเบี้ย และยังสะท้อนว่าเศรษฐกิจในปัจจุบันมีความเสี่ยงมากขึ้นกนง.จึงปรับจีดีพีลดลง ดังนั้นเชื่อว่าจากปัจจัยความเสี่ยงต่างๆก็น่าจะทำให้กนง.น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องไปอีกสักระยะ และคาดว่าไตรมาส 4 จะกลับมาพิจารณาอีกครั้ง ว่ามีความจำเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่

เงินบาทพลิกอ่อนค่า

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า มติกนง.ที่ผิดไปจากการคาดการณ์ของตลาด ส่งผลให้เงินบาทวานนี้ (20 มี.ค.) อ่อนค่าลง โดยมีระดับสูงสุดของวันที่ 31.79 บาท ก่อนมาปิดตลาดที่ 31.75 ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเปิดตลาดเช้าที่ระดับ 31.67 บาท

อย่างไรก็ตาม เรายังเชื่อว่าการ "ขึ้นดอกเบี้ย" จะกลับมาเป็นประเด็นหารืออีกครั้งเมื่อเศรษฐกิจโลกกลับมาขยายตัวดี และปัจจัยในประเทศเริ่มนิ่ง

ทั้งนี้ มติ 7 ต่อ 0 และการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจ "ลดโอกาส" การขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น แม้เหตุผลที่ กนง.ใช้ในการตัดสินใจคือความเสี่ยงระยะสั้น แต่เราเชื่อว่ากนง.กำลังส่งสัญญาณว่า เศรษฐกิจไม่แข็งแกร่งเหมือนปีก่อน จึงมีความเป็นไปได้สูง ที่จะเห็นดอกเบี้ยนโยบายหยุดที่ระดับ 1.75% ไปจนกว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นอย่างชัดเจน

สำหรับประเด็นที่ต้องติดตาม คือเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยหลังเลือกตั้ง ในกรณีพื้นฐาน เรามองว่าสหรัฐและจีนจะสามารถหาข้อตกลงทางการค้าได้ปีนี้ ซึ่งจะช่วยฟื้นแนวโน้มการส่งออก ขณะที่ในฝั่งเศรษฐกิจไทย ก็อาจฟื้นตัวได้เมื่อการเมืองมีเสถียรภาพ เพราะปัจจัยดังกล่าวสามารถเพิ่มความเชื่อมั่น ได้ทั้งในด้านการลงทุนและการบริโภค

Source: กรุงเทพธุรกิจ

 

In Clips: คณะลูกขุนศาลเมืองซานฟรานฯตัดสิน “ยาฆ่าหญ้าราวด์อัพ” ทำให้เป็นมะเร็ง เผยแพร่: 20 มี.ค. 2562 19:47 โดย: ผู้จัดการออนไลน์


รอยเตอร์ - ยาปราบวัชพืช “ราวด์อัพ” (Roundup) ที่ปัจจุบันเป็นของบริษัทเบเยอร์(Bayer) เยอรมันถูกคณะลูกขุศาลเมืองซานฟรานซิสโกออกคำตัดสินในวันอังคาร(19 มี.ค)ว่า ทำให้เกิดโรคมะเร็ง ถือเป็นคณะลูกขุนสหรัฐฯคณะที่ 2 ที่ชี้ขาดถึงความเกี่ยวพันระหว่างราวด์อัพและโรคมะเร็ง ส่งผลทำให้หุ้นบริษัทเบเยอร์กราวรูดกว่า 12 % ของการซื้อขายตลาดหลักทรัพย์ในเช้าวันพุธ(20 มี.ค)

รอยเตอร์รายงานวันนี้(20 มี.ค)ว่า คำตัดสินที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกคณะลูกขุนศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯเมืองซานฟรานซิสโกที่ออกมาในวันอังคาร(19) ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อหาความรับผิดชอบจากบริษัทเคมีภัณฑ์เยอรมัน เบเยอร์(Bayer) ที่มีโจทก์คือ เอ็ดวิน ฮาร์เดแมน(Edwin Hardeman ) เพราะความรับผิดชอบและความเสียหายจะถูกพิจารณาโดยคณะลูกขุนชุดเดียวกันนี้ในการไต่สวนเฟสที่ 2 ที่จะเริ่มต้นขึ้นในวันพุธ(20)

เบเยอร์ได้ปฎิเสธทุกข้อกล่าวหาที่ว่า “สารไกลโฟเซต” (glyphosate) หรือราวด์อัพ(Roundup) ก่อให้เกิด “มะเร็ง”โดยบริษัทเบเยอร์กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังกับการตัดสินเบื้องต้นของทางคณะลูกขุน

ทั้งนี้เบเยอร์ได้เข้าควบรวมบริษัทมอนซานโต(Monsanto) ยักษ์ใหญ่ด้านเคมีภัณฑ์ของสหรัฐฯในปีที่ผ่านมาด้วยมูลค่า 63 พันล้านดอลลาร์

รอยเตอร์ชี้ว่า ผลของคำตัดสินส่งผลทำให้หุ้นของเบเยอร์ตกลงไป 12.5 % ต่ำสุดในรอบ 16 ปี ทำให้หายไปราว 8 พันล้านยูโรในคราวเดียว

เป็นที่รู้กันดีว่า สารไกลโตเซตเป็นยาปราบวัชพืชยอดนิยมทั่วโลก ซึ่งผลิตภัณฑ์ราวด์อัพที่คิดค้นโดยบริษัทมอนซานโตเป็นผลิตภัณฑ์ปราบวัชพืชเจ้าแรกที่ใช้สารไกลโตเซตเป็นสารหลัก แต่ในปัจจุบันไม่ได้ถูกคุ้มครองภายใต้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาอีกต่อไป และมีผลิตภัณฑ์ที่มีสารชนิดนี้ออกมาในหลายรูปแบบที่ต่างกันไปปรากฎบนชั้นวางสินค้าในปัจจุบัน ซึ่งทางเบเยอร์ไม่ได้เปิดเผยถึงตัวเลขยอดขายของผลิตภัณฑ์ราวด์อัพ

“ทางเราเชื่อมั่นว่า หลักฐานในเฟสที่ 2 จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของมอนซานโตนั้นมีความเหมาะสม และไม่สมควรที่บริษัทต้องรับผิดชอบต่อโรคมะเร็งของคุณฮาร์เดแมน” รายงานจากแถลงการณ์ของบริษัท

อย่างไรก็ตาม คดีของฮาร์เดแมนเป็นคดีที่ 2 ของคดีการฟ้องร้องทางกฎหมายต่อราวด์อัพจำนวน 11,200 คดีที่สามารถขึ้นถึงชั้นไต่สวนของศาลในสหรัฐฯได้สำเร็จ

โดยในคดีก่อนหน้าพบว่าโจทก์ที่เป็นชายชาวแคลิฟอร์เนียอีกรายได้รับการพิพากษาให้ได้รับการเยียวยาจำนวน 289 ล้านดอลลาร์ในเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา หลังจากที่คณะลูกขุนประจำศาลรัฐแคลิฟอร์เนียพบว่า ราวด์อัพทำให้ชายผู้นี้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง แต่อย่างไรก็ตามในภายหลังตัวเลขการเยียวยาลดลงเหลือแค่ 78 ล้านดอลลาร์ และยังคงอยู่ในขั้นอุทธรณ์

สำหรับคดีราวด์อัพนี้พบว่าผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ จู๊ด วินซ์ ชาเบรีย(Judge Vince Chhabria) กำหนดให้คดีของฮาร์เดแมนจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ เฟสแรกจะตัดสินว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งหรือไม่ และเฟสที่ 2 ตัดสินถึงความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่ทางเบเยอร์ต้องแบกรับ

• ราวด์อัพ มะเร็ง

https://mgronline.com/around/detail/9620000027878

 

เปิดกล่องดำเที่ยวบินมรณะไลอ้อนแอร์ ซอฟท์แวร์ทำพิษ-ยื้อจนถึงนาทีสุดท้าย เผยแพร่: 20 มี.ค. 2562 20:11 โดย: ผู้จัดการออนไลน์


รอยเตอร์ – แหล่งข่าววงในอ้างว่า เนื้อหาจากอุปกรณ์บันทึกเสียงในห้องนักบิน ได้เปิดเผยให้รู้ว่า นักบินของ “ไลอ้อน แอร์” ลำที่โหม่งทะเลชวาปลายปีที่แล้ว พยายามเปิดคู่มือเพื่อแก้ปัญหาเครื่องปักหัวลงแต่ไม่ทันการณ์

เจ้าหน้าที่สอบสวนกรณีเครื่องบินโบอิ้ง 737 แม็กซ์ 8 ของไลอ้อน แอร์ตกลงในทะเลชวาและทำให้คนบนเครื่องเสียชีวิตทั้ง 189 คนเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว กำลังเร่งตรวจสอบประเด็นที่คอมพิวเตอร์สั่งให้เครื่องมุดลงหลังได้รับข้อมูลจากเซ็นเซอร์ที่บกพร่อง รวมถึงประเด็นที่ว่า นักบินได้รับการฝึกอบรมเพียงพอหรือไม่ในการรับมือกรณีฉุกเฉินอย่างเหมาะสม รวมถึงประเด็นอื่นๆ

ในวันพุธ (20 มี.ค.) นับเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดเผยเนื้อหาจากอุปกรณ์บันทึกเสียงในห้องนักบินของไลอ้อน แอร์ เที่ยวบินเจที610 ต่อสาธารณชน โดยแหล่งข่าวทั้งสามคนที่เปิดเผยข้อมูลนี้ต่างไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัวตน ขณะที่โฆษกของสายการบินแดนอิเหนาระบุเพียงว่า ได้มอบข้อมูลทั้งหมดแก่เจ้าหน้าที่สอบสวน และงดแสดงความคิดเห็น

ทั้งนี้ รายงานเบื้องต้นที่เคยเผยแพร่เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วระบุว่า กัปตันหรือนักบินที่ 1 เป็นผู้ควบคุมเครื่องบินตอนที่ 737 แม็กซ์ ซึ่งถือเป็นเครื่องบินรุ่นใหม่ที่เพิ่งใช้งานไม่นาน ขึ้นจากสนามบินจาการ์ตา และนักบินที่ 2 รับผิดชอบการสื่อสารวิทยุ

หลังจากทะยานขึ้นเพียง 2 นาที นักบินที่ 2 แจ้งศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศว่า มีปัญหาในการควบคุมเครื่องบิน และกำลังพยายามรักษาระดับความสูงที่ 5,000 ฟุต

แม้นักบินที่ 2 ไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับปัญหา แต่แหล่งข่าวคนหนึ่งเผยว่า เนื้อหาตอนหนึ่งจากอุปกรณ์บันทึกเสียงในห้องนักบินมีการเอ่ยถึงความเร็วของเครื่องบิน และแหล่งข่าวคนที่ 2 เสริมว่า ตัวบ่งชี้แสดงปัญหาบนจอแสดงผลของกัปตัน แต่ไม่แสดงบนจอของนักบินที่ 2 กัปตันจึงขอให้นักบินที่ 2 ดูคู่มืออ้างอิงด่วนที่มีรายการที่ต้องตรวจสอบ 3 ข้อกรณีที่เกิดเหตุการณ์ผิดปกติ ช่วง 9 นาทีหลังจากนั้น ระบบเตือนว่า เครื่องบินสูญเสียแรงยกและกดจมูกเครื่องบินลงโดยอัตโนมัติ กัปตันพยายามบังคับให้เครื่องเชิดขึ้น แต่ระบบคอมพิวเตอร์ได้บังคับให้เครื่องดิ่งลงต่อ

แหล่งข่าวคนที่ 3 สำทับว่า ดูเหมือนนักบินทั้งคู่ไม่รู้เลยว่า ระบบปรับตั้งส่วนควบคุมบังคับให้เครื่องมุดลง เพราะจากข้อมูลกล่องดำ ทั้งคู่พูดถึงความเร็วและระดับความสูงของเครื่องบินเท่านั้น

โบอิ้งปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายงานนี้ เนื่องจากการสอบสวนยังคงดำเนินอยู่ แต่ยืนยันก่อนหน้านี้ว่า ได้จัดทำเอกสารขั้นตอนการรับมือสถานการณ์ดังกล่าวแจกจ่ายแก่สายการบินต่างๆ

ขณะเดียวกัน รายงานเบื้องต้นยังระบุว่า นักบินอีกชุดของไลอ้อน แอร์ที่บินด้วยเครื่องบินลำเดียวกันหนึ่งคืนก่อนเกิดโศกนาฏกรรม พบปัญหาเหมือนกันแต่แก้ไขได้โดยอ้างอิงจากรายการที่ต้องตรวจสอบ 3 ข้อ และไม่ได้ให้ข้อมูลปัญหาที่พบกับนักบินชุดต่อมา

แหล่งข่าวทั้งสามคนเสริมว่า นักบินเที่ยวบินเจที610 มีท่าทีสงบเกือบตลอดการบิน จนกระทั่งก่อนที่เครื่องจะตก กัปตันขอให้นักบินที่ 2 ควบคุมเครื่อง ส่วนตัวเองรีบหาวิธีแก้ปัญหาในคู่มือการบิน

ก่อนที่เครื่องจะหายไปจากจอเรดาร์ประมาณ 1 นาที กัปตันขอให้ศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศเคลียร์เครื่องบินลำอื่นๆ ที่ระดับต่ำกว่า 3,000 ฟุต และที่ระดับความสูง 5,000 ฟุต ซึ่งได้รับอนุมัติ

ขณะที่กัปตันพยายามค้นหาวิธีแก้ไขจากคู่มือแต่ล้มเหลว นักบินที่ 2 ก็ไม่สามารถควบคุมเครื่องบินได้เช่นเดียวกัน และในเสี้ยวนาทีสุดท้าย กัปตันซึ่งเป็นคนอินเดียนิ่งเงียบ ส่วนนักบินที่ 2 ชาวอินโดนีเซีย อุทานว่า “อัลเลาะห์ อักบาร์” หรืออัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นวลีที่ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ใช้เมื่อตื่นเต้น ตกใจ สรรเสริญ หรือเศร้าโศก จากนั้นเครื่องบินก็พุ่งลงในทะเลชวา นอกชายฝั่งอินโดนีเซีย

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (19 มี.ค.) บีอีเอ ซึ่งเป็นหน่วยงานสอบสวนอุบัติเหตุทางอากาศของฝรั่งเศส ได้เปิดเผยว่า อุปกรณ์บันทึกข้อมูลการบินของเครื่องบินเอธิโอเปียที่ตกเมื่อต้นเดือนนี้และทำให้คนบนเครื่อง 157 คนเสียชีวิตทั้งหมด แสดงลักษณะที่คล้ายกันอย่างชัดเจนกับโศกนาฏกรรมของไลอ้อน แอร์ ซึ่งยังไม่มีการระบุสาเหตุที่แน่ชัด แต่รายงานเบื้องต้นระบุถึงระบบป้องกันการสูญเสียแรงยก (Maneuvering Characteristics Augmentation System หรือเอ็มแคส) ที่โบอิ้งพัฒนาขึ้นมาใหม่สำหรับ 737 แม็กซ์โดยเฉพาะ รวมถึงเซ็นเซอร์ที่บกพร่อง และการซ่อมบำรุงเครื่องบินและการฝึกอบรมนักบินของไลอ้อนแอร์

https://mgronline.com/around/detail/9620000027886

 

John Traczyk

มุ่งขึ้นเหนือสหรัฐอเมริกา

"ผู้อยู่อาศัยควรรั้งสำหรับเหตุการณ์ลมแรง"

แม้ว่าอาจจะไม่รุนแรงเท่ากับเหตุการณ์ลมในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรืออาจจะรุนแรงพอ ๆ กับลมกระโชกแรงพายุเฮอริเคนในอเมริกากลาง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ลมจะพัดมาตั้งแต่วันศุกร์ถึงวันเสาร์
บอมบ์ที่เกิดขึ้นในเนบราสก้าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไม่ใช่เรื่องตลก พายุหิมะที่ปลายด้านหนึ่งของรัฐ น้ำท่วมทางประวัติศาสตร์ในอีกด้านหนึ่ง ... การอพยพยังคงดำเนินต่อไปในเนบราสก้าไอโอวา มิสซูรี และอิลลินอยส์ ตอนนี้สิ่งเดียวกันนี้ จะเกิดขึ้น สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐในสัปดาห์นี้?

ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ... หากพวกเขาบอกคุณว่ามี บอมบ์ ไซโคลน ก็ให้ระวัง ฟังคำเตือน และเตรียมพร้อม!


















HEADS UP NORTHEAST USA

"Residents should brace for high wind event."

While perhaps not as strong as the wind event during late February in the Northeast nor as strong as the hurricane-force gusts over the Central states last week, winds will pack a punch from Friday to Saturday.

The bombogenesis that hit Nebraska last week was no joke, blizzard on one end of the State, historic flooding on the other… Evacuations continue in Nebraska, Iowa, Missouri and Illinois due to the worst flooding in decades. Same thing now for northeastern US this week?

In any cases… If they are telling you a bomb cyclone is possible, heed the warnings and be prepared!

http://strangesounds.org/2019/03/bo...VPzF8CMR9Gq5ss0nbJXE8bpRKdd3LzMGG_d2DW8a99n8Y

 

Visudhi Punya

นี่เป็นการระเบิดบนพื้นผิวดวงอาทิตย์
ตรงจุดใหม่ พิกัด c4 8
เพื่อส่งคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็ก
มายังโลกด้วยพายุสุริยะ (Solar Flare)
อีกคำรพหนึ่งแล้วละ่นะ
..
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21-03-2019

 

Kike Hernandez

น้ำหมุนวนแปลก ๆ ก่อตัวขึ้นในรัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา
2019/03/20