ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    The Great Shift

    IMG_6942.JPG
    ** การแจ้งเตือนแผ่นดินไหวลึก 750 กม!**

    4.3 ค่ะนิวซีแลนด์ค่ะ ไม่มีทางเช็คได้เลยว่ามันถูกลดเกรดหรือเปล่าตั้งแต่พวกเขาลบมันออก!


     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไฟรุมอย่างรวดเร็ว กำลังพัฒนาที่เยลโลว์สโตน

    IMG_6943.JPG

    Rapid fire swarm developing at yellow stone


     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    The Great Shift


    แผ่นดินไหว 6.1 South of Alaska ... ดูจำนวน 7s ในรายงานสถานี! รวมไปถึงที่ใกล้มากหลาย 8! ไม่แน่นอนถึง 6!

    ** เตรียมพร้อม Cascadia / San Andreas! **

    อย่างที่คุณรู้มันถูกล็อคและโหลด!

    กรุณาระวังตัว!

    IMG_6951.JPG IMG_6952.JPG IMG_6953.JPG IMG_6954.JPG IMG_6955.JPG IMG_6956.JPG IMG_6957.JPG

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    FBE6205D-7F5F-48E1-A602-CE26099B2BD4.jpeg
    (Dec 30) แอ๊ปเปิ้ลดีเดย์ปีหน้า ผลิตไอโฟนในอินเดีย : แอ๊ปเปิ้ล อิงค์ บริษัทเทคโนโลยีชื่อดังสหรัฐ จะเริ่มประกอบโทรศัพท์มือถือไอโฟนที่โรงงานของ ฟ็อกซ์คอนน์ ในอินเดีย ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป



    สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานอ้างแหล่งข่าว วงในว่า โทรศัพท์ไอโฟนที่จะผลิตใน โรงงานของฟ็อกซ์คอนน์ ที่รัฐทมิฬนาดู ของอินเดียจะเป็นรุ่นที่มีราคาแพงที่สุด รวมทั้งไอโฟน เอ็กซ์ซึ่งจะทำให้การทำธุรกิจ ระหว่างแอ๊ปเปิ้ลกับอินเดียพัฒนาไปอีกขั้น



    รัฐบาลท้องถิ่นรัฐทมิฬนาดู เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ฟ็อกซ์คอนน์ เริ่มผลิตโทรศัพท์มือถือของบริษัทเสี่ยวหมี่ที่อินเดียมาก่อนแล้ว และกำลังจะทุ่มเม็ดเงินลงทุน 356 ล้านดอลลาร์ เพื่อขยายโรงงานให้รองรับการผลิตไอโฟนด้วย และคาดว่าจะช่วยสร้างงานได้ประมาณ 25,000 ตำแหน่ง



    ปัจจุบัน แอ๊ปเปิ้ล จำหน่ายไอโฟนในอินเดียโดยผ่านร้านค้าซึ่งเป็นตัวแทน ที่ผ่านมา ไอโฟนกว่า 2 ล้านเครื่องถูกส่งไปขายในอินเดีย คิดเป็น 1% ของยอดขายไอโฟน ทั่วโลก การที่อินเดียมีประชากรมหาศาลและจำนวนผู้ครอบครองสมาร์ทโฟนยังมีไม่มาก จึงเรียกได้ว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงมากสำหรับธุรกิจสมาร์ทโฟน แอ๊ปเปิ้ลมีส่วนแบ่งในตลาดอินเดีย น้อยมาก แค่ 2% เท่านั้นเองเมื่อเทียบกับ คู่แข่งคือซัมซุงที่ครองอยู่ 23% อาจเป็นเพราะที่ผ่านมา แอ๊ปเปิ้ลวางตำแหน่งตัวเองในการเป็นแบรนด์หรูจับเป้าหมายตลาดบน ขณะที่ซัมซุงผลิตโทรศัพท์ที่มีทั้งราคาถูกและแพงเพื่อจับลูกค้าทุกกลุ่ม



    ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์เชื่อว่า การผลิตไอโฟนในอินเดียจะช่วยให้แอ๊ปเปิ้ล สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนได้ และนอกจากอินเดียแล้ว บริษัท ฟ็อกซ์คอนน์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้กับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หลายราย เปิดเผยว่า กำลังขยายโรงงานในอีกหลายประเทศในเอเชีย รวมทั้งเวียดนาม



    ภูมิภาคเอเชียเป็นตลาดแห่งโอกาสของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี เพราะมีประชากรกว่า ร้อยล้านคนที่ยังเข้าไม่ถึงสมาร์ทโฟน หรือยังไม่ได้ซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ จากผลสำรวจล่าสุดระบุว่า แอ๊ปเปิ้ลครองสัดส่วนตลาดในอินเดียเพียง 2% เท่านั้น และ 8-10% ในจีน อีกทั้งในภูมิภาคนี้ นอกจากจะมีซัมซุงจากเกาหลีใต้ที่ครองตลาด มานานแล้ว แอ๊ปเปิ้ลยังต้องต่อสู้กับค่าย สมาร์ทโฟนจีนที่พัฒนาโนว์ฮาวอย่างรวดเร็ว ทั้งหัวเว่ย ออปโป้ วีโว่ และเสี่ยวมี่



    ที่น่าสนใจคือ ทั้ง 4 แบรนด์ข้างต้นมีสัดส่วนตลาดรวมกัน 80% ของทั้งเอเชีย โดยหัวเว่ย ก้าวขึ้นเป็นบริษัทสมาร์ทโฟนรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกแทนที่แอ๊ปเปิ้ลเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้



    นักวิเคราะห์จากคานาลิสต์ ให้ความเห็นว่า ก่อนหน้านี้ แอ๊ปเปิ้ลเคยทำตลาดในจีนได้ดีมาก แต่หลายปีมานี้ ยอดขายของแอ๊ปเปิ้ลในจีนลดลงเยอะ เพราะสู้การเร่งพัฒนาทุ่มทุนด้านเทคโนโลยีของบริษัทไอทีจีนไม่ได้ ที่ทำให้ตลาดมือถือไฮเอนด์จีนพลิกโฉมหน้าอย่างรวดเร็ว



    ขณะที่ในตลาดอินเดีย ราคาของ ไอโฟนถือว่าแพงมาก และเป็นความท้าทายที่แอ๊ปเปิ้ลจะต้องเจาะตลาดให้ได้ โดยปัจจุบัน มีชาวอินเดียประมาณ 800 ล้านคนเท่านั้นที่เพิ่งเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ขณะที่ราคาไอโฟนเอ็กซ์ ที่วางขายในอินเดียเมื่อต้นปีที่ก่อน หลังจากถูกรัฐบาลนิวเดลีขึ้นภาษีนำเข้าเพื่อปกป้องตลาด ราคาสูงถึง 1,700 ดอลลาร์


    Source: กรุงเทพธุรกิจ


    - Exclusive: Foxconn to begin assembling top-end Apple iPhones in India in 2019 - source : https://www.reuters.com/article/us-...SKCN1OQ0M6?feedType=RSS&feedName=businessNews
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    D38305A0-E795-4AF0-989B-419EE70C75AF.jpeg
    (Dec 31) จับเทรนด์ 8 ประเด็นโลก 2019 :ตลอดปี 2018 ที่ผ่านมานับว่าเป็นปีที่มีข่าวคราวความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่ได้สร้างผลกระทบมากมาย แต่ทว่าในปี 2019 หลายประเด็นที่ต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วอาจจะดุเดือดหรือเริ่มปรากฏชัดขึ้น เช่น เรื่องสงครามการค้า เบร็กซิต และการเลือกตั้งของหลายชาติในเอเชีย รวมถึงการเลือกตั้งประเทศไทยด้วย

    1.ผวาสงครามการค้า

    แม้ "สหรัฐ" และ "จีน" ยังอยู่ในช่วงพักรบสงครามการค้า 90 วัน และเร่งจัดการเจรจาให้ได้ข้อตกลงภายในเส้นตาย วันที่ 1 มี.ค. 2019 แต่บลูมเบิร์กคาดการณ์ว่ายังมีความเสี่ยงสูงว่าสงครามการค้าระหว่าง สองชาตินี้จะกลับมาดุเดือดอีกครั้ง แม้จีนพยายามอ่อนข้อให้สหรัฐในหลายประเด็น ทั้งการซื้อสินค้าเกษตร พยายามแก้กฎหมายเปิดตลาดให้ต่างชาติ เช่นเดียวกับการแก้ไขเรื่องบีบเอกชนต่างชาติโอนเทคโนโลยีด้วย นอกจากนี้ ในเดือน ก.พ. 2019 กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอาจตัดสินใจตั้งกำแพงภาษีนำเข้ากับรถยนต์ และชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้าจากทุกชาติ ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เคยสั่งให้สอบสวนโดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง

    2.เบร็กซิตจ่อเดดไลน์

    อังกฤษมีกำหนดถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (อียู) วันที่ 29 มี.ค. 2019 แต่การเจรจาข้อตกลงเบร็กซิต ยังไม่ได้บทสรุปที่ชัดเจน เนื่องจากรัฐสภาอังกฤษยังไม่รับรองข้อตกลงที่นายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ เจรจากับอียู โดยอ้างว่าข้อตกลงดังกล่าวอ่อนข้อให้อียูมากเกินไป และมีความเสี่ยงว่าอังกฤษอาจจะต้องถอนตัวออกจากอียูตามกำหนดเดิมโดยไร้ข้อตกลง (No deal) สร้างความกังวลเรื่องผลกระทบต่อเศรษฐกิจและธุรกิจ

    3.มรสุมทรัมป์ชี้ชะตาโลก

    โรเบิร์ต มุลเลอร์ อัยการพิเศษสหรัฐ กำลังสืบสวนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทีมแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ และรัสเซีย ในการเลือกตั้งสหรัฐ ปี 2016 ซึ่งคาดว่าอาจรู้ผลช่วงครึ่งแรกของปี 2019 และถ้าหากผลออกมาว่ามีการแทรกแซงเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ทรัมป์จริง อาจถึงขั้นร้ายแรงสุดคือการยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี (อิมพีชเมนต์)

    อนาคตของทรัมป์ยังเป็นตัวกำหนดชะตาของการเมืองโลกในหลายประเด็น เช่น สงครามการค้ากับจีน ข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน สนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง (ไอเอ็นเอฟ) กับรัสเซียที่วอชิงตันขู่ถอนตัว และยังมีผลกับการปลดนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ ซึ่งทรัมป์อาจพบผู้นำเกาหลีเหนืออีกครั้งในปีนี้

    4.จับตา 4 เลือกตั้งเอเชีย

    ปี 2019 ยังอาจได้ว่าเป็นปีแห่งการเลือกตั้งของเอเชีย เช่น การเลือกตั้งของประเทศไทย ที่จะเป็นประธานอาเซียนในปีหน้านี้ด้วย การเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ซึ่งในครั้งนี้ ประธานาธิบดี โจโก วิโดโด ลงสมัครชิงตำแหน่งอีกครั้งดวลกับ ปราโบโว ซูเบียนโต ผู้ท้าชิงหน้าเดิม และการเลือกตั้งอินเดียนอกจากนี้ยังมีการเลือกตั้งกลางเทอมของฟิลิปปินส์ ซึ่งจะเป็นบททดสอบผลงาน ที่ผ่านมาของประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต ขณะเดียวกัน ปี 2019 ยังมีการเลือกตั้งรัฐสภายุโรป เดือน พ.ค. และยังมีความเป็นไปได้ว่าสิงคโปร์อาจจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนดเดิม 2021 เร็วขึ้น 1-2 ปี

    5.ดีเดย์เข้ายุค 5จี

    เทคโนโลยีเครือข่าย 5จี จะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในปี 2019 เนื่องจากหลายชาติจะเริ่มการประมูลคลื่นความถี่ 5จี ขณะที่ค่ายมือถือดัง เช่น ซัมซุง หัวเว่ย และแอปเปิ้ล คาดว่าจะเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ที่สามารถรองรับการใช้ 5จี ในปีหน้า แม้คาดว่าจะยังไม่มีการปรับใช้ 5จี อย่างจริงจังจนกว่าจะถึงปี 2020

    ทั้งนี้ 5จี นับว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่แห่งอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถในการสื่อสาร การถ่ายทอดสดวิดีโอความละเอียดสูง เช่น การจัดคอนเสิร์ตหรือกีฬา และเป็นหัวใจสำคัญของนวัตกรรมรถยนต์ไร้คนขับด้วย

    6.สงครามรถยนต์ EV แข่งดุ

    การแข่งขันพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) กำลังจะร้อนแรงยิ่งขึ้นโดยเฉพาะจีน ตลาดรถยนต์อันดับ 1 ของโลก ที่รัฐบาลมีแผนจะหั่นการอุดหนุนให้กับ ผู้ผลิต ลดการอุดหนุนจากรัฐบาล และบีบให้เร่งพัฒนารับการแข่งขันจาก ต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในจีนมากขึ้น และล่าสุด เทสลา มอเตอร์ ค่ายรถชื่อดังจากสหรัฐ จะเริ่มการผลิตในโรงงานที่เซี่ยงไฮ้ปีหน้านี้ด้วย

    7.ชิงมหาอำนาจ AI

    สหรัฐและจีนสองชาติมหาอำนาจด้านระบบปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ส่อเค้าแข่งขันพัฒนาเอไอดุเดือดยิ่งขึ้น โดยหัวเว่ย เทคโนโลยีส์ ประกาศแผนพัฒนาชิปประมวลผลเอไอ ถือว่าเป็นความพยายามผลักดันเอไอของจีน และลดการพึ่งพาผู้ผลิตสหรัฐอย่างอินเทลและเอ็นวิเดีย นอกจากนี้จีนยังได้เปิดตัวผู้ประกาศข่าวทางโทรทัศน์ แบบเอไอคนแรกของโลกอีกด้วย

    ขณะเดียวกันเอไอยังมีแนวโน้มเป็นเครื่องมือในอุตสาหกรรมมากขึ้นด้วย เพื่อลดการใช้แรงงานคน และประหยัดต้นทุน โดยบริษัทที่ปรึกษา การ์ทเนอร์ คาดการณ์ว่า ภายในปี 2019 เอไอจะทำให้คนตกงาน 1.8 ล้านคน โดยเฉพาะภาคการผลิต แต่จะสร้างงานใหม่ได้ 2.3 ล้านคน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการศึกษา การดูแลสุขภาพ และบริการสาธารณะ

    8.ค้าปลีกสู่ยุคใหม่เต็มตัว

    ธุรกิจค้าปลีกจะเข้าสู่ยุคใหม่ อย่างเต็มตัวมากขึ้น หลังได้เริ่มการทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่ตลอดปี 2018 หนึ่งในนั้นคือ การปรับใช้เทคโนโลยีร้านค้าปลีกไร้แคชเชียร์ นำโดยแอมะซอน ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ เช่นเดียวกับเซเว่น อีเลฟเว่น จากญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีกระแส "นิว รีเทล" หรือค้าปลีกที่ผสมทั้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันนำโดยอาลีบาบา กรุ๊ป ยักษ์ อี-คอมเมิร์ซ จีน โดยลาซาด้า บริษัทในเครืออาลีบาบา มีแผนจะนำนิว รีเทลเข้ามาสู่อาเซียน และจะให้ไทยเป็นต้นแบบด้วย

    ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์


    Source: Posttoday


    https://www.posttoday.com/world/575413
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ศูนย์สารสนเทศอิสลาม Islamic Information Center


    แหล่งข่าวจากรัฐบาลอิรักกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า บัชชาร อัล-อะซัด ประธานาธิบดีซีเรียมอบหมายหน้าที่ให้อิรักทิ้งระเบิดถล่มตำแหน่งต่างๆ ของกลุ่มไอซิสในซีเรีย....


    อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://goo.gl/zSwN9o


     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ศูนย์สารสนเทศอิสลาม Islamic Information Center


    30 ธันวาคม 2549 สิบสองปีที่ผ่านมา วันที่ ซัดดัม ฮุสเซน ถูกประหารชีวิต นาย "มุวัฟฟัก อัล-รุบัยอีย์" อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของอิรักได้กล่าวเกี่ยวกับการประหารชีวิตเผด็จการผู้ล่วงลับผู้นี้ว่า : "ซัดดัม ฮุสเซนถูกประหารชีวิตซึ่งตรงกับวันอีดิลอัฎฮา ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น เขาเป็นผู้ดึงเชือกแขวนคอเขาเอง"


    อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://goo.gl/vobREr


     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_6962.JPG
    (Dec 31) ย้อนรอย16ปี'แบงก์ธนชาต' เติบโตจากการควบรวม : ข่าวการควบรวมกิจการระหว่าง "ธนาคารธนชาต" และ ธนาคารทหารไทย หรือ "ทีเอ็มบี" น่าจะได้ ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ หลังจากซุ่มเจรจากันมา พักหนึ่งระหว่าง "4 ฝ่าย" คือ "สโกเทียแบงก์" และ "ทุนธนชาต" ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ธนาคารธนชาต กับทาง "ไอเอ็นจีกรุ๊ป" และ"กระทรวงการคลัง" ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ทีเอ็มบี หากดีลการควบรวมกิจการของ "2 แบงก์" นี้ประสบความสำเร็จ จะทำให้ "สินทรัพย์" ของแบงก์ใหม่ที่เกิดจาก การควบรวมกิจการเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 1.8 ล้านล้านบาท กลายเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ และ จะมีขนาดสินทรัพย์ไล่จี้ "แบงก์อันดับ 5" ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ชนิดหายใจรดต้นคอ โดยปัจจุบัน ธนาคารกรุงศรีฯ มีสินทรัพย์รวมอยู่ราวๆ 2 ล้านล้านบาท

    กระแสข่าวการควบรวมกิจการของ 2 แบงก์นี้ ถูกจุดประกายโดย "ธนาคารธนชาต" ซึ่งแสดงความสนใจที่จะขอ ควบรวมกิจการกับทาง "ทีเอ็มบี" ซึ่ง ความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก เพราะถ้าย้อนดู "เส้นทางการเติบโต" ของแบงก์พาณิชย์รายนี้ จะพบว่า เกิดจาก การควบรวมกิจการทั้งสิ้น

    ธนาคารธนชาต ชื่อเดิมในอดีต คือ บริษัทเงินทุน (บง.) เอกชาติ ซึ่งในช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 กระทรวงการคลัง มีนโยบายสนับสนุนการรวมกิจการระหว่าง สถาบันการเงินต่างๆ โดยออกใบอนุญาต (ไลเซ่นส์) ประกอบการธนาคารพาณิชย์แบบจำกัดขอบเขตธุรกิจให้ แต่หนึ่งในเงื่อนไขของไลเซนส์ดังกล่าว คือ ต้องเป็นสถาบันการเงินที่เกิดจากการควบรวมกัน อย่างน้อย 5 แห่ง และมีเงินกองทุน หลังจากหักสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท

    "ทุนธนชาต" ซึ่งชื่อเดิมคือ บง.ธนชาต ได้ยื่นขออนุมัติใบอนุญาตประกอบธนาคารพาณิชย์แบบจำกัดขอบเขตธุรกิจจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเดือนก.พ.2542 โดยมี บง.เอกชาติ เป็นแกนนำในการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ใหม่รวมกับสถาบันการเงินอื่นๆ อีก 4 แห่ง คือ บง.เอ็นเอฟ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์กรุงเทพเคหะ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์สินเคหะการ และ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์วานิช

    กระทั่งต่อมาเดือนมิ.ย.2544 ธปท. ได้อนุมัติในหลักการให้จัดตั้งธนาคารที่ จำกัดขอบเขตธุรกิจตามแผนงานที่ทุนธนชาต เสนอมา ซึ่งทุนธนชาตและสถาบันการเงินอีก 4 แห่งข้างต้น ได้ทำการโอนลูกหนี้ปกติ ทั้งหมดจำนวน 16,857 ล้านบาท ไปยัง บง.เอกชาติ และต่อมากระทรวงการคลัง ก็ได้อนุมัติไลเซ่นส์การประกอบการ ธนาคารพาณิชย์แบบจำกัดขอบเขตธุรกิจ ให้แก่ บง.เอกชาติ โดยที่ บง.เอกชาติ ได้คืนไลเซ่นส์ประกอบธุรกิจเงินทุน ให้แก่ทางการ และได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "ธนาคารธนชาต"

    วันที่ 22 เม.ย.2545 เป็นวันแรกที่ ธนาคารธนชาต เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ณ สิ้นปีนั้น ธนาคารธนชาตมีสินทรัพย์รวมประมาณ 5.13 หมื่นล้านบาทหลังจากนั้นอีก 2 ปี คือในวันที่ 1 มี.ค.2547 ธนาคารธนชาต ได้รับใบอนุญาตประกอบการ ธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ

    กระทั่งในปี 2550 ธนาคารธนชาต ได้เข้าซื้อ หุ้นบริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินธนชาต เพื่อให้บริการทางการเงินอย่างครบวงจร ขณะเดียวกันได้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับ ธนาคารแห่งโนวาสโกเทีย หรือ "สโกเทียแบงก์" จำนวน 276.26 ล้านหุ้น ถัดมาอีกไม่นาน ทุนธนชาต ได้จำหน่ายหุ้นสามัญของธนาคารธนชาตให้แก่ สโกเทียแบงก์ เมื่อวันที่ 3 ก.พ.2552 จำนวน 416.52 ล้านหุ้น ทำให้ สโกเทียแบงก์ ถือหุ้นธนาคารธนชาตเพิ่มเป็น 48.99% เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองรองจาก ทุนธนชาตที่ถือหุ้นสัดส่วน 50.92%

    หลังจบดีลกับ สโกเทียแบงก์ ได้ไม่นาน กลุ่มทุนธนชาตก็คิดการใหญ่ ด้วยการประกาศเข้าซื้อกิจการ "ธนาคารนครหลวงไทย" จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (เอฟไอดีเอฟ) ด้วยการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือ ทั้งหมดของธนาคารนครหลวงไทย รวมทั้งสิ้น 99.95% ของจำนวนหุ้นที่ ออกจำหน่ายและชำระแล้วทั้งหมดของธนาคารนครหลวงไทยในปี 2553

    ดีลเข้าซื้อกิจการ ธนาคารนครหลวงไทย ในครั้งนั้น สร้างความฮือฮาในวงการสถาบันการเงินอย่างมาก เพราะนับเป็นดีลที่ "ปลาเล็ก" กิน "ปลาใหญ่" เพราะด้วยขนาดสินทรัพย์ ไม่ว่าจะทั้งจำนวนสาขาและพนักงานของธนาคารนครหลวงไทย มีมากกว่า ธนาคารธนชาต ราวๆ 2 เท่าตัว

    ภายหลังการควบรวมของ 2 แบงก์นี้ ส่งผลให้ขนาดสินทรัพย์ของ ธนาคารธนชาต พุ่งปรี๊ดขึ้นมาเป็น แบงก์ที่มีสินทรัพย์สูงสุดเป็นอันดับ 5 ในขณะนั้น โดยมีสินทรัพย์ รวมทั้งสิ้น 8 แสนล้านบาท มีสาขากว่า 677 สาขา มีตู้เอทีเอ็มราว 2,101 เครื่อง และมีลูกค้าราวๆ 4 ล้านราย

    การควบรวมกิจการระหว่าง ธนาคารธนชาต และธนาคารนครหลวงไทย ในคราวนั้น ถือเป็นดีลที่สร้างประโยชน์ให้กับ ธนาคารธนชาตอย่างมาก เพราะนอกจาก จะมีขนาดสินทรัพย์ที่ใหญ่ขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ธนาคารธนชาตให้บริการลูกค้าได้อย่างครบวงจรกลายเป็น Universal Banking โดยเฉพาะการให้บริการลูกค้ารายย่อย

    เมื่อย้อนดูการเติบโตของ "ธนาคาร ธนชาต" ในช่วงที่ผ่านมา จึงไม่น่าแปลกใจที่วันนี้ ธนาคารธนชาต กำลังตกเป็นข่าวเจรจาควบรวมกิจการกับ "ทีเอ็มบี" อีกครั้ง

    การควบรวมระหว่าง "2 แบงก์นี้" นอกจากจะทำให้เป็นแบงก์ที่มีสินทรัพย์ใหญ่พอไล่จี้แบงก์อันดับ 5 อย่าง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา แต่ยังเป็นการ "ติดอาวุธ" ให้กับธนาคารธนชาตด้วย เพราะเวลานี้สิ่งที่ธนาคารธนชาตยังขาด คือ เทคโนโลยีดิจิทัลแบงกิ้ง ขณะที่ "ทีเอ็มบี" บุกเบิกเรื่องนี้ มาก่อนหน้าหลายปีแล้ว

    ดังนั้นการผสมผสานของทั้ง "ธนาคารธนชาต" และ "ทีเอ็มบี" น่าจะสร้างความตื่นตา ตื่นใจให้กับวงการดิจิทัลแบงกิ้งไม่น้อย


    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_6963.JPG
    (Dec 31) บทความเรื่อง "Location choice and tax responsiveness of foreign multinationals: Evidence from ASEAN countries" : การสร้างแรงจูงใจเพื่อให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุน เป็นสิ่งที่รัฐบาลของประเทศกำลังพัฒนาให้ความสำคัญเสมอมา แต่จริง ๆ แล้วก็ยังไม่มีหลักฐานมากนักว่านโยบายเหล่านี้มีประสิทธิภาพแค่ไหน เพราะประเทศอื่น ๆ ในทวีปเดียวกันก็มักจะมีแรงจูงใจเช่นกัน และปัจจัยอื่น ๆ ก็อาจจะมีความสำคัญ


    บทความนี้วิเคราะห์ผลของแรงจูงใจทางภาษีต่อการตัดสินใจลงทุนของบรรษัทข้ามชาติ โดยใช้ข้อมูลของบรรษัทข้ามชาติกว่า 6600 บริษัท ซึ่งบริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทที่เริ่มเข้ามาจดทะเบียนในประเทศกลุ่มอาเซียนรายได้ระดับกลาง 5 ประเทศ


    งานศึกษานี้ได้ใช้แบบจำลอง location choice เพื่อศึกษาว่าแต่ละบริษัทเลือกเข้ามาลงทุนในประเทศใด และ potential effective marginal tax rate มีความสำคัญต่อการตัดสินใจเพียงใด โดยควบคุมปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้อง


    ผลพบว่า แรงจูงใจทางภาษีมีความสำคัญ แต่มีผลไม่มากนักสำหรับประเทศที่อัตราภาษีค่อนข้างต่ำและบริษัท high-tech ตอบสนองต่อแรงจูงใจน้อยกว่าบริษัท low-tech


    โดย ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ


    สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.pier.or.th/wp-content/u...QqjQfJ-E57fG3LHdhuFu3hOj7ghl-lJihhhYSRREycy74


    Source: PIER FB
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_6964.JPG
    (Dec 31) 5 บุคคลแห่งปี 2018 ............... มาดูกันว่าใครบ้าง

    1. สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน

    รั้งอยู่ในอันดับที่ 1 ใน 100 อันดับบุคคลทรงอิทธิพลจัดทำโดยนิตยสารฟอร์บส์ "สี จิ้นผิง" ประธานาธิบดีจีน เวลานี้กลายเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สภาประชาชาชนแห่งชาติของจีน มี มติแก้ไขกฎหมายโดยยกเลิกการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบจีนลง ส่งผลให้ สี จิ้นผิง ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีจีนตลอดชีวิต ไปโดยปริยาย



    สี จิ้นผิง ประกาศการก้าวเข้าสู่ "ยุคใหม่" ของจีนไปสู่การเป็นศูนย์กลางของเวทีระดับโลกแทนที่สหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้นำทาง การค้า รวมไปถึงการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หลังจากสหรัฐภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสไปก่อนหน้านี้



    สี จิ้นผิง ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำจีนไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลภายใต้สโลแกน "ความฝันจีน" ซึ่งถือว่าเป็นการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประเทศ ส่งผลให้จีนมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 รองจากสหรัฐ ขณะที่เทคโนโลยีก็เติบโตแบบก้าวกระโดดกลายเป็นชาติที่สร้างความท้าทายให้กับสหรัฐอเมริกามากที่สุดในโลก



    อย่างไรก็ตาม การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีตลอดชีวิตของสี จิ้นผิง ในอีกทางหนึ่งก็สร้างความห่วงกังวลกับประเด็นสิทธิมนุษยชนในจีนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดการกับชนกลุ่มน้อยมุสลิมอุยกูร์ ในมณฑลซินเจียง พื้นที่ทางตะวันตกของประเทศ รวมไปถึงกระแสข่าวการสร้าง "ศูนย์ปรับทัศนคติ" ที่มีขึ้นเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากอิสลามสุดโต่ง



    นอกจากนี้ ยังมีความห่วงกังวลถึงการขยายอิทธิพลในภูมิภาคไม่ว่าจะเป็นกรณีพิพาทน่านน้ำในทะเลจีนใต้ รวมถึงการจัดการกับผู้เห็นต่างและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทั้งในฮ่องกง และไต้หวัน ด้วยเช่นกัน



    2. โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ



    ผู้นำสหรัฐอยู่ในอันดับที่ 3 ของการจัดอันดับ 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกประจำปี 2018 ของนิตยสารฟอร์บส์ และอยู่ในอันดับที่ 2 บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์



    แน่นอนว่าการเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐแบบเหนือความคาดหมาย รวมถึงนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" ส่งผล กระทบใหญ่หลวงกับวงการการเมืองในสหรัฐเอง รวมถึงการเมืองในประชาคมโลก



    แม้ทรัมป์จะกล่าวอ้างเอาการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ เป็นหนึ่งในผลงานของตน แต่นโยบายที่ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหนึ่งในนั้นคือการดำเนินนโยบายเข้มงวดกับกลุ่มผู้อพยพ โดยเฉพาะนโยบาย "ความอดทนเป็นศูนย์" หนึ่งในนั้นคือการแยกเด็กจากครอบครัว ที่สร้างความเดือดร้อนกับผู้อพยพจากภูมิภาคอเมริกากลางจำนวนมาก



    นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายทางการค้าระหว่างประเทศด้วยการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าโดยเฉพาะจากประเทศจีนให้อยู่ในระดับสูงเพื่อกดดันให้จีนทำตามข้อเรียกร้องทางการค้าของสหรัฐ ก็นำไปเชื่อไฟอันคุกรุ่นของสงครามการค้า แม้สองชาติจะมีข้อตกลงยุติการเผชิญหน้าลงเป็นการชั่วคราวเพื่อให้มีการเจรจากันเป็นเวลา 90 วันก็ตาม



    ไม่เพียงเท่านั้นทรัมป์ยังนำสหรัฐอเมริกาโดดเดี่ยวออกจากประชาคมโลกอีกครั้งด้วยการถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ที่ทรัมป์ระบุว่าเป็นการทำข้อตกลงเพียงฝ่ายเดียวซึ่งอ่อนแอและไม่สามารถทำให้อิหร่านยุติการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้



    ทรัมป์หันมาวางมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านอย่างเข้มข้นอีกครั้ง และนำไปสู่การจับกุมนางเมิ่ง หวั่นโจว ผู้บริหารหัวเว่ย ในข้อหาละเมิดมาตรการคว่ำบาตร ที่อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนที่อ่อนไหวอยู่แล้วตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้นไปอีก



    แม้จะมีนโยบายที่สร้างความประหลาดใจกับประชาคมโลกได้ตลอด ทว่าทรัมป์ก็สร้างประวัติศาสตร์ร่วมหารือระดับผู้นำสูงสุดระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือ ที่มีขึ้นเป็นครั้งแรกที่สิงคโปร์ในเดือนมิถุนายน ช่วยลดความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีได้มาก ขณะที่ทรัมป์เองระบุว่าเตรียมที่จะจัดการหารือกันอีกครั้งในต้นปี 2019 นี้



    3. มุน แจ อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้



    "ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การรวมตัวทางเศรษฐกิจ และสุดท้ายการรวมตัวกันใหม่" เป็นนโยบายหลักของ "มุน แจ อิน" ในช่วงหาเสียงก่อนคว้าชัยนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ในช่วงเดือนเมษายนปี 2017 ที่ผ่านมา



    ในฐานะนักเจรจาที่เคยทำให้เกิดการหารือระดับสุดยอดผู้นำระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้มาแล้วเมื่อปี 2007 ในปี 2018 นี้ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ก้าวไปไกลกว่านั้นด้วยการเป็นตัวกลางทำให้สองชาติปฏิปักษ์อย่าง "สหรัฐอเมริกา" และ "เกาหลีเหนือ" นั่งโต๊ะเจรจากันได้สำเร็จ



    โอกาสในการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างโลกคอมมิวนิสต์และโลกประชาธิปไตย ที่ถูกแยกตัวออกไปในยุคสงครามเย็น เริ่มตั้นขึ้นในช่วงต้นปี 2018 เมื่อประธานาธิบดีเกาหลีใต้ใช้การเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว ตอบรับข้อเสนอของเกาหลีเหนือในการส่งตัวแทนนักกีฬาร่วมกันภายใต้ธงผืนเดียวกัน



    และในที่สุดกีฬาก็นำไปสู่การหารือระดับผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้อีกครั้งในวันที่ 27 เมษายน เหตุการณ์ซึ่ง "คิม จอง อึน" กลายเป็นผู้นำเกาหลีเหนือคนแรกที่เดินข้ามเส้นแบ่งเขตแดนในเขตปลอดทหารปันมุนจอมสู่แผ่นดินเกาหลีใต้ นำไปสู่การเจรจาเพื่อสิ้นสุดสงครามเกาหลีอย่างเป็นทางการ และการปลดอาวุธนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์



    นอกจากนี้ มุน แจ อิน ยังเป็นสื่อกลางในการจัดให้มีการหารือระดับสูงระหว่างผู้นำสหรัฐและเกาหลีเหนือ เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา



    ผลงานของมุน แจ อิน เป็นที่ประจักษ์ในการลดอุณหภูมิที่ร้อนแรงในคาบสมุทรเกาหลีลง หลังสงครามน้ำลายระหว่างทรัมป์ และคิม ก่อนหน้านั้นทำให้โลกกังวลว่าอาจทำให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นได้



    ผลงานของประธานาธิบดีเกาหลีใต้ทำให้ทรัมป์ ผู้ที่เรียก คิมว่า "มนุษย์จรวด" ก่อนหน้านี้ เปลี่ยนคำนิยามผู้นำเกาหลีเหนือเป็น "ชายผู้มีความสามารถเป็นเลิศ"



    4. อังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี



    ในปี 2018 ที่ผ่านมา ภูมิภาคยุโรปคงจะไม่มีใครโดดเด่นในหน้าสื่อเท่ากับแองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ผู้ที่นำประเทศเยอรมนีมีเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น สวนทางกับวิกฤตเศรษฐกิจของภูมิภาค โดยเฉพาะการลดอัตราการว่างงานนับจากปีที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2005 ที่ 12 เปอร์เซ็นต์ ลดลงเหลือ 3.3 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้



    นอกจากผลงานในประเทศแล้วผลงานในระดับภูมิภาคในฐานะที่เยอรมนีเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรป (อียู) ก็มีมากมายไม่แพ้กันไม่ว่าจะเป็นการเป็นศูนย์กลางรวมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอียูเข้าไว้ด้วยกัน ในการเจรจาเพื่อการถอนตัวของอังกฤษออกจากอียู หรือเบร็กซิท การผลักดันแผนปฏิรูปอียู รวมไปถึงนโยบายที่ไม่เป็นที่พอใจกับชาติสมาชิกอียูและการเมืองฝั่งปีกขวามากนักอย่างการเปิดรับผู้ลี้ภัย แต่ก็ได้รับเสียงชื่นชมไปทั่วโลก ท่าทีซึ่งตรงกันข้ามกับโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาที่มีนโยบายปิดรับผู้อพยพ



    บทบาทอันโดดเด่นของผู้นำหญิงแห่งเยอรมนีส่งผลให้แมร์เคิลได้รับเลือกให้เป็น ผู้หญิงทรงอิทธิพลอันดับ 1 ของการจัดอันดับผู้หญิงทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก 100 คน ของนิตยสารฟอร์บส์ประจำปี 2018 เป็นการครองตำแหน่งติดต่อกันถึง 8 ปีซ้อน นอกจากนี้ ในการจัดอันดับบุคคลทรงอิทธิพล 100 คน ของนิตยสารฟอร์บส์ ในปีนี้ แมร์เคิลยังเป็นผู้หญิงที่ครองอันดับ 4 ของการจัดอันดับรองจากสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย และโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ



    ล่าสุด แมร์เคิล ประกาศที่จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 2021 เปิดช่องให้แนวคิดขวาจัดที่เริ่มก่อตัวขึ้นในเยอรมนีกลับมามีความหวัง และเป็นสิ่งที่น่าคิดเช่นกันว่าเยอรมนี รวมไปถึงอียู ในเวลานั้นจะมีทิศทางต่อไปอย่างไรโดยปราศจากผู้นำหญิงรายนี้



    5. จามาล คาช็อกกี คอลัมนิสต์วอชิงตันโพสต์



    กลายเป็นคดีที่สร้างความตกตะลึงให้กับคนทั้งโลกเมื่อ "จามาล คาช็อกกี" คอลัมนิสต์ชาวซาอุดีอาระเบีย ของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ในสหรัฐอเมริกา ถูกฆาตกรรมภายในสถานกงสุลซาอุดีอาระเบียในนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากนายคาช็อกกีเข้าไปขอเอกสารเพื่อใช้ในการแต่งงานกับคู่หมั้นแต่แล้วก็ไม่ได้กลับออกมาอีกเลย



    คาช็อกกี เป็นนักข่าวชาวซาอุดีอาระเบียที่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยในสหรัฐอเมริกา เดินทางออกจากซาอุดีอาระเบียเมื่อปี 2017 หลังถูกห้ามใช้งานบัญชีทวิตเตอร์ส่วนตัว หลังจากนั้นคาช็อกกีได้เริ่มเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย วิจารณ์มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน และกษัตริย์ซัลมานแห่งซาอุดีอาระเบีย นอกจากนี้ ยังแสดงออกถึงการต่อต้านนโยบายการแทรกแซงทางทหารของซาอุดีอาระเบียในเยเมนด้วย



    การเสียชีวิตของนายคาช็อกกี เป็นอีกครั้งที่สะท้อนพฤติกรรมสมคบคิดอันดำมืดของประเทศเศรษฐีน้ำมัน การกำจัดผู้เห็นต่างอย่างรุนแรง สวนทางกับนโยบายปฏิรูปประเทศในทิศทางทุนนิยมเสรีมากขึ้นภายใต้การนำของมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน แห่งซาอุดีอาระเบียผู้ครองตำแหน่งบุคคลทรงอิทธิพลลำดับที่ 8 จาก 100 อันดับผู้ทรงอิทธิพลของของนิตยสารฟอร์บส์



    แน่นอนว่า คาซ็อกกี ได้รับเลือกจากนิตยสารไทม์เป็นบุคคลแห่งปี 2018 รวมกับ "ผู้สื่อข่าวที่ถูกฆ่าและถูกขัง" ทั่วโลกเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ในฐานะ "ผู้พิทักษ์ความจริง" เป็นสิ่งกระตุ้นเตือนให้เห็นว่าโลกยุคปัจจุบันความเสี่ยงของผู้ทำงานข่าวนั้นมีเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในปี 2018 ที่ผ่านมามีผู้สื่อข่าวถูกฆ่าไปแล้วมากกว่า 50 คน


    Source: มติชน


    ภาพจาก https://www.smh.com.au/world/europe...-as-her-legacy-challenge-20180306-p4z2z6.html
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    5F9923F9-A4A5-4346-8577-F0523D4751AA.jpeg
    (Dec 31) ทรัมป์ ประกาศระงับแผนขึ้นเงินเดือนพนักงานรัฐบาลปีหน้า สหภาพแรงงานวอนขอความเห็นใจ: นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ประกาศคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เพื่อระงับแผนขึ้นเงินเดือนพนักงานรัฐบาลกลางสำหรับปีหน้า จากที่แต่เดิมนั้นพนักงานทุกคนจะได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น 2.1% อย่างอัตโนมัติตามกฎหมายเดิม ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการทำร้ายความรู้สึกของพนักงานที่บางส่วนได้รับผลกระทบจากภาวะชัตดาวน์อยู่แล้ว


    อย่างไรก็ดี การระงับแผนขึ้นเงินเดือนดังกล่าวไม่รวมถึงบุคลากรกองทัพ ซึ่งได้รับงบประมาณคนละส่วนกัน โดยบุคลากรกองทัพจะยังคงได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น 2.6%


    ด้านสหภาพแรงงานได้ออกแถลงการณ์ว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการ "เอาเกลือไปขัดแผล" โดยพนักงานรัฐบาลที่เดือดร้อนจากภาวะชัตดาวน์อยู่แล้วยังคงถูกทำร้ายซ้ำ เพราะนอกจากจะไม่ได้รับค่าจ้างแล้ว ยังไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือนอย่างที่สมควรได้รับด้วย


    ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ ได้ประกาศแผนระงับขึ้นเงินเดือนพนักงานรัฐบาลทุกคนเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนส.ค. โดยมองว่ารัฐบาลควรขึ้นเงินเดือนตามความสามารถในการทำงานของแต่ละบุคคลมากกว่า อย่างไรก็ดี แผนการดังกล่าวถูกคัดค้านอย่างรุนแรง ส่งผลให้ในเดือนต่อมาปธน.ทรัมป์ ให้คำมั่นว่าตนจะนำเรื่องนี้กลับไปศึกษาใหม่อีกครั้ง ทว่าดูเหมือนไม่มีความคืบหน้าในทางที่ดี


    ภาวะชัตดาวน์ของสหรัฐดำเนินมาเกินสัปดาห์แล้ว หลังจากทำเนียบขาวและสภาคองเกรสมีความเห็นไม่ลงรอยกันในการผ่านร่างงบประมาณในการสร้างกำแพงกั้นระหว่างสหรัฐและเม็กซิโก


    สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐได้ประชุมร่วมกันเป็นเวลาสั้นเมื่อช่วงบ่ายวันพฤหัสบดีตามเวลาสหรัฐ ก่อนที่จะเลื่อนการประชุมไปเป็นสัปดาห์นี้ ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าทุกฝ่ายจะสามารถตกลงกันเรื่องการผ่านร่างงบประมาณสร้างกำแพง ส่งผลให้เกิดภาวะชัตดาวน์ในหน่วยงานบางส่วนของสหรัฐ


    สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐจะประชุมกันอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 31 ธ.ค. โดยจะเป็นการประชุมแบบ pro forma ซึ่งเป็นการประชุมย่อยเพียงไม่กี่นาที ก่อนจะเปิดการประชุมที่อาคารรัฐสภาในวันพุธที่ 2 ม.ค. เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับงบการสร้างกำแพง


    อนึ่ง ปธน.ทรัมป์ได้ยื่นของบประมาณสำหรับก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกวงเงินกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นแคมเปญหาเสียงหลักของปธน.ทรัมป์ในปี 2559 แต่ทางฝั่งพรรคเดโมแครตยอมอนุมัติงบประมาณเพียง 1.3 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น โดยระบุว่า การสร้างกำแพงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีในการยกระดับการรักษาความปลอดภัยตามแนวชายแดน


    Source -อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย กนิษฐนุช สิริสุทธิ์


    https://www.usatoday.com/story/news...pay-federal-workers-amid-shutdown/2439801002/
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    CE0028A5-989E-441A-9116-FAD6206D6562.jpeg

    เค้กเมืองตรังของฝากดังยอดขายตก คนซื้อน้อยลงกว่าครึ่ง เหตุเศรษฐกิจแย่ราคาทั้งยางพารา และปาล์มไม่ดีฉุดกำลังซื้อ แถมร้านของประธานชมรมผู้ประกอบการขนมเค้ก จ.ตรัง ยังโดนโจรย่องเบาเหรียญพระที่สะสมไว้

    1546242518_37677_1.jpg

    วันที่ 31 ธ.ค. นายยี่เค้ง วงศ์สัมพันธ์ อายุ 80 ปี ประธานชมรมผู้ประกอบการขนมเค้ก จ.ตรัง และเป็นเจ้าของร้านเค้กรสเลิศ เปิดเผยว่า ยอดการจำหน่ายเค้กของร้านและทั่วทั้งจังหวัดในช่วงนี้และทั้งปีที่ผ่านมาตกลงอย่างมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ หากเป็นปกติวันที่ 27-31 ธ.ค.จะผลิตกันไม่ค่อยทัน โดยยอดการขายเค้กเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 4 ปี ที่ผ่านมา หากเปรียบเทียบเฉพาะกับปีที่แล้ว ถือว่าลดลงเหมือนกันแต่ไม่รุนแรงเท่ากับปีนี้

    1546242538_55301_3-1024x538.jpg

    ขณะที่วันนี้ได้มีลูกค้าสั่งมาจาก จ.นครศรีธรรมราช จำนวน 200 กล่อง แต่เนื่องจากฝนตกหนักกับสภาพอากาศ จึงได้โทรกลับมาขอลดลงเหลือ 80 กล่อง โดยให้เหตุผลว่า หากฝนตกแบบนี้ไม่รู้จะขายได้หรือเปล่าหากสั่งไปมากก็จะเหลือ ตนเองมองว่าสาเหตุของขนมเค้กเมืองตรัง ที่ยอดขายลดลงมาจากเศรษฐกิจที่ไม่ดี ผลพวงมาจากราคาของยางพารา และปาล์มน้ำมันที่ลดลง ลูกค้าจึงไม่มีกำลังซื้อ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย ที่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะค่อนข้างน้อย

    1546242558_40341_4.jpg

    “แนวโน้มของขนมเค้กตรังในอนาคต ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะดีขึ้นหรือลดลง เลือกตั้งเสร็จแล้วก็ยังคาดเดาไม่ได้ ผมมองว่าถ้าเศรษฐกิจบ้านเรา ยางพาราราคาดี ปาล์มน้ำมัน ราคาดี ส่วนนี้จะนำพาให้เศรษฐกิจของบ้านเรากระเตื้องขึ้นได้ ส่วนภาครัฐหรือหน่วยงานก็ให้การสนับสนุนในเรื่องของขนมเค้กไม่ดีเท่าที่ควร เว้นว่าจะเชิญให้ไปออกบูท ในนามของดีจังหวัดตรัง อย่างไรก็ตามมองว่าขนมเค้กเมืองตรังก็ยังเป็นที่นิยม เพียงแต่ยอดการจำหน่ายลดลงเพราะคนไม่มีกำลังซื้อ หากลูกค้าจะซื้อซัก 20 กล่อง ก็ลดลงซื้อเพียง 10 กล่องเท่านั้น”

    นายยี่เค้ง เปิดเผยเพิ่มเติมว่า จากที่ได้รับรายงานเมื่อปี 2560 ร้านที่จำหน่ายขนมเค้ก รวมทั้งผู้ประกอบการขนมเค้กได้มีการปิดตัวไปแล้วกว่า 20 ราย เหตุผลก็มาจากเศรษฐกิจที่ไม่ดี ขายไม่ได้ และมีการลอกเลียนแบบขนมเค้กเมืองตรังมาขึ้น อีกทั้งยังมีการนำไปจำหน่ายเกือบทุกจังหวัดทั่วประเทศ

    1546242606_64187_5.jpg

    ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ร้านเค้กรสเลิศ สาขาที่ 1 เลขที่ 59/2-3 ถนนสถานี ต.ทับเที่ยง อ.เมืองตรัง (เขตเทศบาลนครตรัง) ของนายยี่เค้ง ยังถูกคนร้ายงัดหลังคาเข้าไปทางห้องน้ำด้่นหลังร้าน ขโมยเหรียญพระไปกว่า 100 เหรียญ และบริเวณเคาน์เตอร์ของร้าน พบว่าเงินชนิดเหรียญตั้งแต่เหรียญบาทไปจนถึง 10 บาท ที่ใส่ไว้ในตระกร้าหายไปกว่า 3,000 บาท

    https://workpointnews.com/2018/12/31/เค้กเมืองตรังขายน้อยกว/
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_6969.JPG
    (Dec 31) จับตา'สงครามเทคโนโลยี' สะเทือนห่วงโซ่อุปทานโลก: ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ไทยพาณิชย์ จัดทำบทวิเคราะห์เรื่อง "2018 Trade war;2019 Tech war?" โดยประเมินสถานการณ์สงครามการค้า ในปี 2561 แม้ล่าสุดจะเริ่มเบาลง แต่ประเด็น การกีดกันเทคโนโลยีกลับรุนแรงขึ้น ซึ่งอาจนำมาสู่สงครามด้านเทคโนโลยี หรือ Tech war ได้ในอนาคต ซึ่งยังมีผลต่อห่วงโซ่อุปทานในตลาดโลกด้วย

    ปี 2561 เป็นปีที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ประกาศสงครามการค้าตามที่เคยหาเสียงไว้ เริ่มต้นจากการประกาศขึ้นภาษีเครื่องซักผ้า แผงโซลาร์เซลล์ เหล็กและอะลูมิเนียม โดยประเทศที่ได้รับผลกระทบ คือ ประเทศ ที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐเป็นหลัก เช่น กลุ่มประเทศยุโรป แคนาดา และเม็กซิโก

    ล่าสุดประเด็นด้านสงครามการค้าดูเหมือนจะบรรเทาลง แต่ประเด็นด้านเทคโนโลยีก็กลับรุนแรงขึ้น หลังจากที่ทางการแคนาดาจับกุม "เมิ่งหวันโจว" ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน หรือ ซีเอฟโอ ของบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี หลังจากที่หัวเว่ยละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านที่สหรัฐกำหนด

    พัฒนาการดังกล่าวทำให้เกิดคำถาม หลายประการ แต่คำถามสำคัญสำหรับประเด็นเหล่านี้มี 3 ประการ ได้แก่ 1.เพราะเหตุใด ทั้งสหรัฐและจีนจึงยอมสงบศึกสงคราม การค้าชั่วคราว 2.การจับกุม ซีอีโอ หัวเว่ย โดยใช้ข้อกล่าวอ้างเรื่องการละเมิดการคว่ำบาตรอิหร่านนั้น เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสงครามการค้าหรือไม่ และ 3.ผลกระทบ ของสงครามการค้าที่อาจแปรเปลี่ยนเป็นสงครามด้านเทคโนโลยี คืออะไร

    สำหรับคำถามแรก อาจพิจารณาได้ทั้งจากฝั่งสหรัฐและจีน โดยฟากสหรัฐ แม้ทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่งกว่าประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะจีน แต่สัญญาณของความเสี่ยงเศรษฐกิจเริ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะด้านการลงทุนที่เริ่มชะลอลง โดยจากรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ ระบุชัดเจนว่า ภาคธุรกิจเริ่มกังวลกับทิศทางเศรษฐกิจมากขึ้น หลังจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐและการตอบโต้ของต่างประเทศทำให้ต้นทุนการผลิตมีมากขึ้น ภาคธุรกิจจึงเริ่มชะลอการลงทุนลง

    ขณะเดียวกัน ถ้าดูแนวคิดของที่ปรึกษาผู้นำสหรัฐบางท่านนั้นเห็นว่าประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐเป็นประเด็นเชิงกลยุทธ์ระยะยาว เนื่องจากจีนใช้ การบีบบังคับให้บริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศเข้าร่วมทุน (JV) กับบริษัทจีน และต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัทร่วมทุน เพื่อให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวให้บรรลุยุทธศาสตร์ชาติ Made in China 2025

    นอกจากนั้น ยังกังวลว่าสินค้าเทคโนโลยี ของจีนที่ส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ เช่น โทรศัพท์ มือถือ รวมถึงเครือข่ายอุปกรณ์โทรคมนาคมนั้น ยังเสี่ยงจากประเด็นด้านการรุกล้ำและ การจารกรรมทางไซเบอร์ด้วย สหรัฐจะหันมาใช้ประเด็นด้านการค้า การลงทุน และการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อกดดันจีนมากขึ้น

    ในฝั่งของจีน ทิศทางเศรษฐกิจจีนที่ชะลอรุนแรงกว่าสหรัฐจากปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้าใน 3 ด้าน คือ 1.หนี้ประชาชาติที่สูง 2.ภาคการบริโภคและลงทุนในประเทศที่ชะลอตัวลง และ 3.ความตึงตัวภาคการเงิน ทำให้จีนยอมโอนอ่อนต่อความต้องการของสหรัฐมากขึ้น

    โดยหลังการประชุม จี20 ทางการจีนก็ประกาศมาตรการ 4 ประการคือ 1.ทบทวนนโยบาย "Made in China 2025" โดย ลดความแข็งกร้าวในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี 2.เปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในจีนได้ง่ายขึ้น โดยอนุญาตให้ Tesla, UBS และ ExxonMobil เข้ามาเปิดกิจการในจีนได้ 3.ลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐจาก 40% เป็น 15% และ 4. นำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐมากขึ้น

    แม้ว่าพัฒนาการระหว่างทางการจีนและทางการสหรัฐในประเด็นสงครามการค้าและเทคโนโลยีจะดูดีขึ้นในระยะสั้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การจับกุม ซีเอฟโอ ของหัวเว่ย เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านสงครามเทคโนโลยีทั้งในประเด็นด้าน 1.การเป็นเสาหลักของกลยุทธ์ Made in China 2025 2.ประเด็นด้านการพัฒนาเทคโนโลยียุคที่ 5 (5G) และ 3.ในประเด็นด้านการจารกรรมทางไซเบอร์

    ใน 2 ประเด็นแรก เกี่ยวข้องกันชัดเจน โดยหัวเว่ยในปัจจุบันได้เติบโตจากมูลค่าบริษัทที่ 3,000 ดอลลาร์ใน 30 ปีก่อน มาเป็นผู้ผลิตเครือข่ายโทรคมนาคมใหญ่อันดับ 1 ของโลก และ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก โดยมีธุรกิจใน 170 ประเทศ ทั่วโลก และมีรายได้รวม 9.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้เป็นธุรกิจที่ขนาดเดียวกับ Microsoft และ Alphabet (บริษัทแม่ของ Google) และใหญ่เป็น 2 เท่าของ Alibaba

    การที่หัวเว่ยเป็นทั้งผู้ผลิตโครงข่ายและโทรศัพท์มือถือขนาดใหญ่ และเป็น Supplier สำคัญให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ทำให้หัวเว่ยมีเทคโนโลยีล้ำหน้าและพร้อมเป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้าน 5G

    หากใช้กรณีหัวเว่ย เป็นกรณีศึกษาของพัฒนาการสงครามการค้า ที่เปลี่ยนเป็นสงครามเทคโนโลยี (Tech War) แล้ว จะพบว่ามีความน่าสนใจใน 2 ประเด็น กล่าวคือ

    ประเด็นที่1 สงครามการค้าอาจเริ่มลดความตึงเครียดลง แต่สงครามเทคโนโลยีอาจรุนแรงขึ้น เนื่องจากการขึ้นอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐ จะทำได้ในระดับหนึ่ง เพราะหากสหรัฐยังขึ้นภาษีต่อเนื่อง จะกระทบเศรษฐกิจสหรัฐเอง เพราะรายชื่อสินค้าต่อไปที่จะเก็บภาษี เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหลัก ซึ่งจะกระทบต่อผู้บริโภคในสหรัฐมากขึ้น

    นอกจากนั้น การขึ้นภาษีก็ไม่ได้ทำให้สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีนลดลงแต่กลับเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังเติบโตแข็งแกร่ง จึงนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้น โดยใน 9 เดือนแรก สหรัฐขาดดุลกับจีนเพิ่มขึ้น 10.4% และมีแนวโน้มว่าจะขาดดุลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้

    ประเด็นที่2 หากสหรัฐคุมเข้มโดยการเรียกร้องให้ประเทศพันธมิตรคว่ำบาตรสินค้าหรือบริการเครือข่ายของหัวเว่ยแล้ว อาจกระทบ ต่อผลประกอบการของหัวเว่ยได้พอสมควร รวมถึงกระทบต่อการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของจีนในอนาคต โดยหากทางการสหรัฐสั่งการให้ธุรกิจของตนห้ามทำธุรกรรมซื้อขายกับหัวเว่ย จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตของธุรกิจเทคโนโลยีพอสมควร

    ในการผลิตโทรศัพท์มือถือนั้น หัวเว่ยต้องใช้ Chips ที่ผลิตจากบริษัทสหรัฐ เช่น Intel และ NXP รวมถึงจากประเทศที่เป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงเช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ เป็นต้น ซึ่งหากประเทศ เหล่านี้ประกาศคว่ำบาตรหัวเว่ย อาจทำให้บริษัทที่เคยเป็น Suplier สำคัญของหัวเว่ย เช่น ASE, LG Display, Sunny Optical, TSMC และ Qualcomm จำเป็นต้องหยุดทำธุรกรรมกับหัวเว่ย ซึ่งจะทำให้บริษัท ที่เป็นลูกค้าสำคัญของหัวเว่ยและต้องพึ่งพาหัวเว่ยในการเป็นห่วงโซ่การผลิต เช่น Chinasoft, BYD Auto, Foxconn, TSMC และ SK Hynix ประสบปัญหาขาดชิ้นส่วนในการผลิตสินค้า

    หากพิจารณาในภาพรวม กระแสดังกล่าวจะทำให้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยอาจนำ ไปสู่การเปลี่ยนวิถีการค้า (Trade Diversion) โดยในระยะสั้น กระแสดังกล่าวจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในระบบห่วงโซ่อุปทาน และจะกระทบต่อการผลิตสินค้าเทคโนโลยี ขณะที่ในระยะต่อไป อาจกระทบต่อแนวทางการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของจีน เนื่องจากทั้งลูกค้าและ Supplier ของหัวเว่ยและ ผู้ผลิตจีนอาจหลีกเลี่ยงการทำธุรกิจกับบริษัทเทคโนโลยีจีนในอนาคต

    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์" ปล่อยพลังเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
    11:36 | 31 ธันวาคม 2561 |

    G0DL5oPyrtt5HBAi4AGDIGrK3w9Dc5P5Xo1JS2JgK1pKBFlmQYRKYC.jpg

    กรมทรัพยากรธรณี ชี้ แผ่นดินไหว ขนาด 4.9 ที่ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี และเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีก 2 ครั้ง เกิดจากรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ ซึ่งเกิดเร็วกว่าที่ควรจะเป็นอยู่ที่ 50 ปี

    วันนี้ (31 ธ.ค.2561) นายสมหมาย เตชวาล อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เปิดเผยว่า เหตุแผ่นดินไหวขนาด 4.9 เมื่อเวลา 22.39 น. ระดับความลึก 2 กิโลเมตร จุดศูนย์กลางที่ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ขณะนี้ได้รับรายงานมีรอยร้าวผนังอาคารบางแห่ง จะส่งทีมเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรลงพื้นที่ตรวจสอบ

    ขณะเดียวกันเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นที่กลุ่มรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเคยมีประวัติเคยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ 5.9 เมื่อวันที่ 22 เม.ย.2526 หรือประมาณ 35 ปี โดยเหตุการณ์เมื่อคืนนี้อยู่ในตำแหน่งใกล้เคียงกันกับในอดีต และมีประชาชนหลายจังหวัดรับรู้ถึงแรงสั่นไหวในวงกว้าง

    ชี้คาบการเกิดมาเร็ว จากสถิติควร 50 ปี
    นายสุวิทย์ โควสุวรรณ ผู้อำนวยการส่วนวิจัยรอยเลื่อนมีพลัง กรมทรัพยากรธรณี ระบุว่า แผ่นดินไหว 4.9 เกิดจากการขยับตัวของรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่เคยเกิดแผ่นดินไหวใหญ่เมื่อปี 2526 โดยมีรายงานอาฟเตอร์ช็อกระดับ 3 ตามมาหลายครั้ง

    ซึ่งการขยับตัวและไหวในระดับ 4.9 มาเร็วกว่าค่าเฉลี่ยที่เคยศึกษาพฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหวของรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ ว่าสถิติควรอยู่ที่ 50 ปี โดยเกิดขึ้นในวงรอบเพียง 35 ปี ทั้งนี้แม้จะอยู่ในค่าเฉลี่ยที่รับได้ แต่ยอมรับว่าเป็นการขยับที่ไวและไม่คาดคิดว่าจะมาเร็ว

    นายสุวิทย์ กล่าวว่า ขณะนี้ต้องทบทวนการรับมือและระบบความพร้อมการเตือนภัยและการรับมือกันใหม่ทั้งหมด ทั้งในแง่ของการศึกษาพฤติกรรมของรอยเลื่อน และความพร้อมในจังหวัดเสี่ยงที่อยู่ในแนวรอยเลื่อน


    ทั้งนี้ การตรวจสอบความแข็งแรงของเขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ ที่อยู่ใกล้ประมาณ 55-60 กิโลเมตร พบว่าแผ่นดินไหวมีการวัดแรงได้ไม่ถึง 1%

    สำหรับกลุ่มรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ แนวของรอยเลื่อนอยู่ในร่องน้ำแม่กลอง และแควใหญ่ไปจนถึงเขตแดนเมียนมา มีความยาวประมาณ 500 กิโลเมตร เป็นรอยเลื่อนที่เกิดแผ่นดินไหวทั้งใหญ่และเล็กหลายครั้ง แต่ที่รุนแรงที่สุดเกิดเมื่อวันที่ 22 เม.ย.2526 มีขนาด 5.9

    ขณะที่สถิติแผ่นดินไหวใน จ.กาญจนบุรี ซึ่งสำนักเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา บันทึกไว้ได้ตั้งแต่ปี 2502-ปัจจุบัน จำนวน 12 ครั้ง


    วันที่ 21 มี.ค.2502 ไม่ระบุความรุนแรง เวลาประมาณ 14.00 น. แผ่นดินไหวพายุฟ้าคะนอง มีเสียงดัง แผ่นดินแยกที่กาญจนบุรี

    วันที่ 15 เม.ย.2526 ขนาด 5.5 รู้สึกแผ่นดินไหวชัดเจนใน กทม.

    วันที่ 22 เม.ย.2526 ขนาด 5.9 รู้สึกแผ่นดินไหวตลอดภาคกลาง และภาคเหนือหลายคนตื่นตระหนก เสียหายเล็กน้อยแก่อาคารใน กทม. รู้สึกสั่นไหว 2 ครั้ง เวลา 07.37 น. และ 10.21 น.

    วันที่ 18 ก.ค.2526 ขนาด 4.7 รู้สึกสั่นไหวที่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี

    วันที่ 30 ส.ค.2526 ขนาด 4.2 รู้สึกสั่นไหวที่ จ.กาญจนบุรี

    วันที่ 25 มี.ค.2528 ขนาด 3.5 รู้สึกสั่นไหวที่เขื่อนเขาแหลม

    วันที่ 29 พ.ย.2531 ขนาด 4.5 รู้สึกสั่นไหวที่ อ.ศรีสวัสดิ์ และ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

    วันที่ 15 ธ.ค.2532 ขนาด 4.0 รู้สึกสั่นไหวที่ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี

    วันที่ 28 พ.ค.2533 ขนาด 4.2 รู้สึกสั่นไหวที่ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี

    วันที่ 3 พ.ย.2533 ขนาด 4.0 รู้สึกสั่นไหวที่ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี

    วันที่ 22 ก.พ.2544 ขนาด 4.3 (เขื่อนเขาแหลม) รู้สึกได้ที่ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

    วันที่ 14 ก.ค.2558 ขนาด 4.8 รู้สึกสั่นไหวที่ อ.สังขละบุรี และ อ.ทองผาภูมิ

    และวันที่ 30 ธ.ค.2561 เวลา 22.39 น.เกิดแผ่นดินไหว ขนาด 4.9 ความลึก 2 กิโลเมตร ที่ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ประชาชนในหลายจังหวัดรู้สึกถึงแรงสั่นไหว

    ต่อเนื่องวันที่ 31 ธ.ค.2561 เกิดแผ่นดินไหวอีก 2 ครั้ง จุดศูนย์กลางอยู่บริเวณ อ.ศรีสวัสดิ์ ในเวลา 01.59 น. ขนาด 1.6 ความลึก 2 กิโลเมตร และเวลา 05.02 น. ขนาด 3.0 ความลึก 10 กิโลเมตร


    http://news.thaipbs.or.th/content/276671
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_6971.JPG
    (Dec 31) ตลาดเงินป่วนแรงโลกเสี่ยงมากขึ้น : ทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้ายของไทย อาจกล่าวได้ว่า ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าต่างชาติจะขนเงินเข้ามาพัก หรือเทขายออกไปเมื่อใด ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนแต่มาจากปัจจัยความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะความไม่แน่นอนจากสหรัฐ ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งสัญญาณผ่านทวิตเตอร์หรือการออกมาตรการกีดกันทางการค้ากับจีนอีกหรือไม่ ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด



    ย้อนวันวานตลาดเงินปี 2561



    แม้ในปี 2561 จะมีเหตุการณ์สำคัญที่พลิกภาพอันแสนดีของการเติบโตเศรษฐกิจโลกเป็นความเสี่ยง ทว่า ค่าเงินบาท กลับมีเสถียรภาพอย่างไม่น่าเชื่อ โดยการเก็บข้อมูลของธนาคารกรุงศรีอยุธยา พบว่า เงินบาทอ่อนค่าน้อยที่สุดในภูมิภาค ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 18 ธ.ค. 2561 เงินบาทอ่อนค่าเพียง 0.43% ขณะที่ค่าเงินในภูมิภาคและตลาดเกิดใหม่ 3 ประเทศที่เงินอ่อนค่ามากสุด คือ อินเดีย รูปีอ่อนค่า 10.91% อินโดนีเซีย รูเปียห์อ่อนค่า 6.41% เงินหยวนอ่อนค่า 5.45%



    ส่วนข้อมูลจากบลูมเบิร์ก พบว่า ค่าเงินบาทในวันที่ 1 ม.ค. 2561 อยู่ที่ 32.58 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และวันที่ 26 ธ.ค. 2561 ค่าเงินบาทอยู่ที่ 32.57 บาท/ดอลลาร์ แทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย แต่ระหว่างปีมีความผันผวน โดยค่าเงินบาทแข็งค่าสุดที่ระดับ 31.08 บาท/ดอลลาร์ และอ่อนค่าสุดที่ระดับ 33.52 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ



    สาเหตุหนึ่งที่เงินบาททรงตัว มาจากการที่ตลาดพันธบัตรของไทยกลายเป็นแหล่งพักเงินที่ปลอดภัย หรือ Safe Haven แห่งใหม่ของนักลงทุนไปแล้ว ซึ่งต้องลุ้นกันอยู่ว่า นักลงทุนต่างชาติจะถือครองพันธบัตรแตะ 1 ล้านล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้หรือไม่



    การที่เงินไหลเข้าในตลาดพันธบัตรอยู่มาก แม้เงินจะกระหน่ำไหลออกจากตลาดหุ้น จนดัชนีรูดกราวต่ำกว่า 1,600 จุด โดยคิดเป็นมูลค่าใกล้เคียงกันประมาณ 2.8 แสนล้านบาท ส่งผลให้สุทธิเงินทุนเคลื่อนย้ายทั้งระบบทรงตัว



    สิ่งที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะสะท้อนความเชื่อมั่นเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทย ไม่ว่าจะเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ระดับสูง หนี้ต่างประเทศต่ำ สัดส่วนการถือครองพันธบัตรต่างชาติน้อย มีฐานะเป็นประเทศเจ้าหนี้ แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป



    เมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การที่ไทยมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศมากเป็นกันชนที่แข็งแกร่ง ทำให้เงินไม่ไหลออกแรงจนกระทบความมั่นคง แต่อีกด้านหนึ่งส่งผลให้เกิดทุนไหลเข้ากดดันเงินบาทแข็งค่ากว่าภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมา ไม่สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของตลาด ซึ่ง ธปท.พยายามส่งเสริมให้เงินบาทสอดคล้องกับภูมิภาค อาทิ ผ่อนคลายกฎเกณฑ์แลกเงินให้สะดวกขึ้น ต้นทุนต่ำลง เปิดให้เอกชนถือครองเงินตราต่างประเทศมากขึ้น



    "แต่จุดสำคัญ ถ้าเรากระตุ้นการลงทุนของประเทศให้สูงขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง แรงกดดันเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนของเราก็จะน้อยลงได้ แต่ต้องเป็นการลงทุนที่เพิ่มศักยภาพให้ประเทศด้วย" เมธี กล่าว



    เหตุการณ์สำคัญของตลาดเงินไทยอีกเรื่องหนึ่ง มาส่งท้ายปี ได้แก่ การตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 7 ปี และการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ด้วยมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ปรับขึ้น 0.25% จาก 1.5% เป็น 1.75%



    อาจไม่เหนือความคาดหมาย เพราะตลาดประเมินล่วงหน้าไปแล้วว่าไม่ช้าก็เร็ว อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยก็ต้องปรับให้สอดคล้องกับตลาดโลก เพียงแต่กันชนอย่างหนาที่ ธปท.สร้างไว้ ทำให้สามารถดึงเวลาการใช้ดอกเบี้ยผ่อนคลาย "มากเป็นพิเศษ" เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ต่อเนื่องในระยะหนึ่ง



    แต่ความเปราะบางและความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบที่เกิดขึ้นจากการคงดอกเบี้ยผ่อนคลาย "มากเป็นพิเศษ" แสดงให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ จากการแสวงหาผลตอบแทนสูงและประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร แม้จะออกมาตรการกำกับดูแลเฉพาะจุด หรือ แม็คโครพรูเด็นเชียล เป็นฝายมา กั้นน้ำ แต่ความเปราะบางจากนโยบายการเงินผ่อนคลาย "มากเป็นพิเศษ" ก็ทะลักฝายมาสร้างความเสี่ยงต่อระบบอยู่ดี



    นอกจากนี้ ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สร้างความ ไม่แน่นอนในหลายเรื่องต่อการค้าโลกและตลาดเงินตลาดทุน การมีขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) เป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งหาก กนง.พิจารณาจากข้อมูลต่างๆ หรือที่เรียกว่า "DATA DEPENDENT" เป็นโอกาสและจังหวะที่สามารถสะสมกระสุนได้ก็จะทำ เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นดอกเบี้ยขาขึ้นหรือหมดยุคดอกเบี้ย ดังที่ วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธปท. ได้กล่าวไว้ว่า



    "ถ้าสมมติว่ามีการตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็ไม่ได้หมายความว่าหมดยุคดอกเบี้ยต่ำ ดอกเบี้ยอย่างไรก็ยังอยู่ในระดับต่ำ ตามที่รายงาน กนง.ที่เขียนชัดว่า คณะกรรมการโดยรวมเห็นว่านโยบายการเงินแบบผ่อนคลายยังจำเป็นสำหรับเศรษฐกิจไทย เพียงแต่นโยบายการเงินอยู่ในระดับการผ่อนคลายมากเป็นพิเศษที่ผ่านมา มีความจำเป็นน้อยลง"มองไปข้างหน้าเงินบาทและดอกเบี้ยปี 2562



    ปัจจัยหลักที่มีผลต่อตลาดเงินโลก ยังคงอิงกับการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐ ซึ่งทั่วโลกกำลังติดตามว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องหรือไม่ หลังจากที่ได้ปรับขึ้นถึง 4 ครั้ง สู่ระดับ 2.5% ในปี 2561 รวมทั้งนโยบายการเงินของประเทศหลักอย่าง สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น จะลดการอัดฉีดสภาพคล่องและปรับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อใด ล้วนมีผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายทั้งสิ้น



    สำหรับปัจจัยเสริมที่มีผลกระทบ ให้เกิดความผันผวน คือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน จะลุกลามบานปลายถึงระดับใด ซึ่งนักวิเคราะห์หลายสำนัก เชื่อว่า สงครามการค้าไม่ได้จบแค่การ พบกันระหว่าง ทรัมป์ กับ สีจิ้นผิง ในการประชุม จี20 แน่นอน เพราะฝ่ายสหรัฐเหมือนจะเดินเกมใต้ดินกดดันด้วย อีกทั้งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ความอ่อนแอของประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีหนี้สินอยู่ระดับสูง ล้วนแต่เป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตา ทั้งสิ้น



    มุมมองค่าเงินบาทปี 2562 นั้น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่า เป็นทิศทาง "แข็งค่า" จากเทรนด์ดอลลาร์อ่อนหลังจากตลาดเริ่มมีคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยช้าลง จากเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มแผ่วในช่วงปลายวัฏจักรของการเติบโต อย่างไรก็ดีค่าเงินปีหน้าจะเคลื่อนไหวผันผวนสูงเช่นเดียวกับปีนี้ โดยคาดการณ์สิ้นปี 2562 จะอยู่ที่ระดับ 31.50 บาท/ดอลลาร์ แต่กรอบกว้าง โดยอาจแข็งค่าสุดในรอบ 5 ปี แตะ 30.75 บาท/ดอลลาร์ และอ่อนค่าสุดที่ระดับ 33บาท/ดอลลาร์



    ด้าน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ประเมินเงินบาท 2562 เป็นทิศทางแข็งค่าเช่นกัน จากการไหลกลับของเงินลงทุนเข้ามายังตลาดเกิดใหม่ หลังจากที่เฟดไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยตามที่ระบุไว้ โดยประมาณการค่าเงินบาทปลายปี 2562 ที่ระดับ 32 บาท/ดอลลาร์



    ขณะที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ให้ทิศทางค่าเงินบาทสิ้นปี 2562 อยู่ที่ 34 บาท/ดอลลาร์ โดยจะเห็นการทยอยอ่อนค่าตั้งแต่ไตรมาสแรกเป็นต้นไป เป็นผลมาจากเฟดมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ช่วงครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลัง หากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐยังขยายตัวได้ดี



    ส่วนทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของไทย มีการคาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในปี 2562 ทำให้ดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 2% จากการพิจารณาสัญญาณของ ธปท.แล้ว คาดว่าระดับดังกล่าวยังเป็น "นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย" ช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ และลดความคาดหวังของตลาดในเรื่องดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษลงไป ลดปัญหาความเสี่ยงเชิงระบบ



    แม้ว่าการคาดการณ์ตลาดเงินของสำนักวิจัยต่างๆ แม้ตัวเลขอาจแตกต่างกันไปบ้าง แต่ทุกแห่งฟันธงตรงกันว่า "ผันผวนมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา" ฉะนั้นปี 2562 จึงยังเป็นปีแห่งความท้าทายของตลาดเงินตลาดทุนอีกปีหนึ่ง


    โดย ศุภลักษณ์ เอกกิตติวงษ์
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    D72DE6C5-48C6-475F-B2B9-7E57A84D749A.jpeg
    (Dec 31) หัวเว่ยปรับตัว ธุรกิจยืดหยุ่น ก้าวสู่ผู้นำโลก - หัวเว่ย ไม่หวั่นสงครามการค้าโลก อเมริกากีดกันสินค้าจีน เร่งพัฒนาบุคลากรวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ผู้นำตลาดโลก



    นาย กัว ผิง ประธานกรรมการหมุนเวียนตามวาระ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี เปิดเผย ว่า นโยบายปี 2562 บริษัทให้ความสำคัญกับธุรกิจและโอกาสเชิงกลยุทธ์ พร้อมวางโครงสร้างธุรกิจที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยจะเพิ่มการลงทุนในด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างความสำเร็จในการเป็นผู้นำอย่างครบวงจร และพัฒนาคุณสมบัติด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์คุณภาพที่น่าเชื่อถือ



    "เราจะยังคงสงบนิ่งและเผชิญหน้ากับปัญหาอุปสรรค พร้อมยึดมั่นตามหลักอันแน่วแน่ของกฎหมาย เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของภาวะการเมืองโลก การเข้าสู่เวทีระดับโลกย่อมหมายถึงการต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศและภูมิภาคต่างๆ ที่เราเข้าไปดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นหลัก พื้นฐานที่สำคัญที่สุดที่เราต้องพึงยึดมั่นในการให้บริการและส่งเสริมสนับสนุนสังคมโลก และยังครอบคลุมถึงการรวมข้อบังคับตามกฎหมายไว้ในกิจกรรมทางธุรกิจ ผ่านทางนโยบาย" นาย กัว ผิง กล่าว



    สำหรับคาดการณ์ยอดขายปีนี้อาจมีมูลค่าแตะ 1.08 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โต 21% เนื่องจากลงนามสัญญา 5จี เชิงพาณิชย์กับผู้ให้บริการเครือข่ายทั่วโลกไปแล้ว 26 ฉบับ และได้ส่งมอบสถานีฐาน 5จี กว่า 1 หมื่นชุดให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยมั่นใจว่าการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องจะขับเคลื่อนให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกได้


    Source: Posttoday


    - Huawei forecasts 21pc growth in 2019

    https://www.standardmedia.co.ke/article/2001307880/huawei-forecasts-21pc-growth-in-2019
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามเหตุการณ์แผ่นดินไหว จ.ภูเก็ต (ภาคประชาชน)


    31/12/2018@21:31 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 4.1 ที่ความลึก 11 กิโลเมตรทางตอนใต้ของหมู่เกาะสุมาตรา ทางจากเกาะภูเก็ตไปทางทิศใต้ประมาณ 830 กิโลเมตร #ไม่มีสึนามิ #ไม่มีรายงานความเสียหาย #ไม่กระทบต่อจังหวัดภูเก็ตโดยตรง


     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สถานการณ์โลก ด้านความมั่นคง


    การประท้วงซักลาม: ตอนนี้ลามเข้าสู่เซอร์เบียแล้ว ประท้วงต่อต้านประธานาธิบดี/


     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เจนจิรา จันทรเสนา


    " จากเฟซบุ๊ก Makenzie Schultz "


    คู่สามีภรรยาที่อยู่ในรัฐไอโอวา อเมริกา ได้พากันไปกินอาหารนอกบ้าน แต่เจอบริการที่ล่าช้ามาก เค้ารอน้ำถึง 20นาที และรออีกเกือบชั่วโมงกว่าอาหารจะออกมา กระทั่งสุดท้ายพนักงานเสิร์ฟได้รับทิปมากกว่าค่าอาหารซะอีก


    เหตุผลก็เพราะลูกค้าคนนี้เคยทำงานแบบนี้มาก่อนเลยเข้าใจและเห็นใจ ถึงบริการที่ล่าช้าจนถูกหลายๆโต๊ะต่อว่า แต่เพราะมีคนมาทำงานน้อยจึงขาดคนงาน ที่ช้าจึงไม่ใช่เกิดจากความผิดของพนักงานที่พยามทำงานอย่างเต็มความสามารถและไม่เคยบ่นเลย


    คนที่เคยผ่านประสบการณ์การทำงานแบบนี้มาจะเข้าใจ ว่าส่วนใหญ่พนักงานเสิร์ฟอยู่ได้ด้วยทิป วันนั้นโชคดีที่เจอลูกค้าคู่นี้


    fb: https://t.co/OzBPfOqSR1


     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เจนจิรา จันทรเสนา


    ในยุคที่โทรทัศน์ มีเพียงช่องเดียวคือช่อง๔ บางขุนพรหม รายการโทรทัศน์รายการหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากคือรายการ "ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่"


    โดยเป็นการแสดงดนตรีของวงดนตรีสุนทราภรณ์ ซึ่งนอกจากจะบรรเลงเพลงอื่นๆ ทั้งเพลงรักและเพลงลีลาศไปแล้ว ก็จะมีการขับร้องเพลงหมู่ "ลาปีเก่า"


    หลังจากจบเพลงนี้ก็มักจะเป็นเวลาใกล้ ๒๔ นาฬิกา ของคืนวันที่ ๓๑ ธันวาคม และเมื่อเข็มวินาทีเคลื่อนสู่กาลเปลี่ยนปีเก่าเข้าสู่ปีใหม่ ชาวคณะสุนทราภรณ์ก็อัญเชิญเพลงพระราชนิพนธ์ "พรปีใหม่" มาร้องเพื่อความเป็นสิริมงคล


    ต่อจากนั้นจะตามติดด้วยเพลงอันเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี เช่น -เก่าไปใหม่มา -สวัสดีปีใหม่ และจะขับร้องหมู่ในเพลง "ไชโยปีใหม่" เป็นการปิดรายการค่ะ

    - jenjira -


     

แชร์หน้านี้

Loading...