ร่วมทำบุญบูชา สำเร็จชุมนุมมหาคุณบารมีเก้าชั้นแต่งอโหสิกรรม(ถอนกรรมเผ่าพันธุ์บาปบรรพชน) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    พรุ่งนี้ติดตามกันดีๆนะ รอบสายๆห้ามพลาด ;)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2018
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    ร่วมทำบุญบูชา คันฉ่องดูดพลังจักรวาลแว่นฟ้าบาปวิบัติ(พระสิขีพุทธเจ้าส่องประทีบ)

    สืบเนื่องจากวาระที่ท่านทั้งหลายต้องการจะบูชาพระพุทธเรวัตตะ(ไพรีพินาศ)ซึ่งติดจองเต็มอย่างรวดเร็วนั้น ทั้งนี้หลายๆคนได้แสดงความต้องการว่าถ้าไม่ได้ก็ขอเพียงแว่นฟ้าบาปวิบัติก็ยังดี ทั้งอยากได้แบบพิเศษที่พ่ออาจารย์ท่านเชิญและใช้บารมีเฉพาะทางเหมือนพระไพรีด้วย

    ทั้งนี้ด้วยความบังเอิญหรือเหตุผลกลใดก็ไม่ทราพ่ออาจารย์ท่านว่ามีคันฉ่องชุดนำฤกษ์อยู่ ซึ่งท่านเทไว้ก่อนสร้างพระพุทธเรวัตตะ ทั้งคันฉ่องชุดนี้ท่านยังนำวิชาเฉพาะทางของสมเด็จพระพุทธสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำตะกรุดคุณวิชาฝังไว้ด้วย

    พ่ออาจารย์ท่านว่าสมเด็จพระพุทธสิขีนี้เป็นคนละองค์กับสมเด็จองค์ปฐมนะ ถึงชื่อเหมือนกันแต่ก็ต่างกาลต่างวาระเป็นยุคหลังองค์ปฐมลงมา ดังจะยกประวัติคร่าวๆชองพระองค์ลงไว้เพื่อใช้แยกแยะ ดังนี้
    ในคัมภีร์มธุรัตถวิลาสินีระบุว่า หลังจากที่พระสิขีโพธิสัตว์จุติจากการเป็นท้าวสันดุสิตแล้ว ได้ทรงปฏิสนธิในครรภ์ของพระนางปภาวดี พระอัครมเหสีในพระเจ้าอรุณแห่งกรุงอรุณวดี ได้รับพระนามว่าเจ้าชายสิขี เมื่อเจริญพระชนม์ขึ้นได้เสกสมรสกับพระนางสัพพกามา มีพระโอรสด้วยกันพระองค์หนึ่งชื่อเจ้าชายอตุละ เมื่อดำรงค์พระชนมายุได้ 7,000 พรรษา ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้ง 4 จึงตัดสินพระทัยทรงช้างต้นออกผนวชโดยมีข้าราขบริพาร 137,000 คน ตามเสด็จออกบวชด้วย บำเพ็ญอยู่ 8 เดือนจึงตรัสรู้ แล้วออกประกาศพระศาสนา ทรงตั้งพระอภิภูและพระสัมภวะเป็นพระอัครสาวก พระเขมังกรเป็นพระพุทธอุปัฏฐาก พระสขิลาและพระปทุมาเป็นคู่พระอัครสาวิกา สมเด็จพระสิขีพุทธเจ้า เสด็จดับขันธปรินิพพานที่วัดอัสสารามวิหาร กรุงสีลวตี สิริพระชนมายุได้ 70,000 พรรษา


    แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์จะเป็นสัพพัญญูผู้รู้แจ้งในทุกโลกเสมอกัน แต่บารมีเฉพาะทางอันเป็นอุปนิสัย เป็นพุทธวิสัยที่ติดตัวมาแต่อดีตชาติของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็แตกต่างกันไป จากการที่ได้ฝึกฝนบำเพ็ญบารมีมาแตกต่างกันนั่นเอง

    พ่ออาจารย์ท่านว่าสมเด็จพระพุทธสิขีพุทธเจ้านี้ท่านอุบัติมาในสมัยที่ชนทั้งหลายในโลกติดอยู่กับความมืดบอด มีความเห็นผิดแยกแตกต่างกันรุนแรง และยังดำเนินชีวิตกันไปในหนทางที่ผิด พ่ออาจารย์ท่านว่าสมเด็จท่านต้องใช้เวลาถึงเจ็ดพันปี เจ็ดพันปีนี้เพื่อวางรากฐานสังคม เพื่อนำทางแก้ไขความมืดบอด ความเห็นผิด ความหลงผิดทั้งหลายในชนชั้นที่แตกแยกกันอย่างรุนแรงให้ประสานสามัคคีกัน แม้ออกผนวชสำเร็จเป็นพระบรมศาสดาแล้วพระองค์ก็ยังโปรดที่จะสงเคราะห์สัตว์โลกและพุทธบริษัททั้งหลายที่มีชีวิตมืดแปดด้าน หาทางออก ทางที่เหมาะสมคู่ควรกับการดำเนินชีวิตไม่ได้

    ด้วยพระเมตตาอันใหญ่และมหากรุณาอันยิ่ง บารมีของสมเด็จพระพุทธสิขีนี้ จึงเป็นบารมีเฉพาะทางที่จะช่วยพลิกชีวิตคนอันตกอยู่ในหนทางมืดมนไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้จะเอาอย่างไรกับชีวิตดี พ่ออาจารย์ท่านกล่าวว่าสมเด็จท่านนั้นเป็นดุจดั่งดวงประทีปที่ฉายรัศมีปัดเป่าความขัดข้องออกไป หากได้สงเคราะห์ใครแล้วก็ดุจชีวิตเขาได้พบเจอหนทางเดินใหม่ ดุจหงายของที่คว่ำ เปิดหนทางที่ปิด ขจัดเมฆหมอกอันมืดมัวในโลกสงสาร

    ด้วยมนุษย์ทุกวันนี้ พ่ออาจารย์ท่านว่าแม้บางคนจะผ่านเวลามาครึ่งชีวิตแล้วก็ตามที แต่เขาก็ยังไม่รู้หน้าที่ ไม่รู้กิจที่ตนควรจะทำ ไม่รู้คำว่าเมื่อถึงเวลา เมื่อเวลามาถึง เวลานั้นคือเมื่อไหร่ มีแต่ต้องถอยร่นตกหล่นจนตายสิ้นชาติภพกันไปก็ยังไม่เข้าใจคำว่ายังไม่ถึงเวลา ด้วยความเห็นที่ผิดพลาดทั้งการสำคัญตัวผิด พ่ออาจารย์ท่านว่าทุกสิ่งนั้นรังแต่จะประวิงเวลาให้ความสว่างความสงบในชาติภพนี้ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ซ้ำกรรมยังซ้อนทับกันให้ชาติภพใหม่ก็ไม่อาจพานพบ ดังนั้นท่านจึงได้ขออนุญาติใช้วิชาของสมเด็จพระพุทธสิขี ตลอดจนบารมีเฉพาะทางของพระองค์ท่านมาสงเคราะห์เพื่อเป็นแสงสว่างขับไล่ความมืดมน ขับไล่เมฆหมอกลางร้าย หายนะ จิตมาร และห้วงแห่งความผิดพลาดต่างๆ ให้ชีวิตที่มืดแปดด้าน หาทางเดินไม่เจอ หาทางออกไม่ได้ ให้คนที่เกิดมาไม่รู้หน้าที่อยู่ในสิ่งที่พึงกระทำ

    พ่ออาจารย์ท่านได้ลงอักขระพระเจ้าส่องประทีปพร้อมทั้งขอบารมีสมเด็จพระพุทธสิขีสำเร็จตะกรุดนั้น ท่านว่าเราขอให้พระองค์ท่านเปิดทาง ส่องสว่างชีวิตที่มืดมน ใครที่ตาบอดมืดมัวด้วยอกุศลกรรมใดๆปิดกั้นอยู่ท่านว่านี่ใช้ได้เลย ถ้าพวกไหนชอบจับพลังพ่ออาจารย์ท่านว่าวิชาพระเจ้าส่องประทีปนี่เอาให้จับไปเลยเขาจะพบเจอแต่แสงสว่างที่ไม่รู้จุดสิ้นสุดเป็นพลังงานที่จะทำลายความติดขัดมืดมนในอัตภาพตัวตนที่ติดกับชาติภพทุกรูปนาม

    ในส่วนของวิชานี้ พ่ออาจารย์ท่านกล่าวไว้อย่างน่าคิดว่ ถามหน่อยสิ ชีวิตใครบ้างที่มันจะส่องสว่างได้ตลอดเส้นทาง ไม่ตก ไม่มืดดับอับแสงเลย ในช่วงที่ชีวิตมืดบอดนี่แหละบางคนก็เสียเวลาอยู่กับมันทั้งชีวิต บางคนก็ล้มไปแล้วไม่สามารถกลับมาลุกยืนขึ้นได้อีก ซึ่งในจุดที่พลิกกลับนั้นหากมีดวงประทีปดวงหนึ่งส่องนำทางให้เธอล่ะ ในความมืดของชีวิตเธอยังมีแสงสว่างปัดเป่าและเป็นเชื้อเพลิงเติมให้จิตวิญญาณเธอตลอดเวลาอยู่ล่ะ ในเมื่อมีทางให้ไป มีแสงสว่างให้เดิน มีพลังงานลึกลับที่จะฉุดยื้อไม่ให้เธอตกลงไปได้ ในหนทางอันมืดบอดกับคนที่มีแสงสว่างนำทางมันก็ต่างกันถึงเพียงนั้น ..เพราะแสงสว่างของสมเด็จพระพุทธสิขีที่จะสถิตย์อยู่กับชีวิตของเธอต่อจากนี้ได้ชื่อว่ามีกำลังแรงกล้ายิ่งกว่าตะวันพันดวงเสียอีก

    พ่ออาจารย์ท่านได้นำตะกรุดสำเร็จวิชาที่ขอบารมีพระพุทธสิขีดีแล้ว มาฝังไว้ในแว่นฟ้าบาปวิบัติด้วยความตั้งใจของท่าน เพื่อเป็นการเพิ่มพลังงานและขยายวงจรให้แว่นฟ้ามีแสงสว่างดุจตะวันพันดวงเบิกทางเปิดชีวิตให้กับผู้ถือครองได้

    แว่นฟ้าบาปวิบัติ พ่ออาจารย์ท่านได้ทำแว่นฟ้าบาปวิบัติขึ้นโดยอาศัยคติการสร้างคันฉ่องแต่โบราณที่ใช้รวบรวมพลังมงคลแห่งจักรวาลเพื่อหนุนเสริมบารมี วาสนา ยศถาบรรดาศักดิ์ ความก้าวหน้าในตำแหน่ง ความเจริญในหน้าที่การงาน ทั้งเสริมดวงให้แก่ผู้ครองครองบูชาได้มีพลังอำนาจเหนือดวงดาวด้วยพลังจักรวาลทั้งสามารถปกป้องคุ้มภัย ขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดีขับไล่เสนียดจัญไรโรคาพยาธิทั้งหลายให้มลายสิ้นไป

    อันแว่นฟ้านั้นท่านว่าแม้ได้ถือครองจะอุดมพรั่งพร้อมไปด้วยลาภผลพูนทวี มั่งมีศรีสุขดั่งมหาเศรษฐี อายุยืนตลอดกาล และจะปกป้องคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากสิ่งที่เป็นอัปมงคลใดๆทั้งปวง ทั้งป้องกันเสนียดจัญไร ป้องกันลมเพลมพัด ป้องกันภูตผีปีศาจ

    ด้วยคันฉ่องหรือแว่นฟ้านี้สำคัญนักเพราะใช้ได้ทั้งกันทั้งดูดในคราวเดียว พ่ออาจารย์ท่านว่านอกจากจะดูดพลังจักรวาลมาเสริมส่งมงคลแก่ผู้ครอบครองแล้ว ยังดูดพลังวิญญาณร้าย พลังงานด้านลบทั้งหลายมาใช้เป็นอำนาจให้แก่ตนเองได้อีกด้วย เมื่อได้พกติดตัวก็จะสลายพลังร้ายในร่างกายเราได้ทั้งหมดเพราะเขาสังเคราะห์พลังงานทั้งจากในร่างกายเราและจักรวาลมาทำงานร่วมกัน

    พ่ออาจารย์ท่านว่าตัวแว่นฟ้านั้นเป็นสิ่งเล็กๆที่สร้างให้เกิดวงจรอันยิ่งใหญ่ เพื่อสนองตอบกับปัจจัยสี่ข้อหนุนเสริมผู้ครอบครองคือ
    - ความยิ่งใหญ่
    - ความสุข
    - ความมั่งคั่ง
    - ความไม่มีโรคมีอายุยืนยาว

    ซึ่งปัจจัยทั้งสี่นี้ท่านว่าเป็นเสมือนพรมงคลที่แม้แต่ทวยเทพยังทำให้ไม่ได้ ตรงนี้ถือว่าสำคัญมาก ทั้งแว่นฟ้ายังเป็นสัญลักษณ์แสดงอำนาจเหนือกรรมลิขิตของพระบรมบิดาพรหมเทพ

    ด้วยพ่ออาจารย์ท่านเสกและใช้แว่นฟ้าเพื่อรวมศูนย์พลังงานจักรวาลอันเป็นพลังมงคลที่ต่อต้านความหายนะ พินาศ ฉิบหายของอกุศลและความมัวหมองได้อย่างน่าฉงน ท่านจึงให้ชื่อแว่นฟ้านี้ว่าบาปวิบัติ

    อันพลังที่ขัดเกลาอกุศลตรงนี้เกี่ยวข้องกับวงจรใหญ่ ท่านว่าเปรียบได้กับการสร้างวงจรใหม่ขึ้นไปทดแทน ถึงจะเป็นวงจรเล็กๆแต่ก็เป็นวงจรใหม่ที่ใช้เปลี่ยนได้ทั้งหมด อาศัยอำนาจพลังมงคลของจักรวาลที่แว่นฟ้าจะรวบรวมไว้ตลอดเวลาลดทอนหายนะ อกุศลกรรมและความพินาศที่จะเกิดแก่ผู้ถือครอง

    *** เหนือสิ่งอื่นใดแว่นฟ้านี้พ่ออาจารย์ท่านว่าเสกยากมากเพราะเขามีอาถรรพ์ให้คุณเหนือกว่าเทวดาเจ้าบุญนายคุณนับสิบเท่า ทั้งยังดีทางด้านการพนันเสี่ยงดวงทั้งหลายด้วย โดยนัยน์ของแว่นฟ้านี้ท่านว่าแม้เราอยากได้ใครไม่ว่าจะคน จะเป็นสิ่งของหรือที่ดินทั้งหลาย ให้เราส่องแว่นฟ้านี้ออกไป พ่ออาจารย์ท่านว่าเสมือนเงาสิ่งนั้นได้ถูกดูดไว้ในคันฉ่องแล้วท่านว่าพูดมากไม่ได้แต่เอาว่าได้แน่ๆ

    แว่นฟ้าหรือคันฉ่องนี้พ่ออาจารย์ท่านว่ามีความสำคัญอยู่มาก แม้ตอนเสกเองท่านได้เชิญเสด็จพระใหญ่มาเสกซึ่งท่านก็มาดูด้วย ท่านว่า "คันฉ่องนี้มีความลับอีกมากมายที่เธอบอกเขาได้ไม่หมด ร้อยเรื่องพันเหตุการณ์ เขาจะไปประสบพบเจอกับปาฏิหาริย์ที่คู่ควรกับวาสนากันเอง ท่านว่าฉันเห็นไม่บ่อยหรอกนะที่ใครจะเชิญท่านพุทธสิขี ขอบารมีท่านสงเคราะห์คนเช่นนี้" (ตรงนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าเพราะบารมีพระพุทธสิขีนั้นเป็นแสงสว่างที่มีกำลังดุจตะวันพันดวง ท่านจะเผาผลาญความมืดบอดและขลาดเขลาทั้งหลายให้ย่อยยับไป)

    ด้วยวิชาคันฉ่องนี้พ่ออาจารย์ท่านทำให้เป็นเครื่องสูง เป็นของสูง ท่านว่านับแต่สมัยโบราณคันฉ่องถือเป็นของใช้งานเฉพาะจักรพรรดิ เป็นของแสดงพระราชอำนาจที่จะเลือกมอบให้แก่ใคร เป็นของแทนตัวพระจักรพรรดิ แม้มีทรัพย์สินเงินทองปานใดก็ไม่สามารถสร้างคันฉ่องได้ด้วยจะถือว่าเป็นกบฏทันที พ่ออาจารย์ท่านว่าคันฉ่องนี้ก็เช่นกัน ท่านทำให้เป็นของสูงเสกตามศาสตร์ทุกศาสตร์ทีละเรื่อง เพราะเป็นชุดพิเศษ จึงเสกลงอาถรรพ์ของคันฉ่องโดยเฉพาะแยกออกมา ท่านว่าพกไว้เถอะ ดุจเรามีความน่าเกรงขาม มีพลังงานของโอรสสวรรค์คอยหนุนฐานชีวิต

    ท่านว่าที่สำคัญที่สุดเลย คันฉ่องนี้พ่ออาจารย์ท่านอธิษฐานจิตให้เชื่อมโยงกับแว่นฟ้าของบรมบิดาพรหมเทพ ทุกความเป็นไป ทุกปัญหาและอุปสรรคมากมายในชีวิต จะฉายเป็นภาพขึ้นตรงกับพระบรมบิดา ท่านว่าเราบอกได้เท่านี้ แต่เราเองก็ขอท่านไว้แล้ว เรื่องไหน ใครเจออะไร ถ้ามันจะทำให้ชีวิตเขาแย่ลง เรื่องนั้นเราขอให้พระบรมบิดาท่านสงเคราะห์ทันที อย่าให้เหตุการณ์อันนำมาซึ่งความวิบัติรุนแรงเกิดขึ้นได้

    คาถาบูชา
    (พ่ออาจารย์ท่านว่าแว่นฟ้านี้เป็นของวิเศษ มีจิตสำนึกในตัวเอง เขาแรง เขาไวด้วยตัวของเขาอยู่แล้ว ให้อธิษฐานใช้งานได้เลยไม่ต้องอาราธนาอะไร เพียงแต่ระลึกถึงชื่อสมเด็จพระพุทธสิขีท่านเท่านั้นก็พอ)


    ร่วมทำบุญบูชา คันฉ่องดูดพลังจักรวาลแว่นฟ้าบาปวิบัติ(พระสิขีพุทธเจ้าส่องประทีบ) บูชา 800 บาท

    40126178_550431118727029_8509569732347691008_n.jpg 40102917_2192309181028326_8391400480361676800_n.jpg
    40161848_174508773388262_7531953008758751232_n.jpg
     
  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    แอบบอกเอาไว้ พ่ออาจารย์ท่านพูดมาแบบลอยๆว่าอย่างนี้ คิดเอาเอง " บารมีสมเด็จพระพุทธสิขี เป็นแสงสว่างส่องทางชีวิต เป็นแสงสว่างด้วยนิพพานธาตุที่ไม่มีวันมอดดับ "
     
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่คณพศ EV 4402 8907 9 TH

    พี่พบพณ EV 4402 8908 2 TH
     
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    ตอบ PM ครบแล้วนะครับ แอบบอกกันนิดนึงคันฉ่องนี่แรงจริงๆใครพอมีวาสนาหรือกำลังก็เอาไว้ใช้นะ เพราะพ่ออาจารย์ท่านใช้เสกแล้วปัดขึ้นฟ้า บริเวณนั้นฟ้าเปิดแต่รอบข้างมืดๆแล้วฝนก็ตก ท่านว่าของนี่ถ้าเปิดฟ้าได้ เรื่องอื่นก็ง่ายดายไม่ต้องพูดกัน
     
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    เมื่อวานมีคนที่ได้บูชาพระไพรีไปเขาบอกว่าแว่นฟ้านี้ ใช้ส่องที่ตนเองเพิ่มพลังก็ได้ ดัดแปลงใช้ตามสติปัญญาได้พันช่องทีเดียว อันนี้ก้ลองใช้ดูนะ ปกติพี่ท่านนี้เขาจะรู้อะไรดีๆเยอะ ;)
     
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่ศิระ EV 7735 5733 2 TH

    พี่ทวีพงษ์ EV 7735 5734 6 TH

    พี่ภาคภูมิ EV 7735 5735 0 TH

    พี่นฤชา EV 7735 5736 3 TH

    พี่กษิดิ์เดช EV 7735 5737 7 TH

    พี่ปกรณ์เกียรติ์ EV 7735 5738 5 TH

    พี่ฐิตกาญจน์ EV 7735 5739 4 TH
     
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    สมาบัติ

    อรุณสวัสดิ์นะครับ เกี่ยวกับเรื่องคันฉ่องนี้ก้คงไม่ต้องบอกอะไรเพิ่ม เพราะสังเกตุดูแล้วมีแต่ยูสเซอร์ใหม่ๆเข้ามาจองคนละเล่มสองเล่ม ลองสอบถามไปเขาว่าสมัครสมาชิกเวปมาจองโดยเฉพาะก็มีสืบเนื่องจากสองเหตุผลที่เราลองคุยๆคือ ไม่ญาติก็เพื่อนแนะนำ เช่นนี้เองจึงต้องบอกว่าใช้ดีถึงบอกต่อ บางคนก็อยากแนะนำสิ่งที่ดีให้กับคนที่เค้ารัก ในส่วนของวันนี้ก้จะมาพูดคุยเรื่องสมาบัติกัน

    สมาบัติ ๘ กล่าวคือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ นั้นก็มีในศาสนาอื่นๆด้วยเช่นกัน และมีมาแต่โบราณกาล ที่แม้แต่เหล่าพระคณาจารย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อนตรัสรู้ ก็ล้วนเชี่ยวชาญชำนาญยิ่ง และเป็นผู้สั่งสอนพระองค์ท่านในสมาบัติเหล่านั้น พระองค์ท่านก็ทรงเล็งเห็นประโยชน์ในการนำมาเป็นกำลังเครื่องสนันสนุนปัญญาหรือวิปัสสนา เพื่อให้เห็นความจริงหรือธรรมอย่างปรมัตถ์เพื่อให้เกิดนิพพิทาญาณเพื่อการปล่อยวางในกิเลสตัณหาอุปาทาน ดังนั้นการเจริญสมาบัติ ๘ แต่ฝ่ายเดียว โดยขาดการเจริญวิปัสสนา จึงไม่ใช่หนทางหรือการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาให้ถึงพุทธธรรม และด้วยอวิชชามักไปเข้าใจผิดว่า เมื่ออยู่ในสมาบัติแต่ฝ่ายเดียวว่า ประกอบด้วยการเจริญวิปัสสนาบริบูรณ์แล้ว จึงขาดการเจริญวิปัสสนาไปเสียโดยไม่รู้ตัว ด้วยความเข้าใจผิดหรืออวิชชานั่นเอง

    ส่วนนิโรธสมาบัติหรือสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นสมาบัติในพระพุทธศาสนาโดยตรง บัญญัติขึ้นมาแต่สมัยพุทธกาล เป็นสมาบัติที่มีความเนื่องสัมพันธ์กับขันธ์ ๕ ทางพระศาสนาโดยตรง ที่ทรงจำแนกชีวิตว่า ล้วนเกิดแต่ เหตุปัจจัย ของขันธ์ ๕ จึงต้องมีปัญญาจากการวิปัสสนาในธรรมหรือธรรมชาติของขันธ์ ๕ อย่างปรมัตถ์ ต้องเข้าใจในเหตุปัจจัยจึงมีของขันธ์ ๕ คือ สัญญาและเวทนา กล่าวคือต้องมีปัญญา(วิปัสสนา)ที่มีสมถะเป็นกำลังเครื่องสนับสนุน เหตุเพราะ สัญญาเวทยิตนิโรธ หมายถึง การดับสัญญาและเวทนา เป็นสมาบัติ ที่เรียกเต็มว่า "สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ" เรียกสั้นๆกันว่า ว่า นิโรธสมาบัติ ซึ่งเมื่อนับร่วมกับฌานทั้ง ๘ ก็เรียกว่าเป็น อนุปุพพวิหาร ธรรมเป็นเครื่องอยู่โดยลำดับ, ธรรมเครื่องอยู่ที่ประณีต ต่อกันไปโดยลำดับ อันมี ๙ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ และสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นองค์ที่ ๙ ที่ประณีตสูงสุด

    ผู้อ่านจำเป็นต้องมีความเข้าใจในขันธ์ ๕ หรือปฏิจจสมุปบาทธรรม จึงจักเข้าใจความเป็นเหตุปัจจัยในการเกิดขึ้นและดำเนินไปในนิโรธสมาบัติ ซึ่งช่วยให้เกิดความเข้าใจในธรรมได้ดียิ่งๆขึ้นเช่นกัน

    นิโรธสมาบัติ เป็นสมาบัติที่ประณีตที่สุดในบรรดาสมาบัติทั้งปวง จัดเป็นสังขารกิเลสต่างๆ ที่ต้องอาศัยสัญญาคืออาสวะกิเลส เป็นเหตุปัจจัยเบื้องต้นในการเกิดขึ้นและเป็นไปของขันธ์ ๕ จึงดับไป เวทนาจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้หรือต้องดับไปตามเหตุปัจจัยคือสัญญาที่ถูกกุมไว้ด้วยสติ จึงเป็นปัจจัยให้เวทนาดับลงไปด้วย จึงเป็นเหตุให้ชื่อว่า สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ที่มาจากรากศัพท์ของคำว่า สัญญา-ความจำได้,ความหมายรู้๑ เวทนา-การเสวยอารมณ์๑ นิโรธ-การดับ๑ และสมาบัติ-ภาวะสงบประณีต๑ ทั้ง ๔ คำ สมาสรวมกันเป็น สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ที่หมายถึง สภาวะสงบประณีตที่เกิดจากสัญญาและเวทนาดับไป

    เหตุที่สัญญาดับลงไป จึงทำให้เวทนาดับลงไปด้วย ตลอดจนสังขารขันธ์ เป็นไปเพราะจิตนั้น เมื่อจำแนกแตกธรรมแล้ว ล้วนดำเนินไปตามกระบวนธรรมปฏิจจสมุปบาท หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น กล่าวคือ เมื่อดำเนินไปตามกระบวนธรรมปฏิจจสมุปบาท ก็หมายถึง จิตดำเนินไปสู่ทุกข์อุปาทานอันเร่าร้อนในขณะนั้น หรืออาจเป็นสุขในขณะนั้นแต่ส่งผลให้เกิดทุกข์อุปาทานขึ้นในภายหลังเป็นที่สุด ส่วนเมื่อจิตดำเนินไปตามปกติไม่ก่อทุกข์อุปาทานก็เรียกว่าดำเนินไปตามแบบขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นไปในลักษณาการดังนี้

    เมื่อจิตดำเนินไปในกระบวนธรรมปฏิจจสมุปบาท

    อาสวะกิเลสก็คือสัญญาเจือกิเลสอย่างหนึ่ง เมื่อนำมาลำดับแสดงแบบขันธ์ ๕ เพื่อเทียบเคียง จึงเป็นไปดังนี้

    อาสวะกิเลสที่นอนเนื่องผุดขึ้น หรือเจตนาขึ้นเป็น anired02_next.gif สังขาร(กิเลส) anicross01_red.gif ใจ anired02_next.gif วิญญาณ anired02_next.gif ผัสสะ anired02_next.gif จึงเกิดเวทนา anired02_next.gif สัญญาหมายรู้ anired02_next.gif สังขารขันธ์

    ส่วนเมื่อจิตดำเนินไปตามกระบวนธรรมขันธ์ ๕

    ในการดำเนินชีวิตที่ไม่เป็นทุกข์ อันมิได้เกิดแต่อาสวะกิเลส เกิดแต่สัญญาก็เป็นไปดังนี้

    สัญญาที่นอนเนื่อง ผุดขึ้น หรือเจตนาขึ้นเป็น anired02_next.gif ธรรมารมณ์ anicross01_red.gif ใจ anired02_next.gif วิญญาณ anired02_next.gif ผัสสะ anired02_next.gif จึงเกิด เวทนา anired02_next.gif สัญญาหมายรู้ anired02_next.gif สังขารขันธ์

    ดังนั้นเมื่อ สติกุมจิต หรือตั้งจิตมั่นกุมไว้ได้ในเหล่าสัญญาหรืออาสวะกิเลสแล้ว กล่าวคือ แต่แรกปฏิบัติ ไม่ให้เหล่าความคิด เกิดผุดขึ้น หรือแม้แต่เจตนาขึ้น ด้วยสติที่กุมอยู่ เพราะเมื่อสัญญาเกิดผุดขึ้นหรือเจตนาขึ้นก็ตามที ก็ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด สังขาร หรือ วิตก วิจารในความคิดที่ล้วนต้องอาศัยสัญญาใดๆทั้งปวงได้เป็นอย่างดีแล้ว จึงเป็นไปตามหลักวิตก วิจารในสิ่งที่เป็น อรูป ที่นำมาเป็นอากาสานัญจายตนฌาน ที่ถึงอย่างไรเสียต้องวิตก วิจารในอรูป คือ วิตกโดยการตรึกคือคิดนึกในอากาศหรือช่องว่างหรือความเป็นที่ว่างเปล่าว่าหาที่สุดมิได้หรือไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ แล้ววิจารโดยการตรองคือคิดพิจารณาเคล้าหรือฟั้นคิดนั้นจนกลมกลืนลื่นไหลไปกับจิตหรือสติ จึงล้วนต้องใช้สัญญากล่าวคือ วิตกหรือคิดกำหนดในอากาศ พร้อมกับการวิจารหรือเคล้าจิตหรือคิดพิจารณาเคล้าไปในอากาศที่กำหนดนั้นให้แนบแน่น

    ส่วนในนิโรธสมาบัติ ใช้สติกุมจิตหรือคิด(ที่ย่อมต้องใช้สัญญา)ไว้ จึงไม่มีการวิตก วิจารซึ่งก็คือวจีสังขารทางใจอย่างหนึ่ง กล่าวคือขาดเสียซึ่งสัญญาแต่ต้นกระบวนธรรมดังข้างต้น จิตย่อมขาดเหตุปัจจัยให้ดำเนินไปในกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ ดำเนินสืบต่อไป สังขารขันธ์ทั้งหลายอันเป็น ผล ของกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ จึงอยู่ในสภาวะสงบระงับหรือดับไปด้วย ตามหลักผู้ถึงกาละแล้ว แต่ยังมีไออุ่น และยังไม่ถึงกาละหรือตาย ส่วนอินทรีย์ร่างกายสดใสเพราะเป็นไปอย่างสมบูรณ์ที่สุดเพราะเป็นไปตามธรรมชาติเดิมแท้ จึงเป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่เครื่องพักผ่อนอันประเสริฐเป็นครั้งคราวของเหล่าพระอริยเจ้า

    ดังนั้น สติ ที่กุมจิต ในการปฏิบัตินิโรธสมาบัติจึงเป็นไปในลักษณะกุมจิตหรือป้องกันเป็นสำคัญ ไม่วิตกวิจารคือไม่ไปคิด(ซึ่งย่อมใช้สัญญา)ไม่ไปกำหนดและไม่ไปวิจารเคล้าจิตในอารมณ์ใดทั้งสิ้น อยู่กับสติในเบื้องต้นเป็นสำคัญ นอกจากเมื่อผุดคิดผุดนึกขึ้นจึงปราบปรามเสียเป็นครั้งคราว กล่าวคือ จึงไม่ใช่ในลักษณะของการปราบปราม ที่หมายถึงเมื่อคิดขึ้นมาแล้วสติรู้เท่าทัน จึงหยุดคิด หยุดปรุงแต่งนั้นเสียดังการวิปัสสนา แต่สติเป็นไปในลักษณะนายทวารผู้เฝ้าระวังทำหน้าที่อย่างตั้งมั่นเพื่อป้องกันเป็นสำคัญ ดังกล่าวไว้ในเรื่องดับอวิชชา คือ กุมไว้ด้วยสติไม่ให้ผุดลอย หรือผุดคิดขึ้นเป็นสำคัญ ส่วนในดับอวิชชานั้นป้องกันแต่สัญญาฝ่ายอาสวะกิเลสเท่านั้น และเมื่อผุดลอยขึ้นมาก็ไม่ปรุงแต่งและอุเบกขาเสีย ส่วนสัญญาคือความจำได้หมายรู้เป็นสิ่งที่จำเป็นในการดำรงของขันธ์ ๕ เป็นอย่างยิ่งเช่นกัน

    ผู้ที่ปฏิบัติได้ใน นิโรธสมาบัติ จึงเกิดแก่ผู้ที่มีความเข้าใจในขันธ์ ๕ หรือปฏิจจสมุปบาทอย่างแจ่มแจ้ง พร้อมความเชื่อมั่นจากปัญญาที่ไปเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในความเป็นเหตุปัจจัยของขันธ์ ๕ พร้อมทั้งมีสติสมาธิ(สมถะ)ที่ฝึกหัดดีแล้วจากการปฏิบัติ พร้อมทั้งกิเลสที่เบาบางลงไปพอควร เพราะกิเลสที่หนาแน่นนั้น เมื่อปฏิบัติก็มักเกิดอาการผุดคิด ผุดลอยขึ้นมา อย่างควบคุมไม่ได้ หรือมัวแต่คิดหาทางหยุดคิด จึงวนเวียนอยู่ในคิดที่ย่อมต้องใช้สัญญาอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว จึงย่อมไม่สามารถเข้า"สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ"ได้เลยเป็นธรรมดา ดังที่กล่าวข้างต้นที่เมื่อมีการคิดหรือนึกผุดเกิดขึ้นมาแล้ว ย่อมเกิดการผัสสะขึ้นเป็นธรรมดา จึงปฏิบัติได้ยากยิ่งและมีแต่ในทางพุทธศาสนา จึงเกิดขึ้นได้แก่อริยบุคคลที่เจริญทั้งในสมถกรรมฐานจนได้สมาบัติ และเจริญในวิปัสสนากรรมฐานด้วยเท่านั้น ผู้ปฏิบัติจึงต้องชำนาญในสมาบัติ ๘ เป็นสำคัญอีกด้วย

    แต่ถึงแม้เป็นสมาบัติที่ประณีตลึกซึ้งที่สุดก็ตามที ก็ยังเป็นสมาบัติอยู่นั่นเอง นักปฏิบัติไม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นปฏิบัติเพื่อให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายคือพุทธธรรม เพราะการมุ่งเน้นเพื่อสมาบัติหรือเจโตวิมุตตินั้นใช้เวลานาน และขึ้นอยู่กับอินทรีย์ของผู้ปฏิบัติเป็นสำคัญ ไม่ใช่เกิดเหมือนกันทุกคน และถ้าปฏิบัติสมาบัติที่อาจหรือมักเบี่ยงเบนไปเพื่อจุดประสงค์อื่นๆที่ไม่ใช่พุทธธรรมแล้ว เช่นโลกียอภิญญา ก็จะทำให้หลงทางกลับกลายเป็นโทษ และการหลุดพ้นทั้งปวงอันไม่กลับกลายนั้น เป็นการหลุดพ้นด้วยปัญญาวิมุตติเป็นองค์สำคัญเพียงองค์เดียว จึงมีการหลุดพ้นแบบไม่จำเป็นต้องผ่านสมาบัติ จึงมีพระอรหันตผล ๒ ประเภท คือ

    พระสุกขวิปัสสก เป็นผู้เจริญวิปัสสนาล้วนสำเร็จพระอรหัต ไม่ได้ฌานสมาบัติ ไม่ได้อภิญญา

    พระสมถยานิก ผู้มีสมถะเป็นยาน(เครื่องนำไป) หมายถึง ผู้เจริญสมถกรรมฐาน จนได้ฌานก่อนแล้วจึงเจริญวิปัสสนาให้เกิดปัญญาวิมุตติต่อ

    และยังแยกแยะโดยละเอียดเป็น ๕ ด้วยกัน แต่ล้วนต้องเกิดปัญญาวิมุตติเป็นองค์สำคัญเป็นที่สุดทั้งสิ้น จึงบรรลุถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดในพุทธธรรม กล่าวคือต่างล้วนดับทุกข์อุปาทานโดยสิ้นเชิงด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จึงเป็นบรมสุขอย่างยิ่งเหมือนกันทุกพระองค์

    ๑. พระปัญญาวิมุต พระผู้เจริญวิปัสสนาล้วนสำเร็จพระอรหัต ไม่ได้ฌานสมาบัติ ไม่ได้อภิญญา
    ๒. พระอุภโตภาควิมุต คือ พระอรหันต์ผู้บำเพ็ญสมถะมาเป็นอย่างมากจนได้สมาบัติ ๘ แล้ว จึงใช้สมถะนั้นเป็นฐานบำเพ็ญวิปัสสนาต่อไปจนบรรลุอรหัตตผล กล่าวคือ หลุดพ้นทั้งสองส่วน กล่าวคือ เป็นสองวาระ คือหลุดพ้นจากรูปกายด้วยอรูปสมาบัติ เป็นวิกขัมภนะหนหนึ่งแล้ว จึงหลุดพ้นจากนามกายด้วยอริยมรรค เป็นสมุจเฉท อีกหนหนึ่ง
    ๓. พระเตวิชชะ ผู้ได้วิชชา ๓ มี ๑. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ความรู้ที่ได้ระลึกชาติได้ ๒. จุตูปปาตญาณ ความรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย ๓. อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำอาสวะให้สิ้น
    ๔. พระฉฬภิญญะ ผู้ได้อภิญญา ๖, อภิญญา ความรู้ยิ่ง, ความรู้เจาะตรงยวดยิ่ง ความรู้ชั้นสูง มี ๖ อย่างคือ ๑. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ ๒. ทิพพโสต หูทิพย์ ๓. เจโตปริยญาณ ญาณที่ให้ทายใจคนอื่นได้ ๔. ปุพเพนิวาสานุสติ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้ ๕. ทิพพจักขุ ตาทิพย์ ๖. อาสวักขยญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป ใน ๕ อย่างแรกเป็นโลกียอภิญญา ส่วนข้อสุดท้ายเป็นโลกุตตรอภิญญา
    ๕. พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔ ปัญญาแตกฉาน มี ๔ คือ ๑. อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ ความแตกฉานสามารถอธิบายเนื้อความย่อของภาษิตโดยพิสดาร และความเข้าใจที่สามารถคาดหมายผลข้างหน้า อันจะเกิดสืบเนื่องไปจากเหตุ ๒. ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม ปัญญาแตกฉานในธรรม, เห็นคำอธิบายพิสดาร ก็สามารถจับใจความมาตั้งเป็นหัวข้อได้ เห็นผลก็สืบสาวไปหาเหตุได้ ๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุกติ คือ ภาษา ปัญญาแตกฉานในภาษา คือเข้าใจภาษา รู้จักใช้ถ้อยคำให้คนเข้าใจ ตลอดทั้งรู้ภาษาต่างประเทศ ๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ ความแตกฉานในปฏิภาณได้แก่ไหวพริบ คือ ความแตกฉานในปฏิภาณได้แก่ไหวพริบ คือ โต้ตอบปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันท่วงที หรือแก้ไขเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ฉับพลันทันการ โต้ตอบปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันท่วงที หรือ แก้ไขเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ฉับพลันทันการ

    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    แจ้งการส่ง EMS
    พี่พรเทพ EV 7735 5816 5 TH

    พี่อนุวัฒน์ EV 7735 5817 9 TH

    พี่อัครพงศ์ EV 7735 5818 2 TH

    พี่แมน EV 7735 5819 6 TH

    พี่ชัยวัฒน์ EV 7735 5820 5 TH

    พี่พชร EV 7735 5821 9 TH

    พี่นฐมน EV 7735 5822 2 TH

    พี่ธนากร EV 7735 5823 6 TH

    พี่กรธัช EV 7735 5824 0 TH
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    เอามารีเควสใหม่เห็นมีคนเล่าประสบการณ์มา

    รุ่นนี้อยากจะบอกว่าใครมีวาสนาได้ครองไว้ตอนนั้นให้รักษากันดีๆและหมั่นนำออกมาอาราธนาด้วย จะเจอเรื่องอัศจรรย์อะไรที่นึกไม่ถึงเยอะมาก เพราะกว่าจะทำได้นอกจากมวลสารแล้ว แม้ความตั้งใจพ่ออาจารย์ท่านก็ยังต้องกดพิมพ์และนำมาปั้นแต่งเพิ่มทั้งปั้นจมูกวาดพระเนตรพระโอษฐ์ กว่าจะได้แต่ละองค์ไม่ง่ายเลย ทุกองค์จึงเป็นเพียงหนึ่งเดียวในโลกไม่มีซ้ำกันจะเรียกว่างานชิ้นก็ได้

    แอบบอกแว่วๆว่า เดี๋ยวนี้ขนาดองค์ลองพิมพ์แบบไม่มีฝังอะไรเลยหน้าก็โย้ เฉๆเบี้ยวๆชนิดวางกับพื้นยังไม่ราบสนิทที่เหลืออยู่กับพ่ออาจารย์ท่านองค์เดียวก็ยังมีคนอยากจะได้กัน สำหรับผมปฐมพุทธพักตร์นี่คือยอดครูจริงๆ...เพราะเหตุใดลองพิจารณากันดีๆแล้วจะเข้าใจ

    SAM_5358.jpg
     
  11. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่ธีรพจน์ EV 4403 5336 4 TH

    พี่รุ่งเรือง EV 4403 5337 8 TH

    พี่วิระพัฒน์ EV 4403 5338 1 TH

    พี่วิชัย EV 4403 5339 5 TH
     
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    ก็มีประสบการณ์คันฉ่องเข้ามาเรื่อยๆ ใครอยากรู้ต้องลองเอามาดูเองใช้เองจะได้เห็นเอง หลายๆคนว่าใช้แล้วสนุก พลิกแพลงได้ร้อยแปดสุดแต่จะคิดออก ลองดูกันนะครับ ;)

    ส่วนคนที่ถามหาปฐมพุทธพักตร์เข้ามา ตอนนี้ของหมดนานแล้ว มีแต่องค์ลองพิมพ์ที่โย้ๆไม่ได้ฟังอะไรเลย ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านจะเก็บไว้ดูเป็นที่ระลึกอันนี้ไม่ได้ให้บูชานะครับ แต่ถ้าเป็นของที่
    พอจะเอาไว้ใช้ทดแทนกันได้ เดี๋ยวต้องมาติดตามพูดคุยกันวันพรุ่งนี้อีกที
     
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    วันนี้ก็จะมาพุดคุยกันต่อ ในส่วนคนที่ถามว่าจะมีปฐมพุทธพักตร์อีกหรือไม่ แบบจิ๋วก็ได้ อันนี้ไม่มีนะครับ แต่ของที่ใช้ทดแทนกันได้สิ่งนี้ที่กล่าวไว้แต่เมื่อคืน ก็คล้ายๆกับปฐมพุทธพักตร์แต่ไม่ใช่ในทีเดียว

    อันนี้ย้ำไว้ก่อนตั้งแต่ยังไม่เฉลยกันเลยว่าเป็นอะไร ต้องบอกไว้แต่เนิ่นๆว่าเป็นของสูงมาก ใครที่จะรับไปสักการะบูชานั้น พ่ออาจารย์ท่านว่าต้องวางไว้สูงที่สุด สูงกว่าพระพุทธรูปทุกยุค ทุกสมัย ทุกครูบาอาจารย์ทีเดียว (.....รายละเอียดจะยังไม่แจ้ง)

    บอกได้ข้างต้นแค่เพียงเท่านี้ แต่ก็แน่ชัดแล้วว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะพิเศษมากๆ เพราะตั้งแต่ให้บูชาเครื่องมงคลมา พ่ออาจารย์ท่านไม่เคยพูดเช่นนี้เลย....ติดตามกันดีๆนะ
     
  14. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626

    " เป็นของสูงมาก ใครที่จะรับไปสักการะบูชานั้น พ่ออาจารย์ท่านว่าต้องวางไว้สูงที่สุด สูงกว่าพระพุทธรูปทุกยุค ทุกสมัย ทุกครูบาอาจารย์ทีเดียว "


    ด้วยลำพังคำๆนี้ก็ชวนฉงนมากแล้ว พ่ออาจารย์ท่านว่าของสิ่งนี้เป็นของสูงค่าที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน รวมกับมีวิธีการใช้ที่ค่อนข้างพิศดาร จะเป็นอะไรทำไมพ่ออาจารย์ยังต้องนำเครื่องมงคลมาหนุนหัวเสก .....ติดตามกันดีๆนะ
     
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    พูดคุยรอบเช้า

    อรุณสวัสดิ์ครับ

    ก็พูดคุยกันสบายๆยามเช้านะครับวันนี้ เมื่อวานมีคนเล่าว่าเอาพระไพรีไปเลี่ยมแล้วมีหลายคนมาขอจับพระ พร้อมทั้งบอกว่าองค์พระร้อนมาก ร้อนแบบร้อนจี๋ๆ ก็แปลกๆดี เครื่องมงคลพ่ออาจารย์บางรุ่น บางคนบอกว่าเย็นยิ่งกว่ากำก้อนน้ำแข็ง อันนี้ก้เป้นเรื่องส่วนตัวที่องค์พระท่านจะแสดงสิ่งใดออกมาให้เห็นแต่ผมเชื่อว่าพระไพรีนี้เป็นได้ทั้งร้อนทั้งเย็นนั่นแหละ

    ส่วนเรื่ององค์ครุฑนั้น เห็นว่าได้มาบูชาก็ได้ยินเสียงนกร้องตั้งแต่คืนแรกเลย บางคนก็เจออภินิหาริย์เหมือนมีมือมืดมาช่วยทำอะไร บางครั้งก็ห้าม บางครั้งก็ปัด บางครั้งก็แจ้งเหตุการณ์ให้เกิดลางสังหรณ์ล่วงหน้าว่าที่ไหนควรไปไม่ควรไป เรียกว่าประสบการณ์เริ่มจะเยอะแล้ว ใครมีอันนี้ห้อยเดี่ยวได้เลย บอกได้สั้นๆแค่ว่าท่านรักศิษย์ของท่านมากและเก่งจริง

    อีกประเด็นหนึ่งที่ถามมาไลน์แทบถล่มเมื่อวานนั้น วันนี้ก็จะเล่าคร่าวๆพูดคุยกันก่อน สิ่งที่พุดถึงนั้น บางคนก็ถามว่ายังมีสิ่งใดหรือที่สูงกว่าพระพุทธเจ้า อันนี้ผมไม่ก้าวล่วงนะครับ เพราะผมแค่บอกว่า เป็นของสูงมากและสูงที่สุดซึ่งบางคนก็ตีโจทย์แตก แต่บางคนก็ตีไม่แตก

    ตรงนี้จะเกริ่นไว้เพียงเล็กน้อยก่อน ด้วยเสด็จพระใหญ่เคยให้หัวใจสำคัญพ่ออาจารย์ท่านไว้บทหนึ่ง แน่นอนว่าหากพูดถึงคาถามงกุฏพระพุทธเจ้าแล้วหลายคนคงรู้จัก หลายคนคงท่องเป็น แต่หากจะพูดถึงหัวใจของมงกุฏยอดธรรมแล้ว ตรงนี้หลายคนคงไม่รู้จักและไม่เคยได้ยิน ด้วยสิ่งนี้เป็นหัวใจของยอดธรรม ยอดมงกุฏในพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และการชักยันต์หัวใจมงกุฏยอดธรรมที่เป็นธรรมศาสตราของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น พ่ออาจารย์ท่านว่าเราก็ได้รู้ได้เห็นจากเสด็จพระใหญ่เช่นกัน หนนี้จึงเป็นการทำวิชามงกุฏยอดธรรมของพระพุทธเจ้าครอบหน้าพระพุทธพักตร์ แต่ทว่าเป็นหน้าพระพักตร์ที่พ่ออาจารย์ท่านเสกเชิญพระพุทธเจ้าทุกพระองค์(ตรงนี้สำคัญมาก)ไม่ใช่เฉพาะองค์ใดองค์หนึ่ง ซึ่งพระพุทธพักตร์นี้พ่ออาจารย์ท่านก็เรียกของท่านว่าพระธรรมสภา....ด้วยมีความหมายกล่าวถึงอย่างลึกซึ้งและเป็นนัยยะสำคัญ แม้ขั้นตอนการสร้างนั้น พ่ออาจารย์ก็ว่าเอาแค่ตอนหล่อนี่ก็ยากแล้ว เพราะกว่าจะหล่อติดได้ ต้องทำให้ถูก เชิญให้ครบทุกพระองค์ ไม่อย่างนั้นเทอย่างไรก็ไม่ติดหน้าพระพักตร์เลย

    วิชายอดธรรม ยอดมงกุฏที่ครอบพระเศียรของพระพุทธเจ้านั้นจะสำคัญอย่างไร พ่ออาจารย์ท่านว่าก็คิดดูเอาเถิดเราคงไม่พุดมากไปกว่านี้ เพราะเป็นธรรมสภาวะที่สูงค่าขนาดครอบเศียรเป็นยอดมงกุฏแห่งพระพุทธองค์ได้นั่นย่อมเกินคำว่าสามัญธรรมดาไปไกลพ้น ซ้ำวิชานี้ยังมีคุณประหลาดและใช้ได้เฉพาะทางชนิดที่ว่าเป้นพลังงานที่ส่งตรงถึงผู้ใช้ด้วย จะอย่างไรเดี๋ยวเอาไว้มาติดตามกัน


    images.jpg
     
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    นับแต่พ่ออาจารย์ท่านออกปู่อาฬาวกยักษ์ หลายๆคนก็ติดตามาตลอด เพราะสิ่งที่ต้องตาใครๆหลายๆคน และทุกคนล้วนแต่ให้ความสนใจนั่นก็คือเศษชิ้นจีวรของหลวงปู่ใหญ่นั่นเอง

    ทุกคนล้วนทราบและต้องการครอบครองจีวรนั้นแม้เป็นเศษหรือผงหากรู้ว่าเป้นจีวรที่หลวงปู่ใหญ่ท่านครอง(จะไม่กล่าวประวัติเพิ่มเพราะเคยกล่าวไว้แล้ว) เพราะหวังสิริมงคลสูงสุดทั้งด้านบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ จึงเฝ้ารอกันมาตลอดว่าเมื่อไหร่พ่ออาจารย์ท่านจะนำชิ้นจีวรนั้นมาสร้างเครื่องมงคล

    * ครั้งนี้บอกได้คร่าวๆว่าเศษจีวรนั้นพ่ออาจารย์ท่านมีจำกัดมากและเป็นเพียงผืนเล็กๆ ซึ่งในการสร้างพระธรรมสภารอบนี้ ท่านได้พลีเศษจีวรหลวงปู่ใหญ่ใส่ลงไปด้วยแบบเห็นด้วยตาเนื้อกันได้เลยทีเดียว พูดไม่ออกว่าเป็นวาสนาไม่รู้กี่ชาติภพกับคนที่ได้สัมผัสหรือครอบครองแม้เศษจีวรนี้ของหลวงปู่ใหญ่ อาจต้องเรียกว่าจะได้ไว้เฉพาะผู้มีบุญสัมพันธ์กับหลวงปู่ใหญ่ท่านก็ได้ เพราะจีวรหลวงปู่ใหญ่นั้นหายากเสียยิ่งกว่าเหล็กไหลน้ำหนึ่งซะอีก ซึ่งนี่อาจเป็นครั้งเดียวก็ว่าได้ที่จะมีโอกาส ใครที่ติดตามก็เฝ้ากันไว้ดีๆนะครับ มีจำนวนน้อยมากจริงๆ

    nh_4.jpg
     
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    ร่วมทำบุญบูชา พระยอดมงกุฎธรรมอนันต์โพธิวงศ์สรรพสิทธิ์(องค์ธรรมสภาฝังยาปัดอุบาทว์)
    นับแต่โบราณนั้น...ใบหน้าถือเป็นศรี (ราศี) ที่สำคัญของร่างกาย ชาวไทยเราจึงเชื่อกันว่าการล้างหน้าเป็นการชำระล้างร่างกายส่วนที่สำคัญที่สุด ดังนั้นจึงมีการสวดอาราธนาพระคาถาเวลานำน้ำมาล้างทำความสะอาดใบหน้าและร่างกายเวลาเช้า และสำหรับท่านที่ทรงญานสมาบัติก็มักจะทรงอารมณ์กรรมฐานในพุทธานุสติกรรมฐานกำหนดมงกุฏพระพุทธเจ้านั้นครอบศรีษะและใบหน้าไว้ตลอดเวลา

    ด้วยพ่ออาจารย์นั้น ท่านเคยได้รับนิมิตให้สร้างปฐมพุทธพักตร์มาก่อน จำเนียรกาลผ่านไปเสด็จพระใหญ่ท่านว่าถึงวาระที่จะสร้างธรรมศาสตราอันมีความพิเศษนั่นคือพระยอดมงกุฏธรรมแล้ว ด้วยเสด็จพระใหญ่เคยให้หัวใจสำคัญพ่ออาจารย์ท่านไว้บทหนึ่ง แน่นอนว่าหากพูดถึงคาถามงกุฏพระพุทธเจ้าแล้วหลายคนคงรู้จัก หลายคนคงท่องเป็น แต่หากจะพูดถึงหัวใจของมงกุฏยอดธรรมแล้ว ตรงนี้หลายคนคงไม่รู้จักและไม่เคยได้ยิน ด้วยสิ่งนี้เป็นหัวใจของยอดธรรม ยอดมงกุฏในพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และการชักยันต์หัวใจมงกุฏยอดธรรมที่เป็นธรรมศาสตราของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น พ่ออาจารย์ท่านว่าเราก็ได้รู้ได้เห็นจากเสด็จพระใหญ่เช่นกัน หนนี้จึงเป็นการทำวิชามงกุฏยอดธรรมของพระพุทธเจ้าครอบหน้าพระพุทธพักตร์ แต่ทว่าเป็นหน้าพระพักตร์ที่พ่ออาจารย์ท่านเสกเชิญพระพุทธเจ้าทุกพระองค์

    การสร้างพระยอดมงกุฏธรรมนั้น ท่านว่าเป็นยอดธรรม ยอดมงกุฏของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จึงเป็นของสูงและสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ด้วยบารมีของพระเจ้าทุกพระองค์ทุกชาติภพนับแสนนับล้านโกฏิอันจะหาที่กำหนดประมาณนั้นย่อมเป็นไปมิได้ กว่าจะทำได้สำเร็จนั้นพ่ออาจารย์ท่านว่าเราต้องอัญเชิญคุณอันวิเศษแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ รวมไปถึงคุณแห่งกระแสพระนิพพานอันประเสริฐซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงสรรเสริญแล้ว กางออกให้ปรากฏรูปเป็นมหาวิภูษิตาภรณ์ประดับด้วยมงกุฎแก้วยอดธรรมและเครื่องทรงแห่งพระเจ้ามหาจักรพรรดิ เพื่อครอบคลุมผู้บูชานั้นไว้ในกาลทุกเมื่อ ให้เป็นศรี(ราศี)แก่ชะตาและชีวิตแม้หากระลึกถึงก็เป็นการเจริญพุทธานุสติกรรมฐานไปด้วยในตัว

    ท่านได้นำอักขระสูตรยันต์ต่างๆประทับลงในแผ่นโลหะพร้อมทั้งอธิษฐานจิตปลุกเสกเต็มกำลังก่อนนำมาหล่อหลอม ท่านว่าต้องลงหัวใจพระพุทธเจ้าก่อน พร้อมทั้งประกอบพิธีเสกกำกับด้วยการเชิญเสด็จพระใหญ่และพระพุทธเจ้าทั้งปวงอันได้เคยอุบัติตรัสรู้มาแต่กาลก่อนในอนันต์จักรวาลนี้ มาทำการประสิทธิ์แฝงพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณ ด้วยพระยอดมงกุฏธรรมนนี้เปรียบได้กับวัตถุที่รวมกำลังของสมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าทุกพระองค์ไว้ดีแล้ว ท่านว่าเสกยากจริงๆเพราะตัวเราเองเสกไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์ไปเสกต้องให้พระเบื้องบนท่านทำให้ ทุกสิ่งเป็นไปด้วยพระพุทธานุภาพ พร้อมกันนี้ยังต้องขอความเมตตาเสด็จพระใหญ่ให้ชุมนุมพระเวทย์และพระธรรมทั้งปวง พ่ออาจารย์ท่านว่าอันพระสัทธรรมนั้นเป็นพลังงานบริสุทธิ์ กำเนิดมาก่อนตั้งฟ้าตั้งดิน เป็นพลังงานอันยิ่งใหญ่ที่ให้กำเนิดสรรพสิ่งต่างๆ พระยอดมงกุฏธรรมนั้นจะได้มีแก่นของพลังงานที่ไม่เหือดแห้ง พร้อมทั้งจะได้ให้กำเนิดสิ่งดีๆแก่ผู้บูชา

    ด้วยเป็นของสูงค่ายากที่มนุษย์อันไม่ได้มีบุญวาสนาจะพานพบเจอ เพราะเสด็จพระใหญ่ท่านบอกไว้แต่เริ่มว่ามงกุฏยอดธรรมนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์มาก เมื่อปรากฏรูปขึ้นแล้ว หากได้อาราธนาสวมคล้องเสมอด้วยร่างกายเรามียอดธรรม ยอดมงกุฏของพุทธวงศ์ทั้งมวลครอบรักษาเอาไว้ ทั้งยังขัดเกลาภูมิจิต ภูมิธรรมของเราตลอดเวลาให้มากบารมีดุจพระจักรพรรดิ ท่านว่าอานุภาพตรงนี้นั้นมีมากพอที่จะปิดอบายภูมิได้เลย กล่าวให้ชัดเจนคือตกนรกไม่ได้

    การสร้างพระยอดมงกุฏธรรมนี้ พ่ออาจารย์ท่านตั้งใจทำเพื่ออานุภาพอันเป็นปัจเจกเฉพาะตัวให้ผู้มีวาสนาสัมพันธ์กันกับวิชาพิเศษ ได้นำไปใช้อาราธนาเพื่อปลดเปลื้องภาระแห่งชาติเวร ทั้งภาระจากชาติสงสารแลวิบากเวรกรรม ท่านจึงได้นำยาแก้กรรมมาผสมกับยาปัดอุบาทว์เพื่ออุดไว้เป็นกฤติยาคมแฝดในองค์พระด้วยอีกคำรบหนึ่ง ท่านได้เมตตานำผงลบถม 227 ชนิดมาผสมกับผงรัตนมาลาทั้ง 108 เข้ากับเครื่องยาโบราณที่ท่านประกอบขึ้นเรียกว่ายาแก้กรรมนี้ด้วย ซึ่งยานี้ท่านทำจากสมุนไพรและเครื่องยาโบราณล้วนๆนำมาประกอบกับชะมดเชียง ดีหมี เขี้ยวเสือ นอแรด เป็นต้น ซึ่งท่านว่าเป็นยาที่ทำยากมากสูตรเสด็จพระใหญ่ด้วยว่านยาทั้งหลายที่ท่านกำหนดให้ไปกู้มาประกอบยานั้นล้วนหายากทั้งสิ้น ท่านว่ายานี้มีคุณตามชื่อเลย นั่นคือใช้ผ่อนหนักเป็นเบาและชะลอกรรมเก่าได้ ขอให้เป็นคนดีหมั่นสร้างความดีอย่าปล่อยโอกาศให้หลุดมือท่านว่าเสด็จท่านจะช่วยเหลือเต็มที่ นอกจากนี้ยาแก้กรรมยังสามารถใช้แก้ได้สารพัด ที่เป็นเครื่องยาอันประกอบด้วยสิ่งอุบาทว์และอัปมงคลต่างๆ ไม่ว่าจะยามนต์ ยาคุณไสย ยาหลง ยารัก ยาแฝด ยาสั่ง ยาประสาท ยาชัง ยาหน่าย ยาตาย ยาพิษ ยาเสน่ห์ ยาต่างๆที่เกิดจากของฝ่ายต่ำและสิ่งอัปมงคลอันเกิดแต่การกระทำมาด้วยวิธีไสยศาสตร์ทั้งหลายนี้ พ่ออาจารย์ท่านว่าทำร้ายเราไม่ได้เลย ให้พกยาแก้กรรมนี้ไว้ถึงมีอยู่ในร่างกายถึงขั้นเข้าเลือดเนื้อไปแล้วสิ่งเหล่านี้ก็จะขับออกมาทั้งสิ้น

    ในส่วนของยาปัดอุบาทว์นั้น ท่านว่าทำยากเพราะนอกจากว่านยาที่จะกู้มาแล้วต้องนำมาลงอักขระตามสูตรเสกว่านยาแล้วจึงบดเป็นผงนำมาเข้ากับผงวิเศษต่างๆที่มีฤทธิ์รุนแรงและเป็นความลับอีกห้าชนิดจึงจะสำเร็จ ยานี้ใช้ปัดได้ทั้งเหตุที่เกิดขึ้นอย่างผิดปกติวิสัยหรือผิดธรรมชาติ ทั้งอัปมงคลเป็นลางไม่ดี ทั้งอาเพศ อุบาทว์ เหตุร้ายที่จะเกิดแบบปัจจุบันทันด่วน รวมไปถึงภัยอันตราย ความทุกข์ร้อนที่จะเป็นต้นตอลุกลามมอดไหม้ต่อไปทั้งกับตนเองและวงศ์ตระกูล พ่ออาจารย์ท่านว่าสรุปสั้นๆคือใช้ล้างอาถรรพ์ร้ายทั้งหลายทั้งปวงอันจะปรากฏมีขึ้นในโลกในชีวิตตนได้ดียิ่งนัก

    พระยอดมงกุฏธรรมนี้นอกจากเป็นสิ่งแทนดวงพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์แล้ว ยังมียอดธรรม ยอดมงกุฏของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และพุทธรัศมีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ครอบรักษาเราอยู่ เมื่อได้อาราธนาพ่ออาจารย์ท่านว่านอกจากปิดอบายแล้ว เมื่อครอบมงกุฏยอดธรรมเราจะมีอำนาจ มีตบะ เกิดสง่าราศีเป็นราชเสน่ห์แก่ผู้คนตรงนี้ท่านว่าใครเห็นเขาก็รักก็เทิดทูน ทั้งยังกัดกินและบรรเทาโรคภัยทั้งหลายด้วย พวกโรคเวรโรคกรรมอย่างมะเร็ง อัมพฤติอัมพาต หรือโรคเจ็บป่วยร้ายแรงต่างๆจะไม่เกิดขึ้นแก่เราเลย แม้โรคที่เป็นอยู่อาการก็จะค่อยๆบรรเทาดีขึ้น

    พ่ออาจารย์ท่านว่าเสด็จองค์ปฐมนั้นทรงสรรเสริญพระยอดมงกุฏธรรมไว้เกินกว่าที่จะบรรยายใดๆได้หมด ท่านว่าแม้ความปรารถนาใดๆก็ดี ถ้าจะประสงค์หรือหากมีปรารถนาแล้วไซร้จะเป็นไปได้ดังปรารถนา ทั้งเป็นจังงังและมหาละลวย มหาเมตตาครบถ้วน เอากันถึงขนาดว่าแม้คนใจเหี้ยม ดุร้ายยังกลับใจอ่อนรักและเอ็นดูเรา ใครคิดร้ายก็มีอันเป็นไปรุนแรงเท่าความคิดและการกระทำของเขา ทั้งยังกันภูติพรายกินตัว กันอำนาจและปิดกั้นพลังงานแปลกปลอมที่จะชำแรกแฝงเร้นเข้ามาสิงสู่หรือเกาะกินเรา

    นอกจากนั้นยังใช้ได้อีกหลายด้าน ท่านว่าผู้ใดแม้มีมงกุฏแก้วยอดธรรมนี้ประดิษฐานไว้เหนือเศียรเกล้า ไม่ต้องพูดอะไรมากเอาแค่ปรับธาตุขันธ์กันสักพัก ต่อไปแม้เธอเพียงทอดสายตามองอะไรให้เธอกำหนดจิตไปด้วย จะให้เป็นแบบไหนก็จะเป็นเช่นนั้น ท่านว่าแค่เธอแลมองเขาพร้อมกำหนดจิตอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นก็ได้เรื่องแล้ว เช่นหากจะปกป้องคุ้มครองคนให้เขาไปดีกลับดีก็เพียงแค่มองและกำหนดจิตรักษาคุ้มครองเขา พ่ออาจารย์ท่านไม่สามารถบอกอะไรได้มากท่านว่าเราพูดมากไปกว่านี้ไม่ได้แต่วิชานี้เอาว่ามีอาถรรพ์แรงถึงขนาดนั้น ขอให้มีจิตคิดดีและปรารถนาดีแก่ผู้อื่น มองเขาอวยพรเขาสิริมงคลและกุศลกรรมมากมายก็จะเกิดขึ้นแก่เราแบบไม่ได้ตั้งตัวเลย ท่านว่ายิ่งให้ยิ่งได้

    เมื่อได้กราบได้อาราธนา เหมือนได้ครอบเศียรพระเจ้าแปดหมื่นสี่พันพระองค์ ได้แวดล้อมบัญชรอยู่ในธรรมสภาแห่งสมเด็จพระตถาคตเจ้าทั้งมวล แม้นยกมือขึ้นไหว้มีกุศลดั่งได้ไหว้พระจุฬามณี ได้สักการะพระบรมธาตุ พระพุทธปฏิมา พระมหาธาตุเจดีย์ในโลกพิภพทั้งสิ้น ทั้งของที่มีวาสนาต้องกันและเหล่าพระบรมธาตุจะเกิดขึ้นแก่เราและเสด็จมหาหาเราโดยปาฏิหาริย์ ***และจงจำเอาไว้ว่านี่เป็นของสูง ต้องวางไว้สูงที่สุด สูงกว่าพระพุทธรูปทุกยุค ทุกสมัย ทุกครูบาอาจารย์ทีเดียว เพราะแม้ขั้นตอนการสร้างนั้น พ่ออาจารย์ท่านว่าเอาแค่ตอนหล่อนี่ก็ยากแล้วกว่าจะหล่อติดได้ ต้องทำให้ถูก เชิญให้ครบทุกพระองค์ ไม่อย่างนั้นเทอย่างไรก็ไม่ติดหน้าพระพักตร์เลย

    ด้านหลังพ่ออาจารย์ท่านได้ฝังของสำคัญหลายอย่างไว้ ได้แก่
    - ตะกรุดยอดปิฏก ท่านลงตะกรุดพระปิฏกกัณฑ์ไตรไว้ด้วยตะกั่วขอมโบราณที่นำมาหลอมรีด พร้อมทั้งเสกด้วยสูตรปาฏิโมกข์ ท่านว่าตะกรุดนี้สำคัญนักเพราะไม่ได้ใช้แก้ที่ปลายเหตุ แต่กลับใช้กันที่ต้นเหตุ ทุกสิ่งที่เป็นอันตรายเมื่อกันไว้แล้วย่อมไม่มีสิ่งนั้นเกิดขึ้น เมื่อไม่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่จำเป็นต้องวิตกหรือหาทางแก้ เราพูดอะไรไม่ได้เยอะเพราะที่จริงเสด็จพระใหญ่ท่านไม่ให้บอกใครเลยด้วยซ้ำ แต่เราจะบอกสั้นๆไว้เพียงอย่างเดียว คือใช้กันได้ทั้งหมดสารพัดแม้แต่กรรมหนักที่ก้มหน้ารับกันอยู่

    - ตะกรุดพระเจ้าร้อยแปด อีกดอกหนึ่งนั้นท่านเรียกว่าพระเจ้าร้อยแปด เพราะใช้บารมีของพระอรหันต์แลพระพุทธเจ้าทุกพระองค์มาเสก ท่านว่าเราฝังไว้ให้เป็นกำลังของพระยอดมงกุฏธรรมโดยเฉพาะ ดอกนี้อธิษฐานใช้ได้ร้อยแปดพันประการทีเดียว

    - จีวรพระเหนือโลก ท่านได้นำจีวรหลวงปู่ใหญ่ที่ท่านเก็บรักษาไว้มาโรยไว้ด้านหลังด้วย ท่านว่าจะทำพระสำคัญก็ต้องใช้ของสำคัญใส่ลงไปให้หมด ท่านได้พลีเศษจีวรหลวงปู่ใหญ่ใส่ลงไปด้วยแบบเห็นด้วยตาเนื้อกันได้เลยทีเดียว พูดไม่ออกว่าเป็นวาสนาไม่รู้กี่ชาติภพกับคนที่ได้สัมผัสหรือครอบครองแม้เศษจีวรนี้ของหลวงปู่ใหญ่ อาจต้องเรียกว่าจะได้ไว้เฉพาะผู้มีบุญสัมพันธ์กับหลวงปู่ใหญ่ท่านก็ได้ เพราะจีวรหลวงปู่ใหญ่นั้นหายากเสียยิ่งกว่าเหล็กไหลน้ำหนึ่งซะอีก นับเป็นสิริมงคลสูงสุดทั้งด้านบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์

    - กาคาบแก้ว ท่านได้นำอีกาสำคัญที่ท่านเสกเล่นวิชาไว้ครบฝังเอาไว้ด้วย ท่านเรียกว่ากาคาบแก้ว คือกาที่จะคาบความสุข ความปรารถนา ความตั้งใจที่สัมฤทธิ์ผลมาสู่ผู้เป็นนายของมัน พ่ออาจารย์ท่านว่ากานี้เราลงเอาไว้ครบ ทั้งใส่วิชากาจับหลักให้พุทธคุณเสริมส่งดุจนกกาไร้รังนอนมีหลักที่มั่นคงให้เกาะ ให้พบให้เจอความมั่นคง ลงหลักปักฐาน จับให้มั่น ทำให้มั่นคง เป็นมหาทั้งห้าเช่น มหานิยม มหาเสน่ห์ มหาโชค มหาสมบัติ มหาละลวย นอกจากนั้นท่านยังลงเสกด้วยวิชากาวิดน้ำที่ใช้ดีด้านทวงหนี้ ตามสิ่งที่สูญหายอีกด้วย ท่านว่าวิชานี้นอกจากช่วยให้ของที่สูญหายไปนั้นได้กลับคืนมา ดุจสายสัมพันธ์โซ่ตรวนชะตากรรมที่ขาดจากกันแล้วได้ผสานขึ้นมาใหม่ แม้วาสนาที่หายไปย่อมได้กลับมาด้วย คนเราสมัยนี้ได้ๆหมดๆไม่สามารถรักษาวาสนาตัวเองไว้ได้ ท่านว่านี่เราลงให้ครบเลยนะสุดแล้วแต่จะอธิษฐานกันเลยว่าจะใช้อย่างไร แต่เหตุผลหลักนั้นคือเป็นกาคาบข่าว เป็นพาหนะของเสด็จพระใหญ่ท่านที่จะใช้สื่อสาร นำสาส์นเวลาพวกเราอธิษฐานอะไรกัน ท่านว่ากานี้ทำยากเพราะต้องเสกถึงเจ็ดสถานที่ แล้วก็ต้อง
    ถวายทานให้ครบเจ็ดครั้ง ทำยากเพราะแต่ละสถานที่นั้นต้องเสกจนกว่ากาจะมารุมเกาะจึงสำเร้จ

    คาถาบูชา
    อิติปิโสภควา อิสวาสุยะ ระอิมะทิตะสัง วินะมึพึทะอะอุมะทะเว


    * พ่ออาจารย์ท่านว่าพระยอดมงกุฏธรรมนั้น เป็นของสักดิ์สิทธิ์ในขั้นของคู่บารมีเพราะยอดมงกุฏนั้นจะติดตัวไปทุกชาติภพ เป็นของทิพย์ที่แม้ตายก็เอาไปได้ ท่านทำไว้ได้ทั้งหมดหกองค์ และเก็บไว้เพื่อใช้อาราธนาเององค์หนึ่ง ก็รับจองเฉพาะทาง Pm เท่านั้นท่านว่าผู้ที่จะบูชานั้น ท่านจะใช้ผงมหาราชเจิมองค์พระให้ โดยให้บุคคลนั้นแจ้งชื่อนามสกุลไว้ พร้อมกับบอกสิ่งที่ปรารถนาหรืออยากจะบอกกล่าวด้วย ท่านจะทำการบอกกล่าวและประสิทธิ์ให้อีกคำรบหนึ่ง รายได้ท่านจะนำไปสมทบทุนวิหารทานสืบต่อไป

    ร่วมทำบุญบูชา พระยอดมงกุฎธรรมอนันต์โพธิวงศ์สรรพสิทธิ์(องค์ธรรมสภาฝังยาปัดอุบาทว์) บูชา 4,000 บาท

    40447013_524801427969551_4945071975627227136_n.jpg 40511307_687152164992475_2869681423864823808_n.jpg
    40589353_229129281100574_3160592684242960384_n.jpg
     
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่กฤตยชญ์ EV 7735 6902 1 TH

    พี่นวรัตน์ EV 7735 6903 5 TH
     
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    พลังใจ

    คงจะไม่มียุคไหนที่มนุษย์เราต้องการพลังใจเท่ากันยุคนี้ พลังใจเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ฉะนั้นเราแต่ละคนจะต้องตระหนักถึงการให้กำลังใจกันและกัน สามี-ภรรยา พ่อ-แม่–ลูก เจ้านาย-ลูกจ้าง เพื่อนร่วมงานควรหล่อเลี้ยงชีวิตและให้กำลังใจกัน เฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่ประสบอุบัติเหตุชีวิต มีแผลลึกในหัวใจ เขาต้องการกำลังใจไม่ใช่ไปซ้ำเติม

    ผู้ที่เคยไปดูการแสดงปลาวาฬ แมวน้ำ และสัตวอื่น ๆ เราจะเห็นผู้ควบคุมการแสดงจะให้อาหาร ทุกครั้งทั้งก่อนและหลังการแสดง แต่ละฉากอาหารคือรางวัล รางวัลคือกำลังใจที่สัตว์เหล่านั้นเต็มใจแสดง แม้แต่สัตว์ยังต้องการกำลังใจเฉกเช่นมนุษย์ แต่สิ่งที่สัตว์ทำไม่ได้คือการให้กำลังใจตนเอง พลังใจที่เราอาจได้รับจากผู้อื่น ไม่ว่าจะในรูปของคำชมเชย คำเตือน ด้วยความหวังดี การรับรางวัล รอยยิ้ม เสียงปรบมือ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยย่อมเป็นสิ่งชูใจให้มีความมุมานะยิ่งขึ้น แต่ถ้าเราอยู่ในที่ซึ่งไม่มีบุคคลรอบข้างให้กำลังใจ ผมมีวิธีที่เราจะให้กำลังใจตนเอง

    เริ่มจากการให้อภัยตนเอง มีคนไม่น้อยที่มีความขมขื่นกับตนเอง เกลียดตนเองเมื่อความพลาดพลั้งเกิดขึ้นหรือทำอะไรไม่ได้สมความตั้งใจผิดหวัง เขาจะตำหนิตัวเอง บางคนคงโทษตัวเองเจ็บๆ ในรูปแบบต่างๆ เลวร้ายที่สุดคือ ฆ่าตัวตาย ตัวเราเองใช่ว่าจะเพียงต้องการกำลังใจจากบุคคลอื่นเท่านั้น แต่ต้องการกำลังใจจากตนเองด้วย ฉะนั้นจงเรียนรู้ที่จะให้อภัยตนเอง นอกจากให้อภัยตนเองแล้ว เราต้องพูดเพื่อให้กำลังใจตนเองด้วยว่า

    “ จิตใจของข้าพเจ้าท้อแท้ทำไม”

    “ ไม่มีใครในโลกที่สำเร็จโดยไม่เคยพลาด”

    “ ความผิดพลาดความไม่สมหวังไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือบันไดอีกขั้นหนึ่งที่นำไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า”
    * ข้อแนะนำอีกประการหนึ่งที่จะช่วยให้ตนเองมีกำลังใจคือ ให้กำลังใจคนอื่น คนที่ให้กำลังใจคนทุกข์ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดคือผู้ที่นั่ง นอนอยู่ในทุกข์นั้น จำไว้เสมอว่าเราไม่ใช่คนเดียวในโลกที่สัมผัสความท้อแท้ ไม่ใช่เราคนเดียวที่ทุกข์ที่สุดในโลก ยังมีคนอีกมากมายที่เป็นกำลังใจ ขณะที่เราพูดให้เขาสู้ เขาได้กำลังใจสู้ ตัวเราเองจะมีพลังทวีคูณ ฉะนั้นเมื่อท้อแท้ใจ จงไปหาใครสักคนหนึ่งที่เรารู้ว่าเขากำลังหมดกำลังแล้วให้กำลังใจเขา แล้วตัวคุณจะมีกำลัง เพราะนั่นเป็นกฎของพระคริสต์ที่ตรัสว่า “จงให้เขา และท่านจะได้รับด้วย”

    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,117
    ค่าพลัง:
    +16,626
    คำนินทา

    วิธีง่าย ๆ วางใจอยู่เหนือ คำนินทา ทั้งปวง

    งานวิจัยเชิงมานุษยวิทยาเรื่องหนึ่งพบว่า เวลาสนทนากัน คนอังกฤษส่วนใหญ่ใช้เวลาราวสองในสามอภิปรายกันเรื่อง ‘ใครทำอะไรกับใคร ที่ไหนเมื่อไหร่ อย่างไร’ โดยหาก ‘ใคร’ ที่ว่านั้นเป็นคนมีชื่อเสียง การสนทนาจะยืดเยื้อเป็นพิเศษ

    ผู้วิจัยอ้างว่า สถิตินี้เชื่อถือได้เพราะเก็บข้อมูลด้วยการแอบฟังบทสนทนา ไม่ใช่จากแบบสอบถามซึ่งผู้ตอบอาจเข้าข้างตัวเองได้ นอกจากนี้ผลการวิจัยยังระบุด้วยว่า ชายและหญิงใช้เวลาในเรื่องนี้ไม่ต่างกัน

    เรื่องเช่นนี้ฟังคุ้นหูไม่น้อย หากทำวิจัยในเมืองไทยคงได้ผลไม่ต่างกัน หรืออาจพบว่า คนไทยใช้เวลาในการสนทนาทำนองนี้มากกว่าคนอังกฤษ “เล็กน้อย” ก็เป็นได้ดังคำกลอนสุนทรภู่ที่บอกว่า “อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา” ภาษิตนี้สอนว่า การนินทาเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่มีใครหลีกพ้น เพราะแม้แต่พระพุทธรูปที่ตั้งไว้ในโบสถ์ยังอาจมีคนนินทาว่าร้ายได้

    หัวข้อนินทาที่เคยได้ยินมีสารพัด ทั้งเรื่องอื้อฉาวในชุมชนและเรื่องอื่นๆ ที่โยงใยครอบคลุมแทบทุกมิติ เรื่องน่าขันที่ได้ยินมากับหูคือการนินทาในงานศพว่าเจ้าภาพซื้อ “โลง” ไม่สมเกียรติผู้ตาย!

    แม้การนินทาจะเป็นเรื่องสามัญเพียงไรก็ตาม น้อยคนนักที่ทำใจยอมรับได้หากตนเองตกเป็นหัวข้อในการนินทา น่าสังเกตว่าคนยิ่งชอบนินทามากเท่าใด พอตกกับตัวเองเข้ากลับยิ่งเป็นฟืนเป็นไฟไปเท่านั้น อุปมาได้กับนายพรานที่ติดกับดักของตนเอง เรื่องนี้แสดงว่าความเชี่ยวชาญเชิงปฏิบัติในวิชานินทาเป็นคนละเรื่องกับความรู้เท่าทันในสาขาวิชานี้

    หลวงพ่อชาเคยสอนว่า คนมีปัญญาอาจหาประโยชน์ได้แม้จากกองขยะ คำนินทาว่าร้ายเป็นสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจแต่หากพิจารณาให้ดีแล้วอาจเป็นประโยชน์ต่อเราได้มาก ไม่ต่างจากขยะที่ถูกแปรให้กลายเป็นปุ๋ยบำรุงต้นไม้

    คำนินทาว่าร้ายทั้งหมดนั้น หากคิดให้ถี่ถ้วนแล้วเป็นไปได้เพียงสองด้าน คือ เป็นเรื่องจริง กับเรื่องที่กุขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นด้านใดล้วนแต่ไม่น่าขุ่นเคืองทั้งสิ้น หากเป็นเรื่องจริง เราก็ควรยอมรับแต่โดยดี หรือหากตรงข้าม เราก็ไม่เห็นจะต้องนำเรื่องเท็จเหล่านั้นมาใส่ใจ วันเวลาย่อมจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความเท็จได้ดีกว่าการตามแก้ไขความเห็นผู้อื่น

    ท่าทีที่พึงมีต่อคำนินทาคือน้อมนำมาใคร่ครวญเพราะอาจทำให้เห็นข้อบกพร่องที่ตนไม่เคยมองมาก่อน แม้คำนินทานั้นจะไม่จริง เรายังอาจวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้มีผู้มองเราในแง่ลบได้เช่นกัน และหากอยู่ในวิสัยจะแก้ไขปรับปรุงได้ เราย่อมมีโอกาสพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น มองในแง่นี้ ควรขอบคุณผู้นินทาเสียด้วยซ้ำ


    ที่สุดแล้ว คำนินทาควรทำให้ตระหนักได้ว่า ไม่มีใครเป็นที่พอใจของทุกคนได้ ต่อให้ปฏิบัติดีเพียงใด ย่อมไม่แคล้วมีผู้มองในแง่ลบ ความเข้าใจนี้ช่วยให้คลายความคาดหวังต่อการกระทำของตนเองลง สามารถทำความดีโดยไม่ต้องเกร็งกับคำพิพากษาของใคร

    แท้จริงแล้ว ตัวเราเองต่างหากที่ควรยินดีต่อการกระทำของตน ไม่พึงนำความสุข ความทุกข์ ไปแขวนไว้กับเสียงรอบข้าง และเรียนรู้ที่จะวางใจอยู่เหนือคำนินทาทั้งปวง

    1_605.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...