NEW! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ....

ทุกอย่างมีโครงสร้างที่ซับซ้อน หลายมิติ แม้แต่ clip นี้ ก็มีหลายมิติเช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองเห็นทางด้านไหน ความตื้นลึกของความหมาย บางครั้งค้นหาเท่าไรก็ไม่จบสิ้น มันก็เหมือนกับโลกแห่งความเป็นจริงที่มีโครงสร้างของมิติที่ซับซ้อน มีการสลับสับเปลี่ยน หมุนวนไป ไม่ว่าจะน้ำขึ้นหรือน้ำลง ล้วนสร้างกระแสไฟฟ้าได้เหมือนกัน ไม่มากก็น้อย ทิศทางก็สลับสับเปลี่ยนได้ เพราะเป็นผลมาจากสนามแม่เหล็กโลก หรือ แรงดึงดูด และการรั่วไหลของพลังงาน

ไม่ใช่แค่บนเปลือกโลกที่สามารถสร้างสนามแม่เหล็กในการอุดรอยรั่วของคลื่นรังสีความร้อนอันเป็นพลังในการทำลายได้ แต่ในท้องทะเลก็สามารถสร้างกระแสไฟฟ้าที่มีผลต่อสนามแม่เหล็กโลกเช่นเดียวกัน

บางครั้งก็ต้องหมุนวนสับเปลี่ยนกันมาทำหน้าที่

สิ่งที่เห็น ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดจริงๆ^^


ก่อนนอนคืนนี้ ขอส่งทุกท่านเข้านอนด้วยบทเพลง THE SHOW

 

เธอรู้วิธีการหาความจริง แล้วใช่ไหม?

เธอไปหาดูเอาว่า

1 . ตั้งคำถามไปยัง....
"สิ่งแปลกปลอม เบียดเบียน แอบแฝงเป็นเหตุทำให้มนุษย์ไม่บริสุทธิ์"

"สิ่งแปลกปลอม เบียดเบียน ไม่ใช่สาเหตุทำให้มนุษย์ไม่บริสุทธิ์"

2. ตั้งไปถามไปอีก สองคำถาม

"สิ่งแปลกปลอม เบียดเบียน เป็นสาเหตุทำให้มนุษย์อยู่ในสภาพทุกข์"

"สิ่งแปลกปลอม เบียดเบียน ไม่ใช่สาเหตุทำให้มนุษย์อยู่ในสภาพทุกข์"

อีกแบบทดสอบ อีกคำถามที่คล้ายกัน

"เวรกรรมที่มนุษย์สร้างในอดีต เป็นสาเหตุทำให้มนุษย์อยู่ในสภาพทุกข์"

"เวรกรรมที่มนุษย์สร้างในอดีต ไม่ใช่สาเหตุทำให้มนุษย์อยู่ในสภาพทุกข์"

เอาแค่สอง สาม คำถาม เมื่อเธอถามไปยัง .....ความเจริญ.... เธอจะได้พบคำตอบ

เธอจะเข้าใจ และเข้าถึงธรรมชาติมากขึ้น

โดยไ่ม่ต้องพึ่งตำรา .....

ไม่รู้ความจริง .... อ่านแต่ตำรา .... เชื่อแต่คำกล่าวคน(เธอเป็นเอามาก ... เพราะเธอมักจะเอาโน้นนี่มาสรุป เอาเอง .... โดยไม่รู้ความจริง)

เช่น คนบางคน บอกว่า เคยเห็นพระเจ้าไหม ? (เป็นคำถามของคนประหลาด) คนๆ นี่ก็เชื่อได้หรือ?
ทำนองเดียวกัน หากฉันมีคำถามว่า จิตหรือดวงจิต เธอเคยเห็นไหม?
หากเธอสรุปว่า จิต หรือ ดวงจิต มีในธรรมชาติจริง และมายื่นยันกับฉันได้
โดยหาวิธีการพิสูจน์ให้เห็นด้วย ตาหยาบ ฉันจึงจะเชื่อเธอ (ใคร?ที่อวดเก่ง)

ดังนั้นการอวดตน ว่า จิต วิเศษ อย่างโน้น อย่างนี่ แต่พิสูจน์ไม่ได้ สัมผัสความจริงไม่ได้ด้วยตนเอง อ้างแต่ตำรา หรือ อาจารย์ตน .... ก็อย่าไปกล่าวดูถูก
เที่ยวกล่าวว่า เรื่อง พระเจ้า ของความเชื่อผู้อื่นเป็นเรื่องไม่มีมูล ไม่มีเหตุ

 

ที่เธอว่าจะกลับบ้าน คือ

เธอจะเอาพลัง ... จะแสวงหาพลัง

หรือ เธอจะกำจัดความไม่บริสุทธิ์

เพื่อ กลับบ้าน เพื่อได้เป็นมนุษย์ที่บริสุทธิ์ (อริย) อีกครั้ง

หรืออะไร?

 

เมื่อเธอทดสอบความจริงในข้อที่ สอง ได้ เธอจะรู้ว่า

กรรมของมนุษย์ มีจริงหรือไม่

มนุษย์ มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์จริงหรือไม่

..... เธอจะได้ .... หาความรู้ต่อยอดได้อีก ...

ว่าสิ่งใดควรสรุป สิ่งใดไม่ควร นำมาสรุป

 

สวัสดีค่ะ^^ ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน ข้าพเจ้าได้อ่านข้อความของท่าน 999 แล้ว ก็ต้องรีบเข้ามาตอบรับ mission หรือภารกิจ หรือหน้าที่ที่ควรปฏิบัติ เพราะความรู้สึกของข้าพเจ้าบอกว่า นี่คือสิ่งที่ทุกคนสมควรทำในการเป็นมนุษย์

ความหมายของคำว่า ความรู้สึก สำหรับข้าพเจ้าแล้ว มันหมายถึงความรู้ที่ได้จากการสัมผัสจากการกระทำด้วยตนเอง หรือ รู้ได้ด้วยตนเอง (ธรรมารมณ์หรือความรู้สึกใดๆที่จิตเสพ)

ดังนั้น ความรู้สึกที่ข้าพเจ้าได้สรุปในโพสต์นี้ จึงเป็นความรู้สึกจริงของข้าพเจ้า ที่ได้จากการเข้าไปสัมผัส หรือปฏิบัติด้วยตนเอง มิใช่เกิดจากความเชื่อด้วยการอ่านจากตำราแต่อย่างใด

ข้าพเจ้าต้องกราบขอบคุณท่าน 999 ในกระทู้นี้อีกครั้ง ที่เข้ามาเปิดมิติ ทำให้ข้าพเจ้าได้พบกับความเจริญ และความเจริญนั้นนำพาให้ข้าพเจ้าได้พบ พระ (คุณ) เจ้า.. ในที่แห่งนี้จริงๆ ทำให้ข้าพเจ้าต้องรีบเข้ามาในวันนี้ด้วยมิต้องการให้ผู้อื่น สรุปด้วยความคิดเห็นอันผิด

"ดังนั้นการอวดตน ว่า จิต วิเศษ อย่างโน้น อย่างนี่ แต่พิสูจน์ไม่ได้ สัมผัสความจริงไม่ได้ด้วยตนเอง อ้างแต่ตำรา หรือ อาจารย์ตน .... ก็อย่าไปกล่าวดูถูก

เที่ยวกล่าวว่า เรื่อง พระเจ้า ของความเชื่อผู้อื่นเป็นเรื่องไม่มีมูล ไม่มีเหตุ"


ท่านกำลังกล่าวสอนข้าพเจ้าว่า "ความคิดเห็น ทั้งหลายเป็นสิ่งแปลกปลอม มิใช่สิ่งที่ธรรมชาติสร้างมา" อีกประการ แม้ว่าจะเป็นความเชื่อของผู้อื่น ที่ถูกกล่าวอ้างจากตำราหรืออาจารย์ท่านอื่น ก็มิให้เข้าไปแสดงความคิดเห็น เพราะ เมื่อไม่มีเหตุ ผลก็ไม่เกิด เป็นการดับผลที่เหตุ ข้าพเจ้าคิดถึงวงจรปฏิจจสมุปบาท ขึ้นมาทันที

การปฏิบัติที่ท่าน 999 ให้ข้าพเจ้าทำ ทุกครั้งที่ปฏิบัติข้าพเจ้ามองเห็นว่า ข้าพเจ้าสามารถกลายเป็นผู้ดูความรู้สึกได้ โดยเฉพาะการดูความรู้สึกใน 2 จุด พร้อมกัน อีกทัั่ั่งการสอบทวนด้วยลมหายใจ มันก็ทำให้ข้าพเจ้าพบว่า ทั้ง 2 ส่วน ต่างก็เอื้ออำนวยสนับสนุนซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นธรรมชาติของความเจริญที่ยั่งยืน

การปฏิบัตินี้ ทำให้ข่าพเจ้ามองเห็นว่า เราสามารถทำงานไปด้วย และฝึกการเป็นผู้รู้ความรู้สึกไปด้วยได้พร้อมกัน ขณะเดียวกัน ความละเอียดของลมหายใจก็บอกถึงการกระเพื่อมของจิต ว่าเรากำลังรู้สึกอย่างไร หมักหมมสิ่งใดไว้ในนิสัย หรือกมลสันดาน เพราะลมละเอียด และลมหยาบ ต่างก็สะท้อนธรรมชาติความจริงที่แตกต่างกันให้เราได้เห็น

"การปฏิบัติ" ไม่สามารถทำให้รู้ชัดได้ภายในการกระทำเพียงแค่ครั้ง หรือสองสามครั้งเท่านั้น แต่จำเป็นจะต้องทำให้เกิดความเคยชิน ดังนั้น กุญแจของการไขความเป็นจริงของคำว่า "จิต" จึงต้องเกิดจากการปฏิบัติหรือกระทำด้วยตนเองซ้ำๆ จนเคยชิน จนเกิดเป็นนิสัยแนบแน่นไม่แปรเปลี่ยน จนมองเห็นได้อย่างชัดเจนเท่านั้น ดังนั้นผู้ที่อ่านแต่ตำราอย่างเดียวโดยปราศจากการปฏิบัติ จึงมิควรใช้ความเห็นมาสรุป. แต่การสรุปจะเกิดขึ้นได้จากการเข้าไปปฏิบัติจริงเท่านั้น

การดูความรู้สึกด้วย ความรู้ที่ได้จากการสัมผัสด้วยตนเอง หรือจากประสาทสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ คือสติปัฏฐาน หรือ จากความรู้สึกของข้าพเจ้าแล้ว นี่คือ การเรียนรู้ความหมายของ "จิต" ด้วยการใช้ สติสัมปชัญญะเป็นฐานในการปฏิบัติด้วยความรู้สึกที่ได้จากประสาทสัมผัส

ส่วนอานาปานสติ คือการรู้ลมหายใจ

ฉะนั้นทั้งสองส่วนจากความรู้สึกข้าพเจ้าแล้วจึงเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน อันเป็น คุณสมบัติตามธรรมชาติของความเจริญที่ยั่งยืน เป็นการสอบทวนอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งกันและกัน

ในข้อความของทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นคุณ 999, sataniel หรือ ของคุณ jityim. ต่างมาในรูปแบบของการเกื้อหนุน สนับสนุนซึ่งกันและกันในการปฏิบัติ ในขณะเดียวกันก็เป็นการสอบอารมณ์ของนักปฏิบัติทุกคน ว่าเข้าถึงธรรมจริงหรือไม่ เพราะการเข้าถึงธรรมชาติที่แท้จริงย่อมหมายถึง ท่านจะเปิดมิติแห่งความเจริญโดยไม่กลับมาเสื่อมอีก โดยเฉพาะเว็บนี้เป็นเว็บของพุทธศาสนาที่รวบรวมนักปฏิบัติมากมายหลายสายเข้าไว้ด้วยกัน

ข้าพเจ้ามีความรู้น้อย จึงต้องการ "การปฏิบัติ" และเรียนรู้อีกมาก ข้าพเจ้าหวังว่าความรู้ทั้งหลายที่ท่านได้จากโพสต์นี้คงจะเป็นประโยชน์และสาระสำคัญบ้างไม่มากก็น้อย

กราบขอบคุณ พระ...เจ้า เถระทั้งหลาย...ในที่นี้ ที่เมตตามาตลอด 8 ปีเต็ม

ป.ล อย่าจับท่านไปลงหลุมดำอีกเลย แต่ท่านเป็นคนมาช่วยให้ข้าพเจ้าพ้นจากหลุมดำ นั่นคือนรก

 

ทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนสอดแทรกเรื่องราวของความเป็นจริง มันมีความเป็นคู่ ทั้งสวยงาม และโหดร้าย ความมืดความสว่าง มายาแห่งความคิดเห็นสร้างความเป็นคู่ขึ้นมา ทั้งความมืดและแสงสว่าง ดังนั้นเราจึงต้องเห็นให้ถูก คือเห็นแสงสว่างในความมืดให้ได้ เราไม่มีหน้าที่เอาชนะใคร นอกจากเอาชนะตัวเอง ความสวยงามมีอยู่เสมอ แม้แต่ในเหตุการณ์ที่ดูเหมือนโหดร้ายที่สุดสำหรับเรา ข้าพเจ้ามีเพลงเพราะมาฝากทุกๆท่าน

Beauty and the Beast

 

ทำผิดก็ต้องรับโทษไม่คิดแบบนั้นเหรอครับ?

ไม่ใช่ว่าต้องอยู่ไปตลอดหรอกครับ จนกว่าจะเป็น "สัมมาทิษฐิ" ได้ก็คงได้ขึ้นมาแหละครับ

เพราะหากไม่ใช่มิจฉาทิษฐิคงไม่สอนให้ผู้อื่นเดินผิดทางหรอกครับ

 

แล้วคุณสังเกตุไหม? ว่าแม้จะดู ทั้งสองจุด มันคือ ตน ใช่ไหม? เพราะตนนั่นแหละที่เข้าไปอยู่ในธรรมารมณ์นั้นๆ?


แล้วสังเกตุไหม? ทุกๆที่ที่มีธรรมารมณ์ที่จิตเข้าไปเสพจนเป็นตนมันเป็นทุกข์ ใช่ไหม ? (ธรรมารมณ์ = ความรู้สึกทั้งหมดไม่ว่าจะด้านดีและไม่ดี)


ถ้าลองทำแล้วคุณจะพบว่า หากไม่พ้นการเพ่ง/ดู หรือการนำอัตตาจิตไปใส่จนเป็นตน แสดงว่าไม่พ้นทุกข์ใช่ไหม?


แล้วการรู้แล้วว่า ตนไม่ใช่ตน ไม่ใช่ตัวเราตัวเขา ไม่ยึดถือตัวตน คืออย่างนี้ใช่ไหม? (สักกายทิษฐิ)


แล้วการเพ่งจนเกิดเป็นฌานคือการย้ายตนไปไว้ในสภาวะอื่นๆที่ปรากฏใช่ไหม? ลองทดลองทำดูครับ


สรุปแล้วการอ่านตำรามากไม่สามารถให้ผลได้เลย เพราะ ผู้ที่อ่านตำราจะทำตนให้คล้ายกับตำราที่ได้อ่าน แต่การปฏิบัติคือการทำให้มันเกิดเป็นผล ดังนั้นผู้ที่อ่านตำรามากมายจะเป็นวิบากย้อนหลังให้ไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้ เพราะสะกดจิตตัวเองจนมีกริยา(ผลที่แสดงออกมา)คล้ายคลีงกับที่ได้รู้ แต่ว่าไม่ได้ละในสิ่งที่ต้องปฏิบัติใช่ไหม ?


ดังนั้นหากผู้ใดที่ยกแต่ตำราก็ไม่ควรจะเสวนาด้วย เพราะจะทำให้หลงผิดไปโดยที่เขาก็ไม่รู้ เราก็ไม่รู้ สรุปเจ๊งกันทั้งคู่แบบไม่รู้นั่นแหละ แล้วก็จะจบด้วยไปลงนรกกันทั้งคู่เช่นกัน ดังนั้นก็อย่างที่ท่านรู้ หากตายไปแล้วไปบอกนายนิรบาลว่าผมไม่รู้ว่าทำผิด ก็ย่อมไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นผู้ใดทำผิดก็ย่อมได้รับผลของมันนั่นแล


ดังนั้นหากผู้ใดเดินทางผิดก็ควรชี้ให้เขาเห็น หากเขาไม่สนใจจะปล่อยไปก็ได้หากไม่กระทบในวงกว้าง แต่หากถึงขั้นพาคนอื่น "หลงผิดไปด้วย" ก็ต้องจัดหนักให้ เพราะมันจะทำให้ผู้อื่น "หลงทาง" ตามกันไปทั้งขบวนนั่นแล

 

เมื่อใดที่เธอไปสัมผัสกับ มิติ หรือความคิด ... การสัมผัสรู้ในมิติชั่วร้าย
สิ่งเหล่านั้นหรือ ... เชื้อจากมิติเหล่านั้นจะแทรกซึมมายังหน่วยของเธอ แล้ว
... โดยไม่รู้ตัวว่ามีอยู่

อาทิ ใครที่เคยสัมผัส สมมติเทพ เมตาตรอน จากการแนะนำของใครบ้างคน

ฉันตรวจสอบแล้ว มีจริง แต่ ไม่ใช่มิติของความเจริญ ว่าง่ายๆ คือ เป็นมิติของการหลอกลวงเพื่อเข้ามาแอบแฝงในเธอที่ไปสัมผัส ... เมื่อเปิดมิติ ไว้ มันก็มาจริง.....

ดังนั้น ไม่ว่าเธอหรือใคร จะทำอะไร ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แล้วเปิดตนเองเข้ากับมิติเหล่านั้น ... แบบว่า เรียกหามัน หรือไม่เจตนาเรียก(หรือเหยียดหยาม) .... มันมาหาเธอผู้นั้นเรียบร้อยแล้ว .... เพราะในธรรมชาติจะมีหน่วยสื่อสารกลาง ... ความเสื่อม หรือ ความเจริญ สื่อสารได้อย่างรวดเร็ว ... ใครที่ประมาทตน อวดตน...ก็ไม่มีเว้นที่ติดเชื่อ พวกของ เมตาตรอน ดอก

ใครที่เคยเปิดสัมผัส เทพ ที่ไม่ได้มาจากความดี .... พวกนี่จะเป็นอุปสรรคของเธอในการทำตนเองให้บริสุทธิ์ ...

 

แม้ว่าเธอจะศรัทธาในพุทธ พลังที่เธอสวด ก็จะสู้กับอนุภาคตัวตนที่มาจากยุคก่อนมียุคพุทธะ ไม่ได้

ตัวตนจากยุคอดีตมีขนาดที่ละเอียดกว่าอนุภาคของพุทธหรืออริยของยุคนี้

คังนั้นเมื่อ อนุภาค อนุภาพของพุทธะ จึงช่วยเธอไม่ได้หรอก.....เพราะ ???? เกิดในยุคก่อนมีพุทธะ

 

แล้วถ้าเป็นพวกหลงยุค หริอหลุดยุคมา แปลว่า ก็คงจะลำบากกว่าพวกยุคนี้สินะครับท่าน
แปลว่าคนยุค นี้ ช่วยไม่ได้ใช่ไหม ต้องย้อนยุคไปช่วยตัวเองหริอไม่ อย่างไร

 

การแก้ไข้จึงต้องย้อน ไปแก้ยุคก่อนๆด้วย เพื่อเอาความสกปรกออก..ที่มันถ่ายทอด หรือเชื้อสกปรกฝากไว้ด้วย...

คนในยุคนี้ก็สืบเชื้อจากยุคก่อน ...
มนุษย์มีการพัฒนาผ่านหลายยุค
ตางเงื่อนไข..เช่น ความคิดยุคนี้เป็นเหมื่อนนามธรรม แตยุคก่อนจะเป็นรูปธรรม

ถามว่า กายหยาบ กับความคิด อย่างไหนละเอียดกว่ากัน สวดพุทธะ มหาคำภีร์ ก็ช่วยไม่ได้

เพราะ คนดี ไม่ใช่จะหมายถึงเป็นคน
มีกำลังปกป้องจากคนไม่ดีที่มีกำลังเยอะ

ยกเว้นคนดีจะมี กำลังเพียงพอ หรือแบคอัพ

 

ใครที่สรรเสริญ ถึงสิ่งใด ...คือการเปิดสัญญาณตนเองเข้าหา สิ่งนั่น

ใครที่ดูถูก หมิ่นประมาท เหยียดหยาม ถึงสิ่งใด ... คือ การเปิดสัญญาณถึงสิ่งนั่น

ความแตกต่างยังมี....

สรรเสริญ คือรับสิ่งดี เหยียดหยาม จะรับเอาสิ่งไม่ดี

ความเหมือน ยังมี ....

จะถูกกำกับ จะถูกทับข้อมูล จะถูกแทรกแซง โดย สิ่งที่มีกำลัง
และจะหลงตัวเองว่า มีกำลังดี

หลงตน มีกำลัง

ทั้งคนที่สรรเสริญ และคนที่เหยียดหยาม

เพราะ มนุษย์(ไม่บริสุทธิ์) ในยุคก่อน ๆ จะมีกำลังดี สามารถเข้าแทรกแซง
ระบบความคิดของมนุษย์ยุคถัดไป ...

ใครที่ สรรเสริญ เมตาตรอน
ใครที่ เหยียดหยาม เมตาตรอน

พวกนี่โดนเข้าไปแล้ว คือ เปิดช่องทางเพื่อรับเชื้อ

ดี หรือ ไม่ดี ก็สุดแล้วแต่ ตามกำลัง สรรเสริญ หรือ เหยียดหยาม

แต่ โดยสรุป คือ เป็นทางที่กระทำตนที่ไม่เจริญต่อตนเอง
คือ ถูกกำกับพลังโดย เมตาตรอน ทั้งคู่

คือ หลงตนว่าตนมีกำลัง มีพลังจิต เพราะ เมตาตรอน
อยู่ในยุคก่อน พุทธะ หนึ่งยุค คือ ยุคที่มีผลต่อความคิดของมนุษย์ในยุคนี้
เมื่อเปิดช่องรับกระแส รับเชื้อจากเมตาตรอน คนเหล่านี้จะมีพลังเกื้อจากเมตาตรอน จะทำให้ คนเหล่านี้คิดว่าตนเองวิเศษ... เหมือนมีพลังจิต
แต่นั่นไม่ใช่พลังของตนเอง แต่หลงตนเองไปแล้ว และ จะดูเหมือนว่า ได้รับข้อมูลข่าวสาร ได้จาก... ... คิดว่าตนเองวิเศษ มีจิตที่แรง... มีสามารถสื่อสาร
รับสัญญาณจาก อีกมิติได้ ....

เสียใจด้วยน่ะครับ ... ทางสายกลาง มีให้เดิน แต่ไม่เดิน
ทางงดงาม มีให้เดิน แต่ไม่เดิน

พุทธะ ก็ช่วยไม่ได้ ก่อนตรัสรู้ มีสัญญาณมาร มาเยี่ยม
พุทธะ ก็ทำอะไรไม่ได้ มือชี้ ลงดิน ใครมาช่วย

ตำราเขียนบอกไว้ ว่า ผู้ที่มาเป็นอรหันต์
คนโง่ แต่งตำราใหม่ ให้ ผู้ที่มาเป็นแค่ อรหันต์ให้ดูต่ำกว่าพุทธะ ช่างเจริญดีแท้ ตำราเล่มนี้
จุดประสงค์ไม่ให้ คนรุ่นหลัง ผันไปนับถือ ดินและฟ้า

ดินและฟ้า มาจากไหน ใครหยั่งรู้

พุทธะ ไม่มีสิทธิ์ในการทำลาย ใคร ? มีเพียง ......คนรุ่นหลังจึงคิดว่า พุทธะ เป็นคนดีมีกำลัง ปราบมาร ได้ สร้างปางต่างๆ ... ปราบมาร และนับถือกันไปตามประสา ก ไก่

จขกท เอาไปสืบดู

จะสรรเสริญใคร คิดให้ดีก่อน
จะปรามาสใคร ตรองให้รอบก่อน

ทางสายกลาง จึงปลอดภัย

คนหลงตน ....ไปยุ่งปรามาส พระเจ้า ของคนอื่น ....
ความซวย จะเบิ้ลเอา เพราะ การปรามาส พระเจ้า ของคนอื่น (ดีหรือไม่ดี ฉันไม่รู้ ไม่ยุ่งด้วย)
แสดงว่า มันมีอะไรแฝงอยู่ก่อน จึงปรามาส ความซวยจึงเบิ้ล
แบบว่า หนีเสือปะจะระเข้

 

ฉันจึงถามเธอว่า เธอ

อยากได้ พลัง หรือ ต้องการชำระตนให้บริสุทธิ์

อยากได้พลัง ก็ไปยุ่งกับ เมตาตรอน สรรเสริญมันเยอะๆ

พลังของมันจะแทรกเข้ามาเอง

เหมือนกัน เธอจะเหวี่ยงกลับ เอาความเกลียดชัง
เอาความเหยียดยาม ความปรามาส .... เมตาตรอน เธอ
เองก็จะได้พลังจากมันเหมือนกัน ทำเยอะๆ พลังจะเกิดกับเธอด้วย
เช่นกัน ทำไป .....

แต่จะซวยหรือไม่ เรื่องของเธอ

 

เธอเคยเห็นแม่มด ไหม ....

รับแต่พลังความเกลียดชัง ... แล้วมีพลังไหม

....สมัยก่อนที่ฉัน ยังเป็น phudit999 ... ฉันก็เห็น แม่มด หน้าตาดีคน
หนึ่งในเว็บนี้ล่ะ ...ไม่รู้ฝึกอย่างไร? จึงผันตนเองไปเป็นแม่มด

มีแต่ความเกลียดชัง .... หลงตนเก่งมีพลัง

ฉันแค่ยกตัวอย่าง คนที่ฝึกผิดวิธี ... ผลจะเป็นอย่างไร และมีจริงด้วย

ใช้ความเกลียดชังฝึก ... ใช้ความปรามาสดูถูก หมิ่นผู้อื่น ( พยายามเปิดมิติ สื่อสิ่งชั่วร้ายให้กว้างขึ้น)

สุดท้ายผลคือ .....

ควบคุมตนเองไม่ได้ ก็กลายเป็นจริง ... ทั้งพ่อมด แม่มด
แต่งกายก็จะเหมือนไปด้วย

ต่อไปจะเป็นอย่างไร .... ...ฉันก็ไม่อยากไปคิด เรื่องของ ก ไก่

 

แหมท่าน คิดไปก็เท่านั้นละจะบูชา เกลียด หรือเฉย ก็เท่ากัน ก็บอกไปแล้วมันตายไปแล้ว โดนท่านที่มีธรรมจักรนำไปปรับทัศนคติอยู่คิดว่าท่านจะบกพร่อง จนให้มันหลุดออกมาได้หรือ?

 

แล้วที่สำคัญพวกท่านก็หลงผิดอีกนั่นแหละ เปิดมิติแห่งความเชื่อ แห่งความโกรธ ความ.. หลงผิดก็หมด พระพุทธเจ้าสอนให้ตั้งสติมั่นรู้ธรรมเฉพาะหน้า แสดงว่าที่คุยกันมาทั้งหมดน่ะไม่ได้หลงในมิติแห่งเชื่อ โกรธ หรืออะไรหรอก แต่หลงในมิติแห่ง "มโน"(ความคิด) ใช่ไหม?

หากอยากจะหยุดก็ไปฝึกสร้างสติให้มั่น ก็จบแล้วครับ เพราะคนเจอจริงก็มีคนมโนก็มีแต่ตัวจริงโดนหิ้วไปแล้วจะเจอได้ยังไง?

 

หากไม่เชื่อก็ลองสังเกตุดู ณ ปัจจุบัน การแพร่ธรรมสอดไส้อธรรม ของพวกมัน ปัจจุบันกลับไม่มีใครโพสท์แล้ว ไม่มีใครนำมาแปลเพิ่ม ไม่มีการสื่อมาใหม่อีกแล้ว

เพราะเผ่ามันโดนจับไปปรับทัศนคติและแถมกักบริเวณกันหมดแล้ว

ดังนั้นตอนนี้การจะเจอพวกนี้จึงทำได้แค่ "ความคิด" เท่านั้นครับ

 

พูดเสียยาว...ก็กำลังกล่าวถึงความคิด

มิติที่มีความละเอียดรูปธรรมเท่าความคิด

มิติของมนุษย์ครั้งอดีต

ฉันบอกแล้ว ไม่ใช่หรือ ... หรือว่าเป็นคนโง่

อย่าไปยุ่งกับพระเจ้า ของใคร ...

ที่ไม่สามารถพิสูจน์ความจริง...

ไม่ว่าจะสรรเสริญ หรือ เหยียดหยาม .... คนๆ นั้นจะมีเชื้อของมันไปแล้ว

เหยียดหยาม พวกที่เชื่อเมตาตรอน

ก็จะมีเชื้อของเมตาตรอนไปด้วย ... เข้าไปอยู่ในส่วนของความคิดไปแล้ว

อยากลองของ...ฉันจะให้พิสูจน์

เธอก็ เปิดสัมผัสรู้ตรงสันจมูก ดูก็แล้วกัน หายใจไปเรื่อยๆ.... หากเปิดสัมผัสแล้วมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นเอง และอธิษฐานด้วย...หากข้าพเจ้ามีเชื้อของเมตาตรอน ขอให้แสดงอาการให้ปรากฎด้วยเถิด .... (ไม่แน่จริงก็ไม่ต้องทำ )

เธอ จขกท ก็สามารถสอบถาม .... ความเจริญ... ได้ว่า คนที่เหยียดหยาม
เมตาตรอน หรือ พวกของเมตาตรอน ...ก่อนนี้ (ชื่อซาตาน) มีเชื้อของเมตาตรอนอยู่จริงหรือไม่ .... เป็นแบบทดสอบ ความจริง ลองทำดู

เพราะฉันไม่เคยสอนให้เธอ มโน หรือ แค่คิดอย่างเดียว .... ให้พิสูจน์เอาเอง

 

เธอ จขกท ... เคยกล่าวว่า นรก ...

ฉันถาม นรกมีจริงไหม? สอบหาความจริงดู

เพราะมีคนที่เที่ยวไปกล่าวหาคนอื่นชอบ มโน ...

แล้วไม่สามารถพิสูจน์ นรก มีจริงหรือไม่ ...

ดีแต่ปากคาบคำภีร์ไปวันๆ ว่ามีนรก อย่างนั้น อย่างนี่

เธอก็ชอบอ้าง นรก ...

แต่ที่ฉันเห็น คือ มีแต่ความทุกข์ทรมาน (ไม่เกี่ยวสถานที่ หรือ สภาพที่เกิดขึ้นทุกโลกที่ไปอาศัย)

แต่นั้นไม่เกี่ยวกับนรก ที่ทั่วไปเข้าใจกัน ...