นิพพานคืออะไรคะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย antแอน, 17 มกราคม 2017.

  1. เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา

    เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +1,936
    ในฐาแนะ เอ้ย!ฐานะคนกิเลสหนาคนนึง ขอตอบว่า
    นิพพานมาจากคำว่า นิ+วานะ, นิ=นำออก_วานะ=ร้อยรัด รวมแล้วแปลเอง
     
  2. antแอน

    antแอน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2017
    โพสต์:
    28
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2
    ไม่ดีเพราะว่าอยากทราบว่านิพพานคืออะไรเลยถาม

    ถามได้รึป่าว ไม่รู้ คิดว่าเว็บนี้สามารถถามได้เลยถาม
     
  3. ฟำี่ิอกาี

    ฟำี่ิอกาี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2017
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +20
    จะนิพพานก็ต้องถาม
    ถ้าจะไปนิพพาน ก็จะต้องไปได้ในชาตินี้ให้ได้ก่อน สิ่งที่ไปคือใจ เมื่อตายเเล้วจิตที่สุขเเบบนิพพานก็จะนำเราเข้าสู่สภาวะนั้นเอง !!ใจที่นิพพานคือ!! มีความสบาย วางเฉยจาก ธรรมชาติของโลก เช่นมีคนด่าเรา หรือ เสียงที่รำคาญ หรือทุกสิ่งที่ทำให้ใจของเราน้อมตามไปปรุงเเต่งเพิ่ม เช่นปรุง พอใจ ไม่พอใจ เห็นว่าดี ไม่ดี หรือไปสนใจ เพราะสิ่งนี้คือ เชือกร้อยรัดเราให้เวียนเกิดตายต่อไป พูดมันง่ายแต่ทำยากหน่อยเพราะ บารมีทางปัญญา กำลังสมาธิ อาจจะไม่พอ บารมีแปลว่าสั่งสม อย่าง ท่านพาหิยะ ฟังพระพุธทเจ้า ตรัสว่า อย่าสนใจในรูป เพียงเเค่นี้ท่านนิพพาน อย่างเราๆฟังสัก 1000 ครั้งก็คงสักเเต่ว่าได้ยิน ดังนั้น
    ต้อง สะสม กำลังสมาธิ สมาธิแปลว่า ตามจดจ่อ + เน้นใช้ปัญญา พิจาราณาวิปัสณา หรือความเป็นไปตามเหตุเเห่งธรรมชาติ
    ส่วนตัวสัมผัสได้ว่าหลักสำคัญ คือ ความพอใจ นำไปสู่ความพยายาม สั่งสมกำลังสมาธิ เเละ ปัญญา ทำบ่อยๆ ฟังบ่อยๆ ดูบ่อยๆ เปรียบได้กับ การปลูกต้นไม้ ให้ปุ๋ย รดน้ำ ตรวจดูโรค(ความชั่วในจิต) สะสมไปเรื่อยๆ มันก็เติบโตเเข็งเเรงเเล้วก็ให้ร่มเงา ^_^ ทำๆไปครับใช้ปัญญาไม่เอาตัวเราไปเทียบกับคนอื่น เพราะทุกคนนั้นก็กำลังหาทางพ้นทุกข์ด้วยกันเเต่ส่วนมากไม่เข้าใจหรือคลาดเคลื่อนไปเพราะ บารมียังไม่ถึงก็อย่าไปว่ากัน เราเองก็คงเป็นแบบนั้นมาหรือเลวกว่านั้นก็เป็นมาเเล้ว ยอมศึกษาความรู้ใหม่ๆพิจาราณาบ่อยๆ น้อยจิตน้อมใจเหมือนดัดต้นไม้ ดัดไปเรื่อยๆ เช่นฟังเสียงพระ ดูรูปพระ เเละอื่นๆ เดียวรู้เรื่อง!!!!

    ประสบการณ์ส่วนตัวนะ คือ พอใจ หาความรู้ พิจาราณา ปฏิบัติ เเละทำวนไปเรื่อยๆ
    ทีเเรกๆมีครบ กิเลส ทุกอย่างยากหมด เข้าไม่ถึง พอตั่งใจทำสักพักเริ่มเข้าถึง อะไรมันก็ไหลๆเข้ามา ความเข้าใจ อารมณ์จิตที่ทรงตัวไม่กระทบจากกิเลส เเข็งเเรงมากขึ้น เข้าถึงเรื่อยๆ ใครพูดสิ่งที่เราไม่พอใจก็ชิวๆ เฉยๆบ้าง ถือว่าปกติทำสิ่งใดมันต้องมีคนชอบไม่ชอบปกติ นิสัยคนมันก็มีหลากหลายปกติ เรานั้นไม่ใช้ผู้วิเศษโดนด่าได้ ถ้าเราเลวจริงก็แก้ไข ถ้าเราไม่เกี่ยวก็สบายใจ มีคนด่าดีเเล้วจะได้รู้ว่า เรายังขี้โม้โหเปล่า ขอบคุณๆๆๆ 5555 อาหารที่กินก็ถือว่ากินเพื่ออยู่กินที่ร่างกายต้องการไม่ได้กินตามชอบ มีเงิน ก็ใช้ เดินสายกลาง สังคมก็เข้าได้ เอาไว้ฝึกจิต ตรวจจิต การตัดกาม กามคือ อยาก ตัวอยาก เช่น อยากมีผัว เมีย มีของสวย รสอร่อย มันตัดยากครับผม ไม่ต้องรีบทำเรื่อยๆเดียวจะเครียดไป จะค่อยตัดกิเลสได้ชัวล์ เมื่อตัดได้เเล้วมันไม่เครียดหรอกครับ เพราะ ความสุขกับความทุกข์ คือตัวเดียวกัน เมื่อละ กามลง ก็ลดความทุกข์ลงไป จิตทรงตัวมากขึ้น มันก็อยู่สบายๆของมันเอง ไปเรื่อยๆ ครับ จบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2017
  4. ฟำี่ิอกาี

    ฟำี่ิอกาี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2017
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +20
    อยากจะบอกว่า การยินยอมให้คนเอาเปรียย ผมว่ามันไม่ค่อยเปะสักเท่าไร คือเราต้องเน้นปัญญา นิพพานไม่ได้ไปด้วยบุญ หรือ เมตตา ไปเพราะจิต วางเฉย คุณไม่ต้องไปหลีกทางให้ความไม่ถูกต้องก็ได้ หรือจะทำตามนั้นก็ได้ เพราะมันไม่ใช้หลักในการไปนิพพาน มันเป็นฐานในการปฎิบัติไป สู่ความ สงบของจิต ถ้าจิตคุณมีกำลัง ควบคุมได้สงบได้ คุณจะทำยังไงก็ได้ ผมยกตัวอย่าง พระพุธทเจ้าก็ไม่ยอมให้ พระเทวทัศขึ้นมาปกครองสงฆ์ เพราะเห็นไม่ควร
    คือต้องคุมใจได้ ทางโลกก็ทำไปตามสมควร ส่วนจิตก็วางเฉย เช่นอีกตัวอย่าง คุณจะฆ่าปลวก หรือคุณจะ รักษาเนื้อไม้ มันต่างกัน แบบเเรก บาป เเบบที่ 2 ไม่มีเจตนาเป็นตัวฆ่า ก็เหมือนคุณเดินทุกๆวัน ก็เหยียบมดตายทุกวันใช้ป่ะ อยู่ที่ใจครับป๋ม ^_^

    !!!อย่าเชื่อผม ใช้ปัญญาพิจาราณา เอาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2017
  5. ฟำี่ิอกาี

    ฟำี่ิอกาี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2017
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +20
    อย่าไปเศร้าเลยครับ คนมันมีหลาย อันไหนดีเอาไปใช้ไม่ดีก็ ทิ้งไป วางไป เสียเวลา ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ใช้ปัญญาครับ ถ้าคุณเศร้าจะมีอะไรมาหยุดคุณได้เพราะ คนมันก็เป็นแแบบนี้เเหละตลอดสมัยมีหลากหลาย มิต้องไปเศร้าตลอดเลยหรอครับ ^_^ ใช้ปัญญาต่อไปครับ

    เมื่อเรามีอารมณ์ไปข้องเกี่ยว ตั่งสติไว้ว่ามันคือเชือกรัดจิตคุณมาผูกกับทางโลกเสียเเล้ว มันเอาเรื่องคุณเเล้วโยนทิ้งไปสะครับ ให้จิตเราเบาสูง ว่างสบายเฉย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2017
  6. ฟำี่ิอกาี

    ฟำี่ิอกาี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2017
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +20
    หลายคนมักพูดว่าไม่ยึดติด คำพูดนี้อาจจะไม่สามรถอธิบายความหมายได้ทั้งหมด เช่น ชอบใช้ชุดสีขาวไม่ยึดกับสีสันของชีวิต นั้นเเหละ ยึดสีขาว เนี่ยเเหละครับ .......ฟังเเล้วอย่าเพิ่งเชื่อ พิจาราณาดีๆก่อนใช้ปัญญานำครับ
     
  7. มังคละมุนี

    มังคละมุนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +608
    .นิพพานคือ การพ้นวัฏฏะสงสาร พ้นการเวียนว่ายตายเกิดหรือไม่คะ
    ตอบว่า ใช่

    และขยายความว่า จิตเดิมแท้มีอวิชชา มีฤทธิ์มาก มีความหลงในความรู้ของตน มีความสามารถในการปั้น ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ก่อร่างสร้างตัว เป็นนามรูป ในอัตตะภาพต่างๆอย่างมากมาย เกิดเป็น เทวดา มาร พรหม มนุษย์ เดรัจฉาน อสุรกาย เปรต ผี ปีศาจ สารพัดชนิด มาหลายภพชาติ นานหลายกัป-หลายกัลป์-หลายอสงไขย เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร ระคนไปด้วยสุขและทุกข์
    แต่ก็ไม่เคยที่จะหนีจากความทุกข์ได้เลย
    และตลอดห้วงเวลาอันยาวนานนี้ จึงเพิ่งจะมารู้ว่าตนเอง นั้นรู้ผิดมาตลอด(เรียกว่าอวิชชา)
    หลังจากนั้นจึงเริ่มหาทางออก ผิดบ้างถูกบ้าง แล้ววันหนึ่งจิตอวิชชาโง่ๆนี้ก็ได้พบ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    จึงได้เรียนวิชชาจาก องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย้อนเข้ามาสำรวจตนเอง
    จนพบว่า ภายใต้อวิชชาที่ควบคุมจิตอยู่
    มีตัวการสำคัญเรียกว่า “ตัณหา” (สมุทัย) แอบซ่อนเป็นแกนกลางแห่งความหลงผิด ของดวงจิตนี้
    จึงเรียนรู้วิธีทำลายตัณหา(มรรค)
    แล้ว กำจัดตัณหาทิ้งเสีย(นิโรธ) จิตเดิมก็ดับลง เหลือแต่ขันธ์5ที่ไม่มีจิตแล้ว(สอุปาทิเสสนิพาน)
    แล้วต่อมาเมื่อขันธ์5 สลายลง(อนุปาทิเสสนิพพาน) ซึ่งเป็นตามกฎพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    ขันธ์5หมดเชื้อที่จะเกิด จึงหายไปจากวัฏฏะสงสารและจักรวาลตลอดไป ดับเย็นสนิทไม่มีเหลือ เรียกว่า นิพพาน

    .และ หากอยากเข้าใกล้นิพพานมาที่สุดในช่วงชีวิตมนุษย์ จะปฏิบัติตนอย่างไร
    ตอบว่า ต้องเข้าหาที่พึ่งอันประเสริฐ

    ที่เรียกว่า พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือ ไตรสรณคมน์
    แล้วมีความพยามศึกษาให้รู้จักอย่างถ่องแท้ ในสรณคมน์ทั้ง๓ จึงจะมีโอกาสถึงพระนิพพาน
    ซึ่งหลังจากเข้าสู่การเรียนรู้ที่ถูกต้อง ก็ใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดก็ ๑แสนกัป และ
    อย่างช้าที่สุดก็ใช้เวลา ๘๐อสงไขย จึงจะเข้าถึงพระนิพพาน

    .การไม่ทุกข์ร้อน ไม่ยินดียินร้าย การยินยอมให้คนเอาเปรียบ การอดทน การไม่สู้เขา
    ไม่ตอบแทนเขาด้วยกรรมชั่ว นี่คือการเข้าถึงนิพพานหรือไม่คะ
    ตอบว่า ไม่ใช่ ซะทีเดียว

    อธิบายเพิ่มเติมว่า การเข้าถึงพระนิพพาน องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
    ต้องอาศัย สัมมาทิฐิ เป็นธรรมนำหน้า
    พระพุทธองค์เคยตรัสพุทธภาษิตเอาไว้ว่า “สัมมาทิฐิเป็นรุ่งอรุณของพระนิพพาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2024
  8. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    นิพพานคือการถอดจิตตัวเองไปเก็บไว้บนดวงจันทร์ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกอีกแล้ว เหมือนในหนังพระมหาศาสดาโลก วันที่ท่านตรัสรู้แจ้งแล้วจะเห็นท่านกำลังเดินไปดวงจันทร์ เป็นภาพคำใบ้อันหนึ่งของผู้สร้างหนัง ความจริงตัวท่านยังอยู่แต่รอโอกาสดูว่ายุคไหนดีสุด เพื่อดูว่าโลกจะพ้นเคราะห์ได้รึไม่ ไม่อยากให้ใครรบกวน แค่ทำตัวปลีกวิเวกได้นี่ก็เฉียดนิพพานแล้ว ไม่งั้นจะมีพวกถอดจิตไปเจอพระพุทธเจ้ามาเล่าเป็นวรรคเป็นเวรทำไม ไม่ก็ ไม่งั้นก็ขัดกับหลักกฎแห่งกรรมอีกแหละ ใช้หนี้หมดในชาติเดียว เก่งโคตร หมู เห็ด เป็ด ไก่ คงดีใจพิลึก

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2017
  9. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    อย่าเอาละครซีรี่ย์มาวินิจฉัยครับ

    แม้จะสร้างอิงบนพื้นฐานคัมภีร์ไม่ว่า มหายานหรือหินยานอยู่บ้าง ก็แค่base on เท่านั้น แต่อย่าลืมเค้าทำมาตอบสนองธุรกิจด้วย และตลาดที่เค้าจะเผยแพร่ตลาดแรก คือ บ้านของผู้กำกับ คือ อินเดีย

    เอามุมมองผมบ้าง ภาพช่วงที่คุณโพสต์แสดง เป็นภาพที่ตอบสนองคนดูอินเดียที่นับถือพระพุทธเจ้าในฐานะตรีมูรติเท่านั้น จะเห็นว่า มีภาพคนแสดงถูกทำให้เดินขึ้นไปพบกับตัวเองอีกสองคนข้างบน หลักตรีมูรติสามคือหนึ่ง จึงทำเป็นเดินมารวมกัน(แต่คนทำเค้าฉลาด ถ้าแปลแบบพุทธก็ได้คือ พระปัญญาธิคุณ พระกรุณาธิคุณ พระวิสุทธิคุณ)

    สังเกตดูครับ ถ้าอ่านพุทธประวัติไม่ว่ามหายานหรือหินยาน ตรงที่เจ้าชายสิทธัตถะเป่าขลุ่ย ไม่เคยมี แต่ในละครซีรี่ย์มีฉากเป่าขลุ่ย ซึ่งพระกฤษณะก็เป่าขลุ่ย ตรงนี้ทำเอาใจคนฮินดูที่ถือว่า พระพุทธเจ้าจัดเป็นนารายณ์อวตารภาคหนึ่ง(แต่คนทำฉลาด อ้างได้ว่าทำเพื่อให้พระพุทธเจ้า เป็นคนธรรมดาที่จับต้องได้ มีชีวิตเหมือนคนอินเดียที่ควรจะเป็น เพราะภาพพระกฤษณะถูกทำเป็นละครหลายเรื่อง เป็นตัวแทนเจ้าชายอินเดียโบราณที่หัวสมัยใหม่ ซึ่งความเป็นผู้มีความคิดเห็นสมัยใหม่ของเจ้าชายสิทธัตถะและพระพุทธเจ้าถูกทำให้สื่อเห็นตลอด (ซึ่งก็จริง) มันผสมผสานกันเพื่อไม่ให้คนอินเดียเค้าขัดใจ หรือฝืนประเพณีความเชื่อจนจะดูไม่ได้ ทั้งนี้ เพื่อให้ชื่นชมพระองค์ในฐานบุคคลที่ทรงคุณค่าของอินเดียและโลกจริงๆ (การสร้างความรู้สึกเพื่อให้เห็นจึงเป็นงานของผู้กำกับที่จะสร้างการยอมรับ )

    แต่นี่ก็ความเห็นของผมเท่านั่น

    สรุป คือ จะแย้งว่า ฉากที่ท่านยกมามันไม่ได้เป็นการถ่ายทอดอย่างนั่นว่า นั่นคือ นิพพาน เป็นเพียงบุคคลาธิฐานเปรียบเปรยให้ชาวอินเดียและคนพุทธ เข้าใจได้ว่า เจ้าชายสิทธัตถะเข้าถึงความจริงสูงสุดทางด้านจิตวิญญาณเกี่ยวกับตนและโลก ประดุจที่คนอินเดียเชื่อว่า ผู้ที่เห็นตรีมูรติ คือเห็นแจ้งตามภควัทคีตา เป็นผู้ที่เข้าใกล้หรือถึงสัจธรรมความจริง ส่วนชาวพุทธ นั่น พระคุณทั้งสามของพระพุทธองค์ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่ามีได้เฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั่น (ภควา แปลอย่างหนึ่งได้ว่า ผู้จำแนกธรรม และผู้ไม่กลับมาในสามภพนี้อีก จึงแสดงรูปการแบ่งภาคเป็นสามภาค อยู่เหนือสวรรค์คือพ้นจากภพทั้งสาม คือแสดงภาพให้เห็นว่าทางจิตวิญญาณพ้นจากโลก สามทางคือสามภพ)

    ที่เห็นพระพุทธองค์ท่านยังโปรดสรรพสัตว์ในโลก เพราะคุณของพระองค์ทั้งสามนั้นแหละ แต่ท่านนั้นพ้นไปแล้ว แต่ที่อยู่โปรดเพราะคุณทั้งสาม (เหมือนคนที่บรรลุพระอรหันต์ ถ้าไม่บวช (เพื่อโปรดสรรพสัตว์นั้นแหละ) ร่างกายหรืออัตภาพจะอยู่ไม่ได้นาน(มีกล่าวว่าไม่เกิน 7 วันบ้าง หรือวันเดียวนั้นเลยบ้าง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2017
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    คุณ ณฉัตร กล่าวมี เหตุผลครับ

    ผมจะเพิ่มเติม ในส่วนของ ผู้ถึงความเป็นพระอรหันต์..
    พระอรหันต์ หมายถึง บุคคลผู้ชำระกิเลสตัณหาอวิชขา ทางนามธรรมคือ ทางขันธ์ ได้...แต่....ทำไมต้องบวชเป็นพระ ก็เพื่อให้รูปธรรม มัน เข้ากัน เหมือนกัน สมดุลย์กัน เป็นอันเดียวกัน กับทาง นามธรรม....แปลว่า เมื่อนามธรรมเป็นพระอรหันต์ รูปธรรมต้อง เป็นพระอรหันต์ด้วย ถึงจะรองรับ ในกันและกันได้..เมื่อบวชเป็นพระ จึงถือว่า เข้าไปเป็น สาวก เป็นลูกของพระพุทธเจ้า...มีพระพุทธะเจ้าท่าน ดูแล..ไม่ไช่อยู่ตัวคนเดียว ในโลก..อันนี้คือ เพื่อป้องกัน การตัดช่องน้อย แต่พอตัว...

    แต่ ถ้า จะ ออกจากธรรม...ก็ ต้องใช้ปัญญาอันยิ่ง อีกเหมือนกัน...เพราะต่อจากความเป็นพระอรหันต์...ยังมี ความเป็นพระพุทธะ..ที่ เป็นที่สุด
     
  11. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    การบรรลุธรรม...การเข้าถึงพระไตรลักษณ์...อนิจัง ทุกขัง อนัตตา

    สรุปท้ายสุดคือ ถึงความเป็นอนัตตา...ของจิตหรือขันธ์ หรือ อวิชชา...มันคือ..ขั้นตอนในการ เข้าถึง การชำระ เป็นขั้นๆ ไป...กาย เวทนา ใจ...(โลกธรรม เป็นอนัตตา) ...อนาคามี
    เมื่อ เข้าถึงขั้นที่จิต (โลกุตรธรรม)เป็นอนัตตา...อรหันต์
    มันเปรียบประหนึ่งว่า ..คนคนนั้น วิญญาณของเขาได้ตายไปแล้ว เปรียบเหมือน ตายทั้งเป็น...ตายทั้งรูปธรรม ตายทั้งนามธรรม
    มันจึงเป็น..นิพพาน ที่ ....รูปธรรมและนามธรรม อนัตตา..ไป
    ตายแน่ๆ ภายใน ไม่กี่วัน....(จะอาศัย ปัญญา เรื่องอะไร มายื้อเอาไว้ได้..ถ้ามาถึงจุดนี้)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2017
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ดังนั้น ผมจึง ต้อง เล่า พูดถึงอยู่ตลอดเวลา ในเรื่องของ ขั้นตอน ของการฝึกสติปัฏฐานสี่...เรื่อง...กาย เวทนา ใจ(ความคิด)...จิต..และ ธรรม(ปัญญาหรือญาณ...ตามขั้นตอน

    ขั้นตอนของอะไร...ของจาก หยาบ ไปหาละเอียด ทุกขั้นตอน ทุกกรรมฐาน ทุกการปฏิบัติ ทุกสมาธิ ทุกฌาณ ทุกญาณ...มันต้องเป็นไปตามขั้นตอน เท่านั้น จะก้าวกระโดด...มันย่อม....ผิดออกจากธรรม...ผิดออกจากธรรมชาติ ผิดออกจากความจริง...หรือ พูดได้อีกแบบว่า มันไม่สมบูรณ์ มันไม่รู้แจ้ง มันเข้าใจไม่หมด เมื่อเข้าใจได้ไม่หมด แปลว่า รู้ผิดยังมีอยู่ เมื่อรู้ผิดยังมีอยู่ แปลว่า ยังมีอวิชชา ...เมื่อรู้มากแค่ไหน แต่ยังมีอวิชชา แปลว่า...ยังเป็นผู้ไม่รู้ อยู่นั่นเอง
     
  13. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ปัจฉิมเทศนา...เรื่องสุดท้าย ที่พระพุทธเจ้าท่าน..ทรงได้แสดงเอาไว้...เป็นพยานหลักฐาน....หาไช่ คำพูด ใดใด ไม่....

    ก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน...พระองค์ได้ทรงแสดง...การเดินฌาณและญาณ...ทั้งไปและกลับ...ให้เหล่าสาวก ได้ดู ได้เห็น...เป็นคำสอน...ครั้งสุดท้าย...ที่สอนด้วยการแสดงธรรม ที่แท้จริง..


    (กรุณา ถามตนเองในใจ ว่า....พระองค์ มีการข้ามขั้นตอน...ใดใด หรือไม่)
     
  14. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    พระองค์เสด็จดับขันธ์ลง....ที่ญาณอะไร....ทำไมถึงต้อง..แสดงเช่นนั้น แก่สาวก
     
  15. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ก่อนจะถามคำว่า นิพพาน ก็ต้องรู้จักคำว่า ทุกข์
    คำว่า ทุกข์ นั้นคือ สภาวะที่เราไปรับรู้แล้ว ทนไม่ค่อยได้ ต้องหาทางหลีก สภาวะนั้น
    แต่ สภาวะทุกข์นี้ เกาะเต็มหัวใจสัตว์โลกทุกรูปนาม จนเราหลีกไม่ถูก ยึดติดเหนียวแน่น เหมือนคนกระโดดลงไปในทะเลที่มีแต่น้ำลึกและภยันตรายใต้น้ำ และคลื่นลม แม้ว่ายจนเหนื่อยแค่ไหนก็ขึ้นไม่ถูก ขึ้นไม่ได้ ไม่รู้ว่าฝั่งอยู่ตรงไหนทางไหน ต้องทนว่าย ทนเหนื่อย อยู่ในทะเลนั้นเรื่อยไป จะพอได้สุขบ้าง เย็นบ้างเมื่อกระแสน้ำเย็นหรือขอนไม้พัดมาบ้างเป็นระยะพอให้เกาะคลายเหนื่อย

    เมื่อทราบสภาวะทุกข์แล้ว ก็มาถึงนิพพาน นิพพานคือ การพ้นจากสภาวะทุกข์ทั้งปวงที่เรายึดอยู่
    ซึ่ง การจะไปสู่สภาวะนิพพานหรือขึ้นฝั่งได้ ซึ่งการจะขึ้นฝั่งได้นั้นจะต้องผ่านการพ้นทุกข์เป็นระยะๆ เรียกว่า นิโรธ อุปมาเหมือนคนในทะเลค่อยๆเห็นฝั่ง จะหวั่นไหวน้อยลง กระแสคลื่นลมก็ลดลง จนในที่สุดก็ขึ้นฝั่งจนได้ พ้นจากภยันตราย ทั้งปวง
     
  16. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    นอกจากทุกข์แล้ว สุขก็ต้องรู้จักด้วยครับ เพราะจิตจะไม่เกาะอารมณ์ทั้งสองส่วนสุด นั่นคือนิพพาน ตามปริยัติครับ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...