เรื่องเด่น ครั้งแรกที่พ่อรู้ว่า " ผีมีจริง "

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย วงกรตน้ำ, 3 มกราคม 2017.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    ของ อ.กิตติไม่ต้องนัดนะ ท่านอยู่ตลอด
    แต่หาเบอร์แล้วโทรไปถามดูก่อนก็ได้
    เพื่อว่าท่านมีธุระอื่นๆภายนอกอยู่
    ในเวลา ราชการนี่หละ
    แต่ไม่แน่ใจว่าจะหยุดวันพระหรือเปล่า

    แต่ถ้าอยู่ ใน กทม มีอีกท่านหนึ่ง
    ชือ อ.มงคล 0929031941
    รักษาก่อนเที่ยง
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    ก่อนจะว่าด้วยการรักษาว่าใช้ควบคู่กับ
    การแพทย์แผนปัจจุบันได้หรือเปล่าหรือแม้แต่
    การรักษาแบบแผนโบราณ
    ส่วนพวกแผนอนาคตที่ชื่อสถานที่รักษา
    มักออกแนวภาษา E นั้นเอาไว้สำหรับ
    บุคคลที่ตัวหนักทั้งหลายที่ยังชอบอยู่
    ไม่ขอกล่าวถึง
    (ไม่รู้นะเห็นออกมาแล้วพูดว่าตัวเบากันทุกคน)

    ต้องบอกก่อนนะว่า
    การรักษาในที่นี้ก็คือ การรักษาอวัยวะของ
    ร่างกาย ณ ปัจจุบันต่างๆที่บกพร่อง
    ไม่ว่าจะจากการขาดหรือการเกิ๊นของ
    ธาตุต่างๆที่มารวมเป็นชิ้นส่วนอวัยวะนั้นๆ

    เรามีความเชื่อพื้นฐานว่า ร่างกายประกอบด้วย
    ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นหลัก มีวิญญานธาตุ
    และก็อากาศธาตุจากภายนอก มีพลังงาน
    ร้อนที่ได้จากดวงอาทิตย์ และพลังงานเย็น
    ที่ได้จากดวงจันทร์ ส่วนจะเรียกร้อนกับเย็น
    ว่าหยิน หยาง ชิ เชอะ ฯลฯอะไรก็สุดแล้วแต่
    และก็มีลักษณะพลังงานภายนอกต่างเฉพาะ
    เช่น ธาตุทอง ภูตอากาศ(พวกอะไรก็ตาม
    ที่เรียกได้จากอากาศ) ซึ่งธาตุต่างๆเหล่านี้
    ไม่ว่าจะธาตุจากภายในและภายนอก
    มีเป็นปกติมานานควบคู่กับดาวโลกแห่งนี้....

    และถ้าแผนปัจจุบัน จะมองไปในส่วนของ
    เชื้อต่างๆที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคนั้นๆส่วนหนึ่ง
    จึงเป็นที่มาของการค้นคว้าทดลองในห้องแล๊บ
    การลองผิดลองถูก จนออกมาเป็นยารักษาโรค
    ในรูปแบบเชิงพานิชย์ทั้งหลาย แต่สิ่งที่เรามักจะพบ
    เห็นได้ก็คือ เรื่องของผลกระทบข้างเคียงต่างๆกับอวัยวะอื่นๆ
    และการที่ต้องใช้ตัวยาต่างๆเหล่านั้น
    ไปนานแสนนาน โรคบางอย่างต้องทานตลอดชีวิต
    (นึกถึงอารมย์คนที่ต้องทานตลอดชีวิตดู)
    ไม่ว่าจะจากเหตุอะไรก็ตาม
    และที่สำคัญก็คือ มีองค์ประกอบเกี่ยวกับ
    การรักษาที่ค่อนข้างแพง...
    แต่ในกรณีที่ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทาง
    ที่ทันสมัยในการวินิจฉัยโรค เพื่อประโยชน์
    สูงสุดในการรักษาอย่างนี้ ก็เป็นข้อดีเช่นกัน

    ทีนี้ทางการแพทย์แผนโบราณ สรรพคุณต่างๆ
    ที่ได้จากตัวยาต่างๆนั้น ส่วนผสมต่างๆนั้น
    ที่ได้รับสืบทอดกันมา เป็นภูมิปัญญาที่ส่วนหนึ่ง
    น่าจะมาจากการลองผิดลองถูก และประสบการณ์
    อีกส่วนที่เรามักจะได้ยินก็คือ ยาผีบอก..
    แต่ที่บอกจริงๆคงไม่ใช่ผี เพราะถ้าผีบอกแล้ว
    คนที่กินยา ณ เวลานั้นน่าจะไปเป็นผีในเวลาอันรวดเร็ว
    แต่คงเป็นคำพูดที่ฟังแล้วเข้าใจได้ง่ายๆ
    และก็ได้มาจาก เครื่องรู้เฉพาะดวงจิตต่างๆ
    หรือแม้แต่กลเม็ดเคล็ดลับในการใช้งาน
    ก็รวมเอาไว้ในนี้ด้วย. ยกตัวอย่าง
    ใบฟ้าทะลายโจร รักษาอาการหอบหืบ
    โรคเกี่ยวกับระบบลมหายใจ ประเภทที่ไอค๊อกๆ
    แค๊กๆ คุ๊กๆ เนี่ยหายได้อย่างประหลาด
    วิธีใช้คือ กลั้นลมหายใจเด็ดใบฟ้าทะลายโจร
    มาสามใบแล้วก็เคียวกลืนลงไป..เห้ย!! ฟังดูแปลกแฮะ
    แต่ให้มาลองพิจารณาดูอย่างนี้....
    ๑.การที่เรากลั้นหายใจ เป็นอุบายอย่างหนึ่ง
    ในการทำสมาธิแบบสั้นๆ และขณะกลั้นหายใจ
    ลิ้นกับปากเราคงไม่ขยับ คงไม่มีใครขยับปาก
    ไปด้วยในขณะที่กลั้นหายใจแน่ๆ
    เพราะเราไม่ใช่พี่ปอบ(ปลาทอง)
    ๒.เอ๊า! การที่ลิ้นกับปากไม่ขยับตรงนี้
    ทางปฏิบัติมันคือการที่ดึงให้จิตมีความเป็นทิพย์
    หรือเข้าสู่สภาวะอุปจารสมาธินี่หว๋า
    แล้วที่กลั้นหายใจก็คือ เป็นการสร้างให้เกิด
    กำลังสมาธิสะสมเพื่อมาหนุนสภาวะที่จิต
    มีความเป็นทิพย์ชั่วคราวนี่เอง คล้ายๆกับว่า
    สั่งจิตให้ทำงาน บวกกับสรรพคุณที่ได้จากทางใบยา
    เลยทำให้ อาการไอๆทั้งหลาย โรคหอบหืด หายไปได้นี่เอง..
    นี่ยกตัวอย่างแค่ ๑ ในหมื่นเฉยๆ(ไม่รู้ว่าเท่าไรวิธี
    แต่พูดให้ดูเยอะๆไว้ก่อน)
    ที่พูดก็เพื่อที่จะให้เห็นว่า ยาแผนปัจจุบันของเรานี้
    มันเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตด้วยนะ
    แสดงว่า การได้มานอกจากจะมาจาก
    ประสบการณ์ การลองผิดลองถูกแล้ว
    มันจะต้องมาจากเครื่องรู้ที่เกิดจากจิตร่วมด้วย
    ไม่ใช่มาจากทดลองในห้องแล๊บ
    แล้วเอาสัตว์มาทดลอง
    หรือให้ผู้ป่วยเป็นกลุ่มตัวอย่างแล้วทำการทดลอง
    ซึ่งทำป่านว่า คนเป็นเพียงเครื่องมือ
    ชนิดหนึ่งที่ใช้ในการทดลองนั้นๆ..
    ว่าแต่เรื่องจิตเนี่ย
    แม้แผนปัจจุบันก็เกี่ยว เคยเห็นไหม
    คนบางคน ยาชนิดเดียวกันแท้ๆ
    ทานที่บ้านไม่หาย แต่พอไปหาหมอ
    ทานที่หมอจัดให้ กลับหายได้.ประมาณนั้นหละ...

    สุดท้ายการใช้วิธีพิเศษ เพื่อรักษา
    ส่วนมากจะเป็นกรณีที่แผนปัจจุบันวินิจฉัยได้
    ไม่เด็ดขาด หรือหมดทางในการรักษา
    ก็คือการใช้ผลของสมาธิในการรักษา
    ระดับโปรซีรีย์ในการรักษา
    จะบอกว่า '' ข้ารู้จักวิธีทำให้ร่างกายพื้นฟูตัวเองได้''
    ตรงนี้จำมาจากในหนัง เรื่อง ดร.สเตนท์ ๕๕๕๕
    คนพิเศษบางท่านที่เกิดมามีพลังเหนือธรรมชาติ
    อย่างผู้นำทางศาสนาบางท่าน(ที่เชื่อว่าเกิดในคอกแพะ
    หรืออะไรนี่หละ) ก็เดินๆไปหา สั่งให้คนที่เป็นโรค
    หายได้อย่างที่ตัวเองคิดซะงั้น กรณีนี้ขอยกไว้เพราะว่าโลกนี้
    คงมีไม่กี่คนหรอกที่ทำได้..แต่ว่ามีพระสงฆ์บางท่าน
    ในบ้านเรานะ ที่ทำอย่างนี้ได้ หาเองเองแล้วกัน...

    แต่บ้านเรายังมีอีกกลุ่มหนึ่ง ขอใช้คำว่า
    กลุ่มความหวังใหม่ (พูดป่านหนังที่มีเจได คักเนาะ..)
    ที่ใช้พลังในการรักษา ไหนๆพูดแล้วโม้ซะหน่อยวะ
    เจได กับ ซิสหรือธิสนี่หละ ต่างโหยหาในพลังเช่นกัน
    แต่เจไดไม่เห็นแก่ตัว เจไดใช้พลังเพื่อคนอื่นๆ
    และยอมรับกฏแห่งความเป็นจริงคือทุกคนต้องตาย
    ต่างกับซิส ที่ใช้พลังเพื่อตนเอง เพื่อยกตนเอง
    มีปรจารย์ทางด้านนี้ สามารถชุบได้แม้แต่ชีวิตคนอื่นๆ
    แต่ไม่สามารถชุบชีวิตตัวเองได้(สงสัยลืมสอนคนอยู่
    ใกล้ๆหรือคนอยู่ใกล้คงไม่อยากให้ฟื้น)
    การมีเจตนาในการชุบชีวิตผู้อื่น
    ที่ตายไปแล้วนั้น แสดงว่าเป็นการฝืนกฏธรรมชาติ
    นั้นเอง เพราะฉนั้นเลือกเอาเองว่าจะเป็นแบบไหน...

    ประเด็นหลักในการ รักษา ก็คือ การใช้พลังงาน
    ไม่ว่าจากภายนอก หรือภายใน ไม่ว่าจะได้มาจาก
    วิธีการใดๆ หรือแม้กระทั้งพลังงานที่ได้จากการอฐิษฐานจิต
    ของตามแบบของสายวิชาพิเศษที่สอนให้คนไปดูนรก ไปดูสวรรค์
    แล้วให้กลับมาวิปัสสนาตัดร่างกาย แต่ส่วนมาก
    กลับมายึดติดในสิ่งที่เห็น ที่รับรู้ซะงั้น
    เอามายกตัวยกตนเอง พูดแล้วเพลียลำไส้..
    ทั้งๆที่ประเด็นหลักของท่านที่สอน
    คือ เรื่องวิปัสสนา...ก็ยังเอามาพูดอยู่นั้นหละ
    ว่าตัวเองเป็นโน้นเป็นนี่ เท่ห์ๆทั้งนั้น
    พูดอีกว่าตัวเองเห็นโน้นนี่นั่นกันมา

    หลักในการรักษานั้น ก็คือ นำเอาพลังงาน
    เหล่านั้นเข้าไปทดแทน ชดเชย เสริม ลด เอาออก
    เติมแล้วแต่กรณีๆไปยังอวัยวะชิ้นส่วนนั้นๆนั่นเอง
    เสริม เพิ่ม ลด ชดเชย ทดแทน นั้นเป็นในส่วน
    ของระดับธาตุต่างๆ ไม่ว่าจะ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ
    อะไรก็ว่ากันไปตามอาการ
    ถามว่า หายไหมหละ เอ๊า! เอ๊า ไอ้นี่ถามแบบกวนตรีนแระ
    ก็อวัยวะมันประกอบด้วยธาตุ ๔ แล้วใช้พลังงาน
    ไปปรับในระดับธาตุที่ประกอบเป็นอวัยวะนั้นๆ
    มันจะไม่หายได้อย่างไรหละ หือ...เด่วปัด
    แต่หายในระดับ ที่เป็นลักษณะอวัยวะปัจจุบันนะ..
    เช่น ไปรักษาตอนอายุ ๕๐ ไม่ใช่หมายความว่า
    หายแล้ว อวัยวะจะกลับเหมือนตอนอายุ ๒๐ นะ

    เอ๊าพี่ ผมก็แค่ถามดีๆ พี่ก็อย่าตอบกวนมาก...
    ผมแค่อยากจะรู้ว่า มันหายแล้ว
    มันหายขาดไหมหละครับพี่ หายแล้วจะมีโอกาส
    เป็นที่อวัยวะอื่นๆอีกไหมหละครับ อืมมมม เริ่มคิดได้
    ว่ามันก็ถามถูกของมันวะ..ที่ไม่คิดขอโทษหรอก
    ที่ด่าๆไปแล้วก็แล้วไป ๕๕๕

    ก็ตอบได้เลยว่ามีโอกาสกลับมาเป็นอีก
    ขึ้นอยู่กับพฤติกรรม
    ในการดำรงชีวิต เช่น รักษาตับอ่อนไปแล้ว
    แต่กลับไปเป็นจอมยุทธ์นารีแดง(ชื่อแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่ง
    แฟนหนังจีนจะรู้ดี) มันก็มีโอกาสกลับมาเป็นได้อีก..

    ที่โม้ๆพูดๆไป ก็จะสื่อว่า แม้หายได้ ก็อย่าไปมีวิถี
    ในการดำรงชีวิตอะไร ที่เป็นเหตุกลับให้เป็นโรคนั้นๆ
    เช่น เคยเป็นโรคสไนเปอร์ ก็ทานเนื้อให้มันน้อยๆซะ
    เพราะเชื่อสไนเปอร์ มันอาศัย โปรตีนเป็นอาหาร เข้าใจเนาะ

    และถ้าสังเกตุการใช้พลังในการรักษา
    จะพบได้ว่ามันเป็นการรักษาเฉพาะจุด
    แม้ว่า ผู้รักษาจะทำการปรับระบบร่างกายให้ใหม่หมด
    มาเหมือนปัจจุบัน แต่เราก็ต้องระมัดระวัง
    ในการดำรงชีวิตอะไรก็ตามที่จะเป็นเหตุให้
    กลับทำให้อวัยวะนั้นๆกลับไปพร่องได้เหมือนเดิมอีก...


    ส่วนการรักษาด้านพลังงาน ถ้าจะให้ดีแล้ว
    ควรควบคู่กับการใช้สมุนไพร
    ส่วนการรักษาด้านพลังงาน ควบคู่กับแผนปัจจุบัน
    ให้ตรวจสอบอาการเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้าย
    ไปถึงจุดที่ไม่จำเป็นต้องใช้ยาตัวนั้นอีก..

    แต่การรักษาที่ดีกว่า คือการใช้สมุนไพรแบบการ
    เข้าเตาอบ(คล้ายๆตู้ที่อบสมุนไพร) อ้อๆกระโจมๆ..
    แล้วดมตัวยาจากหม้อต้ม บวกกับใช้สมาธิ
    แบบหายเข้าออกลึกถึงท้อง หรือ หายใจแบบอาปาฯ
    วิธีการนี้จะรักษาได้ในระดับเซลได้เลย(ท่านที่
    รักษาให้คนอื่นๆว่ามาอย่างนี้ และก็หายหลายคน
    แล้วนะ ชนิดที่หามมาส่งที่ๆรักษาเลย
    ประเภทที่หมอบอกว่า เตรียมงานศพไว้ได้เลย
    แต่หมอจริงๆคงไม่พูดอย่างนี้หรอกนะ ๕๕๕)


    ว่าจะเขียนต่ออีกซักหน่อย ซักง่วงแระ หมดแฮงแระ
    เด่วต้องเดินทางอีก...
    เอาไว้จะมาเล่าวิธีการใช้
    สมาธิเพื่อรักษาโรคด้วยตัวเองดีกว่า
    ท่านอุตสาห์สอนมา เหมือนเคยเขียนไว้แล้ว
    แต่ลืมแล้วว่า เขียนไว้กระทู้ไหน
    เพราะโม้เยอะจำไม่ค่อยได้ ๕๕๕

    ไม่แน่อาจจะเป็นกระทู้แรก
    ที่เกี่ยวกับสมาธิก็ได้ในเวบพลังจิตแห่งนี้ก็ได้
    เผื่อว่าจะได้ ค่าพลังเพิ่มเป็นครึ่งแสน
    เหมือนคนที่ชอบเอาธรรมะมาเผยแพร่บางคน
    แล้วชอบล๊อกกระทู้ไม่ให้ใครไปตอบ(เหน๊บแนม)
    ที่ก่อนปิดปรับปรุงเวบมีพลังอยู่หมื่นปลาย
    พอเปิดเวบใหม่ภายในเวลาไม่กี่วัน
    เพิ่มมาเป็นครึ่งแสน(ป้าดดด งึดดด หลายยยย วะ)
    ค่อยว่ากันอีกทีว่าจะตั้งไว้ในห้องไหนดี...
    หรือแค่จะเป็นแค่เรื่องเพียงลมผ่านหู..
    ก็ค่อยว่าอีกทีแล้วกันเนาะ...(^_^)
    เรื่อยๆ ตามสไตล์ ฮาบ้าง เหน๊บบ้าง
    ดุบ้าง ใจดีบ้าง โม้บ้าง แสดงก้ามบ้าง
    มีประโยชน์บ้าง ไร้สาระบ้าง
    เพื่อความบันเทิงในการรับชม
    บอกไว้ก่อนนะ ปกติใจดี
    แต่อย่ามาเปรี้ยวกับข้าพเจ้า
    ก่อนนะครับ ๕๕๕
    เขียนผิดบ้างถูกบ้างขออภัย
    ภาษาไทยไม่เก่ง ทุกวันนี้ก็ยังไม่เก่ง ๕๕
    ปล. ประมาณนี้หละ...พอขำๆ






     
  3. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    เป็นโพสที่ดีค่ะ สนับสนุนให้ตั่งกระทู้เฉพาะขึ้นมา (สงสัยต้องลงห้องจิตวิทยา )

    ปล.บางท่านอ่านแล้วอาจไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร มีด้วยเหรอการรักษาด้วยจิต อันนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์แต่ละคน เปิดความรู้ใหม่กันนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2017
  4. Belmondo

    Belmondo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +480
    คุณพ่อดิฉันไม่มีใครที่ท่านนับถือเลยค่ะ แต่ดิฉันนี่แหละค่ะที่จะบังคับคุณพ่อ จะพยายามเอาท่านไปให้ได้ คงต้องขับรถพาท่านไปเอง ไม่อย่างนั้นท่านไม่มีทางไปแน่ อีกอย่างดิฉันก็อยากให้ อ.กิตติดูอาการหมอนรองกระดูกเสื่อมที่คอของดิฉันด้วยค่ะ ต้องขอขอบคุณคุณนพด้วยที่แนะนำ อ.กิตติ (ตามหามานานแล้วค่ะ)
     
  5. Snooty

    Snooty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +670
    ไม่ทราบคุณภูผาปักษาอยู่ กทม รึป่าวคะ หรือว่าอยู่จังหวัดอะไร เพราะอ.กิตติก็มีเข้ามารักษาใน กทม และจังหวัดอื่นๆบ้าง ถ้าสนใจจะได้ส่งไปบอกตอน อ. มาน่ะค่ะ

    ส่วนตัวเคยมีประสบการณ์ที่ไปรักษากับ อ. มาด้วย นั่นคืออ.จะให้เรานั่งเหยียดขาก็จะเห็นเลยว่าขาและแขนสองข้างของดิชั้นยาวไม่เท่ากัน ใช้เวลารักษาไม่เกินสองวิค่ะ เร็วมาก ดูอีกที อ้าว เท่ากันซ่ะแร่ะ ทิ้งไว้แต่ความงุนงง ส่วนตัวนี่ความต่างกันไม่มาก แต่ของบางคนนี่ต่างกันชัดเจนเห็นๆ พอ อ.รักษาเสร็จกลับมายาวเท่ากันเฉยเลย

    ป.ล. เพียงแต่โม้ให้ฟัง (ก๊อปของอาจารย์พี่นบมา แต่กลัวลิขสิทธิ์เลยต้องเปลี่ยน คริคริ :p:p)

    ป.ล.๒ ถ้าคุณ Belmondo และคุณภูผาสนใจ เด่วจะส่งรายละเอียดการติดต่อ อ.กิตติให้ทางหลังไมค์นะคะ
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    ท่านจิตอาสาครูบาอาจารย์ทุกท่านที่จะไปร่วมกิจกรรมแห่งความรัก และเมตตาธรรม "เติมรักลับคืนใจให้ผู้ไร้ที่พึ่ง"กับบ้านปันยาใจ ที่สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ตรงข้ามวัดชลประทาน ซอย ติวานนท์ ปากเกร็ด 1 ขับตรงเข้าไปสุดซอยค่ะ และกราบเรีบนเชิญ ท่านอาจารย์กิตติ จิตอาสา ขอเชิญทานอาหาร (มังสวิรัติ) ร่วมกัน จากคุณแม่อรนุช (แม่ยุ้ย)อาหารจากรายการครัวคุณต๋อย และเมี่ยงคำแสนอร่อยของชมรม
    (พี่แอ๋ว จิตอาสา) ที่ทำมาค่ะ ตอนเที่ยงของวันเสาร์ ที่ 14 มค นี้ค่ะ พร้อมกันก่อนเริ่มกิจกรรมในตอนบ่ายโมงค่ะ
    สอบถามเส้นทางและรายละเอียด ได้ที่ ยุ้ย บ้านปันยาใจ โทร 098-549- 8651, 087-370-7112 Line ID yuiruangkaw



    ก๊อบมาครับ จากเฟส
    ใครอยู่ กทม อยู่ใกล้ กทม ลองดูครับ...(^_^)
     
  7. ภูผาปักษา

    ภูผาปักษา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2016
    โพสต์:
    46
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +107
    ขอบพระคุณขอรับ ที่เหลือคือจะเกลี่ยกล่อมให้ไปยังไงเท่านั้นขอรับ ^_^
     
  8. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ออกอุบายชวนเล่นโยคะสิครับ(แต่อยู่กันคนละที่นี่น่าจะยากหน่อย)
    ตามด้วยออกอุบายฝึกกำหนดลมระหว่างโยคะ
    ตามด้วยชวนคุยพิจารณาความไม่เที่ยงของกาย(รูป)อารมณ์ ความคิดและจิตใจ(นาม)
    ความตายที่จะมาถึงในเวลาอันใกล้นี้
    แบบว่าหลังจากเล่นโยคะแล้วอาสนะสุดท้ายก็มานั่งขัดสมาธิสองชั้นหลับตากำหนดลม
    อะไรทำนองนี้
    คนเราต่อให้ดื้อแค่ไหนก็ตาม
    ยังไงก็มีสิ่งที่ต้องใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจกันทุกคน
    เพียงแต่เรายังจี้ไม่ถูกจุดครับ
    การแก้ทิฐิคนเป็นสิ่งที่ยากที่สุดครับ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้
    ส่วนการรักษาก็เอาตามสะดวกเลยครับ
    ชวนออกไปข้างนอกบ้านก็ดีครับ
    บอกท่านว่าเปลี่ยนบรรยากาศบ้างอะไรบ้าง
    หากิจกรรมอะไรทำข้างนอกดีกว่าจำเจอยู่แต่ในบ้าน
    เปลี่ยนรูปแบบของความสุขที่มีอะไรทำนองนี้
    หลอกคนแก่ออกจากบ้านไปไหนมาไหนนี่ยากนะครับ
    เพราะร่างกายไม่อำนวย อันนี้สำคัญ ต่อให้อยากออกเองก็เถอะ
     
  9. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    จากประสบการณ์ส่วนตัว ดิฉันขอเล่าเรื่องที่บ้านเพื่อเป็นเคสตัวอย่าง และเป็นการเขียนแสดงความภูมิใจเล็กๆที่เกิดขึ้นในใจดิฉันนะคะ

    เมื่อก่อนบุพการีก็คล้ายๆจะไม่สนใจในเรื่องของพระพุทธศาสนาเช่นกันค่ะ เรียกได้ว่าติดไปในทางลบเสียมากกว่า ดิฉันก็ไม่ใช่คนดีอะไร เพียงแต่ความคิดอ่านจะคนละแนวกับท่าน ต่อสู้กับท่านมาก็หลายปี ตะบะแตก น้ำตาไหลเป็นปี๊ปๆก็มี เอาว่าตั่งแต่ยังเรียนไม่จบ จนถึงปัจจุบัน ก็ต้องพยายามกันต่อไป อาจเพราะเมื่อวัยเยาว์ ดิฉันไม่ค่อยได้อาศัยอยู่กับท่าน แต่ไปอยู่กับป้าแทน พอโตมาทำงานได้ มีความรู้อ่านประกอบกับเริ่มศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนจึงเริ่มกล้าแสดงความคิดอ่านของตนหวังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุพการี
    แรกๆบอกเลยค่ะว่าท่านต่อต้าน ไม่สนใจ แถมยังหาว่าดิฉันนั้นเป็นพวกบ้า บ้าวัด บ้าพระ บ้าคำสอน ท่านไม่ได้สนใจสิ่งที่ดิฉันพยายามสื่อ ดิฉันอยากให้ครอบครัวเดินไปในทางที่ดีขึ้น แต่เปล่าเลย เหมือนตักน้ำใส่โอ่งที่รั่ว จนดิฉันรู้สึกชินชา และยอมรับในสิ่งที่ดิฉันคิด ว่าไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แต่ดิฉันก็ยังทำต่อไป...ทำโดยไม่คิดอะไร ทำโดยไม่หวังผลอะไร จนถึงตอนนี้...
    แต่ตอนนี้ดิฉันรู้แล้วละค่ะว่า สิ่งที่ดิฉันพยายามทำ พยายามพูด และแสดงให้ท่านเห็น แท้จริงแล้ว มันเป็นดั่งตะไคร้น้ำที่นับวันจะเติบโตและช่วยอุดรอยรั่วได้บ้างแม้มันจะใช้เวลานานมากๆก็ตาม

    วันนี้คุณแม่ได้เล่าให้ฟังว่า วันก่อนได้สวดมนต์แผ่เมตตา แล้วปรากฎว่า ขณะแผ่ขนหัวลุกชันวิ่งไปมา ซึ่งคุณแม่ไม่เคยเป็นมาก่อน คุณแม่นึกถึงคำที่ดิฉันเคยเล่ากรอกหู ว่านั่น คืออาการตอบรับ ว่าดวงจิตที่คุณแม่อุทิศให้เขาได้รับ รับรู้แล้ว คุณแม่ดูดีใจมาก ดิฉันฟังก็อดรู้สึกดีใจไปกับคุณแม่ด้วยไม่ได้ ในใจรับรู้แล้วว่า เราบอกเขาไม่เชื่อ เขาทำแล้วตรงกับที่เราบอก เขาถึงเชื่อ!! เราไม่ได้โกหก กำลังใจเขาเกิด ถึงจะเล็กน้อยก็ถือว่าดีค่ะ
    ช่วงหลังๆมานี้นิสัยคุณแม่เริ่มเปลี่ยน ตอนนี้ คุณแม่เริ่มระลึกถึงบาปบุญคุณโทษบ้างแล้ว อะไรที่ไม่ดีๆก็เริ่มรู้จักคิด รู้จักระงับ ถึงจะยังไม่ดีร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็ดีขึ้น ถึงจะใช้เวลาหลายปี แต่เป็นหลายปีที่อย่างน้อยไม่เสียเปล่า
    ดิฉันจึงอยากบอกว่า ทำไปเถอะค่ะ ท่านยังไม่เห็นก็ทำไปเถอะค่ะ ทำจนกว่าท่านจะเห็น ทำเป็นตัวอย่างให้ท่านเห็น เมื่อท่านเห็นบ่อยๆ ท่านจะทำค่ะ เมื่อท่านทำแล้วประจักษ์ด้วยตัวท่าน ต่อให้เราไม่บอกไม่พูด ท่านก็จะไขว่คว้าและทำเองค่ะ

    ปล. เป็นกำลังใจให้ค่ะ
     
  10. Belmondo

    Belmondo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +480
    ขอบคุณ คุณวงกรตน้ำด้วยค่ะเที่เป็นกำลังใจให้ ทุกวันนี้ดิฉันก็จะคอยบอกบุญให้คุณพ่อเสมอเมื่อมีโอกาศ เวลาเอาซองทำบุญให้คุณพ่อ ท่านก็ทำส่ง ๆ ไปอย่างนั้นแหละค่ะ ดิฉันรู้ดี เพราะไม่อยากขัดใจคุณลูกสาว แต่ดิฉันก็เฉยค่ะ ทำบุญอะไรก็จะไปบอกคุณพ่อให้ทำด้วยเสมอ แล้วจะคอยเล่าเรื่องปาฎิหาริย์หรือสิ่งที่พวกเรามองไม่เห็นให้ท่านฟังถ้ามีโอกาศ ดิฉันก็ทำได้แค่นี้แหละค่ะ ตอนนี้ปลงแล้ว ถือว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว ถ้าท่านยังไม่เชื่อก็เรื่องของท่านค่ะ เพราะบุญ กรรมของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน
     
  11. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    เธอเป็นใคร??? มาจากไหน ???

    ค่ำคืนหลังเสร็จภาระกิจพิเศษ ได้มีโอกาสพูดคุยกับมารดาถึงบ้านหลังแรกที่มารดาถือกำเนิดมา

    "หนูเข้าใจว่า ว่านตะกร้อที่ปลูกตรงศาลพระภูมิ ก๋งเป็นคนปลูก "
    " ไม่ใช่หรอก ก๋งไม่ได้ปลูก ว่านนั่นใครเอามาปลูกทีหลัง ปลูกหลังก๋งตายไปแล้ว " เป็นคำถามสั้นๆ ก่อนแม่จะร่ายยาวให้ฟัง

    "แต่จะว่าไปตอนอยู่บ้านยาย แม่เคยถูกผีอำบ่อยๆ ไม่รู้เป็นใครมาจากไหน โดนกันทุกคน "

    บ้านไม้แบบไทยหลังเก่าที่ปลูกลงไปในคลองน้ำเค็ม พื้นปูด้วยไม้ตะเคียนทองแผ่นใหญ่เรียบเสมอกัน หน้าบ้านหันรับทิศตะวันตก เยื้องไปนิดจะมีต้นมะขามใหญ่อายุเข้า80ปี รึมากกว่า ยืนตะหง่าคุ้มแดดฝนอยู่ลำพัง แต่มันก็เป็นจุดศูนย์กลางของคนในตระกูล "×××××"
    ด้านทิศตะวันออกมีประตูเปิดรับแสงยามเช้า ถัดออกไปเป็นบ้านของลุงที่ปลูกขึ้นอีกหลังกลางคลอง มีที่ว่างผูกเรือแจวนั่งได้ 2-8 คน สายลมพัดผ่าน น้ำคลองพริ้วไหว อากาศเย็นระรื่น ทำให้หลายคนในบ้านชอบมานอนเล่นกันที่หน้าประตูนี้ แต่จุดนี้นี่แหละค่ะที่แม่เล่าว่าใครมานอน ต้องโดนอำกันทุกคน
    " ลมมันเย็น เลยชอบมานอน ... แต่พอเคลิ้มๆจะหลับ มาแระ ทับอก อึดอัดขยับตัวไม่ได้แทบทุกครั้ง "
    " ใครมาอำอะ ??"
    ดิฉันถามด้วยความใคร่รู้ แม่ว่า เป็นผีผู้หญิงตัวดำๆเตี้ยๆ หน้าตาไม่เห็นเพราะตัวดำปี๋ พอเคลิ้มๆก็มานั่งทับหน้าอกบ้าง ยื่นมือจากนอกประตูเข้ามาบีบคอบ้าง หัวเราะเสียงแหลม ทุกคนในบ้านเจอกันหมด ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน เพราะเจอตลอด จุดเดียวภายในบ้านที่จะโดน
    แต่ดิฉันไม่คิดว่าเป็นจุดเดียวภายในบ้านที่เจ้าหล่อนจะแสดงฤทธิ์ได้หรอกค่ะ เพราะเท่าที่จำได้ สมัยยังเรียนอยู่ ป5-ป6 .มีอยู่คืนหนึ่งที่ดิฉันนอนในห้องกับน้องที่ยังเด็กอยู่ ตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงน้ำมาก ลมแรง หลับๆอยู่ก็รู้สึกเหมือนถูกผีอำ ดิฉันดิ้นรนอยู่นาน พอสวดมนต์ก็หลุดลุกมานั่งหอบได้ เหงื่องี้แตกพลัก พอนอนต่อยังไม่ทันหลับดี ก็โดนอีก เป็นแบบนี้สามครั้ง ในครั้งที่สามนี้ชัดเจนค่ะ ว่าลักษณะตรงตามที่แม่เล่าแปะๆ
    คือครั้งที่สามนี้หลุดมาได้ ลืมตาขึ้นมายังเห็นเงาดำทับอกอยู่เลย เสียงนางหัวเราะก็ยังก้องอยู่ในหู ก่อนทั้งภาพทั้งเสียงจะค่อยสลายไป คืนนั้นโดนสามครั้งติด ถึงบางอ้อก็คือ ก่อนออกจากบ้าน แม่ดันลืมปิดหน้าต่างห้องที่เปิดแย้มไว้ ส่วนอีกครั้งที่คิดว่าเจ้าหล่อนสำแดงเดช ก็คือช่วงหัวค่ำวันหนึ่ง เข้าใจว่าจะหน้าหนาวเหมือนกันค่ะเพราะมืดเร็วกว่าปกติ ดิฉันกลับจากปั่นจักรยานไปเล่นบ้านเพื่อน พอมาถึงบ้าน ก็มีอันต้องใจสั่น นึกกลัวผีขึ้นมาทันที คุณลองนึกภาพนะคะ ต้นมะขามใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านอยู่หน้าบ้าน บ้านไม้ที่ไม่มีใครอยู่เลย ไฟสว่างแบบเก่าๆ (ตอนเด็กๆจะเป็นอะไรที่กลัวมาก ที่จะต้องเดินไปหลังบ้านตามลำพัง ) ขี่จักรยานมาจนถึงชานบ้าน มองเข้าไปในบ้าน ใจ กล้าๆกลัวๆ จะเข้าไปดูหลังบ้านดีรึเปล่า สายตาลงต่ำเห็นใต้ถึนบ้านมีแต่ความดำมืด ยังไม่ทันไร ใจหายตกไปอยู่ตาตุ่มเลยค่ะ อะไรจะจังหวะขนาดนั้น มีเสียงหัวเราะดังสวนขึ้นมาจากใต้ถุนบ้าน ดิฉันทิ้งจักรยานกระโดดขึ้นบ้านทันที แต่ไม่ได้ออกอาการกรีดร้องแบบตกใจนะคะ แค่เหงื่อแตก ขาสั่น แต่พยายามสวมวิญญาณกล้า เดินไปเรียกหาแม่ด้านหลังบ้าน ขาจะก้าวก็ก้าวไม่ค่อยออก ใช้เสียงเรียกเอาดังเป็นเพื่อนค่ะ เดินไปถึงกลางบ้านก็หยุด เพราะไม่มีเสียงขานตอบ จะออกไปหน้าบ้าน ก็กลัวผีใต้ถุน หันรี่หันขวางแป๊ปนึง ก็เห็นเงาดำเดินดุ่มๆตรงมาจากทางหน้าบ้าน พอเข้าระยะแสง โล่งอกค่ะ ลุงเดินมานั่นเอง ใจชื้นขึ้นมาเลยค่ะ
    ถามลุงหาแม่ พอลุงบอกดิฉันรีบจับจักรยานปั่นออกไปเลย กลับอีกทีสี่ทุ่มกว่าพร้อมแม่ค่ะ จริงๆแม่ไล่กลับก่อน แต่ดิฉันไม่ยอม แต่ไม่ได้บอกใครค่ะว่ากลัว นี่แระค่ะ ผีหญิงบ้านยาย ปัจจุบันก็ไม่รู้ว่าเธอยังอยู่รึเปล่า เพราะพวกเราย้ายออกมานานมากแล้ว อีกทั้งหนึ่งในสามของคลองก็ถูกถมกลายเป็นที่จอดรถเสียแล้วค่ะ นึกๆดูก็น่าสงสารเธอเหมือนกันค่ะ ขยันอำ ขยันหลอก แต่ที่บ้านไม่เคยทำบุญให้เธอเลย ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2017

แชร์หน้านี้

Loading...