ตอบไปแล้ว ฮับ กรุณาย้อนกลับไปอ่าน เอาเอง ทีนี้ คนเขาตอบสั้นๆ พอ เพราะ อีกฝ่าย ยังไม่เคย ไม่จำเป็นต้อง บรรยาย ให้รู้เรื่อง
และ ถ้าจะมา ขั้ยขยอ ให้อธิบาย กามเสพกาม ให้รู้เรื่อง ก็ต้องบอกก่อนว่า การรู้เรื่อง จะหมาย เอา "ธรรมเป็นใหญ่" แปลว่า อธิบายไปแล้ว คุณจะต้อง ปฏิบัติธรรมได้ อย่างน้อยก็ ปฐมฌาณ และได้ นางแก้ว โดยธาตุ โดยปัจจัยการ ไม่ใช่เรื่อง สัตว์ ตัวตน บุคคล เราเขา นะฮับ
จำเป็นครับ เรื่องต้องถามพุทธหนึ่ง สะภาวะจิตผมตอนนี้ อยากทราบให้ละเอียด เคยได้ยินแต่อาจารย์เกษม บรรยาย ยังไม่เข้าใจ ถ้าผมเข้าใจโดยไม่ต้องลองของจริง ผมจะ ไม่หาเมียแหละ ชาตินี้ จะได้มุ่งทำลาย "มีจุดมีต๋อมตรงไหนนะแหละ ตัวก่อภพ"
เขียนตอบไปก่องแว้ว ฮับ ทีนี้ น้องๆ หนูๆ คนอื่น อ่านดีๆ อ่านให้เป็น ธรรมหนึ่ง โน้มไปโลกุตรลูกเดียว นะฮับ จะเป็น สุญญตา หมด ไม่ใช่ ธรรมคู่ แต่ ยากมาก ที่จะเห็นว่า ไม่ใช่ธรรมคู่ เว้นแต่จะ คุ้นเคย ปฐมฌาณ ก็จะ รับทราบได้ว่า พระพุทธองค์ ทรงแสดง ธรรมฝ่ายโลกุตระ ส่วนเดียว ไม่ว่า พระสูตรไหน กถาไหน
ส่วนเจ้าของกระทู้ เจ้าของกระทู้ มาเรียกว่า ศาสดาใหม่ หรือ พระสี อะไรก็แล้วแต่ อันนี้ ให้ย้อนกลับไปพิจารณา สัจจ ธรรมเอาเอง หาก คุณยังดำริว่า ในโลกธาตุนี้ มี ศาสดา อื่น นั่นแปลว่า คุณไม่เข้าใจว่า " คำสอนใดที่เป็นไปเพื่อลด ละ กิเลส " คำสอนเหล่านั้นเป็น คำของ ตถาคต แต่ผู้เดียว ไม่ใช่ คำของคนอื่น ศาสดาอื่น ไม่มี !!! ดังนั้น เวลาฟังคำใด แล้ว คำนั้นเป็นคำที่เป็นไปเพื่อลด ละ กิเลส หน้าที่ของคุณ จะต้อง ตั้งจิตให้ตรง ว่า กำลังฟัง สัทธรรม ผ่านสื่อ หรือ พาหะ เท่านั้น ทีนี้ จะเป็น คำตถาคต จริงหรือไม่ คุณก็ ปฏิบัติ พิสูจน์ เอาเอง ถึงจะรู้ คาดเดาเอาไม่ได้ นะฮับ
ด้วยความเคารพ การบรรยายอธิบาย นั้น อ่านเเล้วปวดหัวมากครับ คือ คุณพูดเองคิดเองเข้าใจเอง เพราะคุณ พูดเป็น คำๆ ย่อๆ เอาเอง ไม่เป็นประโยค ในหลายๆส่วน และศัพย์คนอ่าน งงเเน่นอน เช่น ธรรมหนึ่ง เล่นเอาผมเห็นเเล้วขอมองผ่านดีกว่า ผมคิดว่าคุณควรคิดว่าคนอื่น หรือลองให้คนอื่นอ่านที่คุณเขียนว่าเข้าใจไหม ด้วยความเคารพ ครับ
เท่าที่ผมอ่านจากความเห็นที่ผ่านมา ผมเข้าใจว่าผู้ที่ได้ปฐมฌานนี่ก็เกินพอสำหรับการละกามรมณ์ใช่ไหมครับ รบกวนผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ
ณาน ส่งผลต่อการช่วยตัดกามกิเลส เพราะ พระพุทธเจ้า ท่านได้สอนไว้ให้ความสำคัญ สรุปว่า ขั้นไหนก็ได้ครับ เเค่ ขั้นสูงจะช่วยให้ไวขึ้นครับ ลองไปศึกษาคำว่า พระอริยเจ้า อรหัตน์ประเภท สุขวิปัสสโก แต่ดูเหมือนว่าท่านก็ทรงณาน 4 ได้กันหมดครับ เพราะไม่ยากเกินพระ เลย ครับ
ผมหมายความว่าจิตที่ทรงฌาน1อยู่เนี่ยก็สามารถระงับกามรมณ์ได้หมดแล้วใช่ปะครับ คือผู้ที่ได้ฌาน1สามารถระงับกามด้วยการเข้าฌาน1ซึ่งแค่ฌาน1ก็เหลือเฟือในการระงับอารมณ์ทางเพศใช่ปะครับ ผมเข้าใจจากที่อ่านมาจากข้างบนอะครับ
เด่วขออนุญาตช่วยเสริม ที่ คุณ Dragon 129 ถามนะครับ คือ ไม่ใช่ปรุงแต่งแล้วหรือหื่นแล้วไปเอากำลังระดับนี้ ข่มนะครับ..ต้องเปลี่ยนไปสนใจอย่างอื่นด้วยนะครับ ปฐมฌานเพียงพอสำหรับการระงับกามได้ชั่วคราวครับ แต่ว่า ณ เวลานั้นไม่ใช่ว่าจิตเรากำลังปรุงแต่งอยู่ หรือ กำลังคิดอกุศลทางกามอยู่ หรือว่ากำลังเกิดอาการหื่นกามอยู่ แล้วใช้กำลังระดับญาน ๑ ไประงับมันนะครับ เด่วมันจะกลายเป็นตั้งใจหื่นโดยไม่รู้ตัวครับ มันจะยิ่งทำให้เราอึดอัดนะครับ จริงๆอยู่แม้ว่าในสภาวะกำลังระดับฌาน ๑ จะเพียงพอ และจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องนั้นต้องไม่ใช่เรื่องกามอยู่ก่อนหน้านั้นนะครับ ควรเปลี่ยนไปอยู่กับเรื่องอื่นแทน เช่น ลมหายใจ หรือ วัตถุอื่นๆ เรื่องอื่นๆที่ไม่ใช่เรื่องกาม และพอสภาพแวดล้อมมันเอื้อ หรือได้ไปสัมผัสสิ่งต่างๆที่จะสื่อให้ออกทางกามได้ ไม่ว่า ทางอายตนะใดๆอย่างนี้ ถึงจะไม่เกิดอารมย์หื่นกามครับ .. เพราะว่าถ้าเราสังเกตุ กิริยาทางจิตของอารมย์ฌาน ๑ นั้น ในระดับนี้ตัวจิต มันจะจดจ่ออยู่กับ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าจะยังมีการรับรู้สิ่งๆอื่นๆอยู่ก็ตาม แม้ว่า อายตนะตอนนั้นเราจะยังได้ยิน การมีของเสียง ยังมีการได้เห็นสิ่งต่างๆ แต่จะไม่มีตัววิญญานการรับรู้ ของเราออกไปปรุงร่วมครับ... แยกดีๆนะครับ ไม่ใช่ว่าพอหื่นกามแล้ว ไปเข้าฌาน ๑ นะครับ มันจะยิ่งไปจดจ่อกับ การหื่นกามเข้าไปให้เป็น ๑ นะครับ วิธีแก้ เปลี่ยนไปเรื่องอื่นๆซะ เพราะจิตมันคิด ได้ทีละเรื่อง แล้วไปจดจ่อกับเรื่องที่เปลี่ยนแทน อารมย์หื่นกามถึงจะไม่มี เข้าใจเนาะครับ ทั้งหมดทั้งมวล ที่พูดเป็นแค่วิธีการหนีแบบ ชั่วคราวแค่นั้นนะครับ ปกติจะใช้หลักการนี้ ในกรณีที่คิดเรื่องที่ทำให้จิตเศร้าหมอง เช่น เรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้วทั้งหลาย หรือเรื่องที่ทำให้ปรุงแต่งเพ้อเจ้อเช่นเรื่องในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง อะไรประมาณนี้ นอกจากการเปลี่ยนมาระลึกรู้ลมหายใจ หรือถ้าชำนาญหน่อยก็ด้วยวิธีการกำหนดดับครับ แต่ถ้าจะให้ดี ก็คือฝึกเจริญสติแล้วเดินปัญญาเอาครับ เพราะตัวสติจะจับเรื่องนี้ได้เร็ว และถ้าเรามีปัญญามากพอ มันจะตัดได้ในทันที จนเราตามมันไม่ทันด้วยครับ
555...อยากได้คำตอบจิงเหรอคับ...555...สุดจะกลั้นอาการขำจิงๆคับ...ต้องถามให้ตรงกับสิ่งที่ต้องการอยากทราบคับตั้งคำถามไม่ถูกต้องคับ...ถ้าเป็นผมจะถามว่าตอนเอาเสาลงหลุมกับเมียมีสถาวะใดสักแต่ว่าเอาลงหลุมหรือลงหลุมแบบอัตโนมัติคับ...555...พวกท่านนี่อารมณ์ขันแบบนี้ก็เป็นนะคับ
กามราคะ เกิดขึ้นได้ เพราะมี กามวิตก รูปธรรมนามธรรมต่างๆมีเหตุ ก็เกิด หมดเหตุก็ดับ ถ้ากามวิตกดับ กามราคะก็จะดับด้วย กามราคะเกิดขึ้น ก็ให้จิตกลับมาที่กาย ที่จิต ถ้าทำถูก กลับมาที่อานาปานสติ กามวิตกจะ ดับทันที ลมหายใจมันคิดไม่ได้ กิเลสเป็นสังขาร จิตที่ตั้งมั่น ความตรึกนึกไม่มี อานาปานสติ จึงเป็นกรรมฐานที่ไม่มีความคิดนึก จึงใช้ระงับความฟุ้งซ่านได้ดีที่สุด แค่ขณิกะสมาธิ ก็สามารถตกกระแสได้ พระท่านว่า ตอนบรรลุจิตจะเข้าฌานเองอัตโนมัต ทำได้บ่อยๆ ความเพลิน ก็จะย่นลง ละภพไปเรื่อยๆ แค่ชั่วช้างกระดิกหูงูแลบลิ้น พระพุทธองค์ก็สรรเสริญแล้ว ไม่ต้องพูดถึงถ้าทำให้มากเจริญให้มาก ก็จะ เห็นการทำงานของจิต จะเข้าใจธรรมชาติของจิต แล้วจะเห็นธรรมที่ไม่ต้องไปถามใคร ไม่ต้องให้ใครมารับรอง เป็นปัจจัตตัง
สำหรับคนที่หายใจปึ๊ด. หายใจปึ๊ด. แล้วไม่ถามใคร. ไม่ต้องมีใครรับรอง ป๋มอแสหวุ่นกี้ ขอดูตัวแม่ทัพผู้เลิสก่า หน่อย แม่ทัพ. จะชื่อ. นามกาย. มีปิติ หายใจปึ๊ด หายใจปลอด. ล่วงรูปสัญญา เพราะละกามวิตก. เหนนานัตตสัญาแล้วแลอยู่ พึงเหนรูป. เปนเพียงธรรมอันอนุโลมไปตาม. นามกาย พระพุทธองค์ตรัสว่า. ผู้มีอานาปานสติ พอกพูลกายคตาสติ ในสมัยยังไม่สำเร็จธรรม เปนเพียงโพธิสัตว์ หากปราถนา นามกาย. แม่ทัพไปในพรหมโลก. สวรรคโลก. ก้จะไปพร้อมกายเนื้อ ทีนี้ แม่ทัพมีจริง. หรือ. ยังชื่อว่าฟังตามๆกันไป จะอยู่ที่ หายใจปึ๊ดต่อ. หรือ. อะต้อแต้
ติดอยากดีอยู่หลายเดือน ไปหาพระท่านว่าให้คุย จึงเห็น ตัวเหนียวแน่นอยาก ทำอะไรไม่ได้ ภาวนาไปไม่หยุด มันก็คลาย แต่ก็เกือบเป๋ไปเหมือนกัน ครับ ภาวนาไป พอมันคลายตัวอยากออก เหมือนตั้งต้นใหม่ รู้สึกสงัดสงบ ไม่เอาอะไร จนคนข้างๆเขาบอกว่า พออยู่ใกล้เรารู้สึกเงียบดี
เข็มขัดสั้นเลย ปัสสัทธิ แบบนี้ ขออนุญาติให้ฝักถั่วงามๆ. สามคำรบ ขออภัยภาษา. บางคนมากอปเพื่อเทียบสัญญาเก่า. ทำมาหมดแล้ว เลยต้องแปลกๆเหลือทน
อยู่นิ่งๆเดี้ยวคำพูดของตนเองจะทำลายตนเองได้...มันจะกลายเป็นว่าแล้วที่ผ่านมาเอาอะไรมาพูด...สมาทานจิตไว้ยังไงก็ทำไปตามนั้นนั่นแหละไม่มีธรรมก็ไม่มีธรรมหมายถึงไม่พึงเข้าถึงผลของธรรมนั้นแต่ไม่ได้ลังเลและสงสัยกับธรรมที่เกิดขึ้น...ปราถนาสิ่งใดก็ตามนั้น...