สำนักวัดนาป่าพงคึกฤทธิ์และสาวกพลาด! สร้าง" พุทธวจน " ปลอม

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เสขะปฎิสัมภิทา, 7 กรกฎาคม 2015.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    บำเพ็ญกุศลคุณยายผู้เป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่บุพการีผู้ให้ข้าวให้น้ำให้ความอนุเคราะห์เลี้ยงดู ที่โคกโพธิ์ปัตตานีครับ สิ่งสุดท้ายที่ทำได้ในตอนนี้ คือ นั่งนอนเฝ้าสังขารผู้ล่วงลับ บำเพ็ญกุศล ตั้งจิตยังสมาธิ รักษาศีล อนุโมทนาอานิสงส์
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ขอแสดงความเสียใจที่สูญเสียคุณยายค่ะ เคยเป็นเอามากตอนเสียคุณย่าผู้เป็นยอดดวงใจไป ตอนนั้นหลังจากคุณย่าเสียจะได้กลิ่นอยู่๓เดือนไม่ว่าจะนั่งในรถเมล์หรือไปไหนๆทําอะไร
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน
    <iframe width="420" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/DlIZRwq1mHA" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • TheLastDisciple.jpg
      TheLastDisciple.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.7 KB
      เปิดดู:
      762
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      93
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    คลายเครียดๆ ถ้าไม่ชอบใจลบได้ค่ะ

    พระมหาสมปอง ฮาๆ มุกใหม่ล่าสุด 2559 ตอน อินเดียสุดฮา เต็มเรื่อง
    <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/jOazGs3GuFk" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    [​IMG]

    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ถ้ารู้ไม่ทัน ว่าอะไร? มาทำให้จิตที่บริสุทธิ์ เสียหาย จะหนีไปไหนพ้น ในสิ่งที่เข้ามากระทบ จนทำให้เกิดอกุศลจิต จนเป็นปัจจัยให้ไปก่อเหตุแห่งทุกข์ ทุกข์ในที่นี้คือทุกข์ในเหล่าอกุศลกรรม มิใช่ทุกข์ที่มีมาในเหล่ากุศลกรรม

    หรือเรียกว่า" บาปอันเป็นทุกข์ "

    ๑. ขันธมาร มารคือขันธ์ ๕ ร่างกายไม่อำนวยให้ทำความดี เช่น เจ็บป่วย ทุพพลภาพทำให้หมดโอกาสดี ๆ ในชีวิต


    ๒. อภิสังขารมาร มารคือบุญบาป ความชั่วทำให้ขัดขวางมิให้บรรลุคุณธรรม และบางทีบุญก็ขัดขวางเช่นเดียวกัน เพราะเป็นเหตุให้เวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ ผู้ที่ทำบุญไปเกิดในภพภูมิที่ดีเช่นสวรรค์ ก็หลงมัวเมาไม่รู้สร่าง อย่างนี้แหละที่ท่านว่าบุญก็เป็นมารมิให้บรรลุธรรม


    ๓. กิเลสมาร มารคือ กิเลส โลภ โกรธ หลง เป็นมารเพราะขัดขวางมิให้บุคคลบรรลุผลสำเร็จดีงาม


    ๔. มัจจุมาร มารคือความตาย ความตายทำลายทุกสิ่งในชีวิต บางทีกำลังก้าวหน้าใน ชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรม ก็มาด่วนตายเสียก่อน ความตายจึงตัดโอกาสดี ๆ ในชีวิต


    ๕. เทวปุตตมาร มารคือเทพบุตร เทวดาที่เกเรคอยขัดขวางมิให้คนทำดี หมายเอาเทวบุตรฝ่ายอันธพาลทั้งหลายอย่างสูง หมายเอาพญามารชื่อวสวัตตีที่กล่าวข้างต้น


    อวิชชา หมู่มวลอาชีวะการงานที่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ


    อยาตนะภายนอกที่เข้ามากระทบและสัมผัสในแวดวงสังคมตลอดยุคสมัย


    อุปนิสัยที่สั่งสมมาตลอดหลายภพชาติ


    ล้วนแต่เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้เกิดความดำริ ความคิด โดยเฉพาะอกุศลจิต ก็ให้รู้ว่าโดนเล่นงานเอาเข้าแล้ว เมื่อรู้ไม่เท่าทันจิตของตนเอง ปราศจาก หิริโอตัปปะ ก็ต้องตกเป็นทาสมารวิสัยเช่นนั้น ก่อเหตุสร้างกรรมถ้วนทั่วไป

    เมื่อเกิดธรรมารมณ์ที่ประกอบด้วยอกุศลจิตที่โคจรมา




    อกุศลมูล ๓ (อกุศล=ความไม่ฉลาด, มูล=รากเหง้า)แปลตามตัวอักษรว่า รากเหง้าของความไม่ฉลาด หมายถึง รางเหง้าหรือต้นตอของความชั่วทั้งปวง เมื่อกำเริบจะแสดงออกมาเป็นทุจริตทางกาย วาจา ใจ รวมเป็นเหตุให้เกิดกิเลส มี ๓ ประการ คือ
    ๑. โลภะ ความอยากได้ โลภะ คือ ความอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตน อยากให้ตนมีเหมือนคนอื่น หรือมีมากกว่าผู้อื่น ความอยากมีหลายรูปแบบซึ่งจะก่อให้เกิดรากเหง้าของความชั่วทั้งปวง เช่น อิจฉา ความอยาก ปาปิจฉา ความอยากอย่างชั่วช้าลามก มหิจฉา ความอยากรุนแรง อภิชฌาวิสมโลภะ ความอยากได้ถึงขั้นเพ่งเล็ง ความอยากจะเกิดมากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดความชั่วในตัวเอง วิธีแก้ไขความอยากคือการใช้สติ ระลึกรู้ในตน

    ๒. โทสะ ความคิดประทุษร้าย โทสะ คือ ความคิดประทุษร้าย ได้แก่ การอยากฆ่า การอยากทำลายผู้อื่นๆ ความคิดประทุษร้ายเป็นรากเหง้าให้เกิดกิเลสได้หลายอย่าง เช่น ปฏิฆะ ความหงุดหงิด โกธะ ความโกรธ อุปนาหะ ความผูกโกรธ พยาบาท ความคิดปองร้าย ถ้าปล่อยให้มีโทสะมาก ผู้นั้นจะเป็นคนชั่ว คนพาล และเป็นภัยต่อสังคม วิธีแก้ไขโทสะ คือการใช้สติระงับตน และฝึกตนให้เป็นผู้มีอโทสะ

    ๓. โมหะ ความหลงไม่รู้จริง โมหะ คือ ความหลงไม่รู้จริง ได้แก่ ความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความมัวเมา ความประมาท เป้นรากเหว้าให้เกิดกิเลสได้ต่างๆมากมาย เช่น มักขะ ลบหลู่คุณท่าน ปลาสะ ตีเสมอ มานะ ถือตัว มทะ มัวเมา ปมาทะ เลินเล่อ โมหะทำให้ขาดสติ ไม่รู้ผิดชอบร้ายแรงกว่าโลภะ และโทสะ รวมทั้งส่งเสริมให้โลภะและโทสะมีกำลังมากขึ้นยิ่งด้วย วิธีที่จะทำให้โมหะลดลงนั้นจะต้องปฏิบัติตนเป็นผู้ที่มี อโมหะ ความไม่หลงงมงาย

    กัสสกสูตรที่ ๙
    สาวัตถีนิทาน ฯ
    ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้
    สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาเกี่ยวด้วยพระนิพพาน และภิกษุ
    เหล่านั้นทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ น้อมนึกมาด้วยความเต็มใจ เงี่ยโสตลงสดับ
    ธรรมอยู่ ฯ
    ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปได้มีความคิดว่า พระสมณโคดมนี้แล ทรงยัง
    ภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา
    เกี่ยวด้วยพระนิพพาน ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปใกล้พระสมณโคดมถึงที่ประทับ
    เพื่อการกำบังตาเถิด ฯ
    ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปจึงนิรมิตเพศเป็นชาวนาแบกไถใหญ่
    ถือปะฏักมีด้ามยาว มีผมยาวรุงรังปกหน้าปกหลัง นุ่งผ้าเนื้อหยาบ มีเท้าทั้งสองเปื้อน
    โคลน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่สมณะ
    ท่านได้เห็นโคทั้งหลายบ้างไหม ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า แน่ะมารผู้มีบาป ท่านจะต้องการอะไรด้วย
    โคทั้งหลายเล่า ฯ
    มารกราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ จักษุเป็นของเราแท้ รูปก็เป็นของเรา
    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแก่จักษุสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น
    ข้าแต่สมณะ โสตเป็นของเรา เสียงเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่
    โสตสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ จมูกเป็นของเรา
    กลิ่นเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ฆานสัมผัส ก็เป็นของเรา ท่านจะ
    หนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ ลิ้นเป็นของเรา รสเป็นของเรา อายตนะคือ
    วิญญาณอันเกิดแต่ชิวหาสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่
    สมณะ กายเป็นของเรา โผฏฐัพพะเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่กาย
    สัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ ใจเป็นของเรา
    ธรรมารมณ์เป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่มโนสัมผัสก็เป็นของเรา
    ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ฯ

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมารผู้มีบาป จักษุเป็นของท่าน
    รูปเป็นของท่าน อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่จักษุสัมผัสก็เป็นของท่านแท้ ดูกร
    มารผู้มีบาป แต่ในที่ใด ไม่มีจักษุ ไม่มีรูป ไม่มีอายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่จักษุ
    สัมผัส ที่นั้นมิใช่ทางดำเนินของท่าน โสตเป็นของท่าน เสียงเป็นของท่าน
    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่โสตสัมผัสก็เป็นของท่าน แต่ในที่ใด ไม่มีโสต ไม่
    มีเสียง ไม่มีอายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่โสตสัมผัส ที่นั้นมิใช่ทางดำเนินของ
    ท่าน จมูกเป็นของท่าน กลิ่นเป็นของท่าน อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ฆาน
    สัมผัสเป็นของท่าน ฯลฯ ลิ้นเป็นของท่าน รสเป็นของท่าน อายตนะคือวิญญาณ
    อันเกิดแต่ชิวหาสัมผัสเป็นของท่าน ฯลฯ กายเป็นของท่าน โผฏฐัพพะเป็นของท่าน
    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่กายสัมผัสเป็นของท่าน ฯลฯ ใจเป็นของท่าน
    ธรรมารมณ์ทั้งหลายเป็นของท่าน อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่มโนสัมผัสก็เป็น
    ของท่าน แต่ในที่ใด ไม่มีใจ ไม่มีธรรมารมณ์ ไม่มีอายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่
    มโนสัมผัส ที่นั้นมิใช่ทางดำเนินของท่าน ฯ

    มารกราบทูลว่า
    ชนเหล่าใดกล่าวถึงสิ่งใดว่า นี้ของเรา และกล่าวว่า นี้เป็นเรา
    ถ้าใจของท่านมีอยู่ในสิ่งนั้น ข้าแต่สมณะ ท่านก็จะไม่พ้น
    เราไปได้ ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ชนเหล่าใดกล่าวถึงสิ่งใด สิ่งนั้น
    ไม่มีแก่เรา ชนเหล่าใดกล่าว ชนเหล่านั้นไม่ใช่เรา ดูกรมารผู้มีบาป ท่านจงรู้
    อย่างนี้ ท่านย่อมไม่เห็นแม้ทางของเรา ฯ



    ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา
    พระสุคตทรงรู้จักเรา
    ดังนี้ จึงได้หายไปในที่นั้นนั่นเอง ฯ




    รู้ให้ทัน ก็มีสติอยู่ทุกเมื่อ และเป็นสติที่เหนือโลกธรรมแปด ครอบงำโลก อันเป็นเหตุให้เกิดสติปัญญาตามมา ความปรารถนาที่ผ่องใสขึ้น อย่างทันทีทันใด


    ที่เหลือก็ให้ปล่อยไปตามสภาวะ ธรรมสมบัติ ที่ได้รับการถ่ายทอดมา


    รู้ตามหรือยัง? ผู้หวังความเจริญในพระสัทธรรมควรรู้ตามและต้องทำให้ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2016
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ที่สำคัญ พระสัพพัญญูท่านก็ทรงรู้ทรงทราบคัมภีร์คำสั่งสอนของศาสนาลัทธิอื่นดีกว่า เจ้าแห่งลัทธิเองรู้ดีกว่าพระเจ้านั่นด้วย จึงสามารถสั่งสอนและรู้ที่ไปที่มาของคติทั้งปวงได้ เรื่องนี้ ว่าด้วย ปฎิสัมภิทาญาน หากบรรลุมีสถานะธรรมอันสูงส่ง สั่งสมไว้มาก ก็จะเข้าใจ พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงบรรลุปฎิสัมภิทาญานขั้นสูงสุด จึงทรงล่วงรู้ศาสตร์คัมภีรภาพ ภาษาทุกชนิด ฉนั้นข้อที่ว่า ปฎิสัมภิทาญานเป็นของคำของพระสารีบุตรบัญญัติขึ้น จึงไม่มีอยู่จริง และสำนักใดที่กล่าวเช่นนั้นอยู่ก็ยังไม่รู้จริง คือรู้แต่ปริยัติ ไม่รู้ปฎิบัติและปฎิเวธ


    เกริ่นให้ฟัง ฉนั้น แม้แต่ที่แสดงอยู่และที่นำมาแสดง เขาก็ยังไม่รู้จุดนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2016
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    [​IMG]
    . ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • word5.jpg
      word5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.6 KB
      เปิดดู:
      575
    • SilaToNippan.jpg
      SilaToNippan.jpg
      ขนาดไฟล์:
      46.5 KB
      เปิดดู:
      160
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ถึงเวลาเวลาอันควรเมื่อไหร่ เมื่อนั้นจึงปรากฎ
     
  11. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    หลังกวาดล้างบางทั้งประเทศแล้ว
    สร้างประเทศใหม่

    คึกริด ก็จะได้เป็นสังคะราด ใช่ไหมฮะ
     
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ศึกษา ทิฎฐิ 62 พิชัยสงครามของศาสนาพุทธ
    ในวงสนทนา ก็จะรู้รอบ ว่า ผู้ใด มีสติปัญญาเพียงเท่าใด
    มีคติเป็นไปในทางใด
    ว่าถูกหรือผิด
    ในสิ่งที่กล่าวมา
    อาศัยเพียง ปริยัติไม่พอ
    ต้องได้ ปฎิบัติ ปฎิเวธด้วย
    และต้องสรุป ให้เป็น สัมมาฯ
    ทั้งปริยัติ ปฎิบัติ ปฎิเวธ
    ถึงเวลานั้น มังกรหลับ รอเวลาทะยาน
    เหมือนนาคเฝ้าบาตร
    พิจารณาดังนี้แลฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Dargon.jpg
      Dargon.jpg
      ขนาดไฟล์:
      77.8 KB
      เปิดดู:
      112
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ในความเป็นจริง คิดว่าตนนั้นได้เห็นธรรม สัมผัสธรรม แท้จริงแม้แต่เปลือกก็ไม่ได้ มิหนำซ้ำยังพาตนเองตกต่ำลงไปอีก


    จะกล่าวไยเลย

    กับผู้แสวงหาสัจธรรม ความเป็นจริง ในดงดิรัจฉาน แต่ก็ยังพลีชีพให้ดิรัจฉานสุขกับเสวยดิรัจฉาน ถ้าไม่ได้เอกบุรุษ สัตบุรุษ กุลบุตรผู้ประเสริฐ กำเนิดขึ้นในแผ่นดิน ชาติทั้งชาติอย่าหวังจะเห็นธรรม


    จะเห็นแต่เพียง
    ปริยัติงูพิษ ปฎิบัติงูพิษ ปฎิเวธงูพิษ

    โปรดจงพิจารณา

    จะเรียนธรรมของพระพุทธเจ้าให้ได้สามัญผล ต้องตัดความสนใจจากเรื่อง ที่พระองค์ไม่ยินดีออกเสียก่อนจึงจะเป็นเหตุและผล ทำให้ได้ให้ถึงก่อน ค่อยว่ากันทีหลัง ทำไม่ได้ไม่ถึงมันจะขวางทางธรรมของตนเอง ไม่สามารถพิจารณาธรรม อันจักเจริญสูงขึ้นไปกว่านั้นได้


    ปฐมวัตถุกถาสูตร
    ว่าด้วยกถาวัตถุ ๑๐ ประการ
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ภิกษุเป็นอันมากกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต นั่งประชุมกันที่หอฉัน สนทนาดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก คือ สนทนาเรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องการรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยานเรื่องบ้าน เรื่องนิคม เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องคนกล้าหาญเรื่องตรอก เรื่องทำนา เรื่องคนล่วงลับไปแล้ว เบ็ดเตล็ด เรื่องโลกเรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้น.

    ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้นในเวลาเย็น เสด็จเข้าไปยังหอฉัน ประทับนั่งบนอาสนะอันเขาตบแต่งไว้ ครั้นแล้ว จึงตรัส
    ถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ก็แหละกถาอะไรที่เธอทั้งหลายสนทนาค้าง
    ไว้ ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับบิณฑบาตภายหลังภัต นั่งประชุม
    กันที่หอฉัน สนทนาซึ่งดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก คือ สนทนาเรื่องพระราชาเรื่องโจร ฯลฯ เรื่องความเจริญและความเสื่อม พระเจ้าข้า พระผู้มี
    พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่เธอทั้งหลายสนทนากันถึงดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก คือ สนทนาเรื่องพระราชา เรื่องโจร ฯลฯ
    เรื่องความเจริญและความเสื่อมนี้ ไม่สมควรแก่เธอทั้งหลายผู้เป็นกุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธาเลย.

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กถาวัตถุ ๑๐ ประการนี้ ๑๐ ประการเป็นไฉนคือ อัปปิจฉกถา ๑ สันตุฏฐิกถา ๑ ปวิเวกกถา ๑ อสังสัคคกถา ๑ วิริยา
    รัมภกถา ๑ สีลกถา ๑ สมาธิกถา ๑ ปัญญากถา ๑ วิมุตติกถา ๑ วิมุตติญาณทัสสนกถา ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กถาวัตถุ ๑๐ ประการนี้แล ดูก่อน
    ภิกษุทั้งหลาย หากว่าเธอทั้งหลายยึดถือเอากถาวัตถุทั้ง ๑๐ ประการนี้แล้ว กล่าวเป็นกถาไซร้ เธอทั้งหลายพึงครอบงำเดชแม้ของพระจันทร์
    และพระอาทิตย์ผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้ด้วยเดชได้ จะป่วยกล่าวไปไยถึงปริพาชกอัญญเดียรถีย์ทั้งหลายเล่า.

    จบสูตรที่ ๙

    เอาไปวางแล้วค้นหาความหมายแต่ละกถา แล้วศึกษาตามกาลก่อน แม้แต่เราเองก็จะต้องพิจารณาธรรมข้อนี้ศึกษาอย่างละเอียดอ่อนเหมือนกัน เพราะถ้าไม่เริ่มจากตรงนี้ก็ตีไม่แตก ย่อมไม่มีปัญญาแทงตลอดได้ จะเป็นคนกลวง มีข้างนอกแต่ไม่มีข้างใน


    สำหรับเรื่องอื่น
    ดูหัวข้อแล้วพิจารณาอ่านให้ถึงข้อความข้างใน ว่าเรื่องไปในแนวทางใด ออกจาก กถาวัตถุทั้ง ๑๐ หรือไม่ เรื่องของธรรมะไม่ใช่เงาะหรือลิ้นจี่กระป๋อง แซนวิช ที่จะมาสอดไส้ผสมปนเปกัน

    พยายามตัดให้ขาด นั่งคิดนอนคิดเวลาว่างๆ ว่าชีวิตๆหนึ่งสมควรคิดพิจารณาในเรื่องที่หาประโยชน์ได้จริงๆ ซึ่งไม่ใช่ประโยชน์แห่งทรัพย์ภายนอก ควรเป็นประโยชน์อันเป็นที่มาแห่งทรัพย์ภายในให้เจริญงอกงามในตน จะอดตายหรือถูกทอดทิ้งก็ช่างมัน

    ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ อย่ารีบ อย่าบีบคั้นตนเอง ไม่อย่างนั้น จะถูกสภาวะสังคมคนรอบข้าง บีบคั้นความรู้สึกตนเอง เมื่อไม่มีที่ยึด ศรัทธาไม่มั่นคง อาจเสื่อมถอยและเกิดความท้อแท้ใจ จนละทิ้งจากมรรคผลที่จะได้


    มิน่าชาติบ้านเมืองโลกนี้จึงดูวุ่นวาย เพราะไปศิโรราบให้อายะตนะมารดังนี้แลฯ



    ไม่นึกไม่คิดไม่ฝันว่า สงฆ์ในยุคปัจจุบันจะขาดผู้นำที่ทรงคุณอันเลิศ

    เป็นไปแล้ว เป็นไปแล้ว เป็นไปแล้ว




    สมควรแล้ว สมควรแล้ว สมควรแล้ว




    หากเปรียบดั่งทหารก็พ่ายศึกตั้งแต่ได้ยินและกลัวว่าจะต้องไปเป็นทหาร จึงหนี


    สิ่งทีสู้อยู่ในปัจจุบัน ไม่มีแม้เกียรติและคุณค่าที่จะยกย่องใดๆ


    ไร้สมรภูมิ


    และเมื่อไร้สมรภูมิ ไม่เข้าสู่สมรภูมิ การสู้รบก็ไม่มีทางเกิด ชัยชนะจึงไม่มี

    ทั้งๆที่จะต้องรบ แต่กลับยึดเพียง โกดังรกร้าง เป็นที่สิงสถิตกินสินบนมารจนพ่ายมาร

    จิตวิญญานของนักรบเหล่าทหารหาญของพุทธะ นับล้าน ไม่สู้ศึกจะเหลือผู้ใด?
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 11.jpg
      11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      14.5 KB
      เปิดดู:
      95
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2016
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    โทษใครไม่ได้ ต้องโทษตนเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 444.jpg
      444.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.6 KB
      เปิดดู:
      85
  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    วันนี้มีเทพไท้เทวาลงมาขอให้ถือศีล ๘ อัศจรรย์ใจยิ่ง เป็นการบอกเหตุอะไรสักอย่างฯ
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047



    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2016
  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ยโสชเถรคาถา
    อยู่คนเดียว เป็นพรหม
    อยู่สองคน เป็นเทวดา
    อยู่สามคน เป็นชาวบ้าน

    อยู่มากกว่านั้นก็ยุ่งยากโกลาหล

    (ยถา พฺรหฺมา ตถา เอโก
    ยถา เทโว ตถา ทุเว
    ยถา คาโม ตถา ตโย
    โกลาหลํ ตทุตฺตรึ)


    ภิกษุถูกเหลือบและยุงในป่าใหญ่กัด ควรเป็นผู้มี สติอดกลั้นในอันตรายเหล่านั้น เหมือนช้างในสงคราม ภิกษุอยู่รูปเดียวย่อมเป็นเหมือนพรหม


    อยู่ ๒ รูป เหมือนเทวดา

    อยู่ ๓ รูปเหมือนชาวบ้าน


    อยู่ด้วยกันมาก กว่านั้น ย่อมมีความโกลาหลมากขึ้น

    เพราะฉะนั้น ภิกษุ ควรเป็นผู้อยู่แต่รูปเดียว.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ยังมีธรรมอย่างอื่นอีกแลที่ลึกซึ้งเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยากสงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดา
    และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้วผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.

                 เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่าน่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ไม่เคยมีมา พระเจ้าข้า ธรรมบรรยายนี้ชื่ออะไร พระเจ้าข้า.

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เพราะฉะนั้นแหละ อานนท์ เธอจงจำธรรมบรรยายนี้ว่า อรรถชาละก็ได้ว่าธรรมชาละก็ได้ ว่าพรหมชาละก็ได้ ว่าทิฏฐิชาละก็ได้ ว่าพิชัยสงครามอันยอดเยี่ยมก็ได้.

                 ครั้นพระผู้มีพระภาค ตรัสพระสูตรนี้จบแล้ว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น มีใจชื่นชมเพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค ก็และเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้อยู่ หมื่นโลกธาตุได้หวั่นไหวแล้วแล.
    จบพรหมชาลสูตรที่ ๑.

    กายในที่นี้ก็คือกายหยาบที่แตกดับสิ้นชีพเป็นรูปร่างคงกายเนื้อสรีระสมบูรณ์ที่จริงก็เหลือ พระบรมสารีริกธาตุ นับเป็นกายที่ถูกเผาไหม้แล้ว เป็นธาตุที่ถูกเผาแล้ว ไม่เป็นกายเนื้อที่เหลือก็คือ พระธรรมคำสั่งสอนอันเป็นกายแท้เป็นศาสดาอันพระตถาคตสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ด้วยสภาวะแห่งการตรัสรู้พระสัทธรรม(พระสัทธรรมราชา พระธรรมคัมภีร์พระไตรปิฎกธรรมแม่บทดั้งเดิม ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายฯทรงตรัสรู้เห็น)
    นี่จึงเรียกว่าเป็นธรรมกาย แต่มิใช่กายแห่งธรรม หรือรูปร่างร่างเนื้อที่เป็นธรรม


    และธรรมกายนี้ก็จะมีรูปร่างแลลักษณะเดียวกันซึ่ง มหาปุริลักษณะส่วนขนาดและสีสันก็ให้เป็นไปตามพุทธประสงค์ตามกาลนี่เรียกว่าพิจารณาตามธรรมทั้งมวลฯ
    เท่าที่จะพิจารณาได้จึงพิจารณาให้ทราบไม่ใช่ธรรมกายร่างเนื้ออย่างที่เขาเล่ากล่าวกัน อันเป็นที่เขาเข้าใจว่าจะทำให้เขามีมหาปุริลักษณะในตัวหรือเกิดขึ้นในตัวนั้นได้ เรื่องนี้พิจารณาได้ต่อไปอีกเป็นต้นฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เห็นและรับรู้ผลของกรรมของผู้ที่ได้ปรามาสพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาอันเกี่ยวเนื่องด้วยเราโดยตรงในอดีตถึงความเสื่อมลาภเสื่อมยศ เสื่อม กาย วาจา ใจ และทำให้เกิดผลเสียในวงกว้างทั้งหน่วยงานและท้องที่ในประเทศอย่างไม่มีหยุดของกลุ่มบุคคลนั้น

    กรรมทันตาได้อยู่เห็นและรับรู้จริงๆที่มาปรามาสพระพุทธเจ้าต่อหน้าเรา นี่เป็นผลเพราะเราหยุดการอาฆาตคิดแค้นเขา เมตตาเขาไม่ปราถนาผูกโกรธไว้ ผลจึงกลับตาลปัตร มิน่าเล่าพระอริยะท่านจึงกล่าวคุณให้ยังเกิดแต่ความเจริญแก่ผู้คิดร้ายทำลายชีวิตท่านอย่างจริงใจ ผลสุดท้ายบุคคลผู้นั้นก็ถึงคราวิบัติทันตา


    ไพรีพินาศยังมีอยู่เสมอๆ


    ที่มาจากเรื่องกล่าวหาด่าทอดูหมิ่นพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกในพระพุทธศาสนา

    สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการ หลักกาลามสูตร 10 ประการ
    "ดั้งนั้นผู้ที่จะกล่าวถึงพระธรรม อันละเอียดอ่อนดังนี้ควรศึกษาให้ถ่องแท้จึงจะสามารถอธิบายธรรม ที่ไปที่มาตามหลักธรรมอันถูกต้องอันควรได้จึงจะเจริญ แต่หากเมื่อไม่ยอมที่จะพยายามศึกษาให้ดีแล้วยังมีจริตกิริยาทางกาย และวาจาที่ดูหมิ่นเหยียดหยาม เพื่อจักเอาชนะผู้อื่น ด้วยการแอบอ้างเอาพระสัทธรรมปลอมๆที่ไม่รู้และไม่เข้าใจ มาลบหลู่พระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณด้วยแล้ว กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมสนองกรรม หอกยาวซัดมาจากที่ใด ผู้มียุทธ์สูงส่งกว่าย่อมคืนหอกปักอก "เมื่อเข้าใจว่าตนเองเก่งกล้าสามารถ ท้าทาย จาบจ้วง กล่าวตู่ ด่าทอ ให้ร้ายแก่พระสัทธรรม ด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบาย เพื่อเหยียดหยามผู้อื่น อย่างเย้ยหยัน ประดุจดั่งใส่ความ บิดาและมารดาของเรา( นี่ยิ่งกว่า เพราะด่าถึงพระพุทธเจ้า) โดยที่เป็นข้อมูลเท็จ มันผู้นั้นก็สมควรได้รับผลกรรมสุดจะพรรณนา" สาธุฯ


    ใครจะอยากรู้ บันทึกจิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2016
  20. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เมื่อความจริงปรากฎ

    น่าเสียดายถ้าไม่ได้ทำ หรือทำไม่ได้ ทิ้งไว้ย้อนหลัง เผิื่อไว้สำหรับผู้ค้นหา ปรารถนาใน"ปฎิสัมภิทามรรค"

    จาก 07-08-2014 ถึง 07-07-2015

    http://palungjit.org/threads/ผู้ใดเห็นธรรม-ผู้นั้นเห็นเรา.535976/
     

แชร์หน้านี้

Loading...