วิริยาธิกะพิเศษบันทึก

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย pco-, 7 มิถุนายน 2010.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,567
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    **เมื่อวานอ่านหนังสือ"พ่อสอนลูก" พูดถึงนางวิสาขา ว่า ลดามหาปสาธน์มีราคา๙๐โกฏิ อิอิ
    **อย่าให้สวยมากไปเดี๋ยวโดนพ่อแม่ขังไว้ให้อยู่แต่ในปราสาทแบบนางปฏาจาราเถรี
    **ท่านธัมมะสามี เป็นอย่างไรบ้างคะเห็นแวะมาแป๊บเดียว
    **ธรรมะสวัสดีทุกๆท่านค่ะ
     
  2. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252

    ผมขอให้พวกเขาสวยไว้ก่อนทั้งหมดคือหมู่คณะญาติมิตร บริษัทบริวารทั้งหลายไม้เว้นแม้สัตว์ในปกครองทุกชีวิต เรื่องความสวยพวกเราขอเป็นพิเศษอย่างหนึ่งไว้ก่อนได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร เป็นเรื่องอานิสงค์ที่พยายามทำกันเข้าไว้ไม่สวยแล้วมันกลุ้มใจ แล้วพวกเราก็ขอสวยแบบไม่เป็นสองรองใคร นั่นก็หมายความว่าใครที่ว่าสวยก็ปล่อยเขาสวยตามชอบใจ แต่พวกเราไม่เป็นรองซะอย่าง สวยอย่างไรก็ไม่เกินไปกว่าพวกเรา ที่ผ่านมาในอดีตไม่เป็นไรเราเข้าร้านเสริมสวยไม่ทัน แต่ว่าต่อนี้ไปจนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพานแก้วๆของผมแกพร้อมใจกัน ว่าแกบอกว่าจะไม่ยอมใคร คุณแก้วเล็ก แกก็บอกว่ายอมแค่แม่ใหญ่คนเดียว

    คำว่าไม่เป็นรองใครก็หมายความว่าหากใครเขาสวยระดับนางสงกรานต์ เราก็สวยแบบนางนพมาส ใครเขาสวยระดับนางสาวจักรวาลอย่างสมัยก่อน เราก็สวยแบบมิสเวิลด์ซะก็หมดเรื่อง สวยแบบใหนก็ฟัดพวกเราไม่ลง แบบนี้แก้วๆของผมแกแอบๆทำของแกมานานแล้วที่ทำประจำคือถวายดอกไม้สดแกถวายเป็นประจำ แล้วก็ถวายต่อสมเด็จองค์ปฐมแกบอกว่าตอนนี้แกไม่กลัวใครแล้ว แต่ขอว่าเป็นชาติต่อๆไปก็แล้วกัน นั่นนักเลงซะอย่างสู้ใครเขาไม่ได้ก็ยังไม่ยอมแพ้ ขอกลับไปเตรียมตัวมาใหม่ แก้วเล็กนี่แกพูดบ่อยมาก บอกว่าจะเป็นคนพาแก้วอื่นๆทั้งหมดให้อย่างกับดาวประกายพฤก ไปในที่ใดๆนี่สว่างไสวทั้งคณะ สวยคนเดียวสองคนนี่ไม่เอามันว้าเหว่วังเวง มองไปทางใหนมันต้องสวยสะพรั่งแบบดอกไม้ทั้งสวนที่ออกดอกพร้อมๆกัน นั่นแกว่าของแกอย่างนั้น ตอนที่ไปงานกฐินวัดท่าซุง แกเดินทางล่วงหน้าไปก่อนสองสามวันเพื่อไปเตรียมความพร้อมเรื่องผ้าประธานกฐิน แกก็ไปฝึกมโนมยิทธิกะเขา แกไปเห็นตัวทิพย์ของแกสวยงามมาก แล้วแกก็พบสมเด็จองค์ปฐม แกก็กราบแล้วก็เข้าไปกอดพระบาทแล้วก็กอดแน่นอยู่อย่างนั้น ใครเขาไปใหนต่อใหนแกไม่ยอมไป แกกอดของแกอยู่อย่างนั้นจนหมดเวลาฝึก

    นั่งพิมพ์อยู่นี้คุณแก้วเล็กแกก็นั่งอยู่ข้างๆบอกว่าเราตั้งความปรารถนาของพวกเราแบบนี้แหละ เราสวยเราก็กะว่าไม่เบียดเบียนใคร สวยแล้วสะบายใจ ไม่สวยแล้วมันไม่สะบายใจ


    ไม่เป็นไรหากถูกขังผมก็ปีนขึ้นไปหาเขาเองครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF7051.JPG
      DSCF7051.JPG
      ขนาดไฟล์:
      4 MB
      เปิดดู:
      62
    • DSCF7052.JPG
      DSCF7052.JPG
      ขนาดไฟล์:
      4.1 MB
      เปิดดู:
      37
    • DSCF7077.JPG
      DSCF7077.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.7 MB
      เปิดดู:
      38
    • DSCN7104.JPG
      DSCN7104.JPG
      ขนาดไฟล์:
      79.2 KB
      เปิดดู:
      37
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 พฤษภาคม 2016
  3. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    เรื่องโดนขัง อย่าว่าแต่สมัยโน้นเลยครับ
    สมัยนี้ผมยังเคยเจอลูกสาวบางคนถูกแม่ให้อยู่แต่ในบ้าน หน้าตาน่ารักก็จริง
    แต่ทำอะไรไม่เป็น พึ่งตัวเองไม่ได้
    อาการหนักสุดคือ ลงบันไดเลื่อนในห้างยังไม่ค่อยเป็นเลย

    ความสวยความสาวมันมีเวลาของมัน
    ถึงวันหนึ่ง ก็จะหมดไป
     
  4. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    โดนขังยังไม่เท่าไรนะครับ

    กรณีพระนางจามเทวี .. ต่างเมืองอยากได้มาเป็นเมีย แล้วไม่ยอมเป็นไงครับ?
    เขาส่งกองทัพมารบเลย .. ทหารต้องมาตายอีกเท่าไร
     
  5. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    หมู่คณะวิริยาธิกะกับเรื่องความสวยนั้น หากว่าเมื่อเขาจะสวย ขอเดาๆเอาว่าคงไม่ใช่สักแต่ว่าสวยอย่างเดียว อย่างอื่นๆผมก็เดาเอาว่าครบเครื่องสมบูรณ์แบบ เพียงแต่ว่ามีความวิริยะพากเพียรเกินชาวบ้านเขาเท่านั้น คนที่เรียนหลักสูตรระดับที่ต้องเกินกว่าสิบหกอสงไขยนั้นต้องผ่านการฝึกฝนเรียนรู้มาอย่างหนักอย่างมาก น่าจะมีปฏิภาณปัญญาติดมาไม่น้อย หากจะต้องไปในที่แปลกที่แปลกถิ่น แปลกไปจากที่เคยชิน ผมก็เชื่อว่าคงไม่ทำอะไรที่เรียกว่าบุ่มบ่ามแบบไม่เดียงสาเป็นแน่

    หมู่คณะญาติมิตรของผม ผมก็เป็นห่วงเขา ในการปรารถนาพิเศษนั้นก็อย่างที่อธิฐานบันทึกไว้เป็นลายลักษอักษรนี้ การอธิฐานแบบนี้ก็ทำมานานแล้วทั้งต่อหน้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ทั้งในพระวิหารสมเด็จองค์ปฐมบรมครูที่วัดท่าซุง ก็ด้วยห่วงใยในหมู่คณะญาติมิตรไม่อยากให้พวกเขาลำบากยากแค้นขัดสนอีกต่อไป

    สักวันในอนาคตเราจะหนีความทุกข์ให้พ้นให้จงได้ หนีไกลไม่ได้เพราะต้องรอทั้งคณะ เราก็ค่อยๆหนี หนีจากอบายภูมิ มาเป็นมนุษย์ชั้นดีกันให้ได้ทั้งหมดทั้งคณะ หนีจากความลำบากยากจน เอาจนมั่งคั่งให้จงได้

    ชาติต่อๆไปจนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ผมก็ขอเอาแบบอย่างพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่ท่านทำทรายพุทธาภิเษกของท่านให้ลูกหลานไปโรยไว้เป็นเขตรอบๆบ้านเป็นรั้วป้องกันสัตว์ร้าย ที่แม้งูเห่าหากว่าคิดจะทำอันตรายก็เลื้อยเข้ายังไม่ทันสุดหางก็ตายคารั้วที่ตรงนั้น

    แก้วๆและคณะของผม ชาติต่อๆไปหากจะมีอันตรายผมก็ขอแบบนี้ และก็ได้พาพวกเขาทำบุญให้ทานทุกอย่างทั้งเรื่องประพฤติปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงภัยอันตราย หากว่าในชาติใดชาติหนึ่งหากพวกเขาต้องเผชิญชะตาชีวิตกันตามลำพังก็ขอให้บุญกุศลที่พวกเขาเองก็สั่งสมมาแล้วตั้งแต่ต้นก็จงเป็นเกราะแก้วครุ้มครองให้รอดปลอดภัย


    ทรัพย์สินของท่านโชติกะใครทำอะไรไม่ได้ฉันใด ทรัพย์สินของผม ผมก็ขอให้จงได้แบบนั้น แม้ผมจะปรารถนาพระโพธิญาณแต่ผมก็จะมีไว้สั่งสอนดัดสันดานอันธพาล ดัดสันดานโจรร้าย ผมเองก็อ้างถึงกุศลผลบุญยราศรีทั้งหลายที่เคยได้บำเพ็ญมาแล้วในอดีตตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ และที่จะมีเกิดขึ้นต่อเนื่องไปในอนาคตกาล อันเอนกอนันต์นั้น จงส่งผล ปกปักรักษาครุ้มครองป้องกัน หากมาอย่างอันธพาลก็จงเป็นแบบพระเจ้าอชาติศัตรู

    หมู่คณะญาติมิตรบริษัทบริวารของผม ผมตั้งความปรารถนาต้องการให้เขามีเขาได้ตามที่อธิฐานไว้ในทุกที่ทุกสถานในการสั่งสมบุญทานกองการกุศลทั้งปวงของผมแบบนี้
    ข้าพระพุทธเจ้าในฐานะที่ปรารถนาพระโพธิญาณวิริยาธิกะพิเศษ​


    ขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐมเป็นต้นลงมา มีพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง เป็นที่สุด และผลาอานิสงค์ กุศลผลบุญราศรี ที่ข้าพระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญมาแล้วในการปราถนาพระโพธิญาณวิริยาธิกะพิเศษ ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ และที่จะมีเกิดขึ้นต่อเนื่องไปในอนาคตกาลอันเอนกอนันต์นั้น

    และอานิสงค์ที่ญาตมิตรหมู่คณะทุกท่านได้ขวนขวายในบุญ ทานกองการกุศลทั้งปวงนี้ จงส่งผลให้ทุกท่านจงมีความสุข มีความปลอดภัย หากว่ายังต้องท่องเที่ยวไปในวัฏฏสงสารยังไม่บรรลุมรรคผลเข้าถึงซึ่งพระนิพพานเพียงใด

    ขอคำว่ายากจนเข็ญใจ คำว่าไม่มี คำว่าขัดข้อง คำว่าไม่รู้ คำว่าไม่สามารถ คำว่าเป็นที่สองรองใคร จงอย่าได้มีกับทุกท่าน และขอให้ไม่ว่าจะเกิดอีกเมื่อใดเท่าไรชาติก็ตาม ขอทุกคนจงเป็นผู้มีโภคทรัพย์มั่งคั่งล้นเปรี่ยมสมบูรณ์บริบูรณ์ไปด้วยประการทั้งปวง จงเป็นผู้มีร่างกายแข็งแรงพละกำลังเป็นเลิศ รูปร่าง ทรวดทรง หน้าตาผิวพรรณดีเป็นเลิศทั้งชายหญิงไม่เว้นแม้แต่สัตว์สักตัว จงเป็นผู้มีปฏิภาณปัญญาดีเป็นเลิศไม่เป็นสองรองใครในทุกที่ทุกสถานที่ไปเกิด จงเป็นผู้มีเดชเดชาศักดานุภาพมีอำนาจวาสนาบารมีมากตามคติของพระพุทธศาสนาคือพุทธบูชามหาเตชะวัณโต

    ขอจงอย่าได้เป็น ลูกจ้าง ลูกน้อง หรือเป็นบ่าวไพร่ผู้ใด ถ้าไม่เต็มใจปรารถนา ขอจงเป็นแต่เพียงเป็นนาย เป็นเจ้าของกิจการ ไม่ว่าจะเล็กหรือจะใหญ่จะมากมหาศาลสักปานใดก็มีความรู้ความสามารถปกครองดูแลได้

    ตลอดจนทรัพย์สินใดๆ ประดามี แม้แต่เศษด้ายที่ชายผ้า ถ้าไม่ให้ใครแล้วไซร้ใครก็เอาไปไม่ได้ ใครก็ทำอันตรายไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใครมีเดชเดชาศักดานุภาพ มีอำนาจวาสนามากสักเพียงใดก็ตาม

    แม้ภัยธรรมชาติทั้งปวงก็ทำอันตรายไม่ได้ ทั้งจากลม จากน้ำ จากไฟ


    และขอจงได้รับผลอานิสงค์พิเศษ หากว่าทุกท่านจะต้องหมดอายุขัยตายลงวันใด ขอจงเป็นผู้มีสติสัมปะชัญญะชัดเจนแจ่มใสนึกถึงพระ นึกถึงบุญทานกองการกุศลต่างๆได้ทั้งปวง อกุศลกรรมใดๆขอจงอ่อนกำลังเข้าแทรกไม่ได้เลยตลอดไป

    นับตั้งแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน เทอญ

    ฝากไว้ให้หมู่คณะญาติมิตรคนอันเป็นที่เคารพรักทุกๆท่านขอทุกคนจงกำหนดจดจำตั้งใจไว้แบบนี้และก็จงสั่งสมบุญทานกองการกุศลทั้งปวงเพื่อมรรคผลอย่างที่ผมได้ฝากไว้นี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 ธันวาคม 2015
  6. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    พี่บุญทรง องค์พระสวยมาก โมทนาสาธุอย่างยิ่งครับ
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,567
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    .............................
    จริงอย่างท่านว่าค่ะเมื่อก่อนคนมองแล้วเหลียวมองอีก เดี๋ยวนี้คนมองแล้วเมินหน้าหนี ความสวยไม่ยั่งยืนแต่ก็ยังอยากสวยแต่ขอตั้งจิตไว้ว่าถ้าใครเห็นก็ให้มีแต่ความเมตตา เอ่อ ถ้าทําเพื่อชาติ ศาสนา ก็ยอมนะ
    พูดถึงกระไดเลื่อนยังเสียวไส้ไม่หาย ตอนเอ้อระเหยที่Airport นุ่งกระโปรงยาว พอจะถึงขั้นสุดท้ายเหมือนมีอะไรกระตุกชายกระโปรง เหลียวมองแล้วรีบกระตุกกลับมาทันทีเพราะฟันซี่ๆกําลังจะเคี้ยวกระโปรงเราเข้าไปแล้ว แหม เป็นรอยนํ้ามันเป็นร่องๆเลย เคยอ่านเจอมีดาราที่เคยโดนเหลือแต่ชั้นในเลยต้องนั่งลงเอากระเป๋าบังจนเจ้าหน้าที่มาช่วย ใจหายๆ ธรรมะสวัสดีค่ะ
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,567
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    **พูดถึงเรื่องปีน มีนิทานเก่าๆที่ผู้หญิงไว้ผมจนยาวววมากแล้วปล่อยผมลงมาจากหน้าต่างให้ปีนขึ้นไป เอ ท่านใดนึกออกบ้างคะ
    **สงสัยท่านแก้วๆจะไปรอช่วยจากข้างบนและ หรือ เลือกที่จะมาเกิดตามที่ต้องการถ้าท่านไม่บวช ถ้าบวชก็รออยู่ข้างบน สาธุๆๆ
     
  9. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ก็ใช่อย่างที่คุณ TheVisionMind และซือเจ๊ว่านั่นแหละครับ เรื่องความสวยทางโลก หรือทางโลกีย์วิสัย ไม่มีความจีรังยั่งยืน มันมีระยะเวลาของมัน ความสวยของมนุษย์ปกติ คล้ายระยะเวลาของคอกไม้ที่เบ่งบาน มีแบบเริ่มออกดอกชูช่อ มีดอกที่เริ่มเต่งตูม เริ่มแรกแย้ม และเบ่งบานสะพรั่งเต็มวัย จากนั้นก็ร่วงโรย ไปตามธรรมชาติกาลเวลาสวยแบบนี้หากยังสวยในวัฏสงสารมันก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ แล้วก็เต็มไปด้วยภัยอันตรายเพราะความสวย เรื่องนี้ผู้หญิงทุกๆคนน่าจะเข้าใจได้ดีเรื่องภัยอันตรายเพราะความสวย

    เพราะฉนั้นเมื่อเรารู้ภัยอันตรายแบบนี้ คนที่สวยก็ต้องเตรียมความพร้อมทุกรูปแบบไม่อย่างนั้นก็เอาตัวไม่รอด แก้วๆของผมแกก็ฝึกฝนของแกตามเรื่องตามราว แกก็มีต้นฉบับแม่แบบ แม่พิมพ์ในพระเดชพระหลวงพ่อ คือท่านแม่ใหญ่พรรณวดีศรีโสภาคเคยเป็นเลิศโดดเด่นเป็นสง่าทุกรูปแบบอย่างไร และแม่รองอย่างไรแกก็จะพากันทำแบบนั้น ไม่อย่างนั้นมันไม่สะบายใจ แกบอกว่าถ้าไม่อย่างนั้นเข้าพระนิพพานก็ไปอายเขากันที่พระนิพพานอีก อุตส่าห์หลับหูหลับตาติดตามผม พ่อแม่พูดอย่างไรไม่พากันฟัง ญาติพี่น้องพูดก็ไม่ฟังอีก จะไปกับผมแบบนี้แหละ ทุกข์ยากสาหัสอย่างไรก็จะติดตามสองแก้วนี้กำลังใจสำหรับผมถือว่าวางใจได้ โดยฉเพาะแก้วเล็กจอมจัดการ จอมบุ๊ดุเดือดเมื่อถีงคราวจำเป็น แก้วนี้หากวันหนึ่งวันใดที่เขาพร้อม ที่เรียกว่าเป็นวันของเขานี่ผมนอนตาหลับ วางใจได้ในทุกรูปแบบ

    เมื่อเขาเป็นเป็นแบบนั้นมันหันหลังกลับไม่ได้ เรียกว่าศักดิ์ศรีมันค้ำคอมันต้องเดินหน้าไปหาดี และดีที่สุดของพวกเราให้จงได้ ไม่งั้นหากว่าวันหนึ่งวันใดชาติหนึ่งชาติใดเกิดสวยมากแล้วพ่อแม่รักอย่างแก้วตาดวงใจ ถูกขังไว้บนปราสาท เมื่อหนีพ่อแม่ลงมาแล้วหากไม่ได้ดีนี่มันกลับขึ้นไปไม่ได้มันอายพ่อแม่ญาติพี่น้อง แล้วเมื่อลงมามันก็ต้องมีความพร้อมครบเครื่องสมบูรณ์แบบ เพราะถึงแม้อยู่บนปราสาทก็จริง พ่อแม่ระดับนั้นคงไม่ปล่อยให้แก้วๆของผมต้องถึงกลับโง่อ่านหนังสือไม่ออก ถึงแม้ไปใหนไม่ได้ แต่ครูบาอาจารย์ทิสาปราโมกข์ทั้งหลายก็มาหาได้นี่ มาสอนได้ถึงบนปราสาท หากว่าเป็นแบบนั้น คนที่เป็นมหาเศรษฐี เขาคงไม่ปล่อยให้ลูกสาวเขาโง่ หากว่าลูกหญิงลูกชายโง่กว่า ลูกจ้างลูกน้อง โง่กว่าข้าทาสบริวาร โง่กว่าหมู่ญาติ ที่โลบโมโทสัน มันรักษาทรัพย์ไว้ไม่ได้ หากพ่อแม่ตายไป หากลูกสาวโง่ก็ถูกเขาทรยศคดโกงเอาได้ ปราสาทที่เคยอยู่ได้ก็เลยอยู่ไม่ได้ เรื่องนี้แก้วๆรอบด้าน ทั้งพ่อแก้วแม่แก้ว เมียแก้ว น้องเมียก็ยังจะแก้ว เพี่อนๆเมียก็จะพลอยแก้ว เพื่อนแก้ว ลูกแก้ว หลานเหลนแก้ว ของผมทั้งหลาย ผมก็พยายยามบังคับขู่เข็ญ ฉุดกระชากลากดึง ทั้งประคอง ทั้งอุ้มทั้งแบก แล้วก็กราบวิงวอน ขอร้อง ขอเขาว่าอย่าได้ประมาทเรื่องเหล่านี้ หากจะต้องเผลอไปเป็นคนสวย เป็นคนรวย อย่าลืมเตรียมความพร้อมเรื่องเป็นคนมีไหวพริบ ปฏิภาญปัญญาดี เดชเดชาศักดานุภาพ ตบะ พละกำลัง ให้เตรียมพร้อมให้ดี


    เตรียมให้ดีทำไง ก็ทำอย่างแก้วเล็กแกทำของแกทุกวันถวายข้าวบูชาสมเด็จองค์ปฐมทุกวัน อย่างหนึ่งเป็นพุทธบูชา การเคารพพระพุทธเจ้าทำให้มีเดชอำนาจมาก แล้วการให้ข้าวชื่อว่าให้กำลัง สวยแต่กำลังไม่ดี มันก็ไม่ได้ มันต้องกำลังดีด้วย หากกำลังไม่ดี มันสวมใส่เครื่องลดามหาปสาธน์ไม่ได้ กำลังก็ต้องดีเลิศพิเศษอย่างท่านวิสาขา

    ทีนี้หากว่าแก้วใดแก้วหนึ่ง ชาติใดชาติหนึ่ง เผลอไปเป็นคนสวยเข้า แล้วต้องถูกกองทัพยกมาล้อม หรือพี่โก๋ใหนก็ตาม หากว่าไม่ใช่คู่ครองกันมาก่อนในอดีต แล้วทะลึ่งมาปิดมาล้อม มาบิดแมงกะไซร์แว๊นๆ รบกวนให้รำคารบอกให้กลับไปก็ไม่กลับ อยากจะลองของ แก้วๆก็ออกมาด้วยตัวเองซะเลย แล้วตรงดิ่งไปหา ไม่ต้องถามชื่อแซ่ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ไปถึงก็ปาดหลังมือซะหนึ่งฉาด เอาว่าแม้นั่งอยู่บนยานพาหนะ หลังม้าหรือคอช้างก็ตาม เอาแค่ร่วงลงมาก็พอ นี่แค่หลังมือ หากเป็นแก้วใหญ่นั่นเคยหวดพี่โก๋ซะด้วยแข้ง ร่วงกลางงานวัดมาแล้ว นี่ทุกแก้วในอนาคตพิษสงต้องรอบตัว ไม่งั้นมันพิเศษไม่ได้ มันก็ได้แค่สวย แค่รวย ปรกติ มันไม่สวยพิเศษ มันไม่รวยเป็นพิเศษ นี่ที่พวกเราสั่งสมของเรากันมาแบบนี้ใจมันเป็นแบบนี้ และจะตลอดไปจนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF4929.JPG
      DSCF4929.JPG
      ขนาดไฟล์:
      63.7 KB
      เปิดดู:
      26
    • DSCF5773.JPG
      DSCF5773.JPG
      ขนาดไฟล์:
      88.5 KB
      เปิดดู:
      59
    • DSCN7490.JPG
      DSCN7490.JPG
      ขนาดไฟล์:
      106.5 KB
      เปิดดู:
      58
    • DSCN8031.JPG
      DSCN8031.JPG
      ขนาดไฟล์:
      84 KB
      เปิดดู:
      67
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 ธันวาคม 2015
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,567
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
  11. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    สวัสดีครับ พี่พีซีโอ อาซือเจ๊ พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน ขอความเห็น พี่ๆน้องในห้องนี้ ไม่เกี่ยวกับใคร ขอความเห็นครับ สงสัยเหมือนกัน


    ภิกษุณี เกิดขึ้น ในเมืองไทยเรา มากมาย หลายวัด มีทุกภาค ทั่วประเทศ จริงๆภิกษุณี ได้ ล้มหาย ตายจากไปเมื่อ พ.ศ. พันกว่าปี และศูนย์พันธุ์ ไปโดยสิ้นเชิง และหลวงพ่อ ท่านก็ได้บอกไว้แล้ว ว่าหมดไปนาน ภิกษุณี ต้องบวช ในสำนัก ภิกษุณี แล้วมาบวชในสำนัก ภิกษุอีกที จึงจะสำเร็จ สมบูรณ์ เป็นภิกษุณี แล้วเหตุนี้ จึงมีภิกษุณี เกิดขึ้นอีกได้ อย่างไร ขั้นแรก พระพุทธเจ้า ทรงบวชให้ และต่อๆมา ก็คง มีภิกษุณี เป็นอุปปัจฌาย์ ที่บวชผ่าน ทั้ง ๒ สำนัก ในเมื่อ ภิกษุณีไม่มีแล้ว จะบวชยังไง มันจะเป็นภิกษุณี ได้อย่างไร ขอความเห็นจาก พี่ พีซีโอหน่อย รู้สึก มันจะทำให้คนทั้งหลาย ไขว้เขว กันใหญ่แล้ว



    ภิกษุณี ถือศิล ๓๑๗ ข้อ ถ้าจำไม่ผิดๆขออภัย ขอให้บอกด้วยใช่ไหมพี่ ภิกษุณี ถือสิล ๓๑๗ ข้อ ปาราชิก ๘ ข้อ มากกว่าพระอีกครึ่งหนึ่ง เอาแค่ ศิล ๕ ศิล ๘ ยังทำกันไม่ค่อยจะได้ และศิล ๕ ศิล ๘ ก็ทำให้ถึง มรรคผลได้ง่ายกว่า ยังไม่เอากัน ดันไป จะรักษาศิล ๓๑๗ ข้อ มันมีอะไร แอบแฝงกัน อยู่หรือเปล่าครับ เสียดาย ความรู้ ที่มีอยู่กันจริงๆครับ เอาแค่ ศิลพรหมจรรย์ ศิล ๘ ถ้าปฏิบัติ จริงๆ ตั้งแต่เบื้องต้น พระโสดาบัน จนถึง พระอนาคามี ถ้าจบกิจ เป็นพระอรหันต์ ก็นิพพานวันนี้เลย ขอพี่มาคุยกันหน่อย และพี่ๆน้อง ที่ ต้องการอยากรู้ ผมก้อยากรู้ มันทำให้ พี่ๆน้องคนไทย ไขว้เขวกันไปหมด มันมี อคติไม่พอ ทำให้ คนทั่วไป มีอัคติไปด้วย และหมายถึง ความแตกแยกด้วย ใช่หรือไม่ ครับ
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,567
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    อ่านแล้วที่คุณน้องเขียนไว้ก่อนที่เขาจะลบทิ้ง เราก็ต้อง"ทําใจ"ไปนะคะ ฟังและอ่านมาเยอะเลยไม่อยากพูด เพราะบางท่านก็มีความรู้มากและสอนพระอยู่
     
  13. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    พี่บุญทรง นี่ผมย่องไปคัดลอกของเขามา ได้เรื่องมาแบบนี้ครับ

    ศีลของพระภิกษุณีมี 311 ข้อ และจะต้องมีครุธัมมปฏิบัติอีกแปดประการ
    <TABLE class="sites-layout-name-one-column sites-layout-hbox" cellSpacing=0 xmlns="http://www.w3.org/1999/xhtml"> <TBODY> <TR> <TD class="sites-layout-tile sites-tile-name-content-1">
    ข้อปฏิบัติของภิกษุณี ๘ ประการ (ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา)
    ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา คือ เงื่อนไขอย่างเข้มงวด 8 ประการ ที่ภิกษุณีจะต้องปฏิบัติตลอดชีวิตอันได้แก่
    1. ต้องเคารพภิกษุแม้จะอ่อนพรรษากว่า
    2. ต้องไม่จำพรรษาในวัดที่ไม่มีภิกษุ
    3. ต้องทำอุโบสถและรับโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน
    4. เมื่อออกพรรษาต้องปวารณาตนต่อภิกษุและภิกษุณีอื่นให้ตักเตือนตน
    5. เมื่อต้องอาบัติหนัก ต้องรับมานัต (รับโทษ) จากสงฆ์สองฝ่าย คือ ทั้งฝ่ายภิกษุและภิกษุณี 15 วัน
    6. ต้องบวชจากสงฆ์ทั้งสองฝ่าย หลังจากเป็น *สิกขามานา เต็มแล้วสองปี
    7. จะด่าว่าค่อนแคะภิกษุไม่ได้
    8. ห้ามสอนภิกษุเด็ดขาด
    *สิกขามานา แปลว่า ผู้ศึกษา สตรีที่จะบวชเป็นภิกษุณีต้องเป็นนางสิกขามานา ก่อน 2 ปี


    พระภิกษุณีต้องถือศีล 311 ข้อ อันได้แก่
    ศีล 311 ข้อที่เป็นวินัยของภิกษุณีสงฆ์ ทำผิดถือว่าเป็นอาบัติ สามารถแบ่งออกได้เป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นรุนแรงจนกระทั่งเบาที่สุดได้ดังนี้ ได้แก่ ปาราชิก มี 8 สังฆาทิเสส มี 17 นิสสัคคิยปาจิตตีย์ มี 30 (อาบัติที่ต้องสละสิ่งของว่าด้วยเรื่องจีวร ไหม บาตร อย่างละ 10 ข้อ) ปาจิตตีย์ มี 166 (ว่าด้วยอาบัติที่ไม่ต้องสละสิ่งของ)
    ปาฏิเทสนียะ มี 8 ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่พึงแสดงคืน) เสขิยะ มี 75 ข้อ (ข้อที่ภิกษุณีพึงศึกษาเรื่องมารยาท) แบ่งเป็น อธิกรณสมถะ มี 7 ข้อ (ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์) รวมทั้งหมดแล้ว 311 ข้อ ผิดข้อใดข้อหนึ่งถือว่าต้องอาบัติ การแสดงอาบัติสามารถกล่าวกับพระภิกษุณีรูปอื่นเพื่อเป็นการแสดงตนต่อความผิดได้ แต่ถ้าถึงขั้นปาราชิกก็ต้องสึกอย่างเดียว



    ๐ ปาราชิก มี 8 ข้อได้แก่
    1. เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวผู้ (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
    2. ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย)
    3.พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน)หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์
    4. กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)
    5.นางภิกษุณีมีความกำหนัดยินดีการลูบ, การคลำ, การจับ, การต้อง, การบีบ, ของชายผู้มีความกำหนัด เบื้องบนตั้งแต่ใต้รากขวัญ 1 ลงไป เบื้องต่ำตั้งแต่เข่าขึ้นมา
    6.นางภิกษุณีรู้ว่านางภิกษุณีอื่นต้องอาบัติปาราชิก ไม่โจทด้วยตนเอง ไม่บอกแก่หมู่คณะ ต้องอาบัติปาราชิก.
    7.นางภิกษุณีประพฤติตามภิกษุที่สงฆ์สวดประกาศยกเสียจากหมู่ เป็นผู้ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่ทำคืน ไม่ทำตนให้เป็นสหายกับพระธรรม พระวินัย คำสอนของพระศาสดา. นางภิกษุณีนั้น อันสงฆ์พึงตักเตือน เมื่อไม่เชื่อฟัง จึงสวดประกาศตักเตือนชี้แจง ถ้าสวดประกาศครบ 3 ครั้ง ยังไม่ละเลิก ต้องอาบัติปาราชิก.
    8.นางภิกษุณีที่เป็นคณะเดียวกัน 6 รูป ประพฤติตนไม่สมควร มียินดีการจับมือบ้าง การจับชายสังฆาฏิบ้าง ของบุรุษ ยืนกับบุรุษบ้าง พูดจากับเขาบ้าง นัดหมายกับเขาบ้าง ยินดีการมาตามนัดหมายของเขาบ้าง เข้าไปสู่ที่มุงด้วยกันบ้าง ทอดกายให้เขาเพื่อเสพอสัทธรรมบ้าง พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาราชิกแก่นางภิกษุณีผู้ประพฤติเช่นนั้น


    ๐ สังฆาทิเสส มี 17 ข้อ ถือเป็นความผิดหากทำสิ่งใดต่อไปนี้
    9.นางภิกษุณีฟ้องความกับคฤหบดี บุตรคฤหบดี ทาส กรรมกร หรือแม้โดยที่สุดกับสมณะนักบวช ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    10.นางภิกษุณีรู้อยู่ รับสตรีซึ่งเป็นโจร อันคนทั้งหลายรู้ว่ามีโทษประหาร ให้อยู่ (ให้บวช) โดยไม่บอกเล่า พระราชา, สงฆ์, คณะ, หมู่, พวก เว้นแต่ผู้ที่สมควร (คือบวชในลัทธิอื่นแล้ว หรือบวชในสำนักนางภิกษุณีอื่นอยู่แล้ว) ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    11.นางภิกษุณีแต่ลำพังผู้เดียวไปสู่ละแวกบ้านก็ตาม, ข้ามแม่น้ำก็ตาม, ค้างคืนก็ตาม, ล้าหลังแยกจากหมู่ (ในการเดินทาง) ก็ตาม ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    12.นางภิกษุณีไม่บอกกล่าวสงฆ์ผู้ทำการ ไม่รู้ฉันทะ (ไม่ได้รับความยินยอม) ของคณะ เปลื้องโทษ นางภิกษุณีที่สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันยกเสียจากหมู่ ตามธรรม ตามวินัย ตามสัตถุศาสนา ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    13.นางภิกษุณีมีความกำหนัด รับของเคี้ยวของฉันจากมือบุรุษผู้มีความกำหนัด ด้วยมือของตนมาเคี้ยว มาฉัน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    14.นางภิกษุณีผู้พูดจูงใจให้ย่อหย่อนพระวินัยต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    15. ห้ามกล่าวาจา บอกคืนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เมื่อโกรธเคือง และเมื่อกล่าวไปแล้ว ให้ภิกษุณีสงฆ์ตักเตือน เมื่อไม่เชื่อฟัง จึงสวดประกาศตักเตือน ถ้าครบ 3 ครั้งแล้ว ยังไม่เลิกละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
    16.ห้ามติเตียนภิกษุณีว่านางภิกษุณีทั้งหลาย ลุแก่อคติ 4 และให้ภิกษุณีสงฆ์ตักเตือน เมื่อไม่เชื่อฟัง จึงสวดประกาศตักเตือน ถ้าครบ 3 ครั้งแล้ว ยังไม่เลิกละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
    17.ห้ามรวมกลุ่มกันประพฤติเสื่อมเสีย มีชื่อเสียงไม่ดี เบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ ปกปิดความชั่วของกันและกันและให้ภิกษุณีสงฆ์ตักเตือน เมื่อไม่เชื่อฟัง จึงสวดประกาศตักเตือน ถ้าครบ 3 ครั้งแล้ว ยังไม่เลิกละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    18.ห้ามนางภิกษุณี กล่าวกะนางภิกษุณีที่ถูกสงฆ์สวดประกาศตักเตือนถ้ามีใครขืนทำ ให้ภิกษุณีสงฆ์ตักเตือน ถ้าไม่ฟัง ให้สวดประกาศเตือน ครบ 3 ครั้งแล้ว ยังไม่ละเลิก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    19.ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย แม้สามีกับภรรยา หรือแม้แต่หญิงขายบริการ
    20. แกล้งใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
    21. แกล้งสมมุติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
    22. ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน
    23. เป็นพวกของผู้ที่ทำสงฆ์ให้แตกกัน
    24. เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง 3 ครั้ง
    25. ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ประจบคฤหัสถ์



    ๐ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ มี 30 ข้อ ถือเป็นความผิดได้แก่
    26. ห้ามสะสมบาตร
    27. ห้ามอธิษฐานจีวรนอกกาลและแจกจ่าย
    28. ห้ามชิงจีวรคืนเมื่อแลกเปลี่ยนกันแล้ว
    29. ห้ามขอของอย่างหนึ่งแล้วขออย่างอื่นอีก
    30. ห้ามสั่งซื้อของกลับกลอก
    31. ห้ามจ่ายของผิดวัตถุประสงค์เดิม
    32. ห้ามขอของมาจ่ายแลกของอื่น
    33. ห้ามพูดติเตียนเมื่อถูกลงโทษโดยธรรม
    34. ห้ามขอของของคณะมาจ่ายแลกของอื่น
    35. ห้ามขอของบุคคลมาจ่ายแลกของอื่น
    36. ห้ามขอผ้าห่มหนาวเกินราคา
    37. ห้ามขอผ้าห่มฤดูร้อน เกินราคา
    38. เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน 10 วัน
    39. อยู่โดยปราศจากจีวรแม้แต่คืนเดียว
    40. เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด 1 เดือน
    41. ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย
    42. รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป
    43. พูดทำนองขอจีวรดีๆ กว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิม
    44. พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย
    45. ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า 3 ครั้ง
    46. รับเงินทอง
    47. ซื้อขายด้วยเงินทอง
    48. ซื้อขายโดยใช้ของแลก
    49. ขอบาตร เมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน 5 แห่ง
    50. เก็บเภสัช 5 (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย) ไว้เกิน 7 วัน
    51. แสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด 1 เดือนก่อนหน้าฝน
    52. ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วชิงคืนในภายหลัง
    53. ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร
    54. กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น
    55. น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน


    ปาจิตตีย์ มี 166 ข้อได้แก่
    56.ห้ามฉันกระเทียม
    57.ห้ามนำขนในที่แคบออก ที่แคบได้แก่ ขนรักแร่ และช่องให้กำเนิด
    58.ห้ามใช้ฝ่ามือตบกันด้วยความกำหนัด
    59.ห้ามใช้สิ่งที่ทำด้วยยางไม้ (คำว่า ยางไม้ กินความถึงไม้, แป้ง, ดินเหนียว โดยที่สุด แม้ใบบัว) ใส่ในช่องให้กำเนิด
    60.ห้ามชำระ (ช่องให้กำเนิด) ลึกเกิน 2 ข้อนิ้ว
    61.ห้ามเข้าไปยืนถือน้ำและพัดในขณะที่ภิกษุกำลังฉัน
    62.ห้ามทำการหลายอย่างกับข้าวเปลือกดิบ (นางภิกษุณีผู้ขอเอง, ใช้ให้ขอ, ฝัดเอง, ใช้ให้ฝัด, ตำเอง, ใช้ให้ตำ ซึ่งข้าวเปลือกดิบ. หุงต้มเอง ใช้ให้หุงต้ม ฉันข้าวนั้น หรือการฉันข้าวที่ตนทำเองต้องอาบัติ)
    63.ห้ามทิ้งของนอกฝานอกกำแพง
    64.ห้ามทิ้งของเช่นนั้นลงบนของเขียวสด
    65.ห้ามไปดูฟ้อนรำขับร้อง
    66.ห้ามยืนหรือสนทนาสองต่อสองกับบุรุษในที่มืด
    67.ห้ามยืนหรือสนทนาสองต่อสองกับบุรุษในที่ลับ
    68.ห้ามยืนหรือสนทนาสองต่อสองกับบุรุษในที่แจ้ง
    69.ห้ามทำเช่นนั้นในที่อื่นอีก (ทำเช่นนั้น คือ ภิกษุณี กับบุรุษสองต่อสอง ยืนอยู่บ้าง สนทนากันบ้าง กระซิบที่หูกันบ้าง ส่งนางภิกษุณีที่เป็นเพื่อนไปเสียบ้าง ในถนนรกบ้าง ในถนนตันบ้าง (ถนนเช่นนี้ เข้าทางไหนต้องออกทางนั้น) ในทางแยกบ้าง)
    70. ห้ามเข้าบ้านผู้อื่นแล้วเวลากลับไม่บอกลา
    71. ห้ามนั่งนอนบนอาสนะโดยไม่บอกเจ้าของบ้านก่อน
    72. ห้ามปูลาดที่นอนในบ้านโดยไม่บอกเจ้าของบ้าน
    73. ห้ามติเตียนผู้อื่นไม่ตรงกับที่ฟังมา
    74. ห้ามสาปแช่งด้วยเรื่องนรกหรือพรหมจรรย์
    75. ห้ามทำร้ายตัวเองแล้วร้องไห้
    76. ห้ามเปลือยกายอาบน้ำ
    77. ห้ามทำผ้าอาบน้ำยาวใหญ่เกินประมาณ
    78. ห้ามพูดแล้วไม่ทำ
    79. ห้ามเว้นการใช้ผ้าซ้อนนอกเกิน 5 วัน(หมายเหตุ : ตามธรรมดานางภิกษุณีมีผ้าสำหรับใช้ประจำ 5 ผืน คือ (1) สังฆาฏิ (ผ้าซ้อนนอก สำหรับใช้เมื่อหนาว)
    (2) อุตตราสงค์ (ผ้าห่ม)
    (3) อันตรวาสก (ผ้านุ่ง)
    (4) สังกัจฉิกะ (ผ้ารัดหรือผ้าโอบ)
    (5) อุทกสาฏิกา (ผ้าอาบน้ำ)
    พิจารณาดูตามสิกขาบทนี้ เป็นเชิงห้าม เว้นการใช้ผ้าซ้อนนอก คือสังฆาฏิอย่างเดียว แต่ในคำอธิบายท้ายสิกขาบท ขยายความเป็นว่า เว้นผืนใดผืนหนึ่งใน 5 ผืน เกิน 5 วันไม่ได้ คำว่า เว้น คือไม่นุ่งไม่ห่มหรือไม่ตากแดด).
    80. ห้ามใช้จีวรสับกับของผู้อื่น
    81. ห้ามทำอันตรายลาภจีวรของสงฆ์
    82. ห้ามยับยั้งการแบ่งจีวรอันเป็นธรรม
    83. ห้ามให้สมณจีวรแก่คฤหัสถ์หรือนักบวช
    84. ห้ามทำให้กิจการชะงักด้วยความหวังลอย ๆ
    85. ห้ามคัดค้านการเพิกถอนกฐินที่ถูกธรรม
    86. ห้ามนอนบนเตียงเดียวกันสองรูป
    87. ห้ามใช้เครื่องปูลาดและผ้าห่มร่วมกันสองรูป
    88. ห้ามแกล้งก่อความรำคาญแก่นางภิกษุณี
    89. ห้ามเพิกเฉยเมื่อศิษย์ไม่สบาย
    90. ห้ามฉุดคร่านางภิกษุณีออกจากที่อยู่
    91. ห้ามคลุกคลีกับคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี
    92. ห้ามเดินทางเปลี่ยวตามลำพัง
    93. ห้ามเดินทางเช่นนั้นนอกแว่นแคว้น
    94. ห้ามเดินทางภายในพรรษา
    95. ห้ามอยู่ประจำที่เมื่อจำพรรษาแล้ว
    96. ห้ามไปดูพระราชวังและอาคารอันวิจิตร เป็นต้น
    97. ห้ามใช้อาสันทิและบัลลังก์
    98. ห้ามกรอด้าย
    99. ห้ามรับใช้คฤหัสถ์
    100. ห้ามรับปากแล้วไม่ระงับอธิกรณ์
    101. ห้ามให้ของกินแก่คฤหัสถ์ เป็นต้น ด้วยมือ
    102. ห้ามใช้ผ้านุ่งสำหรับผู้มีประจำเดือนเกิน ๓ วัน
    103. ห้ามครอบครองที่อยู่เป็นการประจำ
    104. ห้ามเรียนติรัจฉานวิชชา
    105. ห้ามสอนติรัจฉานวิชชา
    106. ห้ามเข้าไปในวัดที่มีภิกษุโดยไม่บอกล่วงหน้า
    107. ห้ามด่าหรือบริภาษภิกษุ
    108. ห้ามบริภาษภิกษุณีสงฆ์
    109. ห้ามฉันอีกเมื่อรับนิมนต์หรือเลิกฉันแล้ว
    110. ห้ามพูดกีดกันภิกษุณีอื่น
    111. ห้ามจำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ
    112. ห้ามการขาดปวารณาในสงฆ์สองฝ่าย
    113. ห้ามการขาดรับโอวาทและการขาดการอยู่ร่วม
    114. ห้ามการขาดถามอุโบสถและการไปรับโอวาท
    115. ห้ามให้บุรุษบีบฝี ผ่าฝี เป็นต้น
    116. ห้ามให้บวชแก่หญิงมีครรภ์
    117. ห้ามให้บวชแก่หญิงที่ยังมีเด็กดื่มนม
    118. ห้ามให้บวชแก่นางสิกขมานาซึ่งศึกษายังไม่ครบ 2 ปี
    119. ห้ามให้บวชแก่นางสิกขมานาที่สงฆ์ยังมิได้สวดสมมติ
    120. ห้ามให้บวชแก่หญิงที่มีสามีแล้ว แต่อายุยังไม่ถึง 12
    121. ห้ามให้บวชแก่หญิงเช่นนั้นอายุครบ 12 แล้ว (หมายความถึงตามข้อ 120) แต่ยังมิได้ศึกษา 2 ปี
    122. ห้ามให้บวชแก่หญิงเช่นนั้นที่ศึกษา 2 ปีแล้ว(หมายความถึงตามข้อ 120) แต่สงฆ์ยังมิได้สวดสมมติ
    123. ห้ามเพิกเฉยไม่อนุเคราะห์ศิษย์ที่บวชแล้ว
    124. ห้ามนางภิกษุณีแยกจากอุปัชฌายะ คือไม่ติดตามครบ 2 ปี
    125. ห้ามเพิกเฉยไม่พาศิษย์ไปที่อื่น
    126. ห้ามให้บวชแก่หญิงสาวที่อายุไม่ครบ 20 ปี(หมายเหตุ : พึงสังเกตว่า หญิงที่มีสามีแล้ว อายุครบ 12 จะบวชเป็นนางภิกษุณี ต้องเป็นนางสิกขมานาศึกษาอยู่อีก 2 ปี จนอายุครบ 14 ปีบริบูรณ์แล้ว จึงบวชเป็นนางภิกษุณีได้แต่ถ้ายังมิได้สามี ต้องอายุครบ 20 จึงบวชได้. แต่ก่อนจะบวชเป็นนางภิกษุณี จะต้องเป็นนางสิกขมานา 2 ปี ทุกรายไป. ฉะนั้น หญิงที่ประสงค์จะบวชเป็นนางภิกษุณี เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จะต้องบวชเป็นสามเณรีและเป็นนางสิกขมานาก่อนอายุครบ เพื่อไม่ต้องยึดเวลาเป็นนางสิกขมานาเมื่ออายุครบแล้ว)
    127. ห้ามบวชหญิงที่อายุครบ แต่ยังมิได้ศึกษาครบ 2 ปี
    128. ห้ามบวชหญิงที่ศึกษาครบ 2 ปีแล้ว แต่สงฆ์ยังมิได้สมมติ
    129. ห้ามเป็นอุปัชฌาย์เมื่อพรรษาไม่ครบ 12
    130. ห้ามเป็นอุปัชฌาย์โดยที่สงฆ์มิได้สมมติ
    131. ห้ามรับรู้แล้วติเตียนในภายหลัง
    132. ห้ามรับปากว่าจะบวชให้ แล้วกลับไม่บวชให้
    133. ห้ามรับปากแล้วไม่บวชให้ในกรณีอื่น
    134. ห้ามบวชให้นางสิกขมานาที่ประพฤติไม่ดี
    135. ห้ามบวชให้นางสิกขมานาที่มารดาบิดาหรือสามีไม่อนุญาต
    136. ห้ามทำกลับกลอกในการบวช
    137. ห้ามบวชให้คนทุกปี
    138. ห้ามบวชให้ปีละ 2 คน
    139. ห้ามใช้ร่มใช้รองเท้า เว้นแต่จะไม่สบาย
    140. ห้ามไปด้วยยาน เว้นแต่ไม่สบาย
    (หมายเหตุ : ทั้งสองสิกขาบทนี้ เห็นได้ว่าเพื่อมิให้ถูกติว่าเลียนแบบคฤหัสถ์ เป็นการบัญญัติตามกาลเทศ และสิ่งแวดล้อม. ตกมาถึงสมัยนี้ ความรังเกียจคงเปลี่ยนแปลงไป. สิกขาบทเหล่านี้ จึงคงอยู่ในประเภทที่ทรงอนุญาตไว้ก่อนปรินิพพานว่า ถ้าจะถอนสิกขาบทเล็กน้อยก็ถอนได้ เป็นการเปิดทางให้กาลเทศะ แต่พระสาวกสมัยสังคายนาเห็นว่า ถ้าปล่อยให้ถอนกันตามชอบใจ จะยุ่งกันใหญ่ คืออาจจะไปถอนสิกขาบทที่สำคัญเข้า แต่เห็นเป็นไม่สำคัญ ฉะนั้น ท่านจึงสวดประกาศห้ามถอน เป็นการใช้อำนาจสงฆ์สั่งการ เช่นนั้น).
    141.ห้ามใช้ผ้าหยักรั้ง
    142.ห้ามใช้เครื่องประดับกายสำหรับหญิง
    143. ห้ามอาบน้ำหอมและน้ำมีสี
    144. ห้ามอาบน้ำด้วยแป้งงาอบ
    145. ห้ามให้นางภิกษุณีทาน้ำมันหรือนวด
    146. ห้ามให้นางสิกขามานาทาน้ำมันหรือนวด
    147. ห้ามให้สามเณรีทาน้ำมันหรือนวด
    148.ห้ามให้นางคหินีทาน้ำมันหรือนวด
    149.ห้ามนั่งหน้าภิกษุโดยไม่บอกก่อน
    150.ห้ามถามปัญหาภิกษุโดยไม่ขอโอกาส
    151.ห้ามเข้าบ้านโดยไม่ใช้ผ้ารัดหรือผ้าโอบ
    152.ห้ามพูดปด
    153.ห้ามด่า
    154.ห้ามพูดส่อเสียด
    155.ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับผู้ไม่ได้บวชในขณะสอน
    156.ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช้ภิกษุณี)เกิน 3 คืน
    157.ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง
    158.ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง
    159.ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ผู้มิได้บวช
    160.ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช
    161.ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด
    162.ห้ามทำลายต้นไม้
    163.ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน
    164.ห้ามติเตียนภิกษุผู้ทำการสงฆ์โดยชอบ
    165.ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง
    166.ห้ามปล่อยที่นอนไว้ ไม่เก็บงำ
    167.ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน
    168.ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์
    169.ห้ามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยู่ชั้นบน
    170.ห้ามพอกหลังคาวิหารเกิน 3 ชั้น
    171.ห้ามเอาน้ำมีสัตว์รดหญ้าหรือดิน
    172.ห้ามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน 3 มื้อ
    173.ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม
    174.ห้ามรับบิณฑบาตเกิน 3 บาตร
    175.ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล
    176.ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน
    177.ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน
    178.ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ
    179.ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลที่มีคน 2 คน
    180.ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับมาตุคาม (ผู้หญิง)
    181.ห้ามนั่งในที่ลับ (หู) สองต่อสองกับมาตุคาม
    182.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลา
    183.ห้ามขอของเกินกำหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว้
    184.ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป
    185.ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน 3 คืน
    186.ห้ามดูเขารบกันเป็นต้น เมื่อไปในกองทัพ
    187.ห้ามดื่มสุราเมรัย
    188.ห้ามจี้ภิกษุ
    189.ห้ามว่ายน้ำเล่น
    190.ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย
    191.ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว
    192.ห้ามติดไฟเพื่อผิง
    193.ห้ามอาบน้ำบ่อยๆ เว้นแต่มีเหตุ
    194.ให้ทำเครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม
    195.วิกัปจีวรไว้แล้ว (ทำให้เป็นสองเจ้าของ-ให้ยืมใช้) จะใช้ต้องถอนก่อน
    196.ห้ามเล่นซ่อนบริขารของภิกษุอื่น
    197.ห้ามฆ่าสัตว์
    198.ห้ามใช้น้ำมีตัวสัตว์
    199.ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์ (คดีความ-ข้อโต้เถียง) ที่ชำระเป็นธรรมแล้ว
    200.ห้ามชวนพ่อค้าผู้หนีภาษีเดินทางร่วมกัน
    201.ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย (ภิกษุอื่นห้ามและสวดประกาศเกิน 3 ครั้ง)
    202.ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
    203.ห้ามคบสามเณรผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
    204.ห้ามพูดไถลเมื่อทำผิดแล้ว
    205.ห้ามกล่าวติเตียนสิกขาบท
    206.ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์
    207.ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ
    208.ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ
    209.ห้ามโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไม่มีมูล
    210.ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่น
    211.ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน
    212.ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน
    213.ขณะกำลังประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ
    214.ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้ามติเตียนภายหลัง
    215.ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล
    216.ห้ามเก็บของมีค่าที่ตกอยู่
    217.ห้ามทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์
    218.ห้ามทำเตียง ตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ
    219.ห้ามทำเตียง ตั่งที่หุ้มด้วยนุ่น
    220.ห้ามทำผ้าปิดฝีมีขนาดเกินประมาณ
    221.ห้ามทำจีวรมีขนาดเกินประมาณ




    ปาฏิเทสนียะ 8 ข้อห้ามขอโภชนะประณีต 8 อย่าง
    222. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค เนยใส
    223. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค น้ำมัน
    224. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค น้ำผึ้ง
    225. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค น้ำอ้อย
    226. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค ปลา
    227. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภคเนื้อ
    228. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค นม
    229. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค นมสด



    สารูป มี 26 ข้อได้แก่
    230. นุ่งให้เป็นปริมณฑล (ล่างปิดเข่า บนปิดสะดือไม่ห้อยหน้าห้อยหลัง)
    231. ห่มให้เป็นปริมณฑล (ให้ชายผ้าเสมอกัน)
    232. ปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน
    233. ปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน
    234. สำรวมด้วยดีไปในบ้าน
    235. สำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน
    236. มีสายตาทอดลงไปในบ้าน (ตาไม่มองโน่นมองนี่)
    237. มีสายตาทอดลงนั่งในบ้าน
    238. ไม่เวิกผ้าไปในบ้าน
    239. ไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน
    240. ไม่หัวเราะดังไปในบ้าน
    241. ไม่หัวเราะดังนั่งในบ้าน
    242. ไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน
    243. ไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน
    244. ไม่โคลงกายไปในบ้าน
    245. ไม่โคลงกายนั่งในบ้าน
    246. ไม่ไกวแขนไปในบ้าน
    247. ไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน
    248. ไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน
    249. ไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน
    250. ไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน
    251. ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน
    252. ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน
    253. ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน
    254. ไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในบ้าน
    255. ไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน


    โภชนปฏิสังยุตต์ มี 30 ข้อคือหลักในการฉันอาหารได้แก่
    256. รับบิณฑบาตด้วยความเคารพ
    257. ในขณะบิณฑบาต จะแลดูแต่ในบาตร
    258. รับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง (ไม่รับแกงมากเกินไป)
    259. รับบิณฑบาตแค่พอเสมอขอบปากบาตร
    260. ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ
    261. ในขณะฉันบิณฑบาต และดูแต่ในบาตร
    262. ฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ (ไม่ขุดให้แหว่ง)
    263. ฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง ไม่ฉันแกงมากเกินไป
    264. ฉันบิณฑบาตไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป
    265. ไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยหวังจะได้มาก
    266. ไม่ขอเอาแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน หากไม่เจ็บไข้
    267. ไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ
    268. ไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป
    269. ทำคำข้าวให้กลมกล่อม
    270. ไม่อ้าปากเมื่อคำข้าวยังมาไม่ถึง
    271. ไม่เอามือทั้งมือใส่ปากในขณะฉัน
    272. ไม่พูดในขณะที่มีคำข้าวอยู่ในปาก
    273. ไม่ฉันโดยการโยนคำข้าวเข้าปาก
    274. ไม่ฉันกัดคำข้าว
    275. ไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย
    276. ไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง
    277. ไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว
    278. ไม่ฉันแลบลิ้น
    279. ไม่ฉันดังจับๆ
    280. ไม่ฉันดังซูดๆ
    281. ไม่ฉันเลียมือ
    282. ไม่ฉันเลียบาตร
    283. ไม่ฉันเลียริมฝีปาก
    284. ไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ
    285. ไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน



    เสขิยะ
    ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี 16 ข้อคือ
    286. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ
    287. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ
    288. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีของมีคมในมือ
    289. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ
    290. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท่า (รองเท้าไม้)
    291. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า
    292. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน
    293. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน
    294. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า
    295. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ
    296. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ
    297. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนอาสนะ (หรือเครื่องปูนั่ง) โดยภิกษุณีอยู่บนแผ่นดิน
    298. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูงกว่าภิกษุณี
    299. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ แต่ภิกษุณียืน
    300. ภิกษุณีเดินไปข้างหลังไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า
    301. ภิกษุณีเดินไปนอกทางไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง


    ปกิณสถะ มี 3 ข้อ
    302. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
    303. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว (พันธุ์ไม้ใบหญ้าต่างๆ)
    304. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในน้ำ


    อธิกรณสมถะ มี 7 ข้อได้แก่
    305. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ในที่พร้อมหน้า (บุคคล วัตถุ ธรรม)
    306. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการยกให้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติ
    307. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยยกประโยชน์ให้ในขณะเป็นบ้า
    308. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือตามคำรับของจำเลย
    309. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ
    310. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการลงโทษแก่ผู้ผิด
    311. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยให้ประนีประนอมหรือเลิกแล้วกันไป









    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    สวัสดีครับพี่ๆ น้องๆ

    ถ้าไม่เคารพคำสั่งของพระพุทธเจ้า ก็ไม่ใช่สาวกของท่าน

    ดันทุรังทำไปก็ไม่ถือว่าเป็นสงฆ์อยู่ดีครับแล้วไปทำตัวตีเสมอพระ ก็สบายไปครับ

    ฟื้นฟูอย่างไรในเมื่อขาดตอนมานานแล้ว อันนี้ก็แล้วแต่เขา เราเอาแค่พระใหญ่สั่งก็พอ

    เรื่องสิทธิอะไรนั่น มันคนละเรื่องกับคำสั่งของพระพุทธเจ้า วินัยคือคำสั่งสอนโดยตรง

    ถ้าเอาความโลกๆ มาอ้างในทางวินัยของสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ก็ถามว่านับถือพระพุทธเจ้าแค่ไหนก่อนดีกว่าครับ

    วินัยของสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่วินัยของชาวบ้าน ถ้าจะถือบวชในศาสนานี้ต้องถือวินัยสงฆ์

    ถ้าไม่ถือวินัยที่พระพุทธเจ้าสั่งไว้ แล้วจะมานั่งนับเกลืออะไรกันว่าเป็นสาวกในศาสนานั้

    สุดท้ายขอฝาก เมื่อศรัทธาก็ต้องมีปัญญาประกอบจึงจะถึงประโยชน์แท้จริง

    เอวัง เจริญในธรรมทุกท่าน
     
  15. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    :cool:({) สวัสดีครับ พี่พีซีโอ พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน ขอบคุณครับ ที่นำคำสอน ของพระผู้มีพระภาคเจ้า นำมาบอกและสาธยาย แค่ผมอ่านอย่างเดียว ในพระวินับ ของภิกษุณี ผมก็เวียนหัวแล้วครับ มันมากจริงๆครับ ก็อีแค่ สิล ๘ ศิลพรหมยจรรย์ แค่ ๘ ข้อ ยังทำกันไม่ได้ แล้วมันจะไปทำอะไรกัน ที่มากไปกว่านี้ครับ มันทำให้ พระศาสนา มัวหมอง แตกแยก หมู่คณะ สัพสน วุ่นวาย ทำให้คนไทย แตกเป็นกกเหล่า มากมาย ไปกันยกใหญ่ ผมเสียดาย ที่ พวกท่านเหล่านั้น ความรู้ มีมากมาย เรียนก็สูง ทั้งทางโลกและทางธรรม แต่ไม่ได้ใช้ปัญญา แยกแยะ ผิด ถูกอะไร มัวแต่ใครเขาใส่ เครื่องแบบให้ดู ข้าเนี่ยแน่ เป็นนางภิกษุณี ก้เคารพ ศรัทธาเสียแล้ว



    ผมเอง แม้พอรู้มาบ้าง ยังเสทือน เลยครับ แล้ว พวกที่ท่าน ไม่ได้ใช้ ปัญญาจริงๆ จะขนาดไหน ผมเป็นห่วง น่ะครับ มันทำกันได้ ขนาดนี้เชียว ต้องขอขอบคุณ พี่พีซีโออีกครั้งครับ ทุกวันนี้ สงฆ์ ก็เป็น ๒ นิกายแล้ว แหม มีภิกษุณีเข้าไปอีก มันยิ่งดูแย่ไปกว่าเดิม มากเลยครับ เมื่อไหร่ จะมีการ ทำสังฆยานา รวบรวม ให้เป็นหมวดหมู่ ไปในทิศทางเดียวกันเสียที ทั้งฝ่าย ทางโลก และทางธรรม :cool:
     
  16. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:({) สวัสดีครับคุณ ขอบคุณ ที่เข้ามา สาทยาย ให้ได้ฟังกัน พูดได้ดีมากครับ ผมเห็นด้วย ทุกๆประการ พระเทวทัต พระพุทธเจ้า บวชให้ ท่านได้ อภิญญาห้า เหาะเหิร เดินอากาศได้ ยังลงอเวจีมหานรก พวกที่แอบอ้างนี่ มันคงคิดสินะ ดีกว่าพระเทวทัต ทำได้แค่เศษเสี้ยว พระเทวทันยังไม่ได้เลย ผมเอง ก็ยังทำไม่ได้ เหมือนพระเทวทัต เลย ในด้าน ฌาณสมาบัติ ก็แค่ทำใจให้สงบนี่ ยังยากเลยครับ สวัสดีครับ :cool:
     
  17. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ไม่เป็นไรพี่อายุของคนนั้นมันไม่ยาว เดี๋ยวก็พากันตายหมด ทั้งเขาทั้งเรา แค่ช่วงอายุของเราเปลี่ยนอะไรไม่ได้ ไม่ทัน แล้วมันก็ไม่ใช่ยุคของเรา เดี๋ยวเอาไว้รู้กันอีตอนต่างคนต่างตาย สำคัญคือเราอย่าไปตามเขา เรามีทางไปสำหรับเรา บอกได้เพียงแค่ได้ชื่อว่าคนของเรา หากว่าไม่ใช่คนของเราแม้นั่งนอนอยู่ข้างๆกัน เขาก็ไม่ฟังเรา นั่นเพราะใจของเขาไม่ใช่ยอมรับนับถือในเรา ก็ต้องปล่อยไปทั้งหมด ยิ่งปล่อยไปมากเราก็เบามาก เหลือไว้แค่คนที่เขาจะช่วยแบ่งเบาคำว่าภาระออกไปจากเรา

    กรณีอย่างนี้ใครอยากจะแยกก็แยกไป เราไม่แยกซะอย่างคืออยู่ในพระธรรมคำสั่งสอน เป็นลูกชาย ก็เรียกว่าช่วยพ่อทำมากิน เป็นลูกหญิงก็อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนบางทีคนที่ฉลาดหรือปัญญาดีมันก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำถูกทำดี หรือสร้างฐานะดีเกินพ่อแม่เสมอไป ฉลาดไม่มากอย่างพวกเรานั้นมันไม่ยากเพราะทำตามพ่อตามแม่ แถมยังตามปู่แล้วก็ตามย่า ตามตา แล้วก็ตามยาย หากว่าพูดกันแบบทางโลก เราก็ฟัดหมดสมบัติของปู่ของย่า แถมของตาแล้วของยายมาอีกสามกระสอบ หอบของพ่อแล้วก็ของแม่มาอีกสามเล่มเกวียน รวมของเราอีกแค่นิดเดียวมันก็เกินกว่าคำว่าเหลือกินเหลือใช้ เผลอๆ เราไม่ต้องทำอะไรซักกะจิ๊ด แค่เอาเกวียนของปู่มาปิดทองไปสองแผ่น เอาเพชรของยายแปะเข้าไปที่ดุมเกวียนของปู่ นี่มันกลายเป็นเกวียนพิเศษไปโดยฉับพลันทันทีนะพี่ทำเล่นไป ไม่เห็นต้องใช้ปัญญาอะไรให้มันมาก

    สรุปก็คือสมบัติพ่อแม่น่ะดีอยู่แล้ว แค่ดูลรักษาให้ดีก็ทำให้ได้ซะก่อน บางอย่างผมก็รู้มาจากตำราว่าไม่มีมานานแล้ว เช่นพระภิกษุณี

    ส่วนเรื่องการรักษาศีลอย่างพี่ว่าแค่ศีลแปดก็เอาให้รอดซะก่อนเถอะ ทำได้มากได้ดีผมก็ไม่ได้ว่าหรืออิจฉาอะไร แต่ว่าในฐานะที่ก็ปรารถนาพระโพธิญาณกับเขาคนหนึ่ง ก็มีความจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าอะไรคือหลัก อะไรคือรอง อะไรคือหนัก อะไรคือเบา คนของผม ผมต้องการให้เขาทำเบาๆ ไม่หนักนัก แต่ว่าเบาๆนี่แหละทำให้ได้ก่อน อย่างรักษาศีลแปดทั้งวันทำไม่ได้ ก็เอาตอนนอนก็ได้ อย่างคุณแก้วเล็กของผม นอนตอนใหนตั้งใจรักษามันตอนนั้น เอาแค่ช่วงหลับ แต่ว่าเช้านี่รีบตื่นกระวีกระวาดล้างหน้าอาบน้ำ หวีผมทัดทรงดอกไม้ แต่งหน้าทาแป้ง ฉีดน้ำหอมอะไรต่อมิอะไรยุ่งมั่วทั่วไปหมด นี่แค่หนึ่งคืนรักษาศีลแปด ทำอย่างกะอดโซความสวยมาเป็นชาติ นั่นอยากจะเป็นคนดี ก็อยากเป็น อยากจะเป็นคนสวยก็อยากเป็น นี่แค่สองอย่าง มันยังยุ่งปานนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 ธันวาคม 2015
  18. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    เห็นด้วยกับพี่ Amarmy ทุกประการครับ
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,567
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    อย่างที่หลวงพี่เล็กท่านว่าแหละค่ะ การถือศีลก็เหมือนหลีกหลุม มี๕หลุม ๘หลุม หรือหลุมเยอะแยะ ก็เลือกเอา
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  20. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814




    :cool:({) สวัสดีครับพี่พีซีโอ พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน ผมเอง ก็ถือว่า เป็นคนไทย คนหนึ่ง และอยากเห็นคนไทย ด้วยกัน ที่นับถือ พระพุทธศาสนา ไปในทิศทางเดียวกัน ถือ ความถูกต้องเป็นหลัก จะปฏิบัติเป็นสายไหนก็ช่าง ทางเดินคือ ต้องการมรรคผล นิพพานเหมือนกัน เน้นคำสอน ที่ถูกต้อง แห่งความเป็นจริง และต้องดู กาลเวลาแห่งปัจจุบัน เป็นหลัก สิ่งที่ ขาดหายไปแล้ว ไม่สามารถ กลับคืนมาได้ แต่เรายังเคารพ เรียนรู้ไว้ได้ นั้นถือว่า ถูกต้อง และควรแยกแยะ ผมเข้าใจ ในพี่ๆน้องๆ ที่เข้ามาอ่าน ในกระทู้พี่ ถึงจะเป็นลูกศิษย์เดียวกัน ความเห็น อาจไม่ลงรอยกันก็มีเยอะแยะ



    ในประเทศไทย ของเรา ถือว่า คำสอน ของพระพุทธองค์ ยังอยู่ครบ สมบูรณ์แบบ ทั้งปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิเวท มีอยู่ครบครัน ดีที่สุด ก็อยู่ในไทย ชั่วที่สุด ก็อยู่ในไทย เป็นของคู่กัน แต่เมื่อคนเรา จะเอาดีกัน แต่ไม่ถึงที่สุด ก็ควร กลั่นกรอง ให้ดี ควรเอา ชีวะประวัติ ของครูบาอาจารย์ ที่ปฏิบัติดีและปฏิบัติชอบ ไป เสนอแนะกล่าว ผมก้เห็นด้วย แต่ไม่ควรเอาสิ่งอื่น เข้ามาปลอมปน ที่มีการแอบแฝง ด้วยเล่กล มารยาสาไถ ในสำนักต่างๆ ทั้ง ภาคกลาง ออก ตก เหนือ ใต้ มีอยู่ครบ ที่ท่านสั่งสอน ประเทศอื่นๆ เขาแทบไม่เหลือแล้ว ผลที่สุด เมืองไทย ต้องส่ง ภิกษุ ไปเผยแผร่ ยังต่างแดน และไป ทำตัวอย่าง ในเมืองแม่ พระศาสนา
     

แชร์หน้านี้

Loading...