ปุถุชน....คนช่างสงสัย...

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 4 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. วิชญ์24

    วิชญ์24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +6,276
    หายไปนาน กระทู้เงียบเหงา มากๆๆ
    ดีใจครับ กระทู้จะได้ไม่เหงาแล้ว
    :cool::cool::cool:
     
  2. zipp

    zipp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +141
    อ นพ มาแล้วว เห็นสีม่วงแวปๆ Welcome back:cool:
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    สวัสดีครับ
     
  4. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ไม่เข้าใจคนหนึ่งกำลังจะไป โดนไป ๑ ดอก
    อีกฝ่ายกำลังจะมา โดนไป ๑ ดอก
    สวนทางกันโดนกันคนละจึ้กก์ก์
     
  5. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    สวัสดีค่ะพี่นพ ยินดีต้อนรับการกลับมานะคะ wel lcome_pink ;aa34

    และน้อมส่งป๋ามิงค์ด้วยใจจริง ขอขอบคุณองค์ความรู้อันทรงคุณค่าที่ให้ไว้ในทุกกระทู้ ;41 ขอให้ป๋าโชคดีมีความสุขตลอดไปนะคะ ;aa7 ( ความจริงพระท่านคุ้มครองป๋าตลอดเวลาอยู่แล้วค่ะ ) ;aa41 ;aa17

    อะแฮ่ม ....มีเรื่องความฝันจะเล่าให้ฟัง คือว่าอ่านกระทู้ไหนจำไม่ได้แล้วค่ะ ป๋ามิงค์เล่าเกี่ยวกับกระแสพลังงานของหลวงปู่ดู่ และหลวงปู่ทวด ซึ่งก็คือกระแสพลังของพระศรีฯ นั่นเอง

    และพี่นพก็เคยกล่าวถึงในกระทู้ไหนก็จำไม่ได้ ก็กล่าวถึงกระแสพลังของท่านนั้นแรงและดีมาก ๆ ตอนอ่านก็ไม่ได้คิดอะไรนะ และก็ไม่ได้อยากเห็นหรืออะไร คิดว่าเราคงจะไม่มีความสามารถจะเห็นกระแสพลังงานของท่านได้หรอก เพราะเรายังไม่มีความสามารถ

    แต่ดันมาฝันว่า เราอยู่ในถ้ำกว้างใหญ่มากแห่งหนึ่ง และในมุมหนึ่งของถ้ำถูกกั้นไว้เป็นที่ส่วนตัวของหลวงตาม. ( ถ้ำแห่งนี้ยังไม่เคยไปและยังไม่เคยเห็นนะคะ ) แล้วเราก็รู้สึกถึงมวลมหาพลังที่บีบอัดหนาแน่นมาก มากจนหูอื้อตาลายจนต้องคลานเลื้อยอยู่ในถ้ำ นึกถึงสภาพแบบนักบินอวกาศเดินอยู่บนดวงจันทร์ เหมือนเรามีสภาพไร้น้ำหนักและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย

    เราก็ได้แต่มองหาถึงต้นกำเนิดพลัง ก็เห็นหลวงตาม. ยืนโบกมือทั้งสองข้างกำลังปล่อยพลังออกมาตอนนั้นก็คิดว่านี่เป็นพลังที่ดีนะ เราก็พยายามจะปรับจูนเพื่อให้เข้ากับกระแสพลังงานนี้ให้ได้เพื่อที่ร่างกายเราจะได้ไม่ทรมาน แต่ก็พยายามจูนจนแล้วจนรอดก็ทำไม่ได้สักทีเพราะทุกขเวทนามีมาก

    ทรมานจนตื่นขึ้นมาเลยค่ะ และร่างกายของเราก็เพลียซะเหลือเกิน
    เราก็มานั่งคิดว่า เอนี่เราก็ไม่เคยปรามาสท่านนี่นาแล้วมันแอบแวบซุกซนคิดอะไรแบบไม่รู้ตัวตอนไหนหว่า แต่ก็ก้มกราบขออโหสิกรรมจากท่าน

    แหมแทนที่จะเห็นกระแสพลังงานของท่านแบบที่ป๋ามิงค์และป๋านพเห็น แต่ทำไม๊ ทำไม ดั๊นนน มารับกระแสท่านแทนซะนี่ เฮ้อ เพลียกะตัวเองจริง ๆ
    :z12
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    สวัสดีแซงหน้า มิ้ง ก่อนนะ ๕๕๕
    โอ้ยๆๆๆ เจอแรกๆเป็นอย่างนั้นกันทุกคนหละ แห๋มๆ จะไม่มีผลกระทบอะไรเลย
    มันจิเทพเกิ๊น ๕๕๕ พวกนี้นะในเวลาลืมตาปกติ ผู้ฝึกเค้าเริ่มต้นกันอยู่ในสภาวะนั้น
    ให้ได้แค่หลักวินาทีกันทั้งหละ ถ้าอยู่เป็นนาที ไม่ว่าใครต่อใครรับรอง
    ว่ามี หอบ แห๋กๆ ไม่เชื่อถามพวกที่เคยอยู่ในโหมดวิญญานธาตุหรือ
    พวกที่เคยเชื่อมดูได้..
    ปล.ทำอย่างนั้นได้ ๑๕ นาทีพระธาตุก็เสด็จมาแล้วครับ
    ...
     
  7. _nnn_123

    _nnn_123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +567
    ดีใจ ... คุณนพกลับมา...ตามอ่านนั้นนี้โน้น เก่าๆเยอะช่วงที่คุณนพหายไป.... รบกวนถามคุณนพเลยละกันคะ...เรื่องแรกเอาเรื่องพลังงานที่ดิฉันก็ไม่รู้จะเรียกยังไงดี พลังงานที่ดีหรือบวก ถ้ามันมากเกินไป สามารถทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราจะแตกได้หรือไม่คะ แล้วถ้าพลังงานบวก มันมากไปมันจะทำให้เรารู้สึกจะอ๊วกได้หรือไม่ คือ รู้สึกว่าพลังงานบางอย่างที่เคยสัมผัสได้มันเป็นพลังงานที่ดีคะ แตกมันหนักมากจนทำให้รู้สึกเหมือนตัวจะแตก แล้วบางทีมันมากจนจะอ๊วก...เคยถาม(พระ ขออนุญาตินะคะ ท่านหัวเราะแล้วบอกว่า ไม่มีพลังงานดีๆ ที่ใหนจะทำให้รู้สึกอ๊วกได้) แต่ตอนนั้นรู้สึกในใจค้านท่านนะคะ แต่ไม่พูด เพราะมั่นใจว่าเป็นพลังงานด้านบวก เพียงแต่ดิฉันมนุษย์เดินดินกินข้าวธรรมดา...เผอิญมาเจอเข้าเลยมึนไประยะหนึ่งเลยคะ แต่เหตุการณ์นี้ประมาณ 4 เดือนก่อนนะคะ สัมผัสรับรู้ได้ไม่ใช่ตอนทำสมาธินะคะ คือทุกครั้งที่รับรู้ก็ตอนใช้ชีวิตประจำวัน ...ขอคำแนะนำด้วยคะ...
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ๕๕๕๕ พระท่านกล่าวนะถูกแล้วครับ ปกติแล้วนะครับ
    การที่เรารับรู้พลังงานอะไรได้นั้น แสดงว่าตัวจิต ณ เวลานั้น
    มันจะข้ามธาตุต่างๆที่ประกอบรวมเป็นร่างกายของเราไป
    ชั่วขณะครับ และสิ่งหนึ่งที่ทำให้ธาตุร่างกายเรามีภูมิต้านทาน
    ในขณะที่จิตกำลังข้ามธาตุที่รวมเป็นกายไปนั้นก็คือ กำลังสมาธิสะสมครับ
    หรือพูดง่ายๆก็คือ กำลังสมาธิที่เรามี หรือ กำลังสมาธิที่เกิดกับเรา
    หรือสมาธิที่เราสามารถนำมาใช้งานได้จริง
    หรือไม่ก็กำลังจิตใช้งานที่มี อย่างใดอย่างหนึ่งครับ
    ทีนี้การที่จิตเราไปรับรู้พลังงานดีขึ้น นานขึ้น แต่กำลังสมาธิสะสม
    ที่เรามีมันยังไม่พอ(เป็นเรื่องปกติและธรรมดาเกิดขึ้นได้ปกติถ้าจิต
    เริ่มรับรู้พลังงานได้หรือเกิดขึ้นได้ในขณะที่จะยกพัฒนากำลังจิตใช้งาน)
    ก็จะส่งให้ร่างกายรู้สึกอยากอ๊วก บ้างก็เรอ บ้างก็ขนลุกทั้งตัว
    บ้างก็มึนศรีษะ บ้างก็ตึงๆตามร่างกายตรงนั้นตรงนี้ บ้างก็
    ผมตั้ง บางก็น้ำตาแตกน้ำลายไหล(อันสุดท้ายนี้ไม่มีครับ มุขๆ๕๕๕)
    ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาครับ
    สังเกตุได้พวกนี้ถ้าทำอีก หรือเข้าได้อีกหรือรับรู้ได้แบบเดิมๆ
    ร่างกายก็จะชินไปเองครับ ซึ่งยังไงๆก็ต้องฝืน ต้องผ่านกันแทบทุกคนครับ
    นี่ยังถือว่าน้อยนะครับ เวลาส่วนตัวอัพระดับกำลังใช้งานปกติเนี่ยสลบ
    อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๘ ชั่วโมงหรือนอนข้ามวันเลยนะครับ ๕๕๕
    กรณีอย่างถือว่า ปกติครับ
    ทุกวันนี้การรับรู้พลังงานก็ดีแล้วนิครับ
    แต่ใจยังไม่นิ่งเฉยๆ ให้ปล่อยวางเรื่องเกี่ยวกับการทำทานทุกๆกรณี
    คือทำแล้วอย่าหวังผล ให้ทำแล้วก็แล้วไป.
    แล้วจิตจะนิ่งขึ้นและรับรู้ได้ดีขึ้นได้เองครับ
    ปล.ประมาณนี้ครับ
     
  9. _nnn_123

    _nnn_123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +567
    อืม....ขอบคุณคะ...ยอมรับ...อย่างเรื่องทำบุญทำทาน(ในที่นี้เน้นเรื่องทำสมาธิปฏิบัติ) จุดมุ่งหวังความฝันแรกเริ่มเมื่อ 4-5 ปีก่อนที่เริ่มปฏิบัติ เพราะอยากรวยคะ ไม่อยากจน ผ่านมา4-5ปี ถามว่าเข้าใจธรรมะ ของพระพุทธองค์ใม เข้าใจ คะ(อาจจะไม่เข้าใจแบบพวกพี่ๆที่เข้าปฏิบัติแบบอยากนิพพานนะคะ) คือเข้าใจ เรื่องกรรม และเข้าใจการยอมรับรู้เห็นตามจริง และให้เข้าใจการทำใจ(ทำใจให้เป็นปกติคือคงหมายถึงอันเดียวกับรู้เห็นตามจริงนะคะ) แต่ก็ยังเหมือนจุดดำเล็กๆในใจ เหมือนมีความหวังตลอดว่าต้องทำได้ซิ...เข้าใจว่าวาสนาเรื่องเงินทองอาจจะมีไม่มาก..แค่ทำใมในใจมันไม่ยอมมาตลอดรู้ว่าตัวเองคิดเสมอว่า ช่างหัววาสนาเก่าซิ ฉันจะเอาปัจจุบัน...ฉันจะทำแบบไม่ยอมแพ้(ทั้งปฏิบัติทางธรรม และขยันทำมาหากิน ทำทางโลก) แต่เหมือนๆจะสู้วาสนาไม่ใหวแล้วละคะ พอคุณนพบอกเรื่องนี้เลยอึ้งกิมจิ...ไป1นาที....อาการ เรอ...เคยมีตอนสมัยปฏิบัติแรกๆคะตอนแรกนึกว่าเป็นกรดไหลย้อนตอนนี้เข้าใจแล้วคะ.....แล้วรบกวนอีกซักเรื่อง...คือ หาอ่านที่คุณนพเขียนไว้แล้วละคะ เรื่องทำสมาธิหลับตาแต่ยังมองเห็น เมื่อสมัยแรกๆก็เป็นแบบนี้ คือหลับตาก็ยังเห็น ตอนนอนก็ยังมองเห็น แต่ตอนนันเป็นซักพักก็หาย แต่รอบนี้มันกลับมาใหม่คะ คืออ่านเจอว่าลองยกแขน ดิฉันลองยกนิ้วมาจิ้มตาเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองหลับตาหรือลืมตา ผลปรากฏว่า ชัดเจนเห็นนิ้วยกขึ้นมาจิ้มตา แต่เป็นเปลือกตา คือจะยังไงต่อดีคะ อ่านอันเก่าที่คุณนพเขียนบอกว่ามันจะพัฒนาต่อ อ่านเจอแค่นี้นะคะรบกวน ด้วยนะคะ
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    กิริยาพวกนั้นให้เฉยๆ แต่ให้ซ้อมเข้าบ่อยๆ มันจะยกเรื่องที่เรายัง
    อ่อนขึ้นมาวิปัสสนาได้ครับ แต่ประมาน ๓ ถึง ๔ ครั้งมันถึงจะตัดได้จริง
    และเวลาลืมตาออกมามันจะยังฟุ้งอยู่เรื่องธรรมดานะครับ
     
  11. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ยังสงสัยอยู่ค่ะว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อดี ควรตั้งเป้าว่าอยากบรรลุธรรม และลงมือปฏิบัติธรรม หรือ ควรปล่อยวาง และทำทานศีลภาวนาให้เต็มที่ ส่วนตัวคิดว่าข้อหลังดีกว่า ไม่บีบคั้นกดดัน กระดื้บๆไปเรื่อยๆ ถ้าทำฐานของสมถะให้ดี วิปัสสนาก้อคงไม่ต้องห่วงเนอะ หนุเก็บหน่วยกิตอยุ่ค่ะ
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ปฏิบัติธรรมอยู่คนเดียวก็สนุก อยู่หลายคนก็สนุกครับ
    การตั้งเป้า การคาดหวังมันจะมีตัวอยากมาปิดบัง
    ตัวจิตเราได้อย่างไม่รู้ตัว หรือพูดอีกอย่างก็คือมันจะปิดกั้น
    ตัวใจเราเองได้อย่างคาดไม่ถึง
    การปล่อยวางก็คือ
    ให้เฉยๆ ไม่ไปอะไรกับอะไรกับมัน
    ให้มันไปเป็นไปตามวาระของมัน
    ถ้ายังไม่ถึงวาระ แม้พยายามวาง พยายามว่าง มันก็ไม่วางไม่ว่างให้
    ถ้าวาระมาถึง แม้ไม่อยากวาง ไม่อยากว่าง มันก็วางมันก็ว่างของมันได้เอง
    ตรงนี้ไม่สามารถบอกได้ว่า วันเวลไหน วาระใครก็วาระของคนนั้นครับ

    ปล.ที่ไม่ใช่ว่าว่าง และไม่ว่าง นั่นหละว่างครับ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    จะปฏิบัติแบบไหนก็ได้ครับแล้วแต่จริต ทุกสายก็เพื่อหลุดพ้นทั้งนั้นหละครับ
    และมันก็ก้าวกระโดดกันได้แล้วแต่วาระของแต่ละบุคคนครับ..และที่เห็นด้วยก็คือ
    การเป็นมิตรกับทุกภพภูมิ เอาเป็นว่าไม่เป็นศัตรูกับใครเลย ทั้ง ๓ ภพภูมิ
    ก็จะดีที่สุด ไม่งั้นมันอาจจะยังมีกระแสส่งมาจากอีกฝ่ายมาเชื่อมจิตเราได้
    อย่างคาดไม่ถึง แม้ว่าเราจะวางหรือตัดได้ก็ตาม แต่ไม่มีดีที่สุด เพราะเรา
    ต้องสู้กับ กิเลส ก็จะแย่อยู่แล้ว ๕๕๕ ไหนจะกระแสเก่าๆในอดีตอีก
    แค่นี้ก็ปวดหัวแล้วครับ ไหนจะกระแสปัจจุบันอีก ๕๕
    และอีกอย่างถ้าพูดถึงพญาครุฑ ได้โอกาสโม้ซะหน่อย ๕๕
    แต่ยอมรับส่วนตัวยังไม่เคยพบเห็นด้วยตาเปล่าๆแบบกายเนื้อเหมือนท่านอื่นๆ
    บนโลกนี้เลยครับ ในฝันก็ไม่เคยครับ..ยกเว้นช่วงหนึ่งสมัยที่กำลังสติยังไม่ค่อย
    แข็งแรงเท่าไรช่วงนั้นอยู่ในช่วงรอรับปริญญาอยู่เลยว่างๆอยู่
    หลังจากไปวัดถ้ำเขาวง ที่สระบุรีมา เกิดเอ๊ะใจว่าพระนารายณ์มีจริงหรือไม่
    เพราะรู้สึกแปลก จึงเกิดความคิดออนทัวขึ้นมา(คือไม่มีค่าเดินทาง
    อยากไปไหนก็ต้องอาศัยดูรูปไว้ก่อนแล้วค่อยไปแบบพิเศษ
    ถ้าบนโลกส่วนมากก็อาศัยกำลังใจตัวเอง ยกเว้นว่าจะไปที่สูงๆหน่อย
    จะขอบารมีพระฯท่านช่วย และวันหนึ่งได้มีโอกาสได้ไปโผล่อยู่กลางอากาศที่
    ภูเขาพระสุเมร บริเวณที่ไม่มีหิมะคลุม ช่วงที่มีแต่หน้าฝาสูงชั้น บริเวณยอดหน้าฝา
    ณ เวลานั้นทางด้านซ้ายพอทราบว่าท่านที่ต้องไปหาอยู่ตรงนั้น แต่ยังไม่เห็นวิมานนะครับ
    แต่มีความรู้สึกว่า ท่านไม่ได้เรียกว่า พระนารายณ์ครับ และเวลาเดียวกัน
    ขณะมองไปทางด้านขวาพบห่มเหลืองกลุ่มหนึ่ง ๔ ถึง ๕ ท่านกำลังเดินอยู่ข้างล่าง
    เลยหันกลับไปมองซ้ายอีกทีหนึ่ง เห็นกลมๆเท่าเข็มหมุดเป็นวัตถุลึกลับบางอย่าง
    ก็ไม่คิดอะไร หันไปทางขวาอีกรอบ หันซ้ายอีกรอบ จากที่เห็นไกลๆเท่าเข็มหมุด
    ก็แว๊บบบบบบ เข้ามาเริ่มเห็นลางๆ และภายในเวลาที่เร็วกว่าเสี้ยวนาทีก็ปรากฏ
    เป็นร่างของพยาครุฑเหมือนกับที่ป้ายแบงค์ กทม.แป๊ะๆ มาปรากฏอยู่ตรงหน้า
    น่าจะสูงประมาณ ๒ เมตรเพราะต้องแหนหน้ามอง ถามว่าเห็นชัดไหม ตอบว่า
    ชัดครับ ระยะที่ห่างกันไม่เกิน ๒ เมตรครับ เรียกว่าเห็นทุกขนปลีก เห็นหน้าตาชัด
    เจนมากๆ ทำให้ส่วนตัวเข้าใจ ณ เวลานั่นว่า ท่านหายตัวแล้วไปโผล่ หรือแว๊บโผล่
    ถึงได้เดินทางเร็วมากๆ ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกถึงอันตราย แต่เกรงในฤิทธิ์ที่ท่านมี
    แม้ว่าหน้าตาท่านจะดูผ่อนคลาย ออกเป็นมิตรก็ตาม หลังจากที่สบตากันอยู่ซักพัก
    คิดได้อย่างเดียวว่า ข้าพเจ้าขอลาก่อนครับ ๕๕๕ อยู่ต่อไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ๕๕๕
    ก็กลับอย่างรวดเร็ว วันต่อมาไปถาม อ.จารย์ที่เป็นพราหมณ์ ท่านบอกว่า ครุฑท่าน
    ใจดี แต่อย่างว่าหละครับ เราติดสัญญาว่ารูปร่างอย่างนั้นน่ากลัว ทั้งๆที่ไม่รู้สึก
    ถึงอันตรายก็ยังเกรงๆอยู่ หลังๆก็เริ่มๆมีกลุ่มนี้เป็นพันธมิตรครับ เพราะได้อะไร
    ที่สืบเนื่องมาด้วย มาในรูปแบบจิตญานในวัตถุนะครับ ที่โม้มาเนี่ยนานแล้วนะครับ
    ย้ำว่า สมัยกำลังสติทางธรรมยังอ่อนและติดท่องเที่ยว บ้างทีก็ไร้สาระในเรื่องที่ไป
    แต่การที่จะมีพันธมิตรอย่างนี้ได้ กลุ่มนี้เรื่องฤิทธิ์(ที่ใช้ได้ในนิมิตหรือในฝัน)
    ที่เรามีไม่ใช่ประเด็นหลักครับ
    แต่เค้าจะเน้นคนที่มีฤิทธิ์แต่ว่ามีเมตตาในเวลาลืมตาปกติด้วยครับ
    และไม่ใช้ฤิทธิในการรังแกข่มเหงภพภูมิอื่นๆและก็รู้จักอุทิศส่วนกุศล
    ให้ภพภูมิเพื่อสร้างบารมีบ่อยๆ คือเค้าจะดูว่า ที่ผ่านมาเราสร้างประโยชน์
    อะไรให้ภพภูมิ แบบสร้างด้วยสติและปัญญามาบ้าง แบบไม่ยึดติดด้วยนะครับ
    และอยู่กับปัจจุบันเท่านั้นคับ และถ้าคิดจะสร้างสิ่งสืบเนื่องเพื่อให้คนเอาไว้ติดตัว
    ก็ต้องสร้างบารมีภพภูมิให้ขยายกว้างออกไปเรื่อยๆครับ สร้างไปจนกระทั่งว่า
    ระดับที่เค้าเก่งๆ ยอมรับนับถือเราเป็นมิตรครับ ไม่มีคำว่าเป็นบริวารครับ
    หรือเป็นลูกน้องครับ คือเคารพนับถือซึ่งกันและกัน เพื่อให้จิตญาน
    เค้าเข้ามาในสิ่งที่เราทำและก็ไปตามวาระ โดยที่เค้าต้องเห็นว่าสิ่งที่เราตั้งใจทำ
    ก็เพื่อยังประโยชน์แก่บุคคลอื่นๆมากกว่าตนเอง เพื่อให้บุคคลนั้นๆ
    น้อมใจเข้าในทางธรรมและใช้งานต่างๆเพื่อส่งเสริมประโยชน์
    ในทางธรรมครับ พวกเรื่องป้องกันต่างๆ เรื่องอฐิษฐานเกี่ยวกับทรัพย์
    พวกนี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมากไม่ใช่ประเด็นหลักครับ
    ถ้าเราสร้างตัวจิตเราให้ขยายกว้างออกไปได้ไกลจนไปเชื่อมกับ
    จิตวิญญานที่เป็นครุฑได้ และได้รับการยอมรับ การสร้างวัตถุ
    หรือเครื่องเชื่อมโยงเพื่อให้มี จิตญานเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องยากครับ
    แค่เป่าพรวดด้วยคำพูดไม่กี่คำก็ทำได้แล้วครับ..
    และที่สำคัญก็คือทำแล้วต้องแล้วไป ไม่งั้นเราจะต้องไปเสวยผล
    ของการทำไม่ว่าดีหรือไม่ดีเราก็ต้องรับผลครับ
    ประเด็นหลักๆตอนนี้คือขยายกำลังบุญให้กว้างออกไปและให้ได้รับการยอมรับ
    และเห็นในเจตนาที่มุ่งเน้นไปในทางประเด็นหลักๆของพุทธศาสนา
    เรื่องการสร้างก็เกิดขึ้นได้ไม่ยากครับ ส่วนพวกตาดี
    (แบบไม่เฝื่อในอนาคต เพราะหลังๆคิดเองเอ่อเอง กลายเป็น
    ตาเดาสญาน สังเกตุง่ายๆปัญญาทางธรรมไม่พัฒนา
    จะพัฒนาแต่มโนสญาน)
    และหูดีกว่าปกติหน่อย(แบบไม่ใช่หูมโนเพราะมีแค่ความคิดวิ่งในหัววิ้งๆ
    คิดแบบบนความคิดตัวเองแบบไม่รู้)
    ถ้าพอมีพื้นฐานมาบ้าง ถ้าฝึกได้ในกำลังระดับสูงจนเห็นได้เหมือนคน
    ด้วยตาเปล่า หรือได้ยินเสียงนามธรรมชัดเหมือนคนปกติคุยกัน
    ไม่เป็นไรครับ)ถ้าไม่มันขึ้นอยู่กับการคลายตัวของจิตในระหว่างวัน
    ซึ่งมันวาระของมันอยู่ ปกติมักจะไม่ข้ามขั้น ไม่งั้นอาจจะเกิดปัญหา
    การหายตัวไม่เป็นในญานวิถีที่ตนเองมี ทำให้อยู่ร่วมกับสังคมได้อยาก
    อนาคตรับยาช่อง ๒ ครับ
    และกรณีถ้าเจอจิตญานที่มีฤิทธิ์ปรากฏตัวให้เห็นตัวจิตมันจะรู้สึกได้ถึงฤิทธิ์
    และถ้าเราเจอแบบฟลูออปซั่นเลย
    จะทำให้เราวิปลาสจากสิ่งที่ได้เห็นได้ทันทีครับ
    มันไม่เหมือนกับเราเห็น ห่มเหลืองเห็นพระพุทธฯ ด้วยตาเปล่าๆนะครับ
    ความรู้สึกจะต่างกัน ที่น่ากลัวคือ กลุ่มที่ตัวจิตยังติดฤิทธิ์นี่หละครับ
    เพราะฉนั้นเรื่องพิเศษๆแบบนี้ให้เฉยๆ ให้มันเป็นไปตามวาระครับ
    ปล.ประมาณนี้หละครับ
     
  14. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    การปฏิบัติสติปัฏฐาน๔สำหรับคนเพิ่งเริ่มฝึก กำลังสมาธิไม่มีแม้ขณิกสมาธิ สามารถเริ่มฝึกเวทนาจิตธรรมได้เลยรึเปล่าคะ? ไม่ต้องกำหนดกายานุปัสสนาสติปัฏฐานใช่มั้ยคะ? ไม่แน่ใจว่าตัวเองเข้าใจผิดรึเปล่า เพราะเห็นมีคนบอกว่าหลวงตามหาบัวบอกว่าเริ่มอันไหนก่อนก้อได้ แต่ตอนข้าน้อยไปปฏิบัติธรรม พระอาจารย์ไม่ได้สอนให้ดูเวทนาจิตธรรมก่อน คือสอนให้พิจารณากายก่อน และมีสภาวะธรรมอะไรขึ้นมา ก้อค่อยกำหนดสติรู้ทัน รบกวนผู้รู้ตอบด้วยค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ในส่วนตัวเรื่องสติปัฏฐาน ๔ นะครับ ลองดูนะครับว่าเข้าใจนัยยะนี้ไหม
    "จะพิจารณาอะไร ก็ปล่อยให้จิตว่างรับรู้ อยู่ภายใน''
    ปัญหาไม่ใช่ที่กำลังสมาธิ ปัญหาไม่ใช่ว่าจะพิจารณาอะไรก่อนครับ
    เพราะว่าถ้าพิจารณาได้แล้วมันก็เกี่ยวเนื่องกันหมดครับ...
    ถ้าเรายังไม่ทราบว่ากิริยาที่จิตว่างเป็นอย่างไร และจิตเป็นกลาง
    เป็นอย่างไร แม้เราพิจารณาอะไรก็ตาม มันก็จะยังไม่พ้นสมมุติครับ
    คือพูดง่ายๆตัวจิตมันยกเรื่องขึ้นมาพิจารณาของมันเอง เป็นเหตุทำให้
    เราไม่ก้าวหน้าในทางธรรม ความเข้าใจทางด้านนามธรรมเราไม่ดีขึ้น
    เผลอๆอาจจะหลงตัวเองง่ายๆ พอมีเรื่องกระทบใจขึ้นมาก็ไม่สามารถใช้
    ปัญญาในการแก้ปัญหาได้ ถ้าสำหรับคนที่มีความสามารถทางจิตก็คือ
    ความสามารถไม่พัฒนานั่นเอง กิริยาจิตว่างและเป็นกลางก็ คือ
    ๑.ไม่มีความคิดจากที่เกิดจากจิตเข้ามาปรุ่งร่วม
    ๒.ไม่มีความคิดที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจมาปรุงร่วมหรือเรียกว่า ขันธ์ ๕
    ส่วนนามธรรม
    ๓. กระแสภายนอกกรณีสำหรับพวกที่มีความสามารถทางจิตต่างๆ

    ณ เวลานี้ ถามตัวเองดูว่า กำลังสติทางธรรมของเรามองเห็น ๑ กับ ๒ ได้หรือยัง
    ถ้ามีความสามารถทางจิต ก็ดูว่า กำลังสติเห็น ๓ หรือยัง
    ถ้าเห็นได้แล้ว ในระหว่างวันเราถึงจะทราบได้เองว่า เราจะพิจารณาอะไรครับ
    ไม่ว่า เวทนา กาย จิต ธรรม เพราะสติทางธรรมมันจะบอกเราได้เองว่า
    เรายังพร่อง เราควรพิจารณาเรื่องอะไร เพื่อให้จิตเรามันคลายกิเลสที่มัน
    เกาะกินจิตเราอยู่จากกำลังสติทางธรรมของเราที่ไปเห็นมันมาครับ...
    และมันจะผุดขึ้นมาให้เราพิจารณาเอง(สภาวะธรรมผุดขึ้นมานั้นหละครับ)
    ในขณะที่เราเข้าถึงสภาวะที่จิตว่างและเป็นกลาง
    ได้ของมันเองอัตโนมัติครับ ถ้าไม่เห็นตรงนี้มาก่อนพอถึงอารมย์ที่สงบ
    จิตเราจะเผลอยกเรื่องขึ้นมาเองซึ่งเรื่องที่ยกขึ้นมามันก็เกิดจากตัวจิตเรา
    ปรุงร่วมกับความคิดที่เกิดจากจิตเรานั้นเอง ทำให้ไม่ได้อย่างที่เล่าให้ฟังมาก่อนหน้า
    แต่ก็ไม่ได้เสียหาย เพราะใช้เป็นแนวทางให้จิตรู้จักพิจารณา รู้จักเดินปัญญาได้ในเบื้องต้น..

    และในกำลังสมาธิไม่มาก หากพิจารณาได้จริงๆ เวลาออกมาจิตจะยังฟูอยู่
    แต่ไม่ส่งผลในการปรุงแต่ง และต้องใช้การพิจารณาซ้ำอีก จิตก็จะตัดเรื่องนั้นๆได้ครับ
    ถ้าพิจารณาในระดับสูงได้ โดยมากครั้งเดียวจบแต่ทำได้ยาก
    ส่วนปัญญาทางธรรมจะเกิดมากน้อยแค่ไหน แล้วแต่บุคคลขึ้นอยู่กับว่า
    ตัวจิตมันจะว่างและขยายตัวออกไปได้กว้างมากน้อยแค่ไหน ขยายไปรู้รับ
    สัญญาองค์ความรู้ต่างๆ เราอาจจะแค่รู้สึกอ่อๆ หรือปิ้งแว๊บ (จริงๆมันขยาย
    สัญญาออกไปเร็วมาก) กรณีปัญญาทางธรรมบอกได้ยากแล้วแต่บุคคลครับ
    นัยยะนี้ '' จะพิจารณาอะไรก็ตาม ปล่อยให้จิตเค้าว่างรับรู้ อยู่ภายใน ''
    ประมาณนี้ครับ (^_^)
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040

    และกรณี คุณนวลปราง ตอนนี้การรู้แบบพิเศษโดยเฉพาะที่ส่งเสริมทางด้าน
    ปัญญาทางธรรมมันกำลังเกิดอยู่ครับกระแสแบบนี้มันไม่ใช่ว่า
    จะเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ปฏิบัตินะครับ เพราะฉนั้นช่วงนี้ไม่ว่าจะเกิด
    สภาวะอะไรก็ตามทุกๆกรณี ให้เฉยๆไว้ทุกๆเรื่อง ทุกๆกิริยา
    เพื่อให้ตัวจิตของเรามันนิ่งๆก่อนครับ ไม่งั้นจิตมันจะพยายาม
    ก่อตัวเหมือนสภาวะปัจจุบันนี้
    เพื่อเกิดอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับเรื่องที่คล้ายๆว่ามันพึ่งรู้
    หรือว่ามันสังหรณ์ๆว่ามันจะต้องได้รู้ ซึ่งมันจะขวางการไปรู้ยิ่งกว่าในอนาคต
    และให้มองว่าทุกกิริยามันเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้
    อย่าไปสนใจ อย่าไปย้ำคิด ไปตอกย้ำสัญญาเรื่องที่มันผ่านมาแล้ว
    เด่วมันจะผ่านจะข้ามสภาวะนั้นๆได้เองอัตโนมัติ
    เพราะการรู้มาจากการส่งเสริมจากครูบาร์อาจารย์ข้างบนครับ
    เพราะฉนั้น ตัวจิตที่นิ่งๆไม่ก็ก่อตัวมันจึงจะเป็นพื้นฐาน
    การพัฒนาต่อไปได้ที่สำคัญครับ ประมาณว่า
    ทุกอย่างรับรู้ได้ด้วยใจนั่นหละครับ
    แต่ใจเราต้องนิ่งก่อน...มันถึงจะก้าวหน้าได้เร็วครับ
    ปล.พอเข้าใจที่พูดให้ฟังนะครับ
     
  17. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ขอบพระคุณค่ะ ประทับใจเว็บบอร์ดนี้ ที่มีท่านกัลยาณมิตรคอยติคอยเตือน คอยให้คำแนะนำดีๆเสมอ ขอให้ท่านเจริญทั้งในทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ /||\ ^0^
     
  18. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    สอบถามค่ะ
    1.การฝึกสมาธิโดยกำหนดความรู้สึกไว้ที่ใดที่หนึ่งแล้วเกิดความร้อนขึ้นที่หลังลามตัว ตรงนี้ให้ฝืนต่อไปใช่ไหมคะ (เคยได้ยินมาว่า หากฝืนต่อไปจะมีความเย็นเข้าแทนที่ (แต่ยังไปไม่ถึงเย็นเลย)
    2.ช่วงนี้บริเวณหลังมือช่วงนิ้วชี้ /รึ ข้อแรกของนิ้วชี้มักมีอาการร้อนวูบๆบางขณะ (มือซ้าย) ในขณะที่มือขวา ช่วงนิ้วชี้เหมือนกันมีอาการเย็นวาบๆ ในบางครั้ง มันปกติไหมคะ (รึจะเหตุแห่งโรคนะ)

    ขอบคุณค่ะ
     
  19. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    เป็นเหมือนกันคะ.....
     
  20. Snooty

    Snooty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +670
    พี่เล่นยังไม่หายอีกหรือนี่?
     

แชร์หน้านี้

Loading...