เพื่อการกุศล นิ่มป่าแดง...ตามอ่านประสบการณ์จริง

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย numthip, 14 มิถุนายน 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    [​IMG]

    มีการแชร์ปรัชญากันเยอะมาก
    ปรัชญา มีที่มามาจากภาษาสันสกฤต หมายถึงความรู้อันประเสริฐ โดยมีรากศัพท์มาจาก
    คำว่า ปฺร ที่แปลว่าประเสริฐ กับ คำว่า ชฺญา ที่แปลว่ารู้
    ความรู้อันประเสริฐ สามารถทำให้คนที่ได้รับ ได้มีประโยชน์ ได้มีความสุข ได้เห็นความจริง
    แต่ถ้ามีใครแชร์เรื่องที่ทำให้หลงผิด มีความเชื่อที่ผิด หาประโยชน์อะไรไม่ได้ นอกจากความสะใจ ไม่น่าจะใช้คำว่าปรัชญา

    ตัวอย่างที่เห็นนี้ หากเราเป็นคนเก่งจริง เราต้องสามารถเรียกร้องเงินเดือนได้ ...แล้วเราเก่งจริงหรือเปล่า?
    ถ้าเรายังต้องให้ใครมาคอยสอน หรือไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน แปลว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเรียนรู้พัฒนาฝีมือ
    หากเราเป็นนายจ้าง เราอยากขึ้นเงินเดือนลูกจ้างแบบไหน?
    ถ้าเราเชื่อในปรัชญามนุษย์เงินเดือน อีกเดี๋ยวก็มีปรัชญามนุษย์นายจ้าง... แล้วมันจะประเสริฐตรงไหน
    เพราะต่างก็แสดงมุมมองของตัวเอง

    ปรัชญา คือความรู้(จริง) อันประเสริฐ..........
     
  2. พ่อประดู่09

    พ่อประดู่09 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,378
    .....เรื่องเก่าๆ ไม่เล่าเดี๋ยวลืม.....ขออนุญาตโมโห สักวัน เพราะถามตัวเองในใจไว้ ๒ วันแล้วว่า...จะเขียนดีไหม??? ได้แต่คิดในใจว่า...ใครวะว่า...เล่นการพนันไม่ผิด

    ศีล...ใครวะว่า...พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนไว้เรื่องความผิดของการเล่นการพนัน....ข้างล่างนี้คัดเอามาให้อ่าน จะได้ยืนยันว่า มีในพระไตรปิฎก และที่ว่าไม่ผิดศีล.....มันรู้

    มั๊ยว่าศีลคืออะไร...คุณเดินไปเจอะเจอปลากระเสือกกระสนบนถนน แล้วไม่จับมันเอาไปกิน เขาเรียกว่าคุณมี"ศีล" ถ้าคุณช่วยจับมันเอาไปปล่อยลงน้ำเขาเรียกว่าคุณ

    มี"ธรรม"ศีลคือการละเว้น โดยเฉพาะละเว้นความชั่วความไม่ดีทั้งหลาย ส่วนธรรม คือการกระทำให้ดี ฝากถึงคนที่คิดว่า ถือศีลแล้วดี ผมไม่เถียง แต่ต้องช่วยกันด้วย ศีล

    คือการละเว้นไม่ทำชั่ว ไม่คิดชั่ว ธรรม มันทำให้ดีให้งาม ขอฝากสาธุชนด้วยความเคารพ พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้แล้ว ท่านก็นำมาสอนต่อ นี่ผมดักคอคนที่คิดเถียงผมไว้

    ก่อน ถ้าคิดได้แค่นั้น ก็ไม่ใช่พุทธโดยแท้...อย่าคิดว่าธุระไม่ใช่.....นั่นไม่ใช่ศิษย์พระตถาคต.....ขอบคุณ

    ความจริงอยากให้คุณมั่นชัย เพ็งแจ่มศรี ที่อ่านพระไตรปิฎก ยกเล่มมาก่อนผมเขาเขียน แต่เห็นเขาเฉยๆ ผมเลยอดไม่ได้ ............

    ผู้ต้องการนำไปปฏิบัติ โปรดค้นคว้าหาหลักฐานได้จากพระสูตรเล่มดังกล่าวนั้นเถิด มีครบทั้ง ๔ ข้อ ที่สำคัญคือทรงแสดงวิธีปฏิบัติอย่างชัดเจนมาก พระธรรมเทศนาเกี่ยว

    กับสติปัฏฐานนี้ ทรงแสดงไว้อีกหลายแห่งเช่นในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ เล่มที่ ๑๔ และเล่มที่ ๑๙ บางแห่งก็แยกแสดงไว้ เพื่อเกื้อกูลแก่การปฏิบัติ ก็สามารถค้นคว้าดู

    ได้

    พระสูตรอีกเล่มหนึ่ง คือ พระสูตรเล่มที่ ๓ ชื่อ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑) โดยเฉพาะ สิงคาลกสูตร ซึ่งมีหลักธรรมที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะใน

    สูตรนี้ มีหลักธรรมที่เกี่ยวกับสถาบันครอบครัวโดยตรง เช่นข้อธรรมที่เกี่ยวกับ อบายมุข (ทางแห่งความหายนะ) ๖ ประการ คือ

    ๑.ดื่มน้ำเมา

    ๒.เที่ยวกลางคืน

    ๓.เที่ยวดูการเล่น

    ๔.เที่ยวเล่นการพนัน

    ๕.คบคนชั่วเป็นมิตร

    ๖.เกียจคร้านทำการงาน

    พระพุทธองค์ ครั้นทรงแสดงอบายมุข ๖ ประการ ดังนี้แล้ว ต่อจากนั้น ได้ตรัสถึงโทษของอบายมุขแต่ละข้อ ๆ อย่างละเอียด ขอกล่าวเฉพาะข้อที่ ๑ เท่านั้น

    ดื่มน้ำเมามีโทษ ๖ ประการ คือ

    ๑.เสียทรัพย์

    ๒.ก่อการทะเลาะวิวาท

    ๓.เกิดโรค

    ๔.ถูกติเตียน

    ๕.ไม่รู้จักอาย

    ๖.บั่นทอนกำลังปัญญา (เข้าลักษณะสมองเสื่อม)

    นี้เป็นเพียงตัวอย่างในข้อเขียนนี้ ในสิงคาลกสูตร ยังมีข้อธรรมอีกหลายหมวดที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้สำหรับผู้ครองเรือนโดยเฉพาะ เป็นพระธรรม-เทศนาที่เป็นจุด

    เด่นของพระสูตรนี้ทีเดียว เพราะเป็นข้อธรรมที่จะนำความสุขมาให้แก่ครอบครัวและจะปรับระดับครอบครัวให้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ ผู้ต้องการให้มีครอบครัวที่เป็นสุข

    สมบูรณ์ โปรดนำไปปฏิบัติเถิด โดยเฉพาะข้อน้ำเมา ก็โปรดลด ละ เลิก และหาทางควบคุม เพราะความหมายของธรรมข้อนี้ย่อมครอบคุมไปถึง ของหมักดองที่ให้เกิด

    ความมึนเมาทุกชนิดและแน่นอนย่อมรวมไปถึง ยาบ้าอีกด้วย รายละเอียดเกี่ยวกับข้อปฏิบัติในสิงคาลกสูตรมีอยู่ในหนังสือนวโกวาทก็มี หาได้ตามร้านขายหนังสือธรรมะ

    ทั่ว ๆ ไป

    เมื่อกล่าวถึง เอตทัคคบุคคล คือ ผู้ที่พระพุทธองค์ทรงยกย่องว่า ดีเด่น เป็นเลิศในทางไหนบ้าง หลายคนคงต้องการทราบเป็นแน่ เอตทัคคบุคคล ที่มีในหนังสือต่าง ๆ

    ส่วนมากก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ในที่นี้นำพระสูตรเล่มที่ ๑๒ ชื่อ อังคุตตรนิกาย เอกกนิบาต (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐) มากล่าวไว้ เพราะในพระสูตรเล่มนี้ มีกล่าวถึงเอ

    ตทัคคบุคคลไว้ครบทั้ง ๔ บริษัท คือ ฝ่ายภิกษุอรหันต์ ๔๑ องค์ ฝ่ายภิกษุณีอรหันต์ ๑๓ องค์ ฝ่ายอุบาสก ๑๐ คน ฝ่ายอุบาสิกา ๑๐ คน สาธุชนคนชอบพระ ย่อมหาอ่าน

    ได้เอง .....สวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2015
  3. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143

    [​IMG][​IMG][​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. พ่อประดู่09

    พ่อประดู่09 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,378
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓

    ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค

    ๘. สิงคาลกสูตร (๑๓)

    [๑๗๙] ดูกรคฤหบดีบุตร โทษในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการดื่มน้ำเมา

    คือ สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๖ ประการนี้ คือ ความเสื่อมทรัพย์

    อันผู้ดื่มพึงเห็นเอง ๑ ก่อการทะเลาะวิวาท ๑ เป็นบ่อเกิดแห่งโรค ๑ เป็นเหตุ

    เสียชื่อเสียง ๑ เป็นเหตุไม่รู้จักละอาย ๑ มีบทที่ ๖ คือ เป็นเหตุทอนกำลัง

    ปัญญา ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการดื่มน้ำเมา

    คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเหล่านี้แล ฯ

    [๑๘๐] ดูกรคฤหบดีบุตร โทษในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการเที่ยวไปใน

    ตรอกต่างๆ ในกลางคืน ๖ ประการเหล่านี้ คือ ผู้นั้นชื่อว่าไม่คุ้มครอง ไม่รักษา

    ตัว ๑ ไม่คุ้มครอง ไม่รักษาบุตรภรรยา ๑ ไม่คุ้มครอง ไม่รักษาทรัพย์สมบัติ ๑

    เป็นที่ระแวงของคนอื่น ๑ คำพูดอันไม่เป็นจริงในที่นั้นๆ ย่อมปรากฏในผู้นั้น ๑

    อันเหตุแห่งทุกข์เป็นอันมากแวดล้อม ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการ

    ประกอบเนืองๆ ซึ่งการเที่ยวไปในตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืนเหล่านี้แล ฯ

    [๑๘๑] ดูกรคฤหบดีบุตร โทษในการเที่ยวดูมหรสพ ๖ ประการเหล่านี้คือ

    รำที่ไหนไปที่นั่น ๑ ขับร้องที่ไหนไปที่นั่น ๑ ประโคมที่ไหนไปที่นั่น ๑ เสภาที่ไหน

    ไปที่นั่น ๑ เพลงที่ไหนไปที่นั่น ๑ เถิดเทิงที่ไหนไปที่นั่น ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร

    โทษ ๖ ประการในการเที่ยวดูมหรสพเหล่านี้แล ฯ

    [๑๘๒] ดูกรคฤหบดีบุตร โทษในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการพนันอัน

    เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๖ ประการเหล่านี้ คือ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ๑ ผู้แพ้ย่อม

    เสียดายทรัพย์ที่เสียไป ๑ ความเสื่อมทรัพย์ในปัจจุบัน ๑ ถ้อยคำของคนเล่นการ

    พนัน ซึ่งไปพูดในที่ประชุมฟังไม่ขึ้น ๑ ถูกมิตรอมาตย์หมิ่นประมาท ๑ ไม่มีใคร

    ประสงค์จะแต่งงานด้วย เพราะเห็นว่า ชายนักเลงเล่นการพนันไม่สามารถจะเลี้ยง

    ภรรยา ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการพนันอัน

    เป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเหล่านี้แล ฯ

    [๑๘๓] ดูกรคฤหบดีบุตร โทษในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการคบคนชั่ว

    เป็นมิตร ๖ ประการเหล่านี้ คือ นำให้เป็นนักเลงการพนัน ๑ นำให้เป็นนักเลงเจ้าชู้

    ๑ นำให้เป็นนักเลงเหล้า ๑ นำให้เป็นคนลวงผู้อื่นด้วยของปลอม ๑ นำให้เป็นคน

    โกงเขาซึ่งหน้า ๑ นำให้เป็นคนหัวไม้ ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการ

    ประกอบเนืองๆ ซึ่งการคบคนชั่วเป็นมิตรเหล่านี้แล ฯ

    [๑๘๔] ดูกรคฤหบดีบุตร โทษในการประกอบเนืองๆ ซึ่งความเกียจคร้าน

    ๖ ประการเหล่านี้ คือ มักให้อ้างว่าหนาวนัก แล้วไม่ทำการงาน ๑ มักให้อ้างว่าร้อน

    นัก แล้วไม่ทำการงาน ๑ มักให้อ้างว่าเวลาเย็นแล้ว แล้วไม่ทำการงาน ๑ มักให้

    อ้างว่ายังเช้าอยู่ แล้วไม่ทำการงาน ๑ มักให้อ้างว่าหิวนัก แล้วไม่ทำการงาน ๑

    มักให้อ้างว่าระหายนัก แล้วไม่ทำการงาน ๑ เมื่อเขามากไปด้วยการอ้างเลศ ผลัด

    เพี้ยนการงานอยู่อย่างนี้ โภคะที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็ถึงความสิ้น

    ไป ดูกรคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการประกอบเนืองๆ ซึ่งความเกียจคร้าน

    เหล่านี้แล ฯ

    หมายเหตุ : โบราณว่าไว้มีหลายอย่าง แต่จะเอามาสัก ๒ อย่างเพื่อจะได้เอาไว้วิเคราะห์ให้ทันกับปัจจุบันสมัย คือ ....

    ๑. เด็กผิด ผู้ใหญ่พอเตือนได้ ถ้าผู้ใหญ่ผิดจะเอาใครมาเตือน

    ๒. เป็นเด็กให้นอนหงาย เป็นผู้ใหญ่ให้นอคว่ำ คือให้เด็กๆ ดูผู้ใหญ่เขาทำ แล้วทำตาม ส่วนผู้ใหญ่ก็ให้หันมาดูเด็กๆ เห็นอะไรไม่ถูกต้องก็สั่งสอน และอย่าทำชั่วให้เด็ก

    เห็น เดี๋ยวเด็กจะทำตาม อะไรทำนองนี้.....

    ตอนนี้มีผู้ใหญ่ออกมาพูดว่า การพนันผิดศีลข้อไหน???ไม่มี!!!! พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนไม่เคยบอกว่าเล่นการพนันผิด???? เด็กๆ มันดู มันฟัง แล้วมันก็เชื่อ แล้วทีนี้

    หลักฐานมันมีว่า พระพุทธองค์สอนไว้ ตรัสไว้ จะว่าอย่างไร จะออกมาขอโทษไหม?? ? คนบนผืนแผ่นดินนี้ ไม่ใช่ "โรฮิงยา" ที่ใครนึกจะกล่าวหาก็กล่าวได้ไปหมด

    แค่"ศีล"ยังไม่รู้จักว่าคืออะไร คับแคบอยู่แค่ ศ๊ล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ และศีล ๓๑๑ เท่านั้นเองหรือ ไม่รู้หรือว่า ศีล คือ การละเว้นทำชั่วทำไม่ดีทั้งมวล ถ้าเขียนให้

    ยากเดี๋ยวไม่เข้าใจ นี่เขียนให้ง่ายเข้าใจง่ายแล้ว อยากรู้ว่า พวกเป็นใหญ่ เป็นผู้ใหญ่ พูดผิดแล้วจะรู้จักขอโทษไหม??? หรือต้องให้ โรฮิงยา มาเป็นล่ามแปล.....สวัสดี

    ประเทศไทย......

    กลัว"งง" ขอแปลแถมให้หน่อย สวัสดี มีรากศัพย์มากจากภาษา "มคธ" คือคำว่า "โสตถิ" หรือ "โสตถี"แปลว่า โชคดี ปลอดภัย (จำมาจาก อ.กรุณา กุศลาศัย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2015
  5. jatukarm

    jatukarm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    293
    ค่าพลัง:
    +810
    ขอแสดงความเสียใจและอาลัยยิ่งการจากไป
    หลวงพ่อชื่น อินทปัญโญ วัดในปราบ อ.เคียนซา จ.สุราษฎร์ธานี ได้ละสังขารแล้ว ที่โรงพยาบาลเคียนซา เวลา14.35น. ของวันที่ 24 มิถุนายน 2558
    รวมอายุ 91 ปี ขอน้อมส่งหลวงพ่อชื่นสู่นิพพานครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. พ่อประดู่09

    พ่อประดู่09 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,378
    [​IMG]


    Manoj Pengjamsri

    เรื่องที่เอามาลงวันนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ห่างบ้านผมมากนัก และคงเล่ากันนานหลายปี จนผมจำความได้ก็ยังเล่ากันอยู่ ผมเคยเขียนตามที่ได้ยินได้ฟังมาในระหว่างที่

    เป็นเด็ก ผมเขียนไว้เมื่อปี 2012 พอปี 2014 ผมเปิด Google หาเรื่องราวของเด็กที่ตายแล้วฟื้นที่ อ.สามโก้ ก็พบว่ามีเรื่องที่ถูกบันทึกโดยตัวครูเอง เอามาลงไว้ ผม

    เห็นว่ามีประโยชน์จึงเอาของแท้ๆ มาลงใหม่ ผมยังภูมิใจว่า เรื่องที่ผมเอามาเขียนเล่าในเวป พลังจิตต์ ของนิ่มป่าแดง ผมเล่าได้ถูกต้อง เด็กๆ รุ่นผมจะได้ยินเรื่องเล่าเรื่อง

    นี้ กับเรื่องหลวงพ่อกร่ายวัดโพธิ์ศรี (อยู่ใกล้บ้านผมและผมรู้จักท่าน)ฝันว่าได้ไปพบ ยมบาล เรื่องราวเหล่านี้ทำให้คนกลัวบาปกลัวกรรม ทำให้สังคมดีขึ้น และที่สำคัญที่

    ทำให้ผมไม่ลืมเลย คือคาถาที่ผมบาล ให้กับครูบุญชูฯ มา บางท่านอาจจะเคยสวดแล้ว แต่ไม่รู้ที่มา.....วันนี้ผมเอามาให้อ่านกัน จะได้รู้ที่ไปที่มา....โสตถิ ภาคะยัง....

    เที่ยวเมืองนรก โดยครูบุญชู ศรีผ่อง

    Posted by ศูนย์พุทธศรัทธา on November 11th, 2014 Comments Off on เที่ยวเมืองนรก โดยครูบุญชู ศรีผ่อง

    เที่ยวเมืองนรก

    บันทึกโดยนางบุญชู ศรีผ่อง อดีตครูโรงเรียนวัดจุฬามณี

    ตายครั้งแรกพบชาย ๔ คนมารับ

    วันนั้นเป็นวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๕ ข้าพเจ้าได้ไปทำกิจวัตรประจำวันของข้าพเจ้า คือเป็นครูน้อยประจำโรงเรียนประชาบาล ต.สามโก้ ๔ (วัดมงคลธรรมนิมิตร) อ.

    วิเศษไชยชาญ จ.อ่างทอง ตามปกติ แต่วันนั้นเป็นที่ข้าพเจ้ารู้สึกเกียจคร้าน ไม่มีกำลังใจที่จะสอนเด็ก และประกอบกับความง่วงผิดปกติ ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ได้ไปอดนอนที่

    ไหนมา แต่เป็นเพราะเหตุใดไม่ทราบทำให้ข้าพเจ้าง่วงอยากจะหลับอยู่เสมอ

    ในวันนั้นเลยเป็นเหตุให้จิตใจของข้าพเจ้าไม่เป็นปกติ แต่ข้าพเจ้าก็จำทนสอนต่อไปจนหมดเวลา ๑๕.๑๕ น. ซึ่งเป็นเวลาเลิกทำการสอน พอปล่อยเด็กกลับบ้านแล้ว

    ข้าพเจ้าก็เดินมาบ้านซึ่งห่างจากโรงเรียนประมาณ ๓ เส้นเศษ ข้าพเจ้ามาถึงบ้านก็เริ่มผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว และปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน คือ หุงข้าว กวาดบ้าน ถูบ้าน

    และอาบน้ำตนเองและบุตร

    เมื่อเสร็จงานบ้านแล้วข้าพเจ้าก็นำเสื่อมาปูและนอนเล่นกับบุตร ๒ คน ในขณะนั้นเวลา ๑๖.๓๐ น.เศษ ต่อมาข้าพเจ้าหลับไปเมื่อไรไม่ทราบ มารู้สึกตัวต่อเมื่อตัวข้าพเจ้า

    เองมายืนอยู่ใต้ร่มไม้ มีร่มมะพร้าว ขนุน มองดูสวยงามมาก มะพร้าวและขนุนกำลังมีผลดก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่า ที่ข้าพเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ใด

    ข้าพเจ้ามองดูไปรอบๆ ตัวของข้าพเจ้า บังเอิญสายตาของข้าพเจ้าก็มองไปพบถนนสายหนึ่ง ยาวเหยียดไปข้างหน้า ด้วยความอยากรู้ ข้าพเจ้ายกเท้าจะเดินไปเที่ยวถนน

    สายนั้น แต่ยังมิทันที่เท้าของข้าพเจ้าจะถูกกับถนน ข้าพเจ้าก็ต้องสะดุ้ง เพราะได้ยินเสียงพูด แต่เสียงดังเหลือเกิน ดังคล้ายตวาด

    เสียงนั้นดังมาจากข้างหน้าของข้าพเจ้า ว่า “อ้อ…บุญชู เหมาะเลย มาเถิด นายให้มารับ ถึงเวลาแล้ว”

    ข้าพเจ้าได้ยินดังนั้นก็บอกเขาว่า “ไม่ไปหรอก” พร้อมกับผละออกวิ่งทันที

    แต่ชายทั้ง ๔ คนมารับก็เดินตาม และพูดว่า “ถึงเวลาแล้ว ไม่ไปไม่ได้”

    ข้าพเจ้าก็หันไปบอกเขาว่า “ลุงไปบอกกับนายเถิดว่าฉันผลัดไปก่อน ฉันยังไม่ไปหรอก”

    แต่เขาก็ตอบมาอีกว่า “ผลัดกับข้าไม่ได้ เอ็งต้องไปผลัดเอง”

    เมื่อหมดทางเลี่ยง ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นต้องคอยก่อนฉันต้องไปบอกคนทางบ้านเสียก่อน เพราะที่มาเที่ยวนี้ไม่มีใครรู้”

    แล้วข้าพเจ้าก็เดินมาหน้าบ้าน และเดินเข้ารั้วบ้านขึ้นบันไดไป ก็พบว่าบนบ้านสว่างไปด้วยตะเกียงเจ้าพายุ และมีชาวบ้านมานั่งกันอยู่เต็มบ้านพร้อมทั้งร้องไห้ ข้าพเจ้าขึ้น

    บันไดได้ก็ผละวิ่งจากตรงบันไดไปหาสามีของข้าพเจ้าซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ หมอ ข้าพเจ้าเสียหลักสะดุดชายเสื่อล้มลงไป

    เมื่อข้าพเจ้าลุกขึ้นมา ชาวบ้านใกล้เคียงที่มานั่งอยู่บนบ้าน ข้างๆ ข้าพเจ้านั้น ต่างพากันถอยหลังหนีไปรวมกันอยู่หน้าครัวหมด และก็ต่างชิงถามกันว่า “ครูฟื้นแล้วหรือ ครู

    ไม่ตายหรือ ครูไม่ได้หลอกพวกฉันไม่ใช่หรือ”

    ข้าพเจ้าก็บอกพวกนั้นว่า “อย่ากลัวฉันเลย แต่ฉันอยากจะพูดอะไรด้วยสักหน่อยแล้วก็จะต้องไป เพราะเขามารับฉันแล้ว ฉันอยู่ไม่ได้ ฉันยังไม่อยากตาย ขอผลัดเขา เขา

    ไม่ยอม เขาบอกให้ไปผลัดกับยมบาลเอง ฉันจึงจะต้องไป และฉันขอร้องด้วยทุกๆ คนว่า ขอให้เก็บศพฉันไว้ ๓ วันก่อน ถ้าไม่กลับหมายความว่าเขาไม่ยอม จึงค่อย

    จัดการเผา”

    พอดีได้ยินเสียงสุนัขหอนขึ้น และข้าพเจ้าได้ยินเสียงเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “โน่นเขาเร่งมาแล้วฉันไปละ ลาก่อนทุกๆ คน”

    นายเจ็กที่เป็นหมอแกจึงเอาธูปเทียนมาให้ข้าพเจ้า และบอก “พระอรหัง พระอรหัง” ตอนนี้ข้าพเจ้าเกือบจะหมดสติแล้ว รับคำพระอรหังได้ ๒ ครั้งก็หมดสติวูบไป มารู้สึก

    ตัวว่าตัวของข้าพเจ้าเองได้มาเดินอยู่บนถนนสายนั้นเสียแล้ว

    ตายครั้งที่ ๒ พบยมบาล

    ในระยะที่ข้าพเจ้าฟื้นและตายไปใหม่นี้ คือฟื้นตอนประมาณ ๒๒.๐๐ น. และตายไปใหม่ประมาณ ๒๒.๐๖ น. ตลอดทางที่เดินไปนั้นข้าพเจ้าอยู่ตรงกลาง มีคนขนาบข้าง

    ๒ คน และอยู่หน้า ๒ คน หลัง ๑ คน เดินมาพักใหญ่จึงมาพบโต๊ะตั้งอยู่ข้างทางเดิน มีอาหารหลายชนิดตั้งอยู่บนโต๊ะ มีเหล้า ข้าว หมู ไก่ ขนมจีนน้ำยา และขนมอีก

    หลายชนิด

    คนทั้ง ๔ ตรงเข้าไปที่โต๊ะและเรียกข้าพเจ้าว่า “บุญชูยังไม่ได้กินข้าว มากินเสียซี”

    ข้าพเจ้าก็ตรงเข้าไปกินกับเขา เมื่ออิ่มแล้วก็ถามเขาว่า “ของของใคร นี่เรามากินของของเขาไม่ว่าเอาหรือ…?”

    คนที่มีท่าทีว่าเป็นหัวหน้าบอกข้าพเจ้าว่า “ไม่มีใครว่าหรอก เพราะเซ่นผีไว้ อีก ๒ วัน ข้าจะกลับมาเอา”

    ข้าพเจ้าถามเขาว่า “บ้านใครเล่า”

    เขาตอบว่า “โน่นยังไงเล่า บ้านนางหล่ำ หัวตะพาน เขาทำบุญต่ออายุไว้ อีก ๒ วันเถิดข้าจะมาเอาตัวไป”

    ข้าพเจ้ามองตามมือก็เห็นบ้านหลังนี้อยู่ข้างๆ บ้านๆ หนึ่งมีลูกกรงสีเขียว ต่อจากบ้านนางหล่ำมาอีกพักใหญ่ จึงพบขบวนคนยืนอยู่สองฟากถนน ต่างไชโยโห่ร้องรับ

    ข้าพเจ้า และร้องบอกกันว่า “พวกเรามาอีกคนแล้วโว้ย”

    ข้าพเจ้าบอกกับเขาว่า “ฉันไม่มาเป็นพวกแกหรอก”

    พวกนี้ส่วนมากไม่นุ่งผ้ากันเลย จากพวกนี้ไปก็ถึงสวนดอกไม้ใหญ่ ดอกนั้นสวยมากเป็นทองคำทั้งดอก ใบเป็นสีเขียวเป็นมันเหมือนมรกต ข้าพเจ้าตรงเข้าไปเก็บบ้าง ก็ถูก

    ห้ามไม่ให้เก็บ เขาบอกว่า ถ้ายังอยากจะกลับละก้ออย่าไปเก็บ ถ้าเก็บแล้วเอ็งจะกลับไม่ได้ ข้าพเจ้าต้องเดินผ่านมาด้วยความเสียดาย

    ต่อจากนี้มีบ้านเล็กๆ เป็นแถว ข้าพเจ้ารู้สึกสงสัยเพราะน้อยบ้านนักที่จะมี ๒–๓ คน โดยมากบ้านละ ๑ คน บางบ้านมีคนอยู่ใต้ถุนเต็มไปหมด ข้าพเจ้าถามก็ได้ความว่า ที่

    บางบ้านมีคนอยู่มากบ้างน้อยบ้าง เกี่ยวกับทำบุญของแต่ละบุคคล บางคนทำบุญไว้ดี ก็ได้อยู่บ้านสวยงาม บางคนร่วมกันทำบุญสร้างด้วยกันทำพร้อมกันก็ไปอยู่บ้านเดียว

    กัน บางคนทำบุญ แต่ก่อนที่จะทำว่าเขาเสียก่อน ทำโดยไม่ตั้งใจจะทำก็ไปอาศัยใต้ถุนเขาอยู่

    ต่อจากบ้านที่มีเรียงรายไปอีกไกล เดินพักใหญ่ก็พบลานกว้างใหญ่ มีต้นไทรขนาด ๒๐ คนโอบ มีแท่นหินและโต๊ะหินอยู่โคนต้นไทร มีชายคนหนึ่ง ดำ ผมหยิกตาพอง

    รูปร่างใหญ่โตนั่งอยู่บนแท่นหินนั้น

    ชายทั้ง ๔ และข้าพเจ้าเดินมาถึงตรงนี้ ก็ถูกเรียกว่า “เฮ้ย…พามาตรงนี้ซิ มาถามไถ่กันดูก่อน อีนี่ดื้อนักเรียกไม่ค่อยจะมา”

    ข้าพเจ้าและชายทั้ง ๔ จึงเดินเข้าไปหยุดตรงหน้า พอข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นดูก็รู้สึกดีใจว่า ยมบาลคนนี้รูปร่างเหมือน นายเชย สิงหมี ผู้ใหญ่บ้านที่ข้าพเจ้ารู้จัก จึงถามว่า

    “อ้าว…ตาเชยมาเมื่อไหร่เล่า”

    แต่กลับถูกตวาดว่า “เชยๆ อะไร เอ็งรู้จักข้าตั้งแต่เมื่อไร”

    ทำให้ข้าพเจ้าเงียบเสียงทันที แต่ก็ยังนึกสงสัยว่า ยมบาลนี่ถ้าไม่ชื่อเชย ทำไมรูปร่างจึงเหมือนผู้ใหญ่เชยจริงๆ คล้ายกับจะเป็นลูกฝาแฝดทีเดียว แต่ยมบาลตัวใหญ่มาก

    ข้าพเจ้าจะพูดกับยมบาลต้องแหงนหน้าดู ข้าพเจ้ายืนอยู่ตรงหน้าคล้ายกับเอาลูกหนูไปยืนอยู่ตรงหน้าวัวตัวเขื่องๆ ทีเดียว

    “เอ็งทำไมดื้อนัก ข้าให้คนไปรับยังวิ่งหนี”

    ข้าพเจ้าตอบไปว่า “ฉันเป็นห่วงลูกเพราะลูกยังเล็กอยู่”

    คราวนี้ยมบาลสะดุ้งทันที ร้องว่า “อ้าวพวกมึงทำไมไปทำระยำอย่างนี้เล่า ผิดตัวเสียแล้ว อีนั่นมันไม่มีลูกนี่หว่า”

    เสร็จแล้วก็ไปพลิกบัญชีดู และบอกว่า “อีคนนั้นชื่อ บุญชู จิตทอง บ้านต้นโพธิ์ หมู่ ๑ จังหวัดสิงห์ฯ ตายเวลาตี ๑ ครึ่ง เป็นไข้ทับระดูตาย อีนี่ตายตั้งแต่ ๕ โมงเย็นเป็นลม

    ตาย ไม่ใช่ๆ ผิดตัว เอ็งจัดแจงเตรียมไปเอาอีคนนั้นมา”

    เดินชมสภาพเมืองนรก

    พอ ๔ คนนั้นเตรียมตัวไป ยมบาลก็หันหน้ามาบอกข้าพเจ้าว่า “จะดูอะไรก็ดูเสียประเดี๋ยวจะให้เขาเอากลับไปส่ง”

    ข้าพเจ้าจึงเดินดูเห็นทนายความคนหนึ่งกำลังขึ้นต้นงิ้ว ต้นงิ้วนี้น่ากลัวมาก คือสูง แหงนมองเห็นยอดลิบๆ หนามไม่ยาว แต่พอขึ้นไปหนามยาวออกเองได้ แทงทะลุท้อง

    ทะลุอกออกมา ตายอยู่กับหนาม เขาก็เอาคีมเหล็กจับตรงเอว ดึงออกมาวางตรงโคนต้น เอาน้ำในโอ่งใหญ่มาราดแล้วก็กลับฟื้นขึ้นมาอีก จะเลี่ยงไม่ได้ เพราะใต้ต้นก็มี

    ทหารถือหอกคอยแทง

    ข้าพเจ้าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นต้นงิ้ว ซึ่งข้าพเจ้ารู้จัก ชื่อม้วน จึงถามเขาว่า “เอ๊ะ…ผู้หญิงก็ขึ้นต้นงิ้วด้วยหรือ…?”

    เขาบอกว่า “ทำไมเล่า มันนอกใจผัว ไปเป็นชู้กับตาหอม” ต่างขึ้นๆ ลงๆ อยู่เช่นนั้น

    ข้าพเจ้ายังได้พบชายอีกคนหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าเคยรู้จัก ชื่อนายเปลื่อง จินดาวัด ถูกตัดนิ้วด้วนกุดหมด ถามได้ความว่าชอบยิงนกในวัดเสมอ บางคนก็เคยทุบหัวควาย ก็ถูก

    ล่ามโซ่และถูกเชือดเนื้อเสียงร้องอู้ๆ น่ากลัวมาก ข้าพเจ้ามองดูด้วยความหวาดเสียว

    พอข้าพเจ้าเดินดูต่อไปอีก ก็ได้ยินเสียงยมบาลบอกกับข้าพเจ้าว่า “หิวข้าวก็ไปกินซี่ ของเราอยู่โน่น”

    ข้าพเจ้าจึงเดินไปดู เห็นโต๊ะใหญ่ตัวหนึ่ง มีของเกือบเต็ม มีขันใส่ข้าว ซึ่งข้าพเจ้าจำได้ว่า ขันลูกนี้ข้าพเจ้าเคยใส่ข้าวไปใส่บาตร ข้าวยังเต็มขัน และควันร้อนขึ้นฉุยอยู่

    ทั้งๆ ที่ขันลูกนี้ ข้าพเจ้าจำได้ว่าอยู่ที่บ้านของข้าพเจ้า หม้อแกง ถ้วย ชาม ถาด ที่ข้าพเจ้าพบที่นี่ ก็ยังอยู่บ้านข้าพเจ้าทั้งนั้น นอกจากนี้ยังมีน้ำขวดตั้งโต๊ะ

    ข้าพเจ้าจึงถามเขาว่า “เอ๊ะ…ของฉันทำไมมีน้ำครึ่งขวดเท่านั้นเล่า และบางโต๊ะทำไมไม่มี”

    เขาบอกว่า “พวกเมืองมนุษย์นั้นเต็มที มันไปทำบุญมันเอาข้าวกับขนมไปทำเท่านั้น มันไม่เอาน้ำมาทำบุญ มันจึงต้องอดน้ำ”

    ข้าพเจ้าได้ถามถึงวิธีทำบุญด้วยน้ำ ก็ได้ความว่า ให้เอาน้ำไปใส่ขวดหรือขันที่ตั้งอยู่หน้าพระสงฆ์ เมื่อใส่บาตรเสร็จแล้วจึงกรวดน้ำแผ่กุศลต่อไป น้ำที่นำไปใส่ขวดหรือขัน

    นี่แหละจึงจะได้กินน้ำ ถ้ามิฉะนั้นแล้วจะไม่ได้กินน้ำ ข้าพเจ้าจึงบอกกับเขาว่า ฉันได้กลับมา จะมาบอกพวกชาวบ้าน

    พบบัญชีคนตาย

    เมื่อข้าพเจ้าเดินออกมาตรงโต๊ะอาหาร ยมบาลก็โยนบัญชีมาให้ข้าพเจ้าดู ในบัญชีนั้นมีตัวหนังสือใหญ่ๆ แผ่นกระดาษใหญ่เท่ากับแผ่นกระดานดำที่สอนเด็ก ข้าพเจ้ามอง

    ดูมีชื่อคนมาก แต่ข้าพเจ้าก็พยายามจำแต่คนที่ข้าพเจ้ารู้จัก จำมาได้ดังนี้ คือ

    ๑.บุญชู จิตทอง ตีหนึ่งครึ่ง ไข้ทับระดู ๕ กุมภาพันธ์ ๙๕

    ๒.นางหล่ำ ๗ กุมภาพันธ์ ๙๕

    ๓.นางฉาย บุญวงศ์ ๔ มีนาคม ๙๕

    ๔.นายแม่น ทองสติ ๔ กรกฎาคม ๙๕

    ๕.นายปลอด สีสิงห์ อีก ๒ ปี (๔ กุมภาพันธ์ ๙๗)

    ข้าพเจ้าจะขอเปิดดูอีก แต่เขาไม่ยอมให้เปิด เขาบอกว่า “เอ็งหมดสิทธิ์ที่จะเปิดแล้ว เอ็งเป็นคนใจบุญเปิดไม่ได้หรอก เดี่ยวไปเที่ยวบอกเขาหมด เมื่อก่อนนี้เอ็งเป็นคน

    ทำบัญชีให้ข้า ข้าคิดถึงเอ็ง อีก ๕ ปี ข้าจะให้ไปรับ เพราะเอ็งจะลำบากอีกมาก”

    ข้าพเจ้าบอกว่า “อีก ๕ ปี ฉันไม่มาหรอก”

    ยมบาลหัวเราะแล้วพูดว่า “เอ็งอยากลำบากก็ตามใจเอ็ง แต่ถ้าเอ็งไม่มา เอ็งต้องบวชลูกให้ข้า ข้าก็จะไม่ไปรับเอ็ง”

    “แต่ว่าจะให้คาถาเอ็งไว้ป้องกันตัวบทหนึ่ง เอ็งพยายามท่องอยู่เสมอ อันตรายและความลำบากจะลดน้อยลงไป คาถานี้เอ็งบอกให้ทั่วๆ ไปเถิด เอาบุญ เพราะต่อๆ ไปใน

    เมืองมนุษย์จะยุ่งใหญ่ เอ็งคอยจำนะข้าจะบอกให้ ก่อนท่องตั้ง นะโม เสียก่อนนะ แล้วท่อง จะลงจากบ้านหรือจะนอน ท่องอยู่เสมอๆ จะคุ้มภัยเอ็งได้”

    ปะโตเมตัง ปะระชิวินัง สุขะโต จุติ จิตะเมตะ นิพพานัง สุขะโต จุติ

    ข้าพเจ้าจำไว้เพื่อนำมาบอกยังมนุษยโลกต่อไป และก็เป็นที่น่าแปลกว่า ข้าพเจ้าได้ฟังเพียงครั้งเดียวก็จำได้

    พบ “บุญชู” ตัวจริง

    และก็พอดีเขานำ บุญชู จิตทอง มา บุญชูคนนี้กับข้าพเจ้ารูปร่างเหมือนกันมาก ข้าพเจ้าได้ยินเสียงยมบาลดุบุญชูว่า

    “เอ็งนี่จะตายแล้วยังจะก่อเวร ไปลักพุทราเขามากินและผิดสำแดงพุทรา จึงตาย”

    แล้วเขาก็สั่งให้ตีบุญชู ข้าพเจ้ารู้สึกกลัวจริงๆ เพราะการทรมานต่างๆ ของขุมนรกนี้เป็นที่นาหวาดเสียวมาก เมื่อบุญชูคนโน้นถูกตีด้วยหวายแล้ว ยมบาลก็สั่งให้ชายทั้ง ๔

    นำข้าพเจ้ามาส่งมาระหว่างทาง ชายคนหนึ่งซึ่งมีท่าทางคล้ายกับเป็นหัวหน้า ได้เตือนข้าพเจ้า “อย่าลืมนะ อีก ๕ ปี เอ็งต้องบวชลูกให้พวกข้า”

    ข้าพเจ้ารับคำ แต่แล้วข้าพเจ้าก็ต้องผละออกเดินห่างจากแก เพราะเวลาแกพูดมีหนอนร่วงออกมาจากปากมาก จึงถามแกว่า “ลุงจ๋า ลุงซื่ออะไรทำไมลุงจึงเป็นดังนี้”

    แกก็บอกว่า “ข้าชื่อเอื้อม คนดอนรัก(คนในตำบลดอนรัก) ไปถามดูเถิดมีคนรู้จัก ลูกข้าชื่อไอ้เจือ เมื่อก่อนข้าเลี้ยงช้าง ได้เงินค่าจ้างเดือนละตำลึง เงินเหลือข้าก็ซื้อเหล้า

    กิน ผลแห่งการกินเหล้านี่แหละหนอนจึงกินปากข้า”

    พอมาถึงบ้าน ข้าพเจ้าเข้าบ้านไม่ได้ เพราะล้อมสายสิญจน์และซัดข้าวสารไว้ จนกระทั่งลุงเอื้อมแกจับข้าพเจ้าเหวี่ยงโครมขึ้นมาบนบ้าน ทำให้บ้านไหวยวบ คนหนีกัน

    หมด เหลือแต่ลูกสาวของข้าพเจ้าอายุได้ ๔ ปีนั่งอยู่และถามข้าพเจ้า “แม่ไม่ตายหรือ” พอบอกว่าไม่ตายหรอก จึงได้เรียกขึ้นมาบนบ้าน ข้าพเจ้ารู้สึกใจหายเพราะตอนที่

    ฟื้นมานี้เป็นเวลา ๘.๐๕ น.เศษ และต่อโลงเสร็จเรียบร้อยแล้ว

    พวกชาวบ้านและพระขอร้องให้ข้าพเจ้าเล่าให้ฟ้ง และข้าพเจ้าได้ถามถึงลุงเอื้อม ก็ได้ความว่าเป็นพี่ชายนายทัน ผู้ใหญ่บ้าน และตายไปประมาณ ๓๐ ปีแล้ว ผู้มีชื่ออยู่ใน

    บัญชี ข้าพเจ้าก็นำมาเล่าให้ชาวบ้านและพระฟังจนหมด

    และต่อมาเมื่อวันที่ ๗ นางหล่ำตาย วันที่ ๔ มีนาคม นางฉายตาย วันที่ ๔ กรกฎาคม นายแม่นตาย ต่อมาคนสุดท้ายนายปลอด สีสิงห์ กำหนด ๒ ปี พอครบก็ตายพอดี

    แต่ก่อนตายแกไปเที่ยวขุดละลายหัวคันนาที่แกเคยรุกเขา มาคืนให้เจ้าของหมด

    และต่อมาชายคนหนึ่งทางห้วยคันแหลม ได้สั่งลูกหลานไว้ หลังจากข้าพเจ้าฟื้นมาแล้ว “กูตายไปละก้อ มึงเอาขวานใส่โลงไปให้กูด้วย กูจะเอาขวานไปโค่นต้นงิ้ว”

    พอตายลูกหลานก็เอาขวานใส่ไปให้จริงๆ ต่อมาแกกลับมาเข้าทรงเด็กๆ ให้ไปขุดขวานขึ้น แกบอกว่า “ไม่ไหวละ มันเอาขวานทุบหัวเสียอีกด้วยซิ แทนที่จะเอาขวานไป

    โค่นต้นงิ้ว”

    ในที่สุดพวกลูกต้องไปขุดเอาขวานขึ้น.

    (จบบันทึกของครูบุญชูไว้เพียงแค่นี้ เรื่องตายแล้วฟื้นนี้มีประสบเหตุการณ์หลายราย การที่ไปพบเห็นในสภาพต่างๆ คล้ายๆ กันนั้น ก็เป็นไปตามอำนาจของบุญกุศลของผู้

    นั้น หรือแล้วแต่เจ้าหน้าที่เขาจะอนุญาตให้พบเห็นได้ แต่ก็พอเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า คนเราตายแล้วไม่สูญ นรกสวรรค์มีจริง ทำกรรมดีได้ดี ทำกรรมชั่วได้ชั่วอย่างแน่นอน)

    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๙๐-๑๐๑ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2015
  7. ครึ่งชีวิต

    ครึ่งชีวิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,178
    ค่าพลัง:
    +15,103
    credit จาก Facebook (สำหรับท่านที่ไม่เล่น)
    นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
    ◎อภินิหารพ่อครูพระพิราพ◎
    สมัยเมื่อเมืองไทยยังไม่มีโรงหนัง มหรสพนับว่าขึ้นหน้าขึ้นตาที่สุดคือ ลิเก ละครชาตรี โขน โขนสด ตกค่ำเสียงตะโพนดัง เสียงเพลงโหมโรงดังกระหื่มลอยมาตามลม มีมนต์ขลังให้ผู้คนที่ได้ยินทนอยู่บ้านไม่ได้ต้องเดินตามเสียงโหมโรง เชื่อกันว่าเป็นเช่นนั้นเพราะพลังอำนาจเเห่ง ''พระประโคนธรรพ์'' คนธรรพ์เจ้าแห่งการบรรเลงดนตรี
    คนธรรพ์ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นมานพกึ่งเทพ มีถิ่นที่อยู่ในป่าหิมพานต์ สำเริงสำราญอยู่ด้วยเสียงคนตรีและการเสพสุขทางกาม ไม่สำรวมในกาม ชอบลักลอบเป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น หรือพอใจก็ใช้มนตราเป่าให้ฝ่ายหญิงเคลิ้ม ลักพาตัวไปจากสามี จนกลายเป็นศัพท์ที่แสดงถึงการได้เสียกับแบบไม่ถูกต้องตามประเพณี ด้วยการหนีตามกันไปว่า ''วิวาห์คนธรรพ์'' มาจนทุกวันนี้
    สำหรับการโขนแล้วต้องยกให้กรมศิลปากร ต้นตำรับโขนในประเทศไทย มีการสอนกันแบบเข้มข้น แสดงสมจริงสมจัง งานไหนมีโขนศิลปากรไปแสดง ลานที่ว่ากว้างจะแคบไปถนัดตา แต่มีข้อห้ามสำคัญสำหรับการแสดงโขนอยู่ข้อหนึ่งคือ
    ''โขนชักรอก ว่าหากมิได้มีพระบรมราชานุญาตให้แสดงเเล้ว แม้แต่งานหลวงก็แสดงไม่ได้โขนชักรอกเป็นการคิดค้นของท่านผู้มีหน้าที่สร้างฉากโขน โดยคิดประยุกต์ให้ทำเครื่องคาดพิเศษเพื่อโยงตัวโขนด้วยรอกและเชือกให้ตัวแสดงลแยไปลอยมาในอากาศเหนือพื้นเวทีแสดง''
    พุทธศักราช 2475 กรุงรัตนโกสินทร์มีอายุครบ 150 ปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้รัฐมีพิธี ''ฉลองกรุงครบ 150 ปี'' มีพระราชพิธีสมดภชพระสยามเทวาธิราช พระหลักเมือง ตลอดจนเทวดารักษานภดลมหาเศวตฉัตร เปิดสะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชปฐมบรมกษัตริย์แห่งบรมราชจักกรีวงศ์ ท่ามกลางเสียงเล่าลือว่าจะมีการปฏิวัติเปลี่ยนเเปลงการปกครอง
    ที่ท้องสนามหลวง โปรดเกล้าฯ ให้จัดการแสดงโขนชักรอกติดต่อกัน 7 วัน 7คืน คืนละหนึ่งตอนเวทีแสดงสร้างใหญ่ยาวและมีเพดานสูง มีการระดมจิตรกรเขียนฉากที่มีฝีมือจากงานช่าง 10หมู่ มาเขียน
    มีการตกแต่งไฟแสงสี เพื่อให้เข้ากับการชักรอกโขนขึ้นไปในอากาศ ผู้คนทราบข่าวก็พากันมาชมจนแน่นขนัด คนที่ต้องการดูถนัด ๆ ก็เอาเสื่อเอาหมอนมาจองที่หน้าเวทีการแสดงตั้งเเต่เที่ยง เอาร่มกางกันแดดกันจ้าละหวั่น
    ไพฑูรย์เล่าว่า ตอนนั้นเรียนมัธยมต้น อาศัยว่าเป็นบุตรบุญธรรมของท่านผู้มีบารมี จึงเข้านอกออกในหลังโรงโขน ซึ่งเป็นที่แต่งตัวของพระนาง แบ่งออกเป็นสองส่วน ด้านในสุดเรียกว่า''โรงนาง''สำหรับตัวนางที่เป็นสตรีใช้แต่งตัว จากนั้นจะเป็นช่องว่างต่อจากช่องว่างเป็น ''โรงพระ''เป็นที่แต่งตัวสำหรับชาย การเเสดงจะออกคนละข้าง พระออกขวา นางออกซ้าย
    ผู้ควบคุมตัวนางคือ ''หม่อมเฟื่อง'' ชื่อจริงไม่มีใครรู้ เป็นคนเฉียบขาด ดุ เเละด่าไม่เลือก ตัวพระที่แอบดูตัวนางจะถูกหม่อมเฟื่องดุด่าประจานจนเสียผู้เสียคน ที่ร้ายที่สุดคือ หม่อมเฟื่องจะมีกระป๋องใส่ปัสสาวะเตรียมไว้ราดหัวคนที่มุดลอดเข้ามาแอบดูตัวนางแต่งตัว ใครโดนเข้าไปรดน้ำมนต์ 7 วัดยังไม่หายซวย
    ไพฑูรย์ได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูได้ตรงช่องว่างระหว่างที่แต่งตัวพระกับตัวนาง จะเห็นนางได้ก็ตอนที่แต่งตัวเสร็จแล้วและเตรียมออกฉาก ไพฑูรย์เล่าว่า การแต่งตัวของตัวพระตัวนางจะลำบากที่สุดเพราะ เป็นชุดสำเร็จรูปเปิดด้านข้างเอาไว้ เเต่ละชุดมีราคาแพงเพราะปีกดิ้น ประดับเพรชพลอยให้เกิดประกายกับแสงไฟบนเวที ใส่แล้วจึงเย็บด้วยด้ายตรึงไว้อีกทีหนึ่ง
    เรียกว่าเมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้วจะถอดออกไม่ได้ แม้จะปวดอึปวดฉี่ก็ต้องทน ดังนั้นก่อนการแสดงจะเริ่มงดกินน้ำอาหารเพื่อไม่ให้เป็นภาระในการขับถ่าย ร้อนและอึดอัดก็ต้องทน ก่อนแต่งองค์ทรงเครื่อง ตัวแสดงจะต้องมาทำความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำโรงโขน ได้แก่เศียรพระพิราพ เศรียรพระคเณศ และเศียรพ่อแก่ (ฤษี) ก่อน เศียรดังกล่าวถือว่าเป็นครูใหญ่ ต้องไหว้ครูประจำทุกปี
    ตัวนางรองที่ผลัดกับนางเอกที่มีชื่อว่า ''เรียม''หน้าตาสวยมาก แม้ถอดเเป้งออกแล้วก็ยังสวยไพฑูรย์แอบหลงรักมาก เวลาบทเธอจะเดินเยื้องกรายสง่างามเหมือนนางพญา ต่อมาเธอไปแต่งงานกับพระยาพานทอง หนุ่มเนื้อหอม กลายเป็นคุณหญิงไป
    การแสดงโขนชักรอก ตัวเอกต้องเตรียมไว้ 3ตัวผลัด เช่นพระราม พระลักษมณ์ ขุนกระบี่เช่นหนุมาร สุครีพ เพราะหากใช้ตัวแสดงตัวจะแสดงไม่ไหว การแสดงจะมีหยุดพัก เปลี่ยนนักดนตรี มีการแสดงคั้นเพื่อเปลี่ยนฉาก ไพฑูรย์แอบดูอยู่หลังฉาก ตัวโขนถูกชักรอกขึ้นไปบนอากาศ ดนตรีบรรเลงทำนองรบ ไฟบนเวทีสลับไปสลับมาคล้ายกับเเสงศรที่แผลงออกมาจากสองฝ่าย
    พระราม พระลักษมณ์ ขุนกระบี่กับยักษ์เหาะขึ้นไปรบกัน เรียกเสียงปรบมือเป่าปากจากคนดูด้วยความสะใจ หม่อมเฟื่องบอกกับนางเรียมว่า เตรียมตัวให้พร้อม อีก 20 นาทีจะขึ้นแสดงเป็นเมขลาล่อแก้วกับรามสูร นางเรียมปวดปัสสาวะเต็มกลั้นจึงยกมือไหว้หม่อมเฟื่อง ''หม่อมเจ้าขา ดิฉันถอดเครื่องไปปัสสาวะ มันอั้นไม่ไหวจริงๆเข้าค่ะ'' ''นางเรียม เวลาแค่20นาที ไม่ทันหรอกอดทนเอาอะไรกันก็รู้แล้วนี่นาว่าแต่งตัวแล้วจะอย่างไรก็เเล้วเเต่จะถอดชุดไม่ได้ ไปเตรียมตัวแสดง อย่าเรื่องมาก''
    ไม่พูดเปล่าขยับหวายไปด้วย นางสาวเรียมจึงต้องล่าถอยกลับไปนั้งตาปริบๆ เมื่อถึงเวลาแสดงนางสาวเรียมในเครื่องทรงนางเมขลา ก็ออกจากฉาก อั้นปัสสาวะเอาไว้ ร่ายรำโยนลูกเเก้วล่อรามสูรบนเวที
    สักพักดนตรีรัวเป็นสัญญานบอกให้รู้ว่ารามสูรกับเมขลาต้องแอบเข้าหลืบฉากเพื่อให้เกี่ยวตะขอกับเครื่องสวมเพื่อชักรอก ดนตรีเชิด เมขลากับรามสูร ก็เหาะลอยขึ้นไปล่อแก้วบนฉากก้อนเมฆทันใดนั้น เทพอรชุนก็ลอยขึ้นมาขวางหน้ารามสูร ป้องกันเมขลาจากรามสูร แต่พลาดท่าถูกขวานรามสูรเข้าอย่างจังร่วงลงมากระเเทกกับเขาพระสุเมรุสิ้นซีวิต เมขลาได้โอกาสจึงโยนลูกแก้วสามครั้ง รามสูรก็ตามืดมัวไปชั่วขณะทำให้เมขลาเหาะหนีไปได้
    เชือกชักรอกนางเมขลาลงมาที่พื้นเวที ส่วนรามสูรยังคงลอยอยู่ด้านบน คนดูหัวเราะชอบใจ ส่วนนางสาวเรียมหัวเราะไม่ออก เพราะทนอั้นฉี่ไม่ไหว เลยฉี่ราดก่อนจะลงถึงพื้น เข้าไปในห้องเเต่งตัวผ้าทรงท่อนล่างเปียก กลิ่นฉี่เหม็นหึ่ง
    หม่อมเฟื่องหน้าบึ้งตึงร้องตวาดเสียงดังลั่น ''หมดกันเครื่องทรงราคาเเพง รู้ไหมว่าจะปักเสร็จใช้เวลากี่เดือน ใช้เงินไปเท่าไหร่ ชักก็ไม่ได้ หลวงท่านต้องเสียเงินทำชุดใหม่อีก อิเรียม มึงนะมึงทำกูได้''
    ''หม่อมเจ้าขา อิฉันบอกแล้วว่าปวดจนทนไม่ไหว เวลาก็ยังเหลือ เเต่หม่อมก็ไม่ยอม อิฉัน กลั้นเต็มที่เเล้ว เเต่พอถูกชักรอกเลยกลั้นไม่อยู่เจ้าค่ะ''
    ''อ้อ...มึงว่ากูเป็นต้นเหตุอย่างนั้นหรือ เอาละอีพวกเด็กๆดูเอาไว้ นี่เป็นโทษของผู้ที่ทำชุดเครื่องทรงหลวงเสียหาย''
    หม่อมเฟื่องหันซ้ายหันขวาจะหาหวายเเต่ไม่เห็น เลยคว้ากระบองยักษ์ที่ทำด้วยไม้กลึงตีลงไปที่ร่างของนางสาวเรียมจนฟกช้ำดำเขียว นางสาวเรียมยกมือปิดป้อง ปากก็ร้องว่า ''หม่อมเจ้าขาผิดไปเเล้ว ต่อไปจะระมัดระวัง พอทีเถิดเจ้าค่ะ''
    หม่อมเฟื่องไม่ยอมหยุดจนมีเสียงตวาดดังมากจากที่ว่างระหว่างโรงพระกับโรงนาง เป็นเสียงจางวางเพิ่มนั้นเอง
    ''หม่อมจะตีลูกเขาให้ตายเลยหรือ เป็นอาญาแผ่นดินนะ ถ้าพ่อแม่เขารู้ว่าหม่อมตีลูกเขาปางตาย จะแก้ตัวว่าอย่างไร''
    นั้นเเหละหม่อมเฟื่องจึงหยุดตี โยนไม้กระบองยักษ์ทิ้ง จะเดินเข้าไปกำกับการเเสดงที่จะออกฉากต่อไป ทันใดนั้นนางสาวเรียมก็ทะลึ่งลุกขึ้นยืนตาขวาง พูดเป็นเสียงผู้ชายทรงอำนาจ
    ''นางเฟื่องสามครั้งสามคราแล้วที่มึงลงโทษตัวแสดงสาหัสต่อหน้ากู กูอดทนจนทนไม่ไหวคราวนี้มึงบังอาจใช้กระบองยักษ์ของสูงมาตีเเทนหวาย มันผิด มึงก็ผิดด้วย กูคอยดู คอยคุ้มครองให้พวกมึง เวลาชักรอกกูก็ช่วยภาวนาให้ตัวเเสดงปลอดภัย คราวนี้กูต้องลงโทษให้มึงหลาบจำเสียบ้าง''
    หม่อมเฟื่องหัยมาดูเต็มตา เห็นเเววตาของนางสาวเรียมผิดปกติก็รู้ได้ว่าครูเข้า เเต่ไม่รู้ว่าเป็นองค์ไหน ทันใดนางสาวเรียมก็ตวาดว่า
    ''นางเฟื่อง จำไม่ได้หรือ ก็เศียรกูที่บูชานั้นไง กูพระพิราพ มึงคิดว่ากูมีเพียงเศียรกับชื่อหรือกูน่ะอยู่ทุกหนทุกเเห่ง ที่ใดบูชากู กูเเบ่งภาคไปช่วย กูจะบิดคอมึงให้เอียงไปข้างหนึ่ง เมื่อมึงเกษียณไปแล้ว มึงจงรักษาศิลภาวนาเป็นชีกำหนดปี ครบปีเมื่อใด คำสาปของกูจึงจะถอนออก''
    แล้วร่างของนางเรียมก็ล้มฮวบลงนอนไม่ได้สติ ส่วนหม่อมเฟื่องรู้สึกเสียวที่ก้านคอจากนั้นคอก็เริ่มเอียงไปข้างหนึ่ง พยายามไปให้หมอนวดจับเส้นก็ไม่หาย เลยได้ฉายาในหมู่นักเเสดงกรมศิลปากรว่า ''หม่อมเอียง'' วันที่หม่อมเฟื่องอำลากรมศิลปากร บรรดาศิษย์ทุกคน ต้องพากันมารดน้ำดำหัวเเละร่ำราให้อาลัย เพราะเป็นผู้ให้อาชีพแก่ตน แม้หม่อมจะดุเเต่ก็รักศิษย์ทุกคนต้องการให้ได้ดี
    เมื่อเกษียณแล้วหม่อมเฟื่องกลับไปเพรชบุรีบ้านเกิด ไปบวชชีรักษาศิลภาวนาที่สำนักชีวัดเขาวัง ไพฑูรย์รับราชการทหาร หรมพระธรรมนูญได้เดินทางไปฝึกงานที่มณฑลทหารบกเพรชบุรีรู้ว่าหม่อมเฟื่องมาบวชชีที่เขาวัง จึงซื้อของไปเยี่ยม เมื่อพบกับไพฑูรย์ แม่ชีเขม้นมองอยู่นาน เพราะไม่ได้พบกันหลายปี ไพฑูรย์ต้องการรำลึกความหลังว่า ''ผมเปียไง ชื่อจริงว่าวรรณวิน เคยไปดูโขนหลังโรงเมื่อตอนเป็นเด็กไงครับ''
    ''โอ...พ่อเปียนั้นเอง เป็นนายทหารหรือนี่ ดีใจจริงที่ได้เจอ ขอบใจนะที่จำแม่ชีได้'' ''คอเเม่ชีหายดีแล้วหรือครับ''
    ''หายเมื่อปีที่เเล้วนี่เอง ครบหนึ่งปีที่แม่ชีบวชรักษาศีลภาวนา คืนวันที่ครบหนึ่งปี เเม่ชีฝันไปว่า พระพิราพมายืนอยู่ที่หน้ากุฏิ ท่านมาบอกว่าได้ใช้เวรตามประกาศิตจนครบวาระแล้ว คอจะกลับคืนสู่สภาพเดิม คอจะหายเอียง พ่อตื่นเช้่าขึ้นมาก็หายจริง ๆ จึงได้ทำอาหารไปถวายเพลพระอุทิศกุศลให้กับพระพิราพ''
    เรื่องนี้ไพฑูรย์ประสบมาด้วยตัวเอง จึงนำมาเล่าไว้ให้ท่านผู้อ่านได้ตระหนักว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แม้จะมองไม่เห็น หรือหลายคนคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลนั้เป้นเรื่องจริง ดังเช่นที่หม่อมเฟื่องได้พบมาด้วยตัวเองถึงอิทธิฤทธิ์ของพระพิราพ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ จะเกิดอันตรายต่อตัวเอง
    ในตอนนี้ขอมอบพระคาถาเกี่ยวกับเรื่องเมตตาหมานิยม อันอยู่ในท้องร้อง เป็นคาถาเสกเเป้งผัดหน้าของตัวพระเเละตัวนางเวลาจะออกมาเเสดง พสกไม่มีเเป้งผัดหน้าก็รำลึกเอาฝ่ามือเปล่านี่เเหละเสมือนว่ามีเเป้งเสกเเล้วก็ผัดหน้าใช้ได้เหมือนกัน คาถานี้เรียกว่า
    ''คาถาพระพิราพหน้าทอง''
    นะ สุวรรโณ นะมะสิตตวา โม กาโร มณีโชตะกัง พุทธ กาโร
    สังขะเมวะจะ ทา กาโร สุริยาเอวะ ยะ กาโร มุกขะกังขะเมวะจะ
    สุทะมะมัง มะมังทะสะ กะระณียะเมตตัง เมตตา กรุณา มุฑุตา อุเบกขา จิตตัง จิตตัง เชยยะนารี จักกะวัติราชา มะโนโจรัง ไมตรีจิตตัง เอหิจิตตัง ปิยังมะมะ
    *คาถาทุกบท อักขระทุกคำ ทางผู้เขียนหนังสือได้ตรวจสอบ กับต้นตำรับคาถาอาคมที่ครูบาอาจารย์ได้บันทึกไว้ทุกตัวอักษรจึงสมบูรณ์ไม่มีอักขระวิบัติเเม้เเต่ตัวเดียวเเอดมินก็คัดลอกมาให้ได้รับชมเเละจะตรวจสอบพระคาถาจนเเน่ใจว่าไม่มีอักขระผิดไปถึงจะโพสให้รับชมครับ นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
    ขอขอบคุณ Facebook นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    [​IMG]

    พ่อท่านแผ้ว สำนักสงฆ์บ้านใสหลวง พัทลุง

    ใครอยู่พัทลุง สืบให้หน่อยครับ...

    ......................

    วันนี้พี่นิ่มกับคุณอ๊อด ไปบวงสรวงหลวงปู่ศุขกับหลวงพ่อกวย จากนั้นจะนำพิมพ์รัศมีประภามณฑลมาแจกคืน

    แต่ผมอยากทำกล่องด้วย เพื่อนสมาชิกว่าอย่างไร โปรดแสดงความคิดเห็นและตั้งชื่อรุ่นให้ด้วยครับ
     
  9. nuttalin

    nuttalin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +985
    ของดีที่วัดอาวุธ เพิ่งเปิดกรุ....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0_n.jpg
      0_n.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.4 KB
      เปิดดู:
      168
    • 1_n.jpg
      1_n.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.4 KB
      เปิดดู:
      201
    • 2_n.jpg
      2_n.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.4 KB
      เปิดดู:
      201
    • 3_n.jpg
      3_n.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.2 KB
      เปิดดู:
      185
    • 4_n.jpg
      4_n.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45.3 KB
      เปิดดู:
      192
    • 5_n.jpg
      5_n.jpg
      ขนาดไฟล์:
      84.8 KB
      เปิดดู:
      304
    • 6_n.jpg
      6_n.jpg
      ขนาดไฟล์:
      124.5 KB
      เปิดดู:
      210
  10. พ่อประดู่09

    พ่อประดู่09 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,378
    เอาของเก่าๆ มาเล่าตามประสาคนแก่ ตอนผมอายุใกล้ ๕๐ ปี เคยถามตัวเองเสมอๆ ว่าถ้าเราอายุยืน เราควรจะเป็นคนแก่แบบไหน เคยมีญาติฝ่ายแม่บ้านไม่ค่อยพอใจ

    ผม เพราะเวลาที่พวกเขาจะอวยพรผม ผมจะบอกก่อนว่า พรอะไรๆ ผมรับหมด แต่อายุยืนผมไม่อยากได้ ผมพูดอย่างนี้หลายครั้ง โดยลืมไปว่าญาติข้างแม่บ้านผมล้วน

    อายุยืนกันทั้งนั้น เคยมีคนจำนวนมากถามผมว่าทำไมไม่อยากอายุยืน ผมตอบโดยไม่ต้องคิดว่า ผมไม่เคยเห็นคนอายุมากมีความสุขที่แท้จริง พ่อ-แม่ ผมเสียตอนอายุ

    ท่าน ๙๐ ปี และ ๙๔ ปี ตามลำดับ มันทำให้ผมคิดเสมอว่า คนแก่ไม่ว่าจะมีอะไรพร้อมแค่ไหน ก็เป็นภาระให้ลูกหลานเขาห่วงอยู่ดี ผมจึงชวนแม่บ้านแยกออกมาอยู่ต่าง

    หาก และเตรียมตัวเป็นคนแก่ที่มีคุณค่ากับสังคมทันที เริ่มตั้งแต่หาหนังสือที่เกี่ยวกับศาสนา จารีต ประเพณี วรรณคดี ตำนานต่างๆ เอามาทบทวน เผื่อว่าจะมีใครมาถาม

    ไถ่ หรือปรึกษา หรืออยากรู้เรื่องพิธีกรรม บัดพลีต่างๆ จะได้เป็นที่พึ่งให้พวกเขาได้ จะได้ไม่เป็นคนแก่ที่เขาว่า แก่เฒ่าเพราะอยู่นาน หนังสือต่างๆ ของผมเลยมีพอ

    สมควร วันนี้เอาเรื่องที่เคยถามคนในหอพักที่เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ตามที่เคยได้ยินมา ปรากฎว่า ส่วนใหญ่จะตอบว่า เคยได้ยิน แต่จำไม่ได้ หรือไม่ก็จำได้ไม่หมด ก็เลยคิด

    ว่าน่าจะยังมีคนไม่รู้ หรือรู้แล้วลืม บางทีก็เข้าใจได้แต่ไม่หมด เอามาให้อ่านทบทวนกัน..............

    สำนวนแม่ย่างม้าเหาะ แม่เดาะคันช่าง เคยเอาไปถามกับคนที่มีเขย-มีสะไภ้แล้ว ไม่มีใครตอบได้ครบ....................

    "แม่หญิง แม่หยัง แม่กระชังก้นรั่ว แม่ยกครัวลงล่าง

    แม่ย่างม้าเหาะ แม่เดาะคันชั่ง แม่กระชังหน้าใหญ่" และ

    "ผู้หญิง ผู้ยัง แม่กระชังก้นรั่ว แม่ก้นตะกั่ว แม่ขนครัวลงล่าง

    แม่ย่างม้าเหาะ แม่เลาะข้างรั้ว แม่ชั่วตลอดศก แม่สกปรกตลอดชาติ"

    มันมีความหมายอย่างไร??????

    สุภาษิต ผู้หญิงแปดสาแหรก เพื่อเตือนใจผู้หญิงแปดอย่าง

    แม่ผู้หญิง แม่ผู้ยัง แม่กระชังก้นรั่ว แม่ก้นตะกั่ว แม่ขนครัวลงล่าง

    แม่ย่างม้าเหาะ แม่เลาะข้างรั้ว แม่ชั่วตลอดศก แม่สกปรกตลอดชาติ

    แม่ผู้ยัง คือ ผัดวันประกันพรุ่ง

    แม่กระชังก้นรั่ว คือ ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย

    แม่ก้นตะกั่ว คือ เฉื่อยชาไม่ค่อยยอมเคลื่อนไหว

    แม่ขนครัวลงล่าง คือ เมื่อไม่พอใจจะหนีกลับบ้านเดิม

    แม่ย่างม้าเหาะ คือ ขี้โมโห เดินปึงปังเหมือนม้าวิ่งโครมคราม

    แม่เลาะข้างรั้ว คือ เจ้าชู้ กรุ้มกริ่มเหมือนผู้ชาย

    แม่ชั่วตลอดศก คือ ไม่มีอะไรดี

    แม่สกปรกตลอดชาติ คือ เรือนผม เรือนกาย และเรือนที่อยู่อาศัย

    สกปรกไม่สะอาด

    สุภาษิตผู้หญิงแปดสาแหรกนี้ มีแตกต่างกันออกไป เช่น

    แม่หญิง แม่ยัง (แม่หยัง) แม่กระชังก้นรั่ว, แม่ไขว่หน้าผัว

    (แม่ไฝ่หน้าผัว), แม่ยกครัวลงล่าง , แม่ย่างม้าเหาะ,

    แม่เดาะคันชั่ง (แม่กระเดาะคันชั่ง), แม่ระฆังใบใหญ่

    (แม่นั่งภาวนา), แม่ใส่คะแนนไม่ทัน,

    แม่เดาะคันชั่ง หรือ แม่กระเดาะคันชั่ง คือ ผู้หญิงที่ยุ่งเกี่ยวกับ

    รายได้รายจ่าย และการใช้จ่ายเงินในครัวเรือน



    หรือที่เด็กนักเรียนรุ่นผม ต้องท่องกันตั้งแต่อยู่ชั้น ป.๒ จากหนังสือเล่มเล็กๆ ราคา ๑ สลึง เช่น

    มีสลึงพึงประจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์

    จงมักน้อยกินน้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน

    ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน

    เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดระทดใจ

    ด้วยชนกชนนีนั้นมีคุณ ได้การุณเลี้ยงรักษามาจนใหญ่

    อุ้มอุทรป้อนข้าวเป็นเท่าไร หมายจะได้พึ่งพาธิดาดวง

    ถ้าเราดีมีจิตคิดอุปถัมถ์ กุศลล้ำเลิศเท่าภูเขาหลวง

    จะปรากฎยศยิ่งสิ่งทั้งปวง กว่าจะล่วงลุถึงซึ่งพิมาน

    เทพไทในห้องสิบหกชั้น จะชวนกันสรรเสริญเจริญสาร

    ว่าสตรีนี้เป็นยอดยุพาพาล ได้เลี้ยงท่านชนกชนนี



    ของอย่างนี้คนที่เกี่ยวข้องไม่คิดกัน แต่ดันไปคิดจะเปลี่ยนของเก่าเขา แล้วเอาของใหม่มาใช้แทน เช่น รักวัวให้ผูก รักลูกให้กอด IQ มันดีจริงๆ แต่ EQ มันแย่มากๆ

    โบราณเขาว่าไว้ว่า ถ้าช้างเผือกผ่านบ้านผ่านเมือง บ้านนั้นเมืองนั้นก็เจริญ เขาหมายถึงการได้คนดีมาเป็นผู้นำ ถ้ากระทรวงศึกษาได้รัฐมนตรีดี เด็กไทยก็เจริญ....ขอบคุณ

    ขอเชิญชวนทุกท่าน ดูลิงแก้แห ที่สุวรรณภูมิ ยิ่งแก้ก็ยิ่งพัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2015
  11. pakatu

    pakatu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +679
    เท่าที่ทราบ พ่อท่านแผ้วเป็นหลานของพระอาจารย์นำ วัดดอนศาลาครับ เคยเป็นลูกมือพระอาจาย์นำในการจัดเตรียมและประกอบพิธีกรรมต่างๆ ช่วงเป็นฆราวาสท่านเป็นนายหนังตะลุง เชี่ยวชาญวิชาคุณไสยต่างๆของศาสตร์หนังตะลุงดี บวชที่วัดควนปันแตโดยตาหลวงเนเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านดังเงียบๆในพัทลุง ตรัง สงขลา นครศรี ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • aa 058.jpg
      aa 058.jpg
      ขนาดไฟล์:
      167.2 KB
      เปิดดู:
      321
  12. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    ต้องถามก่อนว่าพระขนาดเท่าไหร่ กล่องใหญ่ขนาดไหน ต้นทุนเท่าไหร่ พระทั้งหมดมากน้อยขนาดไหน รวมเบ็ดเสร็จเท่าไหร่

    เมื่อองค์ไม่เล็กไม่ใหญ่ทำกล่องใส่ก็คงเปลืองทุนขึ้นไปอีก อย่างของผมได้มา ๑ ถุงถ้าทำกล่องสงสัยต้องส่งมาลังใหญ่เป็นแน่แท้ เปลืองค่าส่งอีกเพราะน้ำหนักเพิ่มขึ้น

    ทำก็สวย ไม่ทำก็ประหยัด

    คงต้องถามก่อนว่าพระมีอิทธิคุณด้านไหน ถ้าให้คุณทางโชคลาภแต่ไปตั้งว่า "ปืนแตก" ก็คงไม่เหมาะ ถ้าให้คุณทางด้านอยู่คงแต่ไปตั้งชื่อว่า "รวยสมปรารถนา" ก็คนละเรื่อง พระเสกเด่นด้านไหนก็ให้ชื่อคล้อยตามด้านนั้นครับ
     
  13. พิมาน

    พิมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2009
    โพสต์:
    828
    ค่าพลัง:
    +3,953
    ผมมีแต่ง นิยายโหร ตอนใหม่เอาไว้
    คราวนี้ ดวงที่ยกมาประกอบในนิยายโหร
    หนึ่งเป็นดวงของผมเอง
    อีกดวงเป็นหญิง เกิดวันที่ 21 เมย 2505 เวลา 11.00 น. ที่ กทม
    ซึ่งเมื่อผูกดวงออกมาเป็น จักรราศี
    จะได้ตำแหน่งลัคนาและตำแหน่งของดาวทุกดวงตรงกับของผมทุกประการ
    ไว้แต่งเสร็จก่อน จะนำมาโพสในที่นี้ ณ ขอรับท่าน
     
  14. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    ขอบคุณมากครับ
    เห็นราคาแล้วจับไม่ลง แต่ถ้าคิดทำบุญแล้วได้บุญก็แนะนำ

    พระฯของคุณแม่ฯ พี่ไพรัชเชื่อถืออยู่ แต่ครั้งก่อนได้ผงของคุณแม่ฯจากท่านเจ้าคุณทหารฯ ก็เอามาทำพระฯ พี่ไพรัชสัมผัสได้ถึงพลังของคุณแม่ฯ ก็เอาไปแจกให้สาวๆ(ลูกหลาน)ไว้ทุกคนเลย เพราะอิทธิคุณให้ความคุ้มครองแก่สาวๆสูงมาก(โดยเฉพาะเรื่องล่อลวง)

    ถ้าไม่มีทุนเช่าหา ก็เอาพระฯที่พี่นิ่มทำรุ่นหลังๆได้ ผงของคุณแม่ฯแท้ๆเลย ท่านเจ้าคุณฯเทให้มาหมดเพราะอ่านใจพี่นิ่มได้
     
  15. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    ผมถามพี่ธวัชชัย พี่ท่านฯว่าเคยได้ยินแต่ชื่อ ยังไม่เคยเข้าไปสัมผัส
    สืบให้แล้วว่ามีแต่ของศูนย์ฯ ถามกลับว่าจะเอาไหม?

    ผมเอาเฉพาะของวิเศษ(ของที่ท่านทำเอง) อย่างอื่นไม่เอา แค่อยากรู้ว่าเก่งขนาดที่พี่นิ่มจะไปขอบารมีได้หรือไม่เท่านั้น แต่เห็นลัษณะสีหราชแล้ว น่าไปมาก...

    ขอบคุณกับข้อมูลและภาพครับ
     
  16. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    คุยกับคุณอ๊อดแล้วครับ ว่าทำกล่องแน่ เผื่อว่าจะเอาไปถวายวัดไหน จะได้ดูมีคุณค่า

    อิทธิคุณพี่เดาเอาเถอะครับ เห็นพี่นิ่มว่าชอบทางอยู่ปืน แต่เอาเข้าจริงคนยิงคือคุณอ๊อด
    คุณอ๊อดชอบทางเมตตาโชคลาภ แต่ทดสอบด้วยปืนทุกที เรื่องนี้ฟังแล้วให้ปล่อยวางนะครับ คนทำเค้าทำด้วยใจหวังให้ผู้ใช้ปลอดภัย ตัวคุณอ๊อดเองช่วงหลังๆที่ไม่ว่างนั้นก็เพราะไปประสบความสำเร็จในธุรกิจ เรื่องกำไรที่ละสิบล้านไม่ต้องพูดแล้ว

    เมื่อวานได้ฤกษ์ดี พี่นิ่มกับคุณอ๊อด จัดการขอบารมีองค์ที่ยังไม่ได้เสกหมู่
    1.หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
    2.หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม
    3.หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค
    4.หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ อัญเชิญโดยพระอาจารย์โมกข์
    องค์ที่4นี่คุณอ๊อดมั่นใจมากว่าท่านมาเสก เพระเธอเคยมาสักกับสำนักนี้แล้วของเหมือนจะขึ้น

    รอแค่ทำกล่องเสร็จ ก็จะเอามาคืนเพื่อนสมาชิกซะที เฉพาะของพี่ศนิวารก็1ถุง (เอาไปใส่กล่องเองนะครับ)

    ......................

    มาตั้งชื่อกัน

    1.เอาชื่อพี่นิ่มเลย
    2.เอาชื่อของพวกเรา
    3.เอาชื่อที่มีคุณอ๊อดผสม
    4.ตั้งใหม่ ให้เป็นแก้วสารพัดนึก

    จำนวนพระฯเท่าไหร่ผมจำไม่ได้ ใครจำได้ทักผมที จะได้คำนวนต้นทุนทำกล่องครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2015
  17. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    [​IMG]

    สมัยยังเป็นนักศึกษา ก็ชอบทำกิจกรรม มันสนุกดี
    แต่กิจกรรมของผมจะเป็นเรื่องของการอนุรักษ์ธรรมชาติ
    การเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ผมไม่อยากยุ่ง

    รูปแบบการปกครองแบบไหนก็ตาม ถ้าได้ผู้นำไม่ดีก็เสียหายทั้งหมด
    เคยมีนักศึกษาถาม สนช ว่าท่านจะปราบคอลัปชั่นอย่างไร เมื่อท่านมาจากเผด็จการทหารที่ทำรัฐประหาร... ถามแค่นี้ก็โดนเชิญออก

    มาถามผม ผมจะตอบให้ ว่ามันไม่เกี่ยวกัน ประเทศจีนเค้าก็เป็นคอมมิวนิสต์ ทำไมเขาถึงจับคนที่คอลัปชั่นไปประหารได้! แมวถ้าจับหนูได้ สีอะไรก็เป็นแมวที่ดี

    เคยมีเหมือนกันที่เพื่อนนักศึกษาช่วงนั้นชวนไปเยี่ยมคุณฉลาดที่กำลังอดข้าวประท้วงอยู่... แต่ถ้าผมไปเยี่ยมคงไม่ไปมือเปล่า ว่าจะเอาไอติมไปฝาก อากาศร้อนๆน่าจะชื่นใจ เพื่อนๆเลยไม่ให้ไปด้วย

    อดข้าวแล้วทานอาหารเสริม มันก็ดีท๊อกซ์แหละ
    นักศึกษายุคนั้น ผมจำไม่ได้ว่าใครเป็นประธาน ศนท (ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย) แต่ก็เชื่อว่ายังเข้มแข็งอยู่มาก ถึงเคลื่อนไหวจนเกิดพฤษภาทมิฬได้

    แต่มายุคหลังๆแล้วมันเปลี่ยนไป การเคลื่อนไหวกระจัดกระจาย ขาดพลัง ไม่ได้รับการสนับสนุนจากมวลชนเหมือนก่อน ขาดศรัทธา และขาดอีกหลายอย่างทั้งๆที่ยุคนี้เป็นยุคที่น่าจะเรียกผู้สนับสนุนได้ง่าย

    ลุงตู่ก็ให้ข่าว อยากให้นักศึกษาสงสารพ่อแม่..... ตอนนี้ร้องเพลงไปก่อน
     
  18. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    ใครมีข้อมูลเหรียญประภามณฑลนี้บ้างครับ ใครค้นเก่งค้นให้หน่อย
    ชนวนเหรียญ
    ปีที่สร้าง
    จำนวน
    เกจิเริ่มต้นที่เสกชุดแรกๆ
    [​IMG]
     
  19. rung847

    rung847 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +3,435
    ดูหน้า410-413ครับ น่าจะปี2556. จำนวน5,000 องค์(หน้า414)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2015
  20. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    จากกระทู้ที่ #16151 ของคุณมดดำน้อยรวบรวมไว้
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...