เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    อนุโมทนาสาธุครับวันนี้ขอถามธรรมที่ละเอียดนะครับอวิชชาคือความไม่รู้ เมื่อไม่รู้จึงเกิดสังขาร หรือรู้แล้วแต่ไม่ยอมรับตามความเป็นจริงต้องการให้เป็นตามสังขารที่เราปรุงขึ้นด้วยนันทิ จึงเกิดวิญญาณและเป็นไปตามปฏิจสมุบาทตามๆกันไป แต่ถ้ามีปัญญามีสติมีสมาธิจึงสามารถรู้ตามความเป็นจริงและยอมรับธรรม สังขารจึงไม่เกิด วงจรปฏิจสมุบาทก็จะถูกตัด ประมาณนี้ผมเข้าใจแต่อธิบายไม่ได้ บอกไม่ได้ ถ้าใช่ ก็เหลืออาสวะกิเลสที่เป็นตัวการของอวิชชาหรือที่เกื้อหนุนอวิชชาอยู่ ขอความรู้ด้วยครับ สาธุ
     
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =================

    ที่กล่าวมานั้นถูกต้องแล้วครับ

    ขออธิบายเพิ่มว่า

    อวิชา คือความไม่รู้ เมื่อยังขาดสติปัญญา คือยังไม่รู้จริง เมื่อนั้นก็ส่งผลให้อวิชา มีกำลังไปหนุนนำจิต เกิดความรู้สึกปรุงแต่ง เมื่อนั้นสังขาระ ย่อมเกิด เมื่อสังขาระเกิดแล้วจึงปรุงแต่งเป็นปัจจัย ให้เกิดวิญญาเสวยอารมณ์ของจิตต่อไป

    ปัญหาคือ ความไม่รู้จริงเป็นอย่างไร
    1 รู้แล้ว แต่มียังกิเลสหรืออวิชามีกำลังมาก จึงมีอำนาจชักนำให้หลงไหลไปได้ตามอำนาจของอวิชา หรือแบบที่เรียกว่า รู้แล้วแต่ยังทำยังไหลไปตามมัน ทั้งๆที่รู้
    2 ไม่รู้ เมื่อรู้ก็เลยไหลปรุงแต่งไปตามอวิชา

    จากทั้งสองข้อถือว่า ข้อสองหนักมาก เพราะเป็นความไม่รู้ ยังไม่มีปัญญาใดๆเลย แต่จากข้อ1 คือรู้แล้ว แต่ยังขาดการฝึกฝนกำลังทางจิต ทางสติปัญญา ที่มีกำลัง ตัดขาดได้จริง คืออวิชาบางอย่าง นอกจากต้องใช้กำลังสติปัญญาแล้ว ยังต้องใช้กำลังใจร่วมด้วย เพื่อตัดละปล่อยวางได้จริง เพราะอวิชาบางตัวมันครอบงำมาหลายภพชาติแล้ว การสู้่กับมันจึงไม่ง่ายครับ

    สรุปว่า เมื่ออวิชาดับ ด้วยวิชา ด้วยสติปัญญาและจิตที่มีกำลัง เมื่อนั้น วงจรก็ดับทันที ไม่มีอะไรให้รู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีอะไรให้เกิดดับอีก แม้ตัณหาอุปาทานมันก็ไม่เกิดดับ เพราะอวิชามันดับไปก่อนนั่นเอง

    กิเลสคืออวิชามีมากมายก็จริงแต่อวิชาที่เกิดแก่จิตก็เกิดได้ทีละอย่าง จิตรับรู้ทีละอย่าง ถ้าจะดับมันก็ดับทีละอย่าง แต่เพราะความรู้แจ้งทุกขณะจิต มันก็ดับหมดไม่มีเหลือนั่นเองครับ สาธุ
     
  3. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ขออนุโมทนาสาธุครับ เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วครับ จะปฏิบัติต่อไปครับ จบเมื่อไรจะไปกราบขอบพระคุณครับ จิตว่างคือวาง อุเบกขา คำว่าให้อยู่เฉยๆเพิ่งเข้าใจนี่เองคือให้วางอย่าส่งออก. อย่าไปยุ่ง อย่าไปปรุงมัน อย่าไปยึดมัน มันก็จบ ไม่มีอะไร ไม่มีคือมี มีคือไม่มี จะว่ามีก็มี จะว่าไม่มีก็ไม่มี หาไม่เจอ ที่เจอไม่ต้องหา พอเจอก็รู้ พอรู้ก็เจอ ที่ไม่เจอคือไม่รู้ ถ้ารู้จะเจอ สาธุ
     
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==============

    กล่าวออกมาได้เป็นภาษจิต เข้าใจง่าย ถูกต้องแล้วครับ สาธุ
     
  5. newpin

    newpin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +112
    คุณก้องค่ะ

    ขอสอบถามเพื่อเป็นกำลังใจในการปฎิบัติค่ะ ในชาตินี้ด้วยปัญญาของปลาจะทำให้เกิดผลการปฎิบัติได้สูงสุดคือขั้นไหนค่ะ?

    ขอบคุณค่ะ
     
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    รูปนามทั้งหลายเกิดดับ เป็นธรรมดาของมัน มีสภาพไม่เที่ยงของมัน แต่ที่มันทำให้ทุกข์ เพราะอาการที่จิตถูกปรุงแต่งให้ส่ายออกนอก วิ่งออกไปรับเอารูปนามมายึดมั่นถือมั่น เกิดเป็นตัณหา อุปทาน เป็นทุกข์ในที่สุด

    อาการที่จิตส่ายออกนอกจึงเป็นสมุทัย คือเหตุแห่งทุกข์ ้มื่อมองลึกเข้าไป แล้วอะไรละมีอิทธิพลให้จิตมันส่ายออกนอก นั้นก็คือ อวิชา นั่นเอง นอกจากนี้ ยังมี สังขารวิญญาณ ที่มีอยู่เดิมปรุงแต่ง การดับสมุทัย จึงต้องไปดับอาการที่ส่ายออก คือการไปดับต้นเหตุคือดับที่อวิชา ตัณหาอุปาทาน นั่นเอง


    อาการที่จิตเข้าไปเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง นั่นเอง เป็นมรรควิธี การจะเห็นจิตได้ ต้องอาศัย สติ สมาธิสมถะ+วิปัสสนา ปัญญา เมื่อจิตเห็นธรรมดาธรรมชาติของจิตที่ทำงาน เข้าใจกระบวนการทำงานของจิต เห็นในทุกข์ที่เกิด เมื่อนั้นจึงเกิดสติปัญญา รู้แจ้ง รู้ทันรูปนามที่เกิดดับ รู้ทันการปรุงแต่ง รู้ทันจิตตนที่เป็น เมื่อนั้นจึงเกิดวิชา คือรู้แจ้ง เมื่อรู้แจ้ง อันอวิชาคือความไม่รู้จึงดับหรือไม่มี เมื่ออวิชาดับ ทุกอย่างอันเป็นเหตุห่วงโซ่แห่งทุกข์ก็ดับหมดครับ นี่คือจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง ขอย้ำต้องทำให้เห็นแจ้งนะครับ

    เมื่อจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง นี่คือกระบวนการหรือมรรควิธี เมื่อทำได้สมบูรณ์ เมื่อนั้นทุกข์จึงดับไป เราจึงเรียกว่า ผลของการที่จิตเข้าไปเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง คือนิโรธ คือผลที่ได้รับคือความดับไปแห่งทุกข์ นั่นเองครับ
     
  7. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ขออนุโมทนาครับขอตอบแบบไม่จริงจังนะครับ ของจริงต้องรอคุณก้องมาตอบครับ ถ้าถามว่าถึงขั้นไหนขอตอบว่าขั้นพระอรหันต์เลยครับ อยู่ที่ท่านจะทำถึงหรือเปล่าแต่ถ้ามีความคิดจะทำก็สำเร็จไปครึ่งทางแล้วครับที่เหลือก็แค่ท่านสามารถต่อสู้กับจิตท่านที่ถูกอาสวะกิเลสห่อหุ้มอยู่ท่านจะลอกหรือปลอกออกได้ถึงจิตแท้จิตเดิมรึไม่ก็แค่นั้น ต้องใช้ความเพียรเป็นอย่างมาก อย่าท้ออย่าหยุดต้องสร้างกำลังใจให้ดี ผมใช้สุภาษิท ที่ว่าถ้ามนุษย์ไม่มีบารมีพอหรือไม่มีบุญพระพุทธองค์จะไม่ตรากตรำพระวรกายเป็นเวลา45พรรษาเที่ยวสั่งสอนเวไนยสัตว์หรอกครับ ท่านต้องรอจนมนุษย์มีบารมีมีบุญถึงก่อนแล้วค่อยสอนท่านก็ไม่ต้องเหนื่อยเปล่า เราก็จะไม่มีพุทธศาสนามาจนบัดนี้จริงไหมครับ และผมปฏิญาณไว้ว่าจะขอเป็นบุตรที่ดีแห่งศากยวงย์มิทำให้พระองค์ต้องเสียพระทัยที่มีผมเป็นอุบาสกอย่างเด็ดขาดจึงตั้งมั่นและเพียรพยายามมาตลอด เคยท้อแต่ไม่ถอย. เคยแพ้แต่ไม่ละความเพียร ขออวยชัยให้ท่านชนะจิตตนสำเร็จสมเจตนานเครับ สาธุ
     
  8. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ขอขอบพระคุณมากครับที่ท่านกรุณาบอกเคล็ดลับผมหาอยู่กำลังสับสนอยู่พอดี ท่านหงายของที่คว่ำไว้ให้ผมแล้วครับ. ที่เหลือผมต้องทำเอง ถ้าสำเร็จบวชทันก็จะบวชแต่ถ้าไม่ทันก็เสร็จกิจ คงอีกไม่นานตอนนี้ปล่อยไปตามธรรมชาติเห็นแล้วก็ปกติ การช่วยคนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ การบอกธรรมยิ่งยากกว่า การไม่รู้จึงพากันหลงด้วยยึดมั่นในสิ่งที่คิดว่าตนรู้แต่ความจริงนั้นไม่ใช่มันคือกิเลสที่ซ่อนอยู่ในกิเลสทั้งคนสอนและคนเรียน. หาอย่างท่านคงยากครับ จริงๆเท็จๆ เท็จๆจริงๆ จริงในเท็จ. เท็จในจริง อะไรเท็จ อะไรจริง สุดท้ายไม่มีทั้งจริงทั้งเท็จ มีแต่ว่างเปล่า มันปรุงด้วยต้วมันเองทั้งนั้น เรามีอวิชชาจึงเข้าไปปรุงกับมันด้วยพอมีวิชาจึงถอยออกมาดูเฉยๆไม่รู้จะเข้าไปปรุงเอาอะไร สาธุ
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    คุณ VERAJAK กล่าวได้ดีครับ ทำให้รู้ว่าจิตท่านพัตนาไปมากแล้วครับ และเมื่อท่านมีความเพียรและมีขันติประกอบ ความสำเร็จย่อมเกิดกับท่านแน่นอนในเวลาไม่นานมากนักครับ สาธุ
     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==================

    พระโสดาบันครับ แต่ความจริงมันก็จะขึ้นอยู่กับความเพียรและขันติบารมีของคุณครับ สาธุ
     
  11. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    อนุโมทนาสาธุครับ ศาสนาพุทธกำลังเดินทางเข้าสู่ความเสื่ิอมตามเหตุและปัจจัย ตามกาลเวลาที่ต้องเป็นไป. คนไม่เข้าใจและมีอวิชชาด้วยความหลง สัมมาทิฏฐิในมนุษย์เริ่มไม่มีด้วยยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนรู้จึงกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิด้วยไม่เคยลงมือปฏิบัติและก้าวย่างอย่างไม่ระมัดระวัง เรียนมาตามพระไตรปิฏกแต่ไม่เคยปฏิบัติบอกต่อตามความเข้าใจของตนที่คิดว่าถูกใครเถียงไม่ได้ฉันจบนักธรรมนะ มีมานะว่าตนเป็นนั้นเป็นนี่จึงไม่ฟังและขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมในสิ่งที่สูงยิ่งๆขึ้นไปกลับดูแคลนคนอื่นว่ารู้ไม่เท่าที่ตนรู้เที่ยวสั่งสอนคนอื่นตามที่ตนรู้ตนคิดซึ่งนั้นมิใช่ความจริงตามทางที่ถูกต้อง ส่วนคนเรียนก็เรียนด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก อยากเป็นนั้นเป็นนี่ด้วยลาภสักการะ ยศและคำพร่ำสรรเสริญ ต่อไปจะมีใครรับฟังผู้กล่าวธรรมตามจริงตามพุทธวจนหนอ? คนรู้จริงเห็นแล้วได้แต่วางอุเบกขา ปล่อยไปตามที่มันควรจะเป็น คนไม่รู้จริงเฝ้าสั่งสอนสิ่งผิดๆเค้าจะรู้ใหมหนอว่ามีอบายภูมิรออยู่เบื่องหน้า คนฟังก็เชื่อโดยขาดปัญญาในการพิจารณาว่าถูกต้องตามพุทธวจนหรือไม่พระพุทธเจ้าสอนยังงี้จริงหรือไม่ แต่เชื่ิอเพราะเค้าเป็นพระเป็นอาจารย์เค้าเก่ง เค้าเข้าถึง เค้ามีบารมี ผมคงต้องเข้าป่าในอีกไม่นานนี้แน่แล้วด้วยจิตอยากปลีกวิเวกแล้ว พิจารณาธรรมแล้วได้แต่ช่วยตนแล้วปล่อยวางอุเบกขา หรือท่านว่าอย่างใดครับ จะหาคนอย่างท่านในโลกนี้คงนับคนได้มีไม่เกินหลักสิบแน่ๆ เวรกรรม. เวรกรรม สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2015
  12. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    ถ้าผมต้องฟังนกแก้วพูดคำพุทธวจนะ .. ผมค้นกู้เกิ้ลเองง่ายกว่าครับ
     
  13. จวนเพ็ญ

    จวนเพ็ญ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +65
    รบกวนคุณ tjs ช่วยดูดวงของพี่สาวให้ด้วยคะ เกิดวันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2491 ปีชวด ว่าดวงเป็นอย่างไรบ้างทำไมไม่มีความสุขเหมือนคนอื่น ตั้งแต่เด็กจนอายุขนาดนี้แล้วชีวิตก็ไม่ค่อยมีความสุขเลยต้องมีภาระมากมาย สุขภาพร่างกายก็ไม่ค่อยดี โชคลาภก็ไม่ค่อยมีบันปลายชีวิตจะเป็นอย่างไรบ้าง ทำกรรมอะไรไว้ และมีวิธีแก้ไขอย่างไรชีวิตถึงจะมีความสุขทั้งกายและใจมากกว่านี้คุณ tjs ช่วยตอบให้ละเอียดด้วยนะคะ และมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านใดปกปักรักษาอยู่หรือเปล่า คุณtjs ช่วยบอกชื่อท่านด้วยนะคะ ขอบพระคุณล่วงหน้ามากคะ
     
  14. newpin

    newpin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +112
    ขอบคุณที่กรุณาตอบค่ะ ^^
     
  15. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    อนุโมทนาครับ สวัสดีครับท่านผู้มีพระคุณ ผมยกสิ่งที่ท่านกล่าวขึ้นพิจารณาตามกำลังปัญญาที่มี จนได้เห็นในสิ่งที่ท่านกล่าว. ขอยกขึ้นกล่าวตามสามารถเห็นเยียงใดแนะนำด้วยนะครับ จิตเห็นจิต อุปมาดังรถเมื่อรถวิ่งเราจะไม่สามารถเห็นรถน้้นได้ว่ามีตรงไหนบุบตรงไหนสีถลอกตรงไหนแตกหักเสียหาย ตราบเมื่อรถหยุดวิ่งแล้วจอดสนิทแล้วจึงสามารถตรวจตรารถนั้นได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ว่าต้องปรับปรุงซ่อมแซมตรงไหนบ้างจึงจะสมบูรณ์ไม่มีร่องรอยไม่มีตำหนิ จิตก็เปรียบเสมือนรถนี่แหละเมื่อยังสอดส่ายส้งออกไม่นิ่งเราจะไม่มีวันได้เห็นจิตเลยจนกว่าจะสามารถทำสมาธิจนจิตนิ่งได้แล้ว คือนิ่งจริงๆไม่ใช่มโน เมื่อจิตนิ่งจึงสามารถสอบสวนตรวจทานว่ามีกิเลสตัวไหนบ้างย้งนอนเนื่องอยู่มีอวิชชารึไม่สิ่งที่ควรทำได้ทำเสร็จรึยัง. นี่จึงเรียกว่าจิตเห็นจิตใช่รึไม่ครับ. จะว่ามีก็มีจะว่าไม่มีก็ไม่มีมันเสมือนเงาไม่มีรูปร่างแต่รู้ว่ามีอธิบายไม่ได้รึนี่คือปัจจตังรู้ได้เฉพาะตน สาธุ
     
  16. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ===============

    สาธุครับ เปรียบเทียบอุปมาได้ดีครับ เข้าใจง่ายครับ
     
  17. มหาเมตตา

    มหาเมตตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +283
    ขอบคุณในคำตอบของท่าน tjs ครับ

    หลังจากผมได้อ่านคำตอบท่าน tjs ไปแล้ว ผมก็ได้อ่านข้อความถัดมาของคุณ tjs อีกในธรรมทานเรื่องที่พูดเกี่ยวกับ “อวิชชา” ต้องดับด้วย “วิชชาความรู้” แล้ววิชชาความรู้เหล่านั้นเราจะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เกิดเป็นคำถามขึ้นในจิตใจผม และช่วงกลางคืนขณะอาบน้ำ ผมมีความรู้สึกขึ้นมาในจิตว่า หลังจากอาบน้ำแล้วนั่งสมาธิ ผมจะได้รู้คำตอบเรื่องวิธีการทำให้ความรู้วิชชานั้นเกิดขึ้น ซึ่งขณะอาบน้ำผมจึงพยายามปล่อยวางไม่นึกคิดพิจารณาเรื่องนี้ เพราะรู้สึกว่า การที่จะใช้จิตพิจารณาสิ่งใดที่เป็นธรรมละเอียดจำเป็นจะต้องนั่งสมาธิเพื่อให้เกิดสติ,สมาธิ,ปัญญาที่ลุ่มลึกและตั้งมั่นก่อน จึงจักแจ้งในธรรมละเอียดนั้น

    ผมขอตั้งชื่อธรรมทานเรื่องนี้ว่า “เมื่อสภาวธรรมหนึ่งเกิด” (คืนวันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2558)

    หลังอาบน้ำเสร็จ ผมก็มานั่งสมาธิ แต่ก่อนจะเริ่มนั่งสมาธินั้น จิตผมรู้สึกได้ถึง เทพพรหมท่านมากันเต็มท้องฟ้า ผมจึงรู้สึกว่า ธรรมละเอียดที่จิตผมกำลังจะใช้จิตพิจารณาวิปัสสนาญาณในสมาธินั้นมีความสำคัญและมีอานิสงค์มาก ผมจึงตั้งจิตอธิษฐานอุทิศบุญกุศลก่อนที่จะเริ่มนั่งสมาธิ (โดยวิสัยปกติผมจะอุทิศบุญกุศลหลังจากนั่งสมาธิเท่านั้น) ผมจึงตั้งจิตอธิษฐานขอให้บุญกุศลที่เกิดจากการเจริญสติ,สมาธิ,ปัญญาในครั้งนี้ ลูกขอนำบุญกุศลนี้อุทิศให้กับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์,พระปัจเจกพุทธเจ้า,พระมหาโพธิสัตว์,พระอรหันต์เจ้า,ครูบาอาจารย์ในชาติภพนี้ของข้าพเจ้า,สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองจิตและกายสังขารนี้ของข้าพเจ้า และอุทิศบุญกุศลให้แก่เหล่าเทพพรหมที่มากันเต็มบนท้องฟ้าในครั้งนี้ รวมถึง อุทิศให้แก่บิดา,มารดา และน้องชายทั้ง 2 คนของข้าพเจ้า เมื่ออธิษฐานเสร็จก็เริ่มเจริญสมาธิจิต โดยทุกครั้งผมจะเริ่มด้วยการผ่อนคลายกายและจิตในสมาธิให้สบายก่อน พอผ่อนคลายไปถึงจุดหนึ่งที่พร้อมจะวิปัสสนาแล้ว จิตเราจะรู้เองว่าพร้อม เมื่อจิตพร้อมผมก็เริ่มพิจารณาวิปัสสนาญาณในสมาธิ โดยใช้จิตพิจารณาว่า เราจักทำความรู้วิชชาให้เกิดขึ้นในจิตได้อย่างไร? เราก็พิจารณาต่อไปว่า “ความคลายจากการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง” นั้น มันไม่ใช่ธรรมอันเป็นแก่นแท้อย่างนั้นหรือ? แล้วความรู้วิชชามันเป็นธรรมที่ละเอียดกว่าความคลายจากการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวงอย่างนั้นหรือ? จิตพิจารณาไปพิจารณามาเรื่องความรู้วิชชา พิจารณาว่าจะทำให้มันเกิดขึ้นในจิตเราได้อย่างไร? เพื่อนำความรู้วิชชาเหล่านี้มาดับอวิชชาความไม่รู้ เมื่อวิชชาเกิดอวิชชาความไม่รู้ก็จักดับไป พิจารณามาหลายรอบกลับไปกลับมาจนถึงจุดหนึ่งก็เหมือนเกิดอีกความคิดหนึ่งปรากฎขึ้นมาในจิตเรา(ตอนเขียนเล่านี้เราก็รู้แล้วว่า เป็นเพราะครูบาอาจารย์ท่านดลจิตดลใจชี้ทางสว่างให้คิดได้และได้เห็นแจ้งในธรรมอันละเอียดนี้) ทำให้จิตเราคิดได้ว่า ไม่ว่าความรู้วิชชาหรือความไม่รู้อวิชชา ก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นใดๆ แก่นแท้ของความรู้วิชชานั้น ก็คือ “ความคลายจากการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง” เมื่อคลายยึดมั่นซึ่งเป็นเหตุเป็นเชื้อแห่งกิเลสตัณหาราคะ,อุปทาน,ฟุ้งซ่าน,นิวรณ์แล้วนั้น จิตก็ไม่เกาะติดกับสิ่งทั้งปวง ด้วยเหตุนี้จิตจึงเป็นอิสระหลุดพ้นจากทุกข์ในที่สุด โดยมีปัจจัย คือ สติ,ฌานวิปัสสนาญาณและจิตปัญญา เป็นปัจจัยที่เกื้อหนุนขัดเกลาให้จิตดวงนี้ได้พ้นจากทุกข์ในทุกขณะทุกสภาวะของจิต เมื่อพิจารณาถึงขั้นนี้แล้ว จิตผมก็รู้สึกแจ้งถึงแก่นแท้ของความรู้วิชชา และเมื่อเรารู้ถึงแก่นแท้แห่งวิชชาแล้ว ความรู้วิชชาอื่นๆ ก็จักเกิดตามมาเป็นสายโดยธรรมชาติแห่งจิต เกิดมากน้อยก็ตามแต่ระดับความคลายจากการยึดมั่นถือมั่นของจิต แต่ความคลายนั้นเป็นเพียงเหตุเบื้องต้นถึงแม้สภาวะของมันจักเป็นแก่นแท้ก็ตาม แต่เนื่องด้วยสภาวะของมันเปรียบเสมือนประตูมิติที่เอื้อนำจิตไปสู่ความรู้วิชชาทั้งหลายในธรรมชาติ โดยความรู้วิชชาอื่นๆ ที่จักเกิดขึ้นในภายหลังนั้น จักเกิดจากเหตุที่จิตมีความเคยชินตั้งมั่นในความคลายจากความยึดมั่นถือมั่นแล้วส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่ง เกิดจากเหตุที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ คือ ในสมาธิช่วงหนึ่ง พอจิตผมคลายยึดมั่นถึงจุดหนึ่งแล้วนั้น จิตผมก็พิจารณาต่อว่า เมื่อจิตคลายยึดมั่นทั้งหมดลงแล้วจิตไม่เกาะเกี่ยวกับทุกข์ใดๆ แล้ว จิตมีความหลุดพ้นทุกข์แล้ว ความคลายยึดมั่นถือมั่นเกิดเป็นผลเคยชินตั้งมั่นแล้วในระดับหนึ่งที่ใช้งานได้ ถ้าความเคยชินตั้งมั่นเกิดสำเร็จเป็นผลแล้ว จิตเราควรจักเจริญในผลที่ตั้งมั่นนั้นต่อหรือไม่? อีกจิตหนึ่งที่แฝงอยู่ทำให้จิตผมแจ้งขึ้นมาโดยผ่านความรู้สึก กล่าวเป็นความคิดว่า การเจริญในผลที่เคยชินตั้งมั่นนั้นอย่างไรจิตเรายังต้องเจริญต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งๆ ขึ้นไปไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ยึดมั่นว่าจักเจริญผลนั้นไปถึงเมื่อไร พอจิตเห็นแจ้งในธรรมอันละเอียดนี้ ทันใดนั้น จิตผมก็เข้าสู่สุญญตาสภาวะโดยพลัน ซึ่งจิตรู้สึกได้ว่า สุญญตาสภาวะที่เกิดขึ้นในจิตนี้ เป็นสุญญตาแบบเบาบาง และธรรมละเอียดที่แจ้งในลำดับถัดมา คือ สุญญตาสภาวะที่เกิดขึ้นในจิตนี้ เป็นสภาวะอันเหมาะสมเกื้อหนุนที่จักทำให้จิตเกิดมีความเคยชินตั้งมั่นและมีกำลังในสติ,มีกำลังในณานวิปัสสนาญาณและมีกำลังในจิตปัญญาเป็นบารมีอันยิ่ง และยังผลให้เกิดความตั้งมั่นในบารมีธรรมทั้งปวง เมื่อจิตดำรงอยู่ในสภาวะสุญญตานี้ทุกขณะจิต เวลาจักทำการใดก็จักทำด้วยจิตที่มีกำลัง,ทำด้วยจิตที่มีบารมีธรรมตั้งมั่นอันยิ่ง ก่อเกิดเป็นผลอันยิ่งเช่นกัน พอจิตพิจารณาวิปัสสนาญาณเสร็จสิ้น ก็ออกจากสมาธิ จิตรู้สึกได้ถึง “อานิสงค์ใหญ่” จากการที่จิตพิจารณาธรรมอันละเอียดนี้ และในวันนี้ที่เขียนเล่า ผมยังแจ้งชัดขึ้นอีกขั้นคือ การให้ธรรมทานนี้แก่ผู้อ่านผู้มีบุญบารมีทั้งหลายในครั้งนี้ ย่อมเป็นอีกอานิสงค์ใหญ่หนึ่งที่จะเกิดขึ้นแก่ผู้ทำเหตุปัจจัยทำบารมีธรรมถึงพร้อมจริงแล้ว ขอเพียงท่านน้อมนำธรรมทานนี้ไปใช้จิตพิจารณาดู ไม่นานจิตท่านก็จักแจ้งในความหลุดพ้นทุกข์แห่งจิตตนไม่มีผลเป็นอื่น และนี้ เป็นเพียงก้าวแรกของความหลุดพ้นทุกข์แห่งจิต ที่ท่านทั้งหลายจักยังความหลุดพ้นทุกข์แห่งจิตนั้นให้เกิดมีความเคยชินตั้งมั่นเพียงใดนั้นก็ต้องทรงด้วยความเพียรที่มี เพียงเจริญในผลแห่งความเคยชินตั้งมั่นยิ่งๆ ขึ้นไป ล้วนเพื่อเป็นการสร้างบารมีธรรมที่ตั้งมั่นทั้งปวงให้ปรากฎเกิดจริงแก่จิตของท่านเองเพียงนั้น ขอให้ผู้พร้อมด้วยเหตุปัจจัยพร้อมด้วยบารมีธรรมจงพิจารณาเถิด สำหรับผู้ที่มีญาณบารมีทั้งหลายจงใช้จิตญาณท่านย้อนสู่การพิจารณาธรรมตามจิตเราในคืนนั้นเถิด ดั่งเทพพรหมที่ได้ใช้จิตพิจารณาตามจิตเรา แล้วท่านจักแจ้งในธรรมอันละเอียดนั้นได้ตามบารมีธรรมของท่านที่มี เราเป็นเพียงจิตตัวกลางผู้สอนธรรมผ่านครูบาอาจารย์เท่านั้น ซึ่งจิตผู้สอนธรรมเราผ่านไปยังเทพพรหมทั้งหลายนั้น เรารู้สึกได้ถึง “พระพุทธชินสีห์” สาธุ !
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,421
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ใช่คะท่าน เรื่องนี้ทำให้ดิฉันเห็นว่าแม้ดิฉันจะรู้จะเห็นธรรมสูงสุดความจริงมาแค่ไหน
    หากเราไม่สามารถปฏิบัติตามความจริงที่ดิฉันรู้ได้ให้เป็นแบบอย่างแล้ว
    ถึงแม้มันจะเป็นความปราถนาดีเพียงใด ก็เท่ากับเอาหลักธรรมของจริงมาทำลาย
    ใครจะเชื่อความจริงที่คุณรู้มาว่ามันจริง ก็ในเมื่อความเป็นจริงคนที่เห็นมันยังไม่ปล่อยวางได้เลย
    นี่แหละคะ ที่เขาถึงเรียกว่าให้ตัวเราเองปฏิบัติให้ได้จริงเสียก่อนค่อยมาบอกแก่คนอื่น
    เราก็เพียงคิดว่า สัจธรรมความจริงไม่ได้รู้กันแค่เพียงการบอกเล่าเท่านั้น
    แต่เราคิดว่า เมื่อรู้สิ่งใดมา เรายังไม่ได้ แต่สามารถนำสิ่งที่รู้ได้มาบอกคนอื่นว่ามีจริง
    เพื่อให้เขาไปพิสูจน์กันเอง มันมีแนวทางและหนทางอยู่ แต่เรารู้แล้ว ก็เพียงแค่
    หาทางออกแค่นั้นเอง

    ธรรมะก็คือ ธรรมะ ไม่ว๋าจะอย่างไร ธรรมะก็เป็นธรรมะ ไม่มีใครสามารถทำลายธรรมะได้
    สิ่งที่ทำลายคือตัวเราเองต่างหากที่ทำให้เราเสื่อมจากธรรมะ
    และเราคิดว่าการให้ และการแลกเปลี่ยธรรมะไม่ใช่ความผิดอย่างไรคะท่านวิชั่นมาย
    ขอบคุณท่านที่ทำให้คิดได้ว่าเราต้องทำอย่างไรหากเราต้องการที่จะทำ
     
  19. Nu_Bombam

    Nu_Bombam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,030
    ค่าพลัง:
    +4,914
    รบกวน พี่ tjs ครับ

    1. ไม่ทราบว่ามีครูบาอาจารย์เทพเทวาองค์ใดดูแลผมอยู่หรือไม่
    2. ผมเคยมีความเกี่ยวเนื่องกับสายนาครึเปล่าครับ ผมรู้สึกลึกๆในใจว่าต่อไปมีโอกาสสร้างกุศลใหญ่กับสายนี้ หรือคิดมากไปเอง

    อื่นๆ แล้วแต่จะแนะนำ ขอบคุณครับ
     
  20. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    อนุโมทนาสาธุครับ วันนี้อาจจะเป็นวันที่ผมจะท่องเที่ยวในเว็ปตามความยึดมั่นถือมั่น ต่อจากนี้ผมต้องทำงานของผมให้เสร็จเสียที วุ่นมานานแล้วด้วยความเพลิน แล้วท่านกับเราคงต้องไปพบกันซักครั้งนะคร้บ. กิเลสมันหลอกเราให้หลงจริงๆหลอกให้เราหลงยึดมั่นในสิ่งที่ทำคิดแต่อยากช่วยคนอื่นให้รู้ตามทางทึ่ถูกต้อง ใครๆก็ชมว่าคนดีมีจิตเมตตาพาเราหลงสรรเสริญนั้นจนเกือบแย่ดีนะที่รู้ทันไม่ยังงั้นที่ทำมาล้วนสูญเปล่า ผมจะหยุดจะขอทำกิจตนให้เสร็จจริงๆซักทีเปลี่ยนสมมุติเป็นวิมุตติตามพ่อแม่ครูบาอาจารณ์ที่สั่งสอน ทุกสิ่งในโลกนี้มีหน้าที่ของมัน ตามีหน้าที่ดูทุกสิ่ง หูมีหน้าที่ฟัง ทุกเสียง ฯลฯ จิตมีหน้าที่รู้ ถ้ามันไม่ทำเกินหน้าที่ของแต่ละอย่างทุกข์ก็ไม่มี แต่มันทำเกินหน้าที่ของมันเลยทุกข์ ที่มันทำเกินคือไปยึดมั่นนั้นเอง จิตมีหน้าที่แค่รู้เท่านั้น แต่มันขยันมากไปหน่อยมันทำหน้าที่ยึดมั่นถือมั่นด้วยเลยไปกันใหญ่หาทางดับทุกข์กลับยิ่งเพิ่มทุกข์ไปกันใหญ่ วันนี้เป็นต้นไปจะให้มันทำแต่หน้าที่ของมันเท่านั้นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ไม่ต้องขยันทำจะขอเวลาสั่งสอนอบรมจิตก่อนนะครับ จิตยึดทุกข์ จิตรู้วิมุตติ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...