พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 13 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 10 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, sitprogpo, กระพี้ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ดึกแล้วยังเข้ามาอ่านกันเยอะเลยนะครับ ขอให้อ่านอย่างมีความสุขกัน

    และนำมาฝากกัน จาก อย.

    สมุนไพรประดง & ยาลูกกลอน
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->http://www.fda.moph.go.th/www_fda/da...้างรักษามะเร็ง[1].pdf

    http://www.fda.moph.go.th/www_fda/da...465_ยาแผนโบราณ[1].pdf

    จากคณะกรรมการอาหารและยาครับ
    .
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>ไฟล์แนบข้อความ</LEGEND><TABLE cellSpacing=3 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>299882465_ยาแผนโบราณ[1].pdf (122.0 KB, 0 views)</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>สมุนไพรประดง_อ้างรักษามะเร็ง[1].pdf (121.2 KB, </TD></TR></TBODY></TABLE></FIELDSET>
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137


    ไม่ได้ยั่วครับ นำมาบันทึกไว้เป็นความรู้ เผื่อมีโอกาสได้ผ่านตา จะได้รู้ว่านี่ของดี ใครมีข้อมูลดีกว่าคนนั้นได้เปรียบครับ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สปส.แนะผู้ประกันตนถูกเลิกจ้าง ยื่นเรื่องที่สนง.ใกล้บ้าน-รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน

    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNeE13PT0=&day=TWpBd09DMHdNUzB6TUE9PQ==

    สำนักงานประกันสังคม - นายสุรินทร์ จิรวิศิษฎ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวว่า ผู้ประกันตนที่ถูกเลิกจ้าง ออกจากงานและว่างงาน ส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนการว่างงาน ต้องไปขึ้นทะเบียนหางานที่สำนักงานจัดหางานของรัฐทั่วประเทศภายใน 30 วันหลังถูกเลิกจ้างหรือลาออกจากงานเพื่อรับสิทธิประโยชน์ในกรณีว่างงานโดยกระทรวงแรงงานจะให้การช่วยเหลือในการบริการจัดหางานฝึกอบรมและพัฒนาฝีมือแรงงานพร้อมทั้งรับเงินทดแทนกรณีว่างงาน ไม่ว่าจะถูกเลิกจ้างหรือลาออกก็ตามและผู้ประกันตนที่ถูกเลิกจ้างยังได้รับความคุ้มครองต่ออีก 6 เดือนใน 4 กรณี ได้แก่ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย ไม่เนื่องจากการทำงาน และคลอดบุตร

    กรณีที่ผู้ประกันตนว่างงานเพราะถูกเลิกจ้างนั้นผู้ประกันตนจะได้รับเงินทดแทนในระหว่างว่างงานอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างที่นำส่งเงินสมทบ ระยะเวลาไม่เกิน 180 วันส่วนกรณีที่ผู้ประกันลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไม่แน่นอนผู้ประกันตนจะได้รับเงินทดแทนในระหว่างการว่างงานอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้างที่นำส่งเงินสมทบระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน

    ผู้ประกันตนที่ถูกเลิกจ้างออกจากงานหรือว่างงาน จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขการเกิดสิทธิ คือต้องขึ้นทะเบียนหางานที่สำนักงานภายใน 30 วัน หลังจากถูกเลิกจ้างหรือลาออกจากงาน, มีความสามารถในการทำงานและพร้อมที่จะทำงานที่เหมาะสมตามที่จัดหางานให้, ต้องไม่ปฏิเสธการฝึกงานและต้องรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง ผู้ว่างงานต้องไม่ถูกเลิกจ้างเนื่องจากกรณีทุจริตต่อหน้าที่ กระทำผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้าง จงใจทำให้นายจ้างรับความเสียหาย ฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายในกรณีร้ายแรง ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 7 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ต้องไม่ใช่ผู้มีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ มีสิทธิรับประโยชน์ตั้งแต่วันที่ 8 นับแต่วันว่างงานจากการทำงานกับนายจ้างรายสุดท้าย

    นอกจากนี้หากผู้ประกันตนประสงค์จะใช้สิทธิประกันสังคมต่อไปสามารถที่จะสมัครเป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจตามมาตรา 39 ซึ่งเป็นลักษณะของการสมัครใจประกันตนต่อหลังจากสิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 โดยมีเงื่อนไขคือผู้ประกันตนต้องมีประวัติการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือนและต่อมาสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างและแจ้งความประสงค์เป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจ ยื่นแบบคำขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 (สปส.1-20) ด้วยตนเองภายในระยะเวลา 6 เดือนนับแต่วันที่ออกจากงาน

    หากผู้ประกันตนที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่สายด่วน ประกันสังคม 1506 ได้ทุกวัน
     
  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เรื่องของฤกษ์ยามนี่ เมื่อไม่รู้ก็ว่าไม่สำคัญ ไม่เป็นไร เมื่อมีความรู้ ดันเกิดความกังวล ตกลงไม่รู้สบายใจกว่าหรือไม่นะ ...

    เมื่อวานมีโอกาสได้ตรวจดวงชาตาของคน ๒ คน คนหนึ่งเป็นนักร้อง คนหนึ่งเป็นเจ้านาย รู้สึกความตายมันใกล้เข้ามาทุกที วิชาโหราศาสตร์นี้ทำให้มองชีวิตด้วยความรอบคอบขึ้น มีการวางแผนที่ดี ยอมรับความจริงที่กำลังเดินเข้ามาหาเรา ก่อนหน้าจะเข้าใจในวิชานี้ มักสงสัยว่า เป็นเพราะบุญกรรมจัดวางไว้ให้ หรือเราเป็นผู้จัดวางกันแน่? มาวันนี้จึงสามารถสรุปได้ว่า เพราะบุญกรรมนี่เอง

    ผ่านการดูชีวิตคนอื่นๆมามากมายจนรู้สึกว่า มันวนเวียนไปมา มีขึ้น และมีลง มีทั้งสุข และทุกข์ หากยังหลงกับสิ่งที่เป็นอยู่ เราก็จะวนเวียน หาทางออกไม่พบ เสียเวลาไปอีกชาติหนึ่ง การได้พบวิชานี้จึงถือเป็นการร่นระยะของความไม่รู้ให้สั้นลง ประโยชน์แท้จริงไม่ได้เกิดกับผู้อื่น แต่เป็นตัวเรา ให้ได้คิดถึงการดำเนินชีวิตเป็นไปด้วยความระมัดระวัง แต่ไม่ได้อยู่อย่างหวาดระแวง กลับรู้สึกสบายใจ เพราะการล่วงรู้เวลาอายุขัยบนโลกนี้ของเรานั่นเอง นั่นคือต้องผ่านการพิสูจน์กันมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว จนเริ่มรู้สึกเชื่อขึ้นมาบ้างแล้ว จนกระทั่งรู้ว่า มันเป็น pattern ของเราในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง

    หากเราเกิดล่วงรู้ถึงวันที่เราจะหมดอายุขัยจริงๆ ณ วันนี้เราจะทำอะไร?
     
  5. kittipongc

    kittipongc เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +3,648
    คิดว่าถ้า เราจะหมดอายุขัยจริงๆ ณ วินาที นี้ ยังมีอะไรที่ห่วงอยู่บ้าง และอยากทำอยู่บ้าง ถ้าพอทำได้และไม่เบียดเบียนใคร ก็ให้เร่งทำเข้าเถิด ที่เหลือก็ให้ปล่อยวาง ขอขมาทุกๆท่านที่ได้ไปเบียดเบียน อโหสิกรรมทุกๆคนที่มาเบียดเบียนเรา และแผ่เมตตาอันไม่มีประมาณออกไป แล้วทำใจสบายๆคิดถึงบุญที่เคยสร้าง แล้ว เข้าสมาธิสูงสุดเท่าที่กำลังจะทำได้ และไปอย่างสงบ .... ฟรี้ๆๆๆๆๆ [​IMG]
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องของการดูฤกษ์ดูยามต่างๆ ก็มีมาแต่สมัยโบราณ เป็นทั้งศาสตร์ และเป็นทั้งศิลป์ ผู้ที่ใช้ประโยชน์เป็น ก็จะทำให้ทั้งตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลที่ดี แต่ถ้าเมื่อไหร่ ใช้ไม่เป็น ทำให้ตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้องเดือดร้อน และที่สำคัญ หากนำการดูฤกษ์ดูยามต่างๆ นำอัตตาที่ตัวเองมีอยู่ นำมาปะปนกัน ประกอบกับหลายๆเรื่อง จะทำให้ถูกต้องได้หรือ

    ผมเองมีความเชื่อเกี่ยวกับการดูฤกษ์ ดูยามต่าง ประมาณ 50 % เมื่อสักประมาณปี พ.ศ.2533 ผมไปดูหมอมา ทางครอบครัวผมและญาติผม บอกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า ดูแม่นมาก หมอคนนี้ทายผมว่า ผมจะแต่งงานในปี พ.ศ.2536 ประมาณเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม พ.ศ.2536 แต่ผมเองมาแต่งงานเมื่อปี พ.ศ.254.. ซึ่งห่างกันเป็น 10 ปี ผมเคยเถียงกับที่บ้านผมว่า ผมขอหมอดูแม่นๆ เขียนไปเลยว่า เดือนนี้ ปีนี้ จะเป็นอย่างไร แล้วมาดูกันว่า ตรงกับที่ทำนายผมหรือไม่ โดยที่ผมจะไม่เข้าไปอ่านหรือรับรู้ โดยมีสิ่งเดิมพันกัน ก็คือ ลูกปืน คนละนัด ปรากฎว่า ที่บ้านผมด่าผมกันระงม ผมก็เลยไม่ยุ่งเรื่องหมอดูอีก

    จนกระทั่งผมได้รู้จักบางคน ซึ่งผมเองนำดวงผมไปให้ดู ก็ให้ทำนายมาให้ผม สิ่งที่ทำนายมานั้น บางครั้งทำนายว่า จะมีเรื่องที่เดือดร้อน เช่น ถ้าขึ้นบ้านใหม่ เดือนอืนๆไม่ดี จะมีหลังคารั่ว ท่อน้ำจะตัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะต้องประสบแน่นอน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เนื่องจากเป็นสิ่งที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งที่ต้องมีการชำรุด

    สิ่งที่ผมได้กล่าวมานี้ ผมไม่ได้ปฎิเสธเรื่องโหราศาสตร์ แต่ต้องดูกันเป็นกรณีไป ดูกันเป็นเรื่องๆไป ดูกันเป็นรายๆไป ไม่สามารถที่จะไปเหมารวมกันได้ เมื่อไหรที่ผู้ดูโหราศาสตร์ คิดว่าตัวเองแน่ ตัวเองเก่ง แล้วไปลองวิชาคนอื่น ส่งวันเดือนปีเกิด ให้กับคนอื่นดู นี่หรือผู้................ เหตุผลที่สามารถนำมาอ้างนั้น สามารถหาเหตุผลได้เป็นพันล้านเหตุผลที่จะทำให้ตนเองนั้นดูดี ดูถูกต้อง แต่จะดีหรือถูกต้องตรงกับความเป็นจริงนั้นเป็นอีกเรื่อง

    ขอบคุณ คุณเพชร ที่แนะนำเรื่องดีๆให้กับผมและหลายๆท่าน ขอบคุณจากใจจริง คุณเพชรเป็นเพื่อนที่ดีมากที่สุดคนหนึ่ง เป็นผู้ที่ช่วยเหลืองานพระศาสนาได้อย่างมาก เป็นผู้ช่วยเหลืองานของคณะเราได้เป็นอย่างสูง อย่างที่ผมเคยบอกไป ขนาดแฟนคุณเพชร ต้องไปฉายแสงครั้งสุดท้าย ซึ่งผมรู้ว่า ทรมาณมากแค่ไหน เนื่องจากเพื่อนผมก็เป็นมะเร็งเช่นกัน แต่คุณเพชรเสียสละ ให้แฟนคุณเพชรไปฉายแสงและกลับบ้านเอง สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ไม่ต้องมีคำพูดที่สวยหรู ไม่ต้องมีอีกพันล้านเหตุผลที่จะทำให้ตนเองดูดี แต่กลับเป็นการกระทำของคุณเพชรเอง ที่บ่งบอกความเป็น "เพชร" ในตัวเอง

    โมทนาสาธุครับ
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2008
  7. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    (good)
     
  8. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    จาเขียนตั้งแต่เช้าล่ะครับบังเอิญรีบมากเลยว่าจากลับมาเขียนสายๆหน่อย ก็มีบางท่านตอบได้ถูกใจอีกล่ะ (ฮี้) เขียนเองดีกว่าครับ ตามความเห็นของผมคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นฤกษ์ยามใดๆถ้าเข้าใจในวิชาแต่โบราณกาลแล้วนำมาประกอบการตัดสินใจ(เน้นว่าประกอบนะครับ) ผมเห็นด้วยก็คงไม่ต่างจาก วันเปื่อยที่โจรห้อยพระพิมพ์อิทธิคุณสูงก็ยังถูกยิงตายได้ และเช่นกันโดยบังเอิญอีกแล้วเมื่อเช้านั่งทานข้าวคุยกับเพื่อน เขาก็เล่าให้ฟังว่ามีผู้มีอภิญญากับพระรูปหนึ่งที่สนิทกันได้รับการร้องขอให้ช่วยจัดหิ้งพระให้ปรากฏว่าเลือกวันสะดวก พี่ท่านนี้เข้าไปในบ้านก็เริมสังเกตุว่าเอ่ะทุกครั้งเทพประจำบ้านจะยืนขึงขังมากทำไมวันนี้ เทพองค์นั้นกับนั่งเฉยๆ ก็ยังฝืนลองจัดดูปรากฏว่ากลับบ้านต่างคนต่างเหนื่อยหมดแรงไปตามๆกันโดยไม่ทราบสาเหตุ ถึงมีการคุยกันว่าเรื่องบ้างอย่างก็ต้องเชื่อและควรปฏิบัติตาม แต่ในความเห็นผมคิดว่าในเรื่องอื่นๆส่วนประกอบที่สำคัญน่าจะเป็นตัวเราเองครับ ถ้าวันนี้เราไม่ทำอะไรให้ดี เกียจคร้าน ต่อให้มีผู้มาบอกว่าจะดวงดีอย่างไร อนาคตจะดีได้จริงผมก็ว่ายากครับ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาแจ้งข่าวเรื่องงานผ้าป่า ร่วมสร้างพระพุทธรูปซึ่งเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้า 4 พระองค์และองค์พระศรีอาริยเมตตรัย อีกทั้งการสร้างยอดฉัตรทองคำ ที่จะติดบนยอดพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งครับ

    กำหนดการจะทอดกันที่ สนส.ผาผึ้ง ในวันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งเป็นวันมาฆะบูชาครับ

    ผมจะติดต่อกับพี่แอ๊ว เพื่อที่จะหารถตู้ขึ้นไปที่ สนส.ผาผึ้ง ผมลองคำนวนค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ผมขอเชิญชวนทุกๆท่าน และพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่านไปร่วมงานกัน ส่วนรถตู้ที่ผมจะไป ผมจะไปคุยกับพี่แอ๊วอีกครั้งในวันอาทิตย์นี้

    ส่วนค่ารถตู้นั้น หากพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่านมีความประสงค์ที่จะร่วมเดินทางไปนั้น ผมจะขอค่ารถตู้ก่อน จำนวน 700 บาท และขอให้แจ้งผมด้วยนะครับว่า จะไปหรือไม่ ส่วนค่ารถตู้นั้น ผมขอให้โอนมาให้ผมก่อนวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 นี้ จะได้ทราบว่า จะมีท่านใดที่จะร่วมเดินทางไปงานทอดผ้าป่ากันในครั้งนี้

    ในงานทอดผ้าป่านี้ ผมจะนำพระพิมพ์ไปมอบให้กับท่านที่ร่วมทำบุญทุกๆท่าน เท่าที่คิดไว้ก็คือ ทำบุญ 1,000 บาท ผมจะมอบพระปิดตาสองหน้า (มีเนื้อสีขาวและเนื้อสีดำลงรักปิดทอง) ,ทำบุญ 12,000 บาท พี่แอ๊วและผมจะมอบชุดล็อกเก็ต ซึ่งจะประกอบด้วย ล็อกเก็ตหลวงปู่ และพระผงยาวาสนา(ทั้งสีน้ำตาลและสีดำ ทั้งพิมพ์ปกติและพิมพ์คะแนน) ล็อกเก็ตจะเป็นส่วนของพี่แอ๊ว พระผงยาวาสนาจะเป็นส่วนของผม และยังมีพิมพ์อื่นๆอีก รวมทั้งจะมีพระพิมพ์ของคุณเพชรด้วยเช่นกัน

    รายละเอียด ผมมาแจ้งให้ทราบกันอีกครั้งในสัปดาห์หน้า หลังจากที่ผมไปคุยรายละเอียดกับพระอาจารย์นิลและพี่แอ๊วเรียบร้อยแล้วครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dhammajak.net/budday/maka.php

    วันมาฆบูชา

    <TABLE height=20 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 width="94%" align=center bgColor=#f7f7f7 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top height=61>
    <TABLE cellSpacing=10 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="54%" height=190><TABLE borderColor=#cccccc cellSpacing=0 cellPadding=0 width=0 border=0><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width="46%">ความหมาย
    วันมาฆบูชาหมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์​

    ความสำคัญ
    วันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    ประวัติความเป็นมา
    ๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน ๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ คือ
    ๑. วันนั้นเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓
    ๒. พระสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้ นัดหมาย
    ๓. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖
    ๔. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นผู้ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจาก พระพุทธเจ้า
    เพราะเหตุที่มีองค์ประกอบสำคัญดังกล่าว จึงมีชื่อเรียก อีกอย่างหนึ่งว่า วันจาตุรงคสันนิบาต และในโอกาสนี้ พระพุทธเจ้า ได้แสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นการประกาศหลักการอุดมการณ์ และวิธีการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    การถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย
    พิธีวันมาฆบูชานี้ เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่าเกิดขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่ได้นิยมกันว่า วันมาฆะบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ รูป ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ เรียกว่า
    จาตุรงคสันนิบาตพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เป็นการ ประชุมใหญ่ และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์ จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบ การสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้เป็นที่ตั้งแห่งความ เลื่อมใสการประกอบพิธีมาฆะบูชา ได้เริ่มในพระบรมมหาราชวังก่อน
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="57%"><TABLE borderColor=#cccccc width="75%" border=0><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width="43%">ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพิธีการพระราชกุศลในเวลาเช้า พระสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารและ วัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำ เสด็จออกทรงจุด ธูปเทียนเครื่อง มนัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว สวดมนต์ต่อไปมี สวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วยสวดมนต์ จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนา โอวาทปาติโมกข์
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>๑ กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลีและ ภาษาไทย เครื่องกัณฑ์ มีจีวรเนื้อดี ๑ ผืน เงิน ๓ ตำลึง และขนมต่าง ๆ เทศนาจบพระสงฆ์ ซึ่งสวดมนต์ ๓๐ รูป สวดรับการประกอบพระราชกุศลเกี่ยวกับ วันมาฆบูชาในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปีมิได้ขาด สมัยต่อมามีการเว้นบ้าง เช่น รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกเองบ้าง มิได้ เสด็จออกเองบ้างเพราะมักเป็นเวลาที่ประสบกับเวลาเสด็จประพาส หัวเมืองบ่อย ๆ หากถูกคราวเสด็จไปประพาสบางปะอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชา ในสถานที่นั้น ๆ ขึ้นอีก ส่วนหนึ่งต่างหากจากในพระบรมมหาราชวังเดิมทีมีการประกอบพิธีในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาก็ขยายออกไป ให้พุทธบริษัทได้ ปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบสืบมาจนปัจจุบัน มีการบูชา ด้วยการเวียนเทียน และบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ส่วนกำหนดวันประกอบพิธีมาฆบูชานั้น ปกติตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๓ หากปีใด เป็นอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนจะเลื่อนไปตรงกับวันเพ็ญเดือน ๔

    </TD></TR></TBODY></TABLE>




    </TD></TR></TBODY></TABLE></B>
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dhammajak.net/budday/maka.php
    <TABLE cellSpacing=10 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ
    หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติได้แก่ โอวาทปาติโมกข์ หมายถึง หลักคำสอนคำสำคัญของพระพุทธศาสนาอันเป็นไปเพื่อป้องกัน และแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอน อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา หลักธรรมประกอบด้วย หลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ วิธีการ ๖ ดังนี้

    หลักการ ๓
    ๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชั่ว มีสิบประการ อันเป็น
    ความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ ความชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติ ผิดในกาม
    ความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ
    ความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม
    </TD></TR><TR vAlign=top><TD colSpan=2><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=1 width="100%"><TBODY><TR><TD width="37%"><TABLE borderColor=#cccccc width="75%" border=0><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width="63%">๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดีทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นแบบของการทำฝ่ายดีมี ๑๐ อย่าง อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ

    ความดีทางกาย
    ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD colSpan=2>การทำความดีทางวาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อพูดแต่คำจริง พูดคำอ่อนหวานพูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ
    การทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นมีแต่คิดเสียสละ การไม่ผูกอาฆาตพยาบาทมีแต่คิดเมตตาและ ปราถนาดีและมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
    </TD></TR><TR><TD>๓. การทำจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากนวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี ๕ ประการ ได้แก่
    ๑. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ)
    ๒. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท)
    ๓. ความหดหู่ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ)
    ๔. ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุทธัจจะกุกกุจจะ) และ</TD><TD><TABLE borderColor=#cccccc height=159 width="97%" border=0><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff height=155>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD colSpan=2> ๕. ความลังเลสงสัย (วิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดีความชั่ว ว่ามีผลจริงหรือไม่ วิธีการทำจิตให้ปฏิบัติสมถะผ่องใส ที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการละบาปทั้งปวง ด้วยการถือศืลและบำเพ็ญกุศล ให้ถึงพร้อมด้วยการ และวิปัสสนา จนได้บรรลุอรหัตผล อันเป็นความผ่องใสที่แท้จริง
    อุดมการณ์ ๔
    ๑. ความอดทน ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกาย วาจา ใจ
    ๒. ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้าย รบกวน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น
    ๓. ความสงบ ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ
    ๔. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้จาการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘

    วิธีการ ๖
    ๑. ไม่ว่าร้าย ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือ กล่าวโจมตีใคร
    ๒. ไม่ทำร้าย ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
    ๓. สำรวมในปาติโมกข์ ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎกติกา กฎหมาย รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม
    ๔. รู้จักประมาณ ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหารหรือการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ
    ๕. อยู่ในสถานที่ที่สงัด ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
    ๖. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ ได้แก่ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพคุณภาพและประสิทธิ
    ภาพที่ดี

    <HR width="100%" SIZE=1>บรรณานุกรม
    ๑. จ. เปรียญ. ประเพณีและพิธีมงคลไทย. ธรรมบรรณาคาร. ๒๕๑๘ กรุงเทพ ฯ.
    ๒. สมปราชญ์ อัมมะพันธ์. ประเพณีและพิธีกรรมในวรรณคดี. โอ. เอส.พริ้นติ้งเฮ้า.๒๕๓๖ กรุงเทพ ฯ.
    ๓. สุเมธ เมธาวิทยกุล. สังกัปพิธีกรรม. พริ้นติ้ง เฮ้า. ๒๕๓๒ . กรุงเทพ ฯ.
    ๔. แสงฉาย อนงคาราม. อานิสงค์จากพระไตรปิฎก. ส. ธรรมภักดี. กรุงเทพ ฯ.
    ๕. ประพันธ์ กุลวินิจฉัย เทศกาลและพิธีกรรมทางพุทธศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ ม.มจร กรุงเทพ ฯ.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 width="80%" align=center border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff><TABLE cellPadding=2 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#99cc00>
    วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#f7f7f7>[​IMG] วันวิสาขบูชา</TD></TR><TR><TD bgColor=#fffeee>[​IMG] วันอัฏฐมีบูชา</TD></TR><TR><TD bgColor=#f7f7f7>[​IMG] วันอาสาฬหบูชา</TD></TR><TR><TD bgColor=#fffeee>[​IMG] วันมาฆบูชา</TD></TR><TR><TD bgColor=#f7f7f7>[​IMG] วันเข้าพรรษา</TD></TR><TR><TD bgColor=#fffeee>[​IMG] วันออกพรรษา</TD></TR><TR><TD bgColor=#f7f7f7>[​IMG] วันโกน-วันพระ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.geocities.com/Tokyo/Garden/9425/maka001.html

    วันมาฆบูชา
    ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓
    หรือ ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔ ในปีอธิกมาส


    ๏ หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้มาเป็นเวลา ๙ เดือนแล้ว เมื่อถึงวันเพ็ญกลางเดือน ๓ ( มาฆปุรณมี ) ซึ่งตรงกับวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ โดยพราหมณ์เรียกว่าวันศิวาราตรี คือวันทำพิธีลอยบาปของพราหมณ์ พระพุทธองค์ได้ประทับ ณ เวฬุวนาราม ( วัดเวฬุวัน ) เมืองราชคฤห์
    ครั้งนั้นได้มีพระอรหันต์ขีณาสพเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ องค์ คือพระอรหันต์ซึ่งอยู่ในคณะของพระอุรุเวลกัสสปเถระ พระนทีกัสสปเถระ และพระคยากัสสปเถระรวม ๑,๐๐๐ องค์ กับพระอรหันต์ซึ่งอยู่ในคณะของพระสารีบุตรเถระ และพระโมคคัลลานะเถระ ๒๕๐ องค์ รวมทั้งสองคณะเป็น ๑,๒๕๐ องค์ ได้พร้อมกันไปเฝ้าพระบรมศาสดา พระองค์ทรงเห็นเป็นนิมิตอันดี จึงได้เสด็จท่ามกลางพระสงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์นั้นแสดง
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.culture.go.th/k_day.php?F=maka&FF=01

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>วันมาฆบูชา วันเพ็ญเดือน ๓

    </TD></TR><TR><TD align=middle>ความหมายความสำคัญ
    <CENTER><TABLE borderColor=#008040 cellSpacing=1 border=2><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>​

    </TD></TR><TR><TD align=middle>วันมาฆบูชาหมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
    วันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูปมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง โอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส
    </TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD align=middle>ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า

    </TD></TR><TR><TD align=middle>ประวัติความเป็นมา </TD></TR><TR><TD align=middle><TABLE border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>เวฬุวันมหาวิหาร วัดแห่งแรกในพระพุทธศานาที่พระเจ้าพิมพิสาร อุทิศพระราชอุทยานให้เป็นสังฆาราม เป็นที่ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ และให้การอุปสมบทพระอัครสาวก คือ พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE border=0><TBODY><TR><TD>ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจ แสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับ วันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน ๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวก ของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ คือ
    <TABLE border=0><TBODY><TR><TD>๑. วันนั้นเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓</TD></TR><TR><TD>๒. พระสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย</TD></TR><TR><TD>๓. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖</TD></TR><TR><TD>๔. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นผู้ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD>เพราะเหตุที่มีองค์ประกอบสำคัญดังกล่าว จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันจาตุรงคสันนิบาต และในโอกาสนี้พระพุทธเจ้า ได้แสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งถือได้ว่าเป็น การประกาศหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle>การถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย</TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG] </TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE border=0><TBODY><TR><TD align=middle>การถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย

    </TD></TR><TR><TD>พิธีวันมาฆบูชานี้ เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่าเกิดขึ้น ในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่ได้นิยมกันว่า วันมาฆะบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์เป็น วันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ รูป ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต พระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เป็นการประชุมใหญ่ และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบการสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส </TD></TR><TR><TD>การประกอบพิธีมาฆะบูชา ได้เริ่มในพระบรมมหาราชวังก่อน ในปลายสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพิธีการพระราชกุศลในเวลาเช้า พระสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารและวัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำ เสด็จออกทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว สวดมนต์ต่อไป มีสวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วย สวดมนต์จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้ว จึงมีการเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ๑ กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลี และ ภาษาไทย เครื่องกัณฑ์ มีจีวรเนื้อดี ๑ ผืน เงิน ๓ ตำลึงและขนมต่าง ๆ เทศนาจบพระสงฆ์ ซึ่งสวดมนต์ ๓๐ รูป สวดรับ </TD></TR><TR><TD>การประกอบพระราชกุศลเกี่ยวกับวันมาฆบูชาในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปีมิได้ขาด สมัยต่อมามีการเว้นบ้างเช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จออกเองบ้าง มิได้เสด็จออกเองบ้างเพราะมักเป็นเวลาที่ประสบกับเวลาเสด็จประพาสหัวเมืองบ่อย ๆ หากถูกคราวเสด็จไปประพาสบางปะอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชา ในสถานที่นั้น ๆ ขึ้นอีกส่วนหนึ่งต่างหากจากในพระบรมมหาราชวัง</TD></TR><TR><TD>เดิมทีมีการประกอบพิธีในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาก็ขยายออกไป ให้พุทธบริษัทได้ปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบสืบมาจนปัจจุบันมีการบูชา ด้วยการเวียนเทียน และบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ส่วนกำหนด วันประกอบพิธีมาฆบูชานั้น ปกติตรงกับวันเพ็ญเดือน ๓ หากปีใดเป็นอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนจะเลื่อนไปตรงกับวันเพ็ญเดือน ๔</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE border=0><TBODY><TR><TD>หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle>
    หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติได้แก่ โอวาทปาติโมกข์ มายถึงหลักคำสอนคำสำคัญของพระพุทธศาสนาอันเป็นไปเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอนอันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา หลักธรรมประกอบด้วย หลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ วิธีการ ๖ ดังนี้


    </TD></TR><TR><TD>หลักการ ๓


    </TD></TR><TR><TD align=middle><TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    ๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชั่ว มีสิบประการ อันเป็นความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ
    <TABLE align=left border=0><TBODY><TR><TD>ความชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม</TD></TR><TR><TD>ความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ</TD></TR><TR><TD>ความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD>
    ๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดี ทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นแบบของการทำฝ่ายดีมี ๑๐ อย่าง อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ
    <TABLE align=left border=0><TBODY><TR><TD>การทำความดีทางกาย ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียน ผู้อื่นมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม</TD></TR><TR><TD>การทำความดีทางวาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อพูดแต่คำจริง พูดคำอ่อนหวาน พูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ</TD></TR><TR><TD>การทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นมีแต่คิดเสียสละการไม่ผูกอาฆาตพยาบาทมีแต่คิดเมตตาและปรารถนาดีและมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD>
    ๓. การทำจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากนวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี ๕ ประการ ได้แก่
    <TABLE align=left border=0><TBODY><TR><TD>๑. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ)</TD></TR><TR><TD>๒. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท)</TD></TR><TR><TD>๓. ความหดหู่ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ)</TD></TR><TR><TD>๔. ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุทธัจจะกุกกุจจะ) และ</TD></TR><TR><TD>๕. ความลังเลสงสัย (วิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดี ความชั่วว่ามีผลจริงหรือไม่</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD>
    วิธีการทำจิตให้ผ่องใส ที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการละบาปทั้งปวงด้วยการถือศืลและบำเพ็ญกุศล ให้ถึงพร้อมด้วยการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา จนได้บรรลุอรหัตผล อันเป็นความผ่องใสที่แท้จริง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE align=left border=0><TBODY><TR><TD align=middle>อุดมการณ์ ๔ </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE align=left border=0><TBODY><TR><TD>๑. ความอดทน ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกายวาจา ใจ</TD></TR><TR><TD>๒. ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้ายรบกวน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น</TD></TR><TR><TD>๓. ความสงบ ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจาและทางใจ</TD></TR><TR><TD>๔. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้จาการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD align=middle colSpan=2>
    <TABLE align=left border=0><TBODY><TR><TD align=middle>วิธีการ ๖ </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE align=left border=0><TBODY><TR><TD>๑. ไม่ว่าร้าย ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือ กล่าวโจมตีใคร</TD></TR><TR><TD>๒. ไม่ทำร้าย ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น</TD></TR><TR><TD>๓. สำรวมในปาติโมกข์ ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎ กติกา กฎหมาย รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม</TD></TR><TR><TD>๔. รู้จักประมาณ ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหาร หรือการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ</TD></TR><TR><TD>๕. อยู่ในสถานที่ที่สงัด ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม</TD></TR><TR><TD>๖. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ ได้แก่ ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพ คุณภาพและประสิทธิภาพที่ดี </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD><TD>
    </TD></TR><TR><TD align=middle>
    </TD></TR><TR><TD>
    <TABLE align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    ข้อเสนอแนะ

    การจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมในวันมาฆบูชา


    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD>
    กิจกรรมเกี่ยวกับครอบครัว
    </TD></TR><TR><TD>
    <TABLE align=left border=0><TBODY><TR><TD>๑. ทำความสะอาดบ้าน ประดับธงชาติและธงธรรมจักร และจัดแต่งที่บูชาประจำบ้าน </TD></TR><TR><TD>๒. ศึกษาเอกสาร หรือสนทนา เกี่ยวกับความสำคัญของวัน มาฆบูชา รวมทั้งหลักธรรม คือ โอวาทปาติโมกข์ และแนวทางปฏิบัติในครอบครัว </TD></TR><TR><TD>๓.ส่งเสริมให้เกิดการลด ละ เลิก อบายมุข </TD></TR><TR><TD>๔. นำครอบครัวไปบำเพ็ญกุศล ทำบุญตักบาตร บริจาคทาน </TD></TR><TR><TD>๕. ปฏิบัติธรรมที่วัด รักษาศีล ไหว้พระ สวดมนต์ ฟังธรรม เวียนเทียน เจริญภาวนา </TD></TR><TR><TD>๖. กิจกรรมอื่นที่เหมาะสม </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD>
    กิจกรรมเกี่ยวกับสถานศึกษา
    </TD></TR><TR><TD>
    <TABLE align=left border=0><TBODY><TR><TD>๑. ทำความสะอาดบริเวณโรงเรียน ประดับธงชาติและธงธรรมจักร และจัดแต่งโต๊ะหมู่บูชา </TD></TR><TR><TD>๒. ครูและนักเรียนร่วมกันศึกษาถึงความสำคัญของวันมาฆบูชา รวมทั้งหลักธรรม คือ โอวาทปาติโมกข์และแนวปฏิบัติในสถานศึกษา </TD></TR><TR><TD>๓.ครูให้นักเรียนจัดทำป้ายนิเทศ หรือจัดนิทรรศการ ประกวดเรียงความ ทำสมุดภาพ ตอบปัญหาธรรม บรรยายธรรม อภิปรายธรรม </TD></TR><TR><TD>๔. ประกาศเกียรติคุณของนักเรียนที่ประพฤติตัวเป็นแบบอย่างที่ดี</TD></TR><TR><TD>๕. ครูพานักเรียนไปร่วมกิจกรรมกับชุมชนที่วัด บำเพ็ญกุศล ทำบุญตักบาตร บริจาคทาน รักษาศีล ฟังธรรมสนทนาธรรม เวียนเทียน เจริญภาวนา </TD></TR><TR><TD>๖. กิจกรรมอื่นที่เหมาะสม</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD>
    กิจกรรมเกี่ยวกับสถานที่ทำงาน
    </TD></TR><TR><TD>
    <TABLE align=left border=0><TBODY><TR><TD>๑. ทำความสะอาด บริเวณที่ทำงาน ประดับธงชาติและธงธรรมจักร และจัดแต่งโต๊ะหมู่บูชา </TD></TR><TR><TD>๒. ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความสำคัญของวันมาฆบูชา และหลักธรรมคือโอวาทปาติโมกข์ แนวทางปฏิบัติในสถานที่ทำงาน</TD></TR><TR><TD>๓. จัดให้มีการบรรยายธรรม และสนทนาธรรม </TD></TR><TR><TD>๔. ร่วมกับบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ปลูกต้นไม้ บริจาคโลหิต </TD></TR><TR><TD>๕. หัวหน้าหน่วยงานให้โอกาสผู้ร่วมงานไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีนิยม</TD></TR><TR><TD>๖. กิจกรรมอื่นที่เหมาะสม </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD>
    กิจกรรมเกี่ยวกับสังคม
    </TD></TR><TR><TD>
    <TABLE align=left border=0><TBODY><TR><TD>๑. วัด สมาคม มูลนิธิ หน่วยงาน องค์กร สื่อมวลชน ประชาสัมพันธ์เรื่องวันมาฆบูชาโดยใช้สื่อทุกรูปแบบ</TD></TR><TR><TD>๒. จัดพิมพ์เอกสารเกี่ยวกับความสำคัญของวันมาฆบูชารวมทั้งหลักธรรม คือ โอวาทปาติโมกข์ และแนวทางปฏิบัติ เพื่อเผยแพร่ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น และตามสถานที่ชุมชน เช่น สนามบิน สถานีรถไฟ สถานีขนส่ง โรงธรรม ศูนย์การค้า รวมทั้งบนยานพาหนะต่างๆ</TD></TR><TR><TD>๓. เชิญชวนให้ประชาชนทั่วไป เข้าร่วมกิจกรรม ปฏิบัติธรรม และพิธีกรรมทางศาสนา เช่น ทำบุญตักบาตร ฟังธรรม รักษาศีล ไหว้พระสวดมนต์ เวียนเทียน</TD></TR><TR><TD>๔. รณรงค์ทางสื่อมวลชนต่างๆ ให้ลด ละ เลิกอบายมุขและให้งดจำหน่ายสิ่งเสพติดทุกชนิด</TD></TR><TR><TD>๕. ประกาศเกียรติคุณสถาบัน หรือบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อสังคม </TD></TR><TR><TD>๖.รณรงค์ให้มีการรักษาสภาพแวดล้อม ปลูกต้นไม้ ทำความสะอาด ที่สาธารณะ</TD></TR><TR><TD>๗. จัดประกวด สวดสรภัญญะ บรรยายธรรม คำขวัญ บทร้อยกรอง บทความเกี่ยวกับวันมาฆบูชา</TD></TR><TR><TD>๘. กิจกรรมอื่นที่เหมาะสม </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD>
    <TABLE align=left border=0><TBODY><TR><TD align=middle>ประโยชน์ที่จะได้รับ</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD>
    <TABLE align=left border=0><TBODY><TR><TD>๑. พุทธศาสนิกชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของวันมาฆบูชา รวมทั้งหลักธรรม คือ โอวาทปาติโมกข์และแนวทางปฏิบัติ</TD></TR><TR><TD>๒. พุทธศาสนิกชนเกิดเจตคติที่ดีต่อวันมาฆบูชา และเห็นคุณค่าของการดำเนินชีวิตตามหลักธรรม คือ โอวาทปาติโมกข์</TD></TR><TR><TD>๓. พุทธศาสนิกชนเกิดศรัทธา ซาบซึ้ง และตระหนักในความสำคัญของพระพุทธศาสนา</TD></TR><TR><TD>๔. พุทธศาสนิกชนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีรู้จักปฏิบัติตนตามหน้าที่ชาวพุทธได้อย่างถูกต้อง </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    &copy; ลิขสิทธิ์ของ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
    Copyright by Office of the National Culture Commission in Ministry of Culture
    สำหรับใช้ประโยชน์ในการวัฒนธรรมไทยและการศึกษา
    ถนนรัชดาภิเษก เขต ห้วยขวาง กรุงเทพ ๑๐๓๒๐ โทรศัพท์ ๐-๒๒๔๗-๐๐๑๓ คลิกที่นี่เพื่อดูแผนที่
    webmaster :กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ E-Mail webmaster@culture.go.th



    http://www.culture.go.th/k_day.php?F=maka&FF=01


    .​
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.baanjomyut.com/library/buddhist_day/01.html

    <TABLE width=540><TBODY><TR><TD vAlign=top width=540>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <CENTER><TABLE width=540><TBODY><TR><TD vAlign=top width=540>
    วันมาฆบูชา


    วันมาฆบูชาเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนแสดงความเคารพต่อพระธรรม มาฆะเป็นชื่อของเดือน ๓ มาฆบูชาย่อมาจากคำว่า "มาฆบุรณมี" แปลว่าการบูชาพระในวันเพ็ญเดือน ๓ ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ เหตุที่เกิดวันมาฆบูชาขึ้นเนื่องจาก เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์ ในตอนต้นพุทธกาล ถึงวันมาฆบุรณมีดิถีเพ็ญแห่งมาฆมาส ซึ่งตรงกับวันทำพิธีศิวราตรี ของพวก พราหมณ์ พระสงฆ์ที่ไปประกาศพระศาสนาในที่ต่างๆ ได้กลับมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ที่เมือง ราชคฤห์ พระองค์จึงประทาน โอวาทปาติโมกข์ การประชุมครั้งนี้เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต แปล ว่าการประชุมพร้อมกัน ๔ ประการ อันได้แก่

    1. พระสาวกที่เข้าประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ และได้รับการอุปสมบทจาก พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น


    2. พระอรหันต์สาวกที่เข้ามาร่วมประชุมที่เวฬุวนารามมีจำนวนถึง ๑,๒๕๐ รูป


    3. พระอรหันต์สาวกทั้ง ๑,๒๕๐ รูป ไม่ได้นัดหมายกันมาก่อนเลย


    4. วันนั้นดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์เต็มบริบูรณ์

    นอกจากนี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเทศน์โอวาทปาติโมกข์ในที่ ประชุมสงฆ์ ซึ่งเป็นมหาสังฆนิบาต คือ ประชุมสงฆ์หมู่ใหญ่ ใจความของโอวาทปาติโมกข์นั้น ก็คือแสดงหัวข้อคำสอนพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๓ ประการคือ.

    สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไม่ทำความชั่วทุกชนิด ๑


    กุสลสฺสูปสมฺปทา การทำแต่ความดี ๑


    สจิตฺตปริโยทปนํ การทำใจให้ผ่องแผ้ว ๑

    พิธีนี้ชื่อเรียกเป็น ๒ อย่าง คือ มาฆบูชาบ้าง จาตุรงคสันนิบาตบ้าง ดังเหตุผลที่ กล่าวมาแล้ว ในวันเช่นนี้ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์แก่ พระสงฆ์ประชุมกัน ในตอนบ่าย ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร ในกรุงราชคฤห์นับว่า เป็นวัน ประดิษฐาน พระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก การที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเลือกเอากรุงราชคฤห์เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธศาสนานั้น น่าจะเห็นว่า เพราะพระองค์ทรงเห็นความมั่นคงของพระศาสนา แล้วเนื่องด้วยพระเจ้าพิมพิสารทรงเลื่อมใส เพราะการตั้งสมาคมต้องการตั้งสมาคมต้องอาศัยความนิยมนับถือของประชาชนเป็นใหญ่ เมื่อมีผู้นิยมนับถือแล้ว สมาคมที่ตั้งขึ้นก็เจริญหากไม่มีผู้นิยมนับถือก็ย่อมเสื่อม ฉะนั้น เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงเลื่อมใสแล้วก็มั่นใจว่า จะเจริญ อีกประการหนึ่งก็ต้องการจะอาศัยกำลังของพระเจ้าพิมพิสาร ด้วยเพราะสมาคมที่ตั้งขึ้นแล้วจะดำรงยั่งยืนอยู่ได้ ต้องได้รับความอุปถัมภ์บำรุงเพียง พอถ้าขาดผู้อุปถัมภ์ก็หมดกำลัง ตั้งอยู่ไม่ได้ต้องเลิกล้มไป อย่างเดียวกับวัดวาอาราม หรือสมาคมต่างๆในบัดนี้ เมื่อพอใจได้ว่า จะไม่ล้ม ด้วยเหตุผลตามที่กล่าวมานั้ พอจะ ชี้ให้เห็นถึงการที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเลือกประดิษฐานพระพุทธศาสนาใน กรุงราชคฤห์ เป็นครั้งแรก ด้วยเหตุที่วันนี้เป็นวันสำคัญ เป็นวันประดิษฐานพระพุทธศาสนาได้มั่นคงถาวร ตราบเท่าวันนี้จึงได้จัดเป็นพระราชพิธิอย่างหนึ่ง ซึ่งพระมหากษตริย์ทรงบำเพ็ญ พระราชกุศลสืบๆ กันมาเป็นประจำตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ ตลอดมา การพระราชกุศล ของพระมหากษัตริย์นั้นปรากฏในเรื่องพระราชพิธีสิบสองเดือนมีดังนี้. "เมื่อถึงวันมาฆเวลาเช้า พระสงฆ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาส ดาราม เวลาค่ำเสด็จออกทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการแล้ว พระสงค์สวดทำวัตรเย็นเหมือนอย่างที่ วัดแล้วจึงให้สวดมนต์ต่อไป มีสวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วย สวดมนต์ จบ ทรงจุดเทียน ตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๔๐ เล่ม เท่าจำนวนพระอรหัต์ที่มาประชุม ครั้งนั้น มี ประโคมด้วยอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงได้มีเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ๑ เป็นเทศนาทั้ง ภาษามคธ และภาษาไทย เครื่องกัณฑ์จีวรเนื้อดีผืนหนึ่ง เงิน ๓ ตำลึง และขนมต่างๆ เทศน์จบ พระสงฆ์ที่สวด ๓๐ รูปนั้นรับสัพพีเป็นเสร็จการ" อนึ่ง วันมาฆะนี้ถ้าถูกครราวเสด็จพระราชดำเนินไปประพาสที่ใดๆเช่นพระพุทธ บาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็ทรงทำมาฆบูชาในสถานที่นั้นๆขึ้น อีก ส่วนหนึ่งต่างหาก นอกจากในพระบรมมหาราชวัง"นี้เป็นการกุศลส่วนของ พระมหากษัตริย์ ส่วนที่พุทธศาสนิกชนอื่นๆจะบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันมาฆะนี้ มีประเพณีว่าให้นำ ดอกไม้ธูปเทียนไปในวัดพอได้เวลาพระสงฆ์ประชุมพร้อมกัน ยืนหันหน้าตรงต่อพระ สถูปหรือพระปฏิมา บรรดาฆราวาสก็ยืนตั้งแถวให้เป็นระเบียบอยู่หลังพระสงฆ์ จุดธูป เทียนที่เตรียมไป ยืนตรงประนมมือถือเครื่องสักการะ พระสงฆ์ผู้ใหญ่ในที่ประชุมนั้น กล่าวนำคำบูชา แล้วทั้งหมดว่าตามด้วยความตั้งใจแน่วแน่ตรงต่อวัตถุที่เคารพบูชานั้น. โอวาทปาติโมกข์ พอสรุปได้ว่า " การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การทำแต่ความดี และการทำจิตใจให้ผ่องใส นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย" วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ หรือวันมาฆบูชาเป็นวันที่ประชุมพร้อมกัน ๔ ประการดังกล่าว พุทธศาสนิกชนจึงถือเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาวันหนึ่งของไทย
    <B>ธรรมเนียมปฏิบัติในวันมาฆบูชา<BIG><BIG></BIG></BIG></B>

    1. ทำบุญใส่บาตรในตอนเช้า ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา
    2. ตอนเย็น เมื่อถึงเวลากำหนด ทางวัดจะตีระฆังสัญญาณให้พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ประชุมพร้อมกันที่หน้าพระอุโบสถ หรือลานพระเจดีย์ ภิกษุอยู่แถวหน้า สามเณรอยู่แถวต่อจากพระสงฆ์ ท้ายสุดเป็น อุบาสก อุปาสิกา ทุกคนถือดอกไม้ธูปเทียนที่เตรียมมา พร้อมกันแล้วเจ้าอาวาสจุดธูปเทียน ทุกคนปฏิบัติตามแล้วหันหน้าเข้าหาปูชนีสถานที่จะเวียน เจ้าอาวาสนำว่า นโมสามจบ จากนั้นนำกล่าวคำถวายดอกไม้ ธูปเทียน ทุกคนว่าตามจบแล้วเดินเวียนขวาตลอดเวลาพึงระลึกพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ จนครบสามรอบแล้วจึงนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัดเตรียมไว้
    3. ประดับธงชาติที่อาคารบ้านเรือน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2008
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/showthread.php?p=657492#post657492
    <TABLE class=tborder id=post657492 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"> 17-08-2007, 08:42 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #7242</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=tborder id=post657492 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">17-08-2007, 08:42 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #7242 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>:::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_657492", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 09:49 AM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    อายุ: 42 ปี
    ข้อความ: 2,675 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 16,888 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 26,588 ครั้ง ใน 2,749 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2941 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_657492 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->
    ผมนำภาพมาให้ชมกันแล้วครับ เรียก "บังเทียน" หรือ "แว่นแก้ว" ทางร้านขายของที่ระลึกนี้ ได้เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า"CANDLE L P" ไม่ทราบความหมายครับ ดูจากคำว่า CANDLE แล้วน่าจะหมายถึงบังเทียนหรือไม่ ใช้ทำอะไร?
    [​IMG] [​IMG]


    ผมเคยเห็นลักษณะนี้ที่ร้านขายพระพุทธรูปแถบเสาชิงช้า สงสัยเลยถามเจ้าของร้าน เจ้าของร้านตอบว่าแว่นแก้ว ใช้ในพิธีสำหรับพระบวชใหม่ ชิ้นนี้เป็นทองเก่า มีน้ำหนักมาก ลักษณะนี้เป็นการนำเสนอให้ลูกค้าชาวต่างประเทศที่สะสมของเก่าครับ ดูท่าฝรั่งจะรู้ดีมากกว่าพวกเราคนไทยนะครับ

    <!-- / message --><!-- attachments --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เฟดหั่นดบ. 2 ครั้ง 1.25% ศก.โลกสะเทือน! ชี้ร้ายแรงกว่าปี 40 ถึง 3 เท่า</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>31 มกราคม 2551 10:28 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>"เฟด" ประกาศหั่นดอกเบี้ยระลอก 2 ตามคาด 0.5% ภายใน 2 สัปดาห์ ลดไปถึง 1.25% สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ส่งผลดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าหนัก คาดนักลงทุนแห่ขายทิ้งเงินดอลลาร์ กระทบตลาดเงิน-ตลาดทุนโลกปั่นป่วน เม็ดเงินร้อนเก็งกำไร ราคาทองคำ-น้ำมันพุ่งขึ้นทันที นักวิเคราะห์ชี้ ร้ายแรงกว่าปี 40 ถึง 3 เท่า แนะแบงก์ชาติ รับมือบาทแข็ง หวั่นภาวะราคาสินค้า-ค่าครองชีพ ดันเงินเฟ้อ เครื่องมือใช้ดอกเบี้ยแก้เกมอาจมีปัญหา

    วันนี้(31 ม.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ได้ประกาศปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นอีก 0.5% จากอัตรา 3.5% ลงเหลือแค่ 3.0% ต่ำที่สุดตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2548 ครั้งนี้นับเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ภายในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่การลงมติครั้งล่าสุดไม่ได้มีคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ เนื่องจากนายริชาร์ด ฟิชเชอร์ ประธานธนาคารกลางสาขาดัลลัส ไม่เห็นด้วยและต้องการให้คงระดับอัตราดอกเบี้ยตามเดิม

    การประชุมลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด มีขึ้นในขณะที่กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐรายงานว่า เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว ขยายตัวเพียง 0.6% เท่านั้น เพราะมีความวิตกกังวลกันว่า วิกฤติจากการปล่อยสินเชื่อการเคหะสำหรับผู้กู้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำหรือซับไพรม์ และหนี้บัตรเครติดจะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ

    **ดอลลาร์ อ่อนยวบทันทีเมื่อเทียบเงินสกุลหลัก

    ภาวะการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์ก เมื่อคืนนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงทันที หลังจากที่เฟด ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นลงอีก 0.50% และยังส่งสัญญาณว่าอาจมีการลดดอกเบี้ยลงอีกในอนาคต นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) ของสหรัฐที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด

    สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินยูโรแข็งแกร่งขึ้นแตะระดับ 1.4898 ดอลลาร์ต่อยูโร จากระดับของวันอังคารที่ 1.4776 ดอลลาร์ต่อยูโร ขณะที่ค่าเงินปอนด์แข็งแกร่งขึ้นแตะระดับ 1.9942 ดอลลาร์ต่อปอนด์

    ทั้งนี้ เงินดอลลาร์อ่อนตัวลงแตะระดับ 106.95 เยนต่อดอลลาร์ จากระดับ 107.12 เยนต่อดอลลาร์ และอ่อนตัวลงแตะระดับ 1.0857 ฟรังซ์ต่อดอลลาร์ จากระดับ 1.0941 ฟรังซ์ต่อดอลลาร์

    "ดอลลาร์อ่อนตัวลงทันทีที่คณะกรรมการเฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นลงอีก 0.50% สู่ระดับ 3.0% และลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลงอีก 0.50% สู่ระดับ 3.5% ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแม้เป็นหนึ่งในแนวทางที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ แต่ทำให้สินทรัพย์ในรูปสกุลเงินดอลลาร์มีมูลค่าลดลงและไม่น่าดึงดูดใจ"

    นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า จีดีพีไตรมาส 4 ปี 50 ขยายตัวขึ้นเพียง 0.6% ในไตรมาส 4 ปี 2550 ซึ่งลดลงอย่างมากจากระดับของไตรมาส 3 ที่ 4.9% และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวที่ระดับ 1.2%

    นายไมเคิล วูลฟอล์ค นักวิเคราะห์จากแบงค์ ออฟ นิวยอร์ก กล่าวว่า นักลงทุนมองว่าแม้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% แต่ตัวเลขเงินเฟ้อภายในประเทศยังคงปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัญญาที่เฟดจะต้องตามแก้ไขต่อไป

    การประกาศลดอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดเป็นการปรับลดครั้งที่ 4 นับตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย. 2550 และเกิดขึ้นเพียง 8 วันหลังจากเฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉิน 0.75% เมื่อวันอังคารที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยคณะกรรมการเฟดคาดหวังว่าการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้และครั้งก่อน จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตปานกลาง และจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงที่มีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

    **ราคาทองคำ พุ่งแตะระดับสูงสุด

    ด้านภาวะราคาทองคำในการซื้อขายตลาดนิวยอร์ก ซึ่งมีการซื้อขายทางอิเล็กทรอนิค ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากเฟด ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ซึ่งทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง และกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำอย่างคึกคัก

    นายคาร์ลอส ซานเชส นักวิเคราะห์จากซีเอ็มพี กรุ๊ป กล่าวกับสำนักข่าวเอพี โดยระบุว่า การซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิคซึ่งมีขึ้นหลังจากตลาดทองคำ NYMEX ปิดทำการแล้วนั้น สัญญาทองคำส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้นแตะระดับสุงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 942.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากที่เฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อยับยั้งเศรษฐกิจไม่ให้เข้าสู่ภาวะถดถอย

    ก่อนที่เฟดจะประกาศลดอัตราดอกเบี้ย สัญญาทองคำส่งมอบเดือนเม.ย.ในตลาด NYMEX ปิดที่ 926.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ร่วงลง 4.50 ดอลลาร์ เมื่อคืนนี้

    ทั้งนี้ คณะกรรมการเฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นลงอีก 0.50% สู่ระดับ 3.0% และลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลงอีก 0.50% สู่ระดับ 3.5% เพื่อป้องกันเศรษฐกิจไม่ให้เข้าสู่ภาวะถดถอย โดยคณะกรรมการเฟดคาดหวังว่า การลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุดและการลดดอกเบี้ยฉุกเฉิน 0.75% ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตปานกลาง และจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงที่มีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

    "ผมไม่คิดว่าจะมีอะไรมาหยุดยั้งการพุ่งขึ้นของราคาทองคำได้" นายคาร์ลอส กล่าวสรุปด้วยความเชื่อมั่น

    นายเจมส์ สตีล นักวิเคราะห์จาก HSBC ในกรุงนิวยอร์กกล่าวว่า ตลาดทองคำนิวยอร์กขานรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด นักลงทุนมองว่าทองคำและโลหะมีค่าประเภทอื่นๆเป็นแหล่งการลงทุนที่ปลอดภัยในยามที่เศรษฐกิจผันผวน

    นักวิเคราะห์หลายรายคาดว่า ราคาทองมีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะระดับ 1,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนเดือน เม.ย.นี้

    **ราคาน้ำมันดิบพุ่ง "โอเปก" ยันไม่เพิ่มกำลังการผลิต

    สำหรับผลกระทบแรงกดดันด้านราคาน้ำมัน ล่าสุด รัฐมนตรีของกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก(กลุ่มโอเปก) ออกมาระบุว่า อาจจะไม่เพิ่มการผลิตน้ำมันตามแรงกดดันของสหรัฐฯ ในการประชุมที่จะจัดขึ้นที่กรุงเวียนนาของออสเตรีย ในวันพรุ่งนี้

    โดยซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของกลุ่มมีท่าทีพอใจต่อปริมาณการผลิตและความต้องการน้ำมันที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ขณะที่สมาชิกอีกหลายประเทศยังไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องขยายเพดานการผลิต เพราะเกรงว่าความต้องการและราคาน้ำมันจะลดลงอย่างมาก หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ตามที่คาดกันไว้

    สำหรับราคาซื้อขายน้ำมันดิบชนิดไลท์ที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อวานนี้ สูงขึ้น 69 เซนต์ อยู่ที่ระดับ 92.33 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากการที่ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนราคาน้ำมันดิบชนิดเบรนท์แถบทะเลเหนือเพิ่มขึ้น 53 เซนต์ อยู่ที่ระดับ 92.53 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

    **บาทแข็งขึ้นแตะ 33.01 กดดันเงินเฟ้อ

    นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 33.01/02 บาทต่อดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากปิดตลาดวานนี้ซึ่งอยู่ที่ระดับ 33.04/07 บาทต่อดอลลาร์

    การปรับลดดอกเบี้ย 0.5% ของเฟด เมื่อคืนนี้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยของยุโรป 1% จึงทำให้ค่าเงินยูโรปรับตัวสูงขึ้น

    ส่วนสกุลเงินในตลาดต่างประเทศช่วงเปิดตลาดเช้านี้ เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.4845/47 ดอลลาร์ต่อยูโร ซึ่งตลาดยังรอดูว่าค่าเงินยูโรจะสามารถปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1.5000 ดอลลาร์ต่อยูโร ได้หรือไม่ ขณะที่เงินเยนปรับตัวแข็งค่าขึ้น หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐ ปรับร่วงลง

    **บาทแข็ง-เงินเฟ้อ ร้ายแรงกว่าปี 40

    นายสมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ กล่าวแสดงความเป็นห่วงเศรษฐกิจไทยในปี 2551 หลังเฟดปรัดลดอัตราดอกเบี้ยแรงหลายระลอก โดยเชื่อว่า ผลกระทบจะลามเป็นลูกโซ่ และเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ค่าเงินของตลาดโลกมีความผันผวน เนื่องจากค่าเงินของสหรัฐ จะอ่อนตัวลง ส่งผลให้ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่า ดังนั้นเป็นงานหนักของรัฐบาลชุดใหม่ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องหามาตรการรองรับโดยด่วน

    "ผมมองว่า ธปท. จะประสบปัญหาวิกฤติ 2 ทาง คือ รับภาระขาดทุนในการแทรกแซงค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ รวมถึงภาระดอกเบี้ยที่จะออกพันธบัตรเพิ่มเติมในการดูดสภาพคล่องเพื่อแก้ปัญหาค่าเงินแข็งและเงินเฟ้อที่จะสูงขึ้นในอนาคต"

    ทั้งนี้ ยอมรับว่าทั่วโลกขาดความมั่นใจเศรษฐกิจสหรัฐอย่างมากกรณีที่จะลดดอกเบี้ยอีก 0.5% เพราะในช่วง 1-2 สัปดาห์เท่ากับว่า เฟด ลดดอกเบี้ยถึง 1.25% ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ซึ่งผลที่ตามมาคือการเก็งกำไรค่าเงิน ทองคำ น้ำมัน กันทั่วโลก เนื่องจากต่างชาติไม่ต้องการถือเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐไว้

    "ถือว่าเป็นงานหนักของ ธปท. ที่ต้องรับภาระถึง 2 เด้ง จึงจำเป็นต้องบริหารจัดการให้ดี ภายใต้ข้อจำกัด เพราะปัจจุบันใช้เงินบาทซื้อดอลลาร์สหรัฐหลายแสนล้านบาท มากกว่าช่วงวิกฤติปี 2540 ถึง 3 เท่า ขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับปัญหาเงินเฟ้อ การเก็งกำไรค่าเงินบาทที่จะเกิดขึ้นตามมาภายหลัง"

    นายสมภพ กล่าวอีกว่า มาตรการเร่งด่วนที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องดำเนินการเร็วที่สุด คือ แก้ปัญหาการปรับตัวของราคาสินค้า ที่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนอย่างมาก เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการขอขึ้นราคาสินค้าหลายราย ขณะที่ค่าจ้างของลูกจ้างปรับตัวไม่ทันตามค่าครองชีพ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าทำได้ลำบาก

    สำหรับปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดในสหรัฐในปี 51 จะมีผลกระทบต่อโลกรุนแรงกว่าเมื่อปี 43-44 เพราะช่วงนี้เศรษฐกิจจีนช่วยพยุงให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่ปัจจุบันจีนก็มีข้อจำกัดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ใกล้ถึงวันตรุษจีนแล้ว ผมนำเรื่องการไหว้พระไหว้เจ้ามาฝากกัน

    http://palungjit.org/showthread.php?t=57125

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR vAlign=bottom><TD>[​IMG]</TD><TD> </TD><TD width="100%">palungjit.org > พุทธศาสนา > พุทธศาสนา </TD></TR><TR><TD class=navbar style="FONT-SIZE: 10pt; PADDING-TOP: 1px" colSpan=3>[​IMG] ใช้ธูปเท่าไร ไหว้พระไหว้เจ้า </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ใช้ธูปเท่าไร ไหว้พระไหว้เจ้า

    ใช้ธูปเท่าไร ไหว้พระไหว้เจ้า (ผู้เขียน ซินแสน้อย) <O:p</O:p

    ธูป 1 ดอก นิยมใช้ไหว้ศพ เจ้าที่ เจ้าทาง ภูมิ ผี ต่างๆ กล่าวคือวิญญาณธรรมดาที่ยังไม่ได้ขึ้นเป็นชั้นเทพ<O:p</O:p
    ธูป 2 ดอก ไม่ปรากฏนิยมใช้<O:p</O:p
    ธูป 3 ดอก นิยมไหว้พระพุทธ อันมีความหมายถึง พระรัตนตรัย หรือแม้แต่การไหว้เทพก็มีผู้ไหว้ 3 ดอก เช่นกัน อันมีความหมายถึงพระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม<O:p</O:p
    ธูป 4 ดอก ไม่ปรากฏนิยมใช้<O:p</O:p
    ธูป 5 ดอก มีผู้นิยมใช้ไหว้ตี่จูเอี้ย โดยปักที่กระถางธูป 3 ดอกและข้างประตู ข้างละ 1 ดอก นอกจากนี้ก็มีผู้นิยมไหว้พระรูปรัชการที่ ๕ คงมีคติมาจากรัชการที่ ๕ ก็ใช้ 5 ดอก การไหว้ท้าวจตุโลกบาลก็นิยมใช้ธูป 5 ดอก เพราะหมายถึงทิศใหญ่ทั้ง 5 อันมี ตะวันตก ตะวันออก เหนือ ใต้ และทิศกลาง ตามความเชื่อของชาวจีน รวมทั้งเทพอื่นๆ ก็เห็นมีปรากฏ<O:p</O:p
    ธูป 6 ดอก ไม่นิยมใช้<O:p</O:p
    ธูป 7 ดอก นิยมไหว้พระภูมิไชยศรี นอกจากนี้ก็มีผู้ที่เคารพบูชาพระอาทิตย์ก็นิยมไหว้ ซึ่งความหมายของธูป 7 ดอก ก็หมายถึงความคุ้มครองวันทั้ง 7 ในหนึ่งสัปดาห์<O:p</O:p
    ธูป 8 ดอก ชาวฮินดูนิยมใช้ธูป 8 ดอก ในการไหว้เทพแทบจะทุกองค์ ที่เป็นเทพชั้นสูง อันได้แก่ พระศิวะ พระนารายณ์ พระพรหม พระแม่อุมา พระลักษมี พระสุรัสวดี พระพิฆเนศ พระขันธกุมาร ร่วมไปถึง พระราม พระกฤษณะ ด้วยจะพบว่า กล่องธูปที่ใช้บรรจุธูปหอมของอินเดียกล่องหนึ่งจะมีธูป 8 ดอก ให้บูชาครั้งละ 1 กล่องเล็ก นอกจากนี้ก็มีความเชื่อว่า การไหว้พระราหู ก็นิยมใช้ธูป 8 ดอกเช่นกัน<O:p</O:p
    ธูป 9 ดอก นับเป็นจำนวนธูปที่นิยม ใช้ในการไหว้ทั้งพระทั้งเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ด้วยคนไทยถือว่าเลข 9 เป็นเลขมงคล หมายถึงความเจริญก้าวหน้า หากแต่ในประเทศอื่นเขาไม่ได้นิยมเช่นคนไทย<O:p</O:p
    ธูป 10 ดอก สำหรับชาวจีนดั้งเดิมแล้วนิยมใช้เลขนี้ในการจุดธูปเช่นเดียวกันคนไทยนิยมเลข 9 เลขสิบนับเป็นเลขเต็ม และความหมายของสิบ (ภาษาจีนคือจั๊บ)นั้นหากจะประดุจนิ้วมือก็หมายถึงการจับได้เต็มไม้เต็มมือ ได้อะไรที่เต็มมือ ได้อะไรที่เต็มสิบก็คือความสมบูรณ์เต็มที่<O:p</O:p
    ธูป 11 ดอก ไม่ปรากฏความนิยม<O:p</O:p
    ธูป 12 ดอก ชาวจีนนิยมไหว้เจ้าแม่กวนอิม บางคนใช้ 13 ดอก แต่จะไหว้เฉพาะในช่วงเดือน 12 เท่านั้น<O:p</O:p
    ธูป 14, 15 ดอก ไม่ปรากฏความนิยม<O:p</O:p
    ธูป 16 ดอก นิยมใช้ในพิธีบวงสรวงบูชาเทพ บูชาครู หรือพิธีกลางแจ้ง ที่มีการอัญเชิญเทวดาที่สำคัญต่างๆ 16 ดอก หมายถึง สวรรค์ 16 ชั้น<O:p</O:p
    นอกจากนี้ที่ได้สืบเสาะมาก็มี 31 ดอก และ 32 ดอก<O:p</O:p
    ที่นิยมใช้ในการบวงสรวง เช่นเดียวกันกับ 16 ดอก <O:p</O:p
    โดย ธูป 31 ดอก หมายถึงการเชิญเทพทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน ต้องเป็นการบวงสรวงเครื่องบัดพลีใหญ่<O:p</O:p
    หรือ ธูป 32 ดอก หมายถึง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน และบนโลกมนุษย์ อีก 1 จะนิยมใช้ในการบวงสรวงใหญ่เท่านั้น เพราะเครื่องบวงสรวงต้องมากเพียงพอกับการอัญเชิญด้วย<O:p</O:p
    เจ้าคุณอมร วัดบวรนิเวศ กรุงเทพฯ ท่านให้ข้อคิดที่น่าสนใจมากคือ จำนวนเท่าไร มันอยู่ที่ใจ มนุษย์ตั้งกันขึ้นมาเอง ตามความพอใจ ซึ่งที่จริงแล้วหากใจเป็นสมาธิศรัทธาจริง มือเปล่า ใจเปล่า ก็ศักดิ์สิทธิ์ ได้<O:p</O:p
    ผู้เขียนเองก็มีความเห็นตรงกันเพราะเวลาเราฟังเทศน์ ฟังธรรม หรือจบมือขึ้น สาธุ อนุโมทนากุศลนั้น ท่านเชื่อไหมว่า อานิสงส์แรงนักแล แค่เอามือเปล่าจบขึ้นเหนือหัวตั้งจิตให้มั่น กล่าวคำว่า สาธุ


    หมายเหตุ ผมเองจำไม่ได้ว่านำมาจากหนังสือ ชื่อหนังสืออะไรครับ

    ขอขอบคุณ คุณซินแสน้อย ผู้เขียนครับ

    พระคุณเจ้าหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนที่เปี่ยมล้นด้วยความเมตตาต่อบรรดาศิษย์อย่างยิ่ง แม้อายุสังขารท่านจะร่วงโรยเพียงใด ท่านก็ยังเมตตาอบรมสั่งสอนศิษย์ ตลอดจนผู้ใฝ่ธรรมทั้งหลายที่มากราบนมัสการ จวบจนกระทั่งท่านอาพาธด้วยโรคหัวใจ ท่านก็ยิ่งให้ความเมตตาแก่ศิษย์โดยไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ในยามดึกที่ควรจะได้พักผ่อน ท่านก็ยังแสดงธรรมแก่ผู้มากราบนมัสการตลอดมา ธรรมโอวาท ที่ท่านให้เป็นคติเตือนใจแก่ศิษย์ทั้งหลายคือ…….เวลาเหลืออีกไม่มากแล้วให้รีบพากันปฏิบัติ<O:p</O:p
    หลังจากท่านมรณภาพ คณะศิษยานุศิษย์ได้รวบรวมคำสอนของท่านมาจัดพิมพ์เผยแพร่เพื่อเป็นเครื่องบูชาพระคุณ คำสั่งสอนของหลวงปู่ฟังง่าย เข้าใจง่าย แม้บางครั้งจะมีผู้นำเรื่องไม่น่าถาม มาเรียนถาม ท่านก็ได้เมตตาตอบจนกระจ่างแจ้ง ให้ผู้ถามหมดข้อสงสัย ดังได้คัดลอกมาฝากท่านผู้อ่าน ดังนี้

    <O:p</O:p
    ผู้ถาม<O:p</O:p
    หลวงปู่ครับ การจุดธูปเทียนบูชาพระในพิธีกรรมต่างๆ มักจะไม่เหมือนกัน ที่ถูกต้องเหมาะสมนั้น ควรจุดธูปกี่ดอก<O:p</O:p
    หลวงปู่<O:p</O:p
    จุดกี่ดอกก็ได้ ส่วนใหญ่มักจุด ๓ ดอก บูชาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กี่ดอกก็มีความหมายทั้งสิ้น
    <O:p</O:p
    ผู้ถาม<O:p</O:p
    ถ้าเช่นนั้นจุดดอกเดียว ก็ถือว่าไหว้ผี ไหว้ศพใช่ไหมครับ<O:p</O:p
    หลวงปู่<O:p</O:p
    จุดดอกหมายถึงจิตหนึ่ง<O:p</O:p
    จุดดอกหมายถึงกายกับจิตหรือโลกกับธรรม<O:p</O:p
    จุดดอกหมายถึงพระรัตนตรัยคืออนิจจังทุกขังอนัตตา<O:p</O:p
    จุดดอกหมายถึงอริยสัจ๔<O:p</O:p
    จุดดอกหมายถึงพระเจ้าพระองค์นะโมพุทธายะ<O:p</O:p
    จุดดอกหมายถึงสิริประการ<O:p</O:p
    จุดดอกหมายถึงโพชฌงค์<O:p</O:p
    จุดดอกหมายถึงมรรค<O:p</O:p
    จุดดอกหมายถึงนวโลกุตรธรรม<O:p</O:p
    จุด๑๐ดอกหมายถึงบารมี๑๐ประการ
    <O:p</O:p
    ผู้ถาม<O:p</O:p
    ถ้าจุด ๑๑ ดอกล่ะครับหลวงปู่ หมายถึง<O:p</O:p
    หลวงปู่<O:p</O:p
    ก็บารมี ๑๐ ประการ กับจิต ๑<O:p</O:p
    ผู้ถาม<O:p</O:p
    ถ้าไม่มีธูปเทียน<O:p</O:p
    หลวงปู่<O:p</O:p
    ก็ใช้วิธีจิตใจบูชาไม่เห็นต้องมีอะไรพุทธังธัมมังสังฆังชีวิตังเมปูเชมิ - ทุกอย่างอยู่ที่ใจ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    มีเรื่องเล่ากันว่า โยมท่านหนึ่งไปกราบนมัสการพระเถระผู้ใหญ่องค์หนึ่งเป็นประจำ วันหนึ่งได้ถามปัญหาธรรมว่า หลักของพระพุทธศาสนาคืออะไร พระเถระตอบว่า ละความชั่ว ทำความดี ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว โยมท่านนั้นได้ฟังแล้วก็พูดว่า อย่างนี้เด็ก ๗ ขวบก็รู้ พระเถระองค์นั้นยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบว่า จริงของโยม เด็ก ๗ ขวบก็รู้ แต่ผู้ใหญ่อายุ ๘๐ ก็ยังปฏิบัติไม่ได้ ซึ้งไหมละท่าน นึกถึงพุทธพจน์ที่ว่า
    <O:p</O:p


    สากัจฉายปุญญเวทิตพพาปัญญารู้ได้ด้วยการสนธนา<O:p</O:p

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  19. เทพารักษ์

    เทพารักษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +980
    ขอบคุณค่ะ

    (deejai) ขอบคุณมากนะคะ (deejai)

     
  20. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    กึ๋ย ไปกันอีกแล้ว เมื่อไรเราจะได้ไปบ้างน๊า
    (eek)

    โมทนาสาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...