ในเว็บนี้มีใครเป็นพระโสดาบันแล้วบ้างเอ่ย

ในเว็บนี้ มีใครที่รู้สึกว่าตัวเองบรรลุ โสดาบันหรือสูงกว่าบ้างครับ
หรือว่าได้ฌานขั้นใดกันบ้าง
มาลองสรุปความก้าวหน้าทางธรรมกันหน่อยนะครับ
***อยากทราบไว้บ้างจะได้ไม่เผลอปรามาสเข้าน่ะครับ***
....สวัสดี

 

- อย่าได้แสวงหาอะไรๆ เพื่อการบรรลุธรรมเลยครับ

- มีเพียงการเรียนรู้สิ่งที่ปรากฎให้รับรู้จนเกิดความเข้าใจเท่านั้น

- เมื่อเข้าใจแล้วมันก็ต้องละความเข้าใจนั้นทิ้งไปด้วยเพราะความเข้าใจก็คือความปรุงแต่งทางจิตเช่นกัน

- การละวางก็คือการรู้ผ่านเฉยๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย

- เมื่อเกิดความเข้าใจแล้ว ท่านเองจะรู้ว่าไม่มีอะไรให้บรรลุ เป็นเพียงสมมติเรียกเพื่อสื่อความหมายเท่านั้น

- การจะเข้าใจได้ก็ต้องมาเรียนรู้สิ่งที่ปรากฏให้รับรู้เท่านั้นเอง แต่ถ้ายังเข้าใจตรงนี้ไม่ได้อาจเริ่มต้นโดยการนั่งสมาธิ เดินจงกรม เป็นต้น ตามวิธีการที่เรารู้ๆ กันไปก่อน วันหนึ่งเมื่อเกิดความเข้าใจมันจะมารู้ความคิด เรื่องจิตของมันเอง
และอย่าไปปฏิบัติเพื่อให้ได้ฤทธิ์ ได้ฌาน อะไรเลย หากท่านไม่มีวิสัยที่ได้สะสมมาก่อนแล้วมันจะทำให้เสียเวลามาก และเมื่อท่านเข้าใจเรื่องความคิดแล้วท่านจะเห็นเรื่องฤทธิ์เป็นของเล่นแก้เซ็งเท่านั้นเอง

- ความเข้าใจใช้สมาธิแบบธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวันนี่แหละ อย่าได้แสวงหาอะไรๆ เพื่อให้บรรลุเลยเพราะมันเป็นเพียงความคิดตัวใหม่ที่ทำให้ติดอยู่ในวังวนทางความคิดเท่านั้น

- อย่าได้แสวงหาอะไรๆ เพื่อให้เกิดการไต่ระดับธรรมเลย เพราะสิ่งที่ควรกระทำให้เข้าใจสูงสุดแล้วคือ ความหมดสงสัยต่างหากมิใช่หยุดอยู่เพียงพระโสดาบัน

ขออนุโมทนาที่สนใจในธรรมทุกท่านครับ

 

รู้แต่ว่าตัวเองจะไม่ทำชั่ว รักษาศีล จะรับอาสาหมุนกงล้อพระธรรมจักรต่อไป เท่านั้นเอง จะเป็นพระอริยะหรือไม่นั้น ไม่สำคัญเป็นเพียงแค่ยศตำแหน่งเท่านั้น(เขียนแบบนี้โดนด่าแน่เลย..ไปละ)

 

ถือศิล 5 สร้างกรรมดี ชดใช้กรรมเก่า และไม่สร้างกรรมใหม่

 

กลองไม่มีคนตี....ดังเอง.....ต้องเอาไปปล่อยวัด

ถ้าจะบอกใคร ๆ ว่าเป็น........มันมีประโยชน์อะไร?

สมมุติง่าย ๆ คุณลองใบ้หวยแล้วแม่นมาก ถูกติดต่อกัน 2 งวด ผมว่าพรุ่งนี้คุณก็เตรียมรับหายนะที่จะเกิดกับคุณได้เลย ..........ลองดูซิ ถ้าคุณไม่เชื่อ.

 

คงรู้ได้เฉพาะตัวเองว่าแค่ไหน ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับผู้อื่น

 

อืมมมมมมมมมมมม
ทำเอง รู้เอง นิ่งเอง ดีกว่าเนาะ

 

ใครเค้าจาบอกล่ะเนี่ย เหอะๆ

 

พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะบอกได้ นอกนั้นจะรู้ภูมิด้วยกันเอง

 

คงจะเป็นกระทู้กับดักกระมัง

เอาเป็นว่า ใครมาตอบก็..... เข้าใจกันเองแล้วกันนะครับว่าเป็นยังไง

 

บอกก็ไม่ใช่ดิ

 

เมื่อก่อนเคยพยายามปฏิบัติธรรมให้ได้ถึงขั้น"พระโสดาบัน"เป็นอย่างต่ำครับ จะได้เป็นหลักประกันว่า จะไม่ตกลงไปอบายอย่างแน่นอน และในตำราก็พอจะมีเครื่องวัดอยู่ได้ว่า
ความเป็นโสดาบันนั้นจะต้องเป็นเช่นไร (แต่พระอริยะขั้นสกทาคามี และอนาคามี เท่าที่ผมค้นหานี้ ไม่มีเครื่องวัดครับ หากผู้ใดมีข้อมูลมาเผยแผ่ ก็จะขอบคุณมากครับ) ผมตั้งใจปฏิบัติธรรมมากครับ แต่พอไปเทียบกับเครื่องวัดแล้ว ก็ยังไม่ดีพอ หรือว่าเราตีความหมายไม่แตก จนตอนนี้เลิกวัดแล้วครับ แต่ก็เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ครับว่า "วิชชาของพระพุทธองค์ หากปฏิบัติได้ถูกต้องแล้ว สามารถดับทุกข์ได้จริง" ตอนนี้สิ่งที่ผมได้อย่างน้อย ก็กลัวการทำบาปมากขึ้นครับ

 

มุ่งมั่นทำความดีเป็นสำคัญดีกว่าครับ ขออนุโมทนาสาธุครับ

 

เรายังถูกมารกดหัวอยู่ ฝากไว้ก่อนเถอะ

 

คนที่เป็นใครเขาจะมาตอบล่ะ อย่าลืมนะพระอริยะเจ้ามีสติมาก อะไรที่ทำแล้วไม่เป็นคุณประโยชน์ ท่านไม่ทำ เช่นว่ามาบอกว่าท่านเป็นพระโสดา ท่านจะตอบเพื่อไร ถ้าหากเป็นจริง แล้วคนไม่เชื่อ เกิดไปล่วงเกินหรือลบหลู่เข่าจะเป็นบาป ท่านไม่ตอบหรอก

 

เท่านี้ผมก็ทราบแล้วครับ
ไม่ว่าพวกท่านจะเป็นอะไร
พวกท่านล้วน มีคุณธรรม ประจำใจทุกคน
ที่ยังเหลืออยู่บ้าง
ก็อาจจะหงุดหงิดกับคำถาม....
วางเฉยกับคำถาม....
มุ่งมั่นกับคำถาม....
ขบขันกับคำถาม....
แต่ก็เป็นสังโยชน์เบื้องเล็กๆที่อาจจะละได้แล้วบ้าง

อายครูไม่รู้วิชา คำถามแบบนี้คือการล้วงลูก...ขอบคุณทุกท่านครับ

 

ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ที่พูดได้นั้นไม่จริง

คงพอเป็นคำตอบให้กับ จขกท. บ้างน่ะครับ

 

ปัจจัตตังครับ ของอย่างนี้ ทำเองรู้เอง

คนที่เป็นพระโสดาบัน ท่านจะนิ่ง คนที่ไม่นิ่ง คือคนอวดอ้าง

บอกได้แค่นี้ เด็ยว จะมีคนมาโจมตีผมอีก

 

ส่วนผมคิดว่าการบอกหรือไม่บอกนั้นเป็นแค่เหตุปัจจัยส่วนหนึ่ง แต่ไม่สามารถชี้ชัดไปได้ทุกกรณีว่า การที่ผู้ประกาศตนว่าได้บรรลุมรรคผลนั้น จะต้องเป็นผู้ที่อวดอ้างหรือไม่มีคุณวิเศษนั้นเสมอไป

ยกตัวอย่างเช่น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเองท่านก็ทรงประกาศตนเองว่าได้ตรัสรู้แล้ว หรือ อย่างพระปิณโฑณภารทวาชะผู้เป็นพระอรหันต์ที่เป็นเอตทัคคะเป็นเลิศในด้านเป็นผู้บรรลือสีหนาทเอง ในวันที่ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ท่านก็หยิบอาสนะผืนหนึ่งไปวางไว้กลางที่ประชุมและท่านก็นั่งลง พร้อมกับประกาศแก่ภิกษุรูปอื่นว่า ท่านใดที่มีความสงสัยในมรรคผลจงมาถามข้าพเจ้า

เมื่อภิกษุรูปอื่นได้ยินดังนั้นก็พากันโจษจันว่า ท่านปิณโฑณภารทวาชะ ประกาศความเป็นพระอรหันต์ในตนเองเสียแล้ว จากนั้นก็พากันเอาเรื่องนี้ไปกราบทูลให้พระพุทธเจ้าฟัง ปรากฏว่าพระองค์กลับทรงอนุมัติและรับรองในมรรคผลของท่านปิณโฑณภารทวาชะว่าเป็นความจริง และยังได้แต่งตั้งท่านเป็นเอตทัคคะในด้านบรรลืสีหนาท ด้วยเหตุนี้นั่นเอง

ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสว่าที่ท่านปิณโฑณภารทวาชะสามารถประกาศตนได้เช่นนี้ เป็นเพราะ ความเพียบพร้อมบริบูรณ์ใน สติ สมาธิ ปัญญา ของท่านจึงมั่นใจในผลที่ตนได้รับน่ะครับ

 

อันนั้นท่านประกาศในหมู่สงฆ์ และเป็นไปเพื่อสอน
ที่ปาราชิกคือประกาศมรรคผลหรือสมาบัติ
1.ที่ไม่เป็นจริง
2.แก่อนุปสัมบัน
3.เป็นไปเพื่ออวด