ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    ค่ะพี่จิตวิญญาณจริงๆไม่ใกล้มากหรอกค่ะอยู่ขอนแก่น มิตรภาพตัดตรงถึงหนองคายแล่นฉิวเดียว แต่ทำงานอีกจังหวัดนึง เรื่องกลัวผีนิตอนนี้ไม่สนใจ พอไม่สนใจมันก็ไม่กลัวค่ะ หลวงปู่ก็บอกค่ะหามันให้เจอ 84000 พระธรรมขันต์มันอยู่ที่ตัวเราค่ะ ใจเราเองที่มันหลอกเรา 5555 จริงมากๆเลยค่า เรื่องคนหลายมันอนอัวนี่ (วุ่นวาย)ใช่เลย
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    หมอดู เผชิญ พ่อมด

    +++ ในขณะที่ปรากฏการณ์แบบ "ครั้งหนึ่งในชีวิต" แบบนี้เกิดขึ้น หากมัวแต่ไปใช้ "ตานัย" (มันเป็นนัย ๆ) อยู่ ก็รับประกันได้ว่า "ขาดทุนและไม่คุ้มแน่นอน" สู้ใช้ "มหาสติผนึกเข้าไป สัมพันธ์กับเหตุการณ์" ไม่ได้ เพราะมันเหมือกับ "เราสั่งให้มันขึ้น ตรงจุดไหน และ เมื่อไร มันก็ขึ้นเมื่อนั้น อย่างนั้น" (ดูเผิน ๆ ภายนอกก็เหมือนกับพวก ประกาศิตผู้วิเศษ แบบในหนังอะไรแบบนั้น) เพราะเราพูดตรงไหน หรือ ชี้นิ้วไปตรงไหน มันก็ขึ้นตรงนั้น (ถ้าเป็นในหนัง ก็เป็นแบบ แกนดอฟใช้ไม้เท้าชี้ ถ้าเป็นแบบ แฮรี่ พอตเตอร์ ก็ใช้ "ตะเกียบ" ชิ้นเดียว ชี้แทนก็ได้)

    +++ ความจริงก็ไม่มีอะไร สำหรับผู้ที่ฝึกในชั้นที่ 9 ก็สามารถทำได้ทุกคนโดยการ "ดับตน หรือจะใช้ การมองแบบที่ 3 คือ ลืมตาเฉย ๆ ก็เห็นเอง โดยไม่มี สัญญาขันธ์ กับ สังขารขันธ์ เข้ามาบดบัง" ตรงนี้เรียกว่า "ล้างตาใน" ทิ้งไปก่อนก็ได้ เมือล้างตาเรียบร้อยแล้ว มันก็จะเหลือแต่ "ตาบริสุทธิ" (ตาสติ) ที่จะเห็นตามความเป็นจริง และ "รู้" ตามความเป็นจริง รวมทั้ง "สภาวะรู้" จะแผ่และผนึกกับสภาพในบริเวณนั้น ตามความเป็นจริง ทั้งหมด ผลลัพธ์สุดท้าย ไม่ว่าจะใช้ทางไหนก็ตาม มันจะออกมาแบบ "การมองแบบที่ 3" อยู่ดี

    +++ เริ่มต้นเมื่อไปถึง ก็มองอย่างกว้าง ๆ แล้วก็รู้ขึ้นมาเองได้ว่า "จุดแรกที่จะขึ้น คือ ตรงหัวคุ้งน้ำ จากจุดที่มอง จะเป็นคล้าย ใต้ต้นไม้ใหญ่" แต่ก็มองอย่างกว้าง ๆ ไปเรื่อย ๆ ก็รู้ได้ว่า "ไม่ต้องขยับเปลี่ยนที่ไปที่ไหน เพราะมันจะขึ้น ตรงข้างหน้า มากที่สุด" และทุกอย่างก็เป็นจริงตามนั้น 2 ลูกแรกขึ้นที่ หัวคุ้งน้ำจริง ๆ และไม่ต่ำกว่า 70-80 ลูกขึ้นตรงหน้าในระยะใกล้ เท่ากับระยะแค่ "มองข้ามถนน" เท่านั้น ส่วนระยะไกลออกไปก็แค่ 20 กว่าลูก ส่วนที่ไม่ขึ้นตรงหน้า ต้องมองเฉียง ๆ ก็แค่ 10 กว่าลูกเท่านั้น

    +++ สำหรับผู้ที่ฝึกในชั้นที่ 9 มันจะเป็น "ปรากฏการณ์ของ จิตผุด หรือคล้ายกับ ขันธ์บริวารปรากฏ" ขณะที่ จิตผุด จะสัมพันธ์กับ ลูกไฟผุด คือ มันจะ "ผุดขึ้นมาพร้อมกัน กับเหตุการณ์ของบั้งไฟพญานาค ก่อนที่จะเป็นลูกไฟ หรือ จิตจะผุดก่อนประมาณ 5-10 วินาที" หากจิตผุดครั้งเดียว ก็จะปรากฏเป็น "ลูกโทน" หากจิตผุดซ้ำซ้อน ก็จะได้ "เป็นชุด" เมื่อตรวจสอบจนมั่นใจว่า "ใช่" แล้ว ต่อจากนั้น "จะโม้ หรือ คุยเล่นสนุก ๆ" ก็ไม่เป็นไร เพราะ "ชี้ตรงไหน เป็นขึ้นตรงนั้น" "บอกเป็นชุด ก็ เป็นชุด บอกเดี่ยว ก็ขึ้นเดี่ยว" และถ้าหากชัดเจนก็ สามารถ "ระบุจำนวนลูก" ได้ด้วย เช่น "ชุด 5 ตรงนั้น" "ชุด 3 ตรงนี้" ไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครสนใจ เพราะทุกคนพุ่งความสนใจไปที่แม่น้ำทั้งหมด จะมีก็แต่ คนที่เรา "เล่นสนุก" ด้วยเท่านั้น

    +++ เรื่องของ "ตาใน" นั้น "มันไม่มีพยานหลักฐาน" จะเอามา "เล่นสนุกแบบเป็นกลุ่ม กับคนธรรมดาไม่ได้" มันก็เหมือนกับเป็นได้แค่ "หมอดู" เท่านั้น ไม่เหมือนกับ "การเล่นประกาศิต" แบบนี้ (ทุกคนมีส่วนร่วมสนุก ในสถานการณ์จริง ไม่มีการนั่งมโนแล้วไม่รู้เรื่อง) สนุกกว่ากันแยะ เคยได้ยิน สุภาษิตจีนโบราณ ที่กล่าวไว้ว่า "เปรียบดั่ง หมอดู เผชิญ พ่อมด" มาก่อนหรือเปล่า เพราะ "หมอดูทำได้แค่ดู" ส่วนพ่อมดนั้น "สั่งให้มันเป็นกับมือได้เลย" คุณ Apinya17 ยังอยาก "แช่" อยู่ในระดับ "หมอดู" เท่านั้นเองเหรอ 555
     
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ฝันแบบนี้ ไม่มีอะไรมาก คนที่จะบวชจะต้อง บวชนาคก่อนบวชพระ และตอนที่ นาคกล่าวคำขอบวชนั้น ก็คือ "คำกล่าวขอนิสัย" จากพระผู้ที่จะบวชให้นั่นเอง ดังนั้นเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น คือ "เรื่องของการปฏิบัติ จนเป็นนิสัย" และนิสัยในที่นี้คือ "นิสัยของ กายเวทนา" ในขณะที่เป็น กายเวทนานั้น นิวรณ์ 5 จะเข้าไม้ได้ และจะมี "สติ" อยู่เต็ม ซึ่งตรงนี้ "เป็นอาการของ การประพฤติ พรหมจรรย์ ในศาสนาพุทธ" (สติตั้งมั่นในระดับฌาณ) ถ้าหาก "ตาย" ไปในสภาพนี้ก็จะ "ไม่กลับมาสู่ กามาวจร อีกเลย" เรียกได้ว่า "เป็นผู้ที่ไม่ต้องกลับมาอีก" และตรงนั้นคือ ชาติหน้าอีก 1 ชาตินั่นแหละ
     
  4. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่คะ อธิบาย ปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้าย ให้ได้ไหมคะ
    "อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ"
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันว่าสังขารทั้งหลาย ย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา
    ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตน และประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด ”

    สังขารในที่นี้หมายถึง สังขารา คือ สภาวะของธาตุเริ่มแรก ปริวัติ เคลื่อนไหว กลายเป็น ตาน้ำวน เป็น ขุมพลังจิต หรือเปล่าคะ
     
  5. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    "สั่งให้มันเป็นกับมือได้เลย" อ่านแล้วทำให้นึกถึง ที่คุณ ธรรม-ชาติ เคยโพสท์เล่าในกระทู้ไหนจำไม่ได้แล้วว่า ตอนที่นั่งอยู่บนเรือ แล้วสั่งให้นกบินกับมือได้ และตรงนี้ก็ทำให้นึกถึง หลวงปู่สรวง ที่ท่านเรียกลูกไก่ตัวหนึ่งเดินออกจากฝูง แล้วสั่งลูกให้ไก่นอนกลิ้งเกลือกเล่นกับมือ ในบริเวณที่ท่านขีดวงกลมไว้

    เมื่อก่อนเคยลองเล่นกับนกเหมือนกัน แต่ยังไม่รู้วิธีเล่น ทำมือให้นกเข้ามาหา แต่นกบินหนีหมด แฮ่ๆ มีแต่แมว ที่เรียกแล้ว ไม่ว่าอยู่ไกลแค่ไหนก็จะเดินเข้ามาหาเลย ที่แมวเดินมาหา สงสัยแมวจะหิว อิอิ
     
  6. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    อ้างไปเรื่อยว่า -----> วาระยังไม่ถึง ฮาาาา

    รับรู้อารมณ์ของผู้อื่น หลายวันก่อน ได้งานเลี้ยงจบปริญญาเอกของ ดร.ท่านนึง ในงานเลี้ยงเลี้ยงก็มีกลุ่มสาว แล้วมีหมอหนุ่มคนนึง หมอท่านนี้ก็เคยได้เจอกันมาสองสามครั้ง หมอหนุ่มนี่อายุน้อยกว่าข้าพเจ้า กลุ่มสาวๆ ก็อายุไล่เลี่ยกัน มีตั้้งแต่ 28-38 ข้าพเจ้าสูงวัยกว่าทั้งหมดที่กล่าวมา ค่ำคืนนั้นผ่านไปด้วยดี ก็กลับมาหลับฝันหวาน ฟุ้งซ่านไปว่า ชอบหมอท่านนั้นเป็นอยู่หลายชั่วโมง เหมือนสองร่างในหนึ่งเดียว อีกตัวก็ว่า อ้าวไม่ใช่ตรูนี่หว่า ใครละเนี่ย ต้องเป็นกลุ่มสาวๆ สักคนในนั้น นัดเลี้ยงส่งครั้งหน้าจะมีโอกาสพิสูจน์อีกครั้งว่าจะจริงไหม

    อารมณ์แบบนี้(อึดอัด ห่อเหี่ยว กลัว หงุดหงิด งุ่นง่าน โกรธ อื่นๆ) ถ้าตัวที่สองมันบอกว่า ไม่ใช่ตรูเองเนี่ย อารมณ์นั้นจะหายไป ถ้าเจอไวก็หายไว ถ้าเจอช้าก็ข้ามคืน เท่าที่ผ่านมา เจอไวที่สุดใช้เวลาสองชั่วโมง

    ถามโง่ๆค่ะว่า ปุ่มเปิดปิด รับอารมณ์มีไหม ต้องทำอย่างไร ถ้าไม่อยากรับอารมณ์คนอื่น
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ สังขารในที่นี้หมายถึง "สังขตธรรมทั้งหมด" (ภาค dynamic) ตั้งแต่ "อณู" ลงไปจนตลอดสาย นั่นแหละ ดังนั้น "ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตน และประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" นั่นแล........
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    "สั่งให้มันเป็นกับมือได้เลย" อ่านแล้วทำให้นึกถึง ที่คุณ ธรรม-ชาติ เคยโพสท์เล่าในกระทู้ไหนจำไม่ได้แล้วว่า ตอนที่นั่งอยู่บนเรือ แล้วสั่งให้นกบินกับมือได้ และตรงนี้ก็ทำให้นึกถึง หลวงปู่สรวง ที่ท่านเรียกลูกไก่ตัวหนึ่งเดินออกจากฝูง แล้วสั่งลูกให้ไก่นอนกลิ้งเกลือกเล่นกับมือ ในบริเวณที่ท่านขีดวงกลมไว้

    +++ ตอนนั้น "ยังไม่ได้ มหาสติ" เพียงแต่ "ตัวดู" มันสามารถ "เชื่อมโยง" กับอินทรีย์ทะเลตัวนั้นได้ มันก็เลยบินอย่างที่เราอยากเห็น และ มือเรากับท่าบินของมันสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ตรงนี้ ยังอยู่ในระดับ "จิตสื่อสาร" ที่ผิดกันกับ บั้งไฟพญานาค เพราะ "ไม่มีจิตอยู่ในลูกไฟที่ผุดขึ้นมา" อาการที่ "เหมือนจิตผุด" นั้น "ไม่มีจิตอยู่อาศัยในนั้น" มันเป็นคล้าย "สิ่งผุดขึ้นมาในสภาวะรู้เฉย ๆ" แต่ไม่มีจิตครอง เพียงแต่ "อาการของมัน คล้ายคลึงกันมาก" แต่จะเรียกมันว่า "ขันธ์บริวารผุด" ก็ยังไม่ตรงซะทีเดียว

    เมื่อก่อนเคยลองเล่นกับนกเหมือนกัน แต่ยังไม่รู้วิธีเล่น ทำมือให้นกเข้ามาหา แต่นกบินหนีหมด แฮ่ๆ มีแต่แมว ที่เรียกแล้ว ไม่ว่าอยู่ไกลแค่ไหนก็จะเดินเข้ามาหาเลย ที่แมวเดินมาหา สงสัยแมวจะหิว อิอิ

    +++ มันคงถามว่า "เรียกมา กินใช่ป่ะ" 555
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เอ..... ถ้ามันเป็นของคนอื่น มันก็ต้องรู้จักเจ้าของไปนานแล้วนะซี แล้วมันไม่นานหลายชั่วโมงหรอก เอ..... ของใครหว่า ...

    +++ ถ้าไม่อยากรับอารมณ์คนอื่น ก็เข้าฐาน กายเวทนาซะก็สิ้นเรื่อง แม้กระทั่งไม่อยากรับอารมณ์ตนเอง ก็เข้าฐานได้เหมือนกัน ลอง ๆ ทำดูนะ
     
  10. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    สาวๆ หลายคนค่ะ ไม่อยากปักใจว่าเป็นของคนใดคนนึง

    แต่ที่บางทีมันหลายชั่วโมงเพราะไม่ทันคิดว่ามาจากคนคุณสามีนี่แหละบ่อยที่สุด ฮาา เขาไม่บอกเราว่าเขารู้สึกอย่างใด พวกปากหนัก บางทีงงๆ กับอารมณ์ที่มาแบบนี้ตั้งครึ่งวัน

    เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นอารมณ์เราเองหว่า งง จัง
     
  11. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    +++ ถ้าไม่อยากรับอารมณ์คนอื่น ก็เข้าฐาน กายเวทนาซะก็สิ้นเรื่อง แม้กระทั่งไม่อยากรับอารมณ์ตนเอง ก็เข้าฐานได้เหมือนกัน ลอง ๆ ทำดูนะ.
    ___ใช่เลยค่ะวันนี้เข้าฐานกายเวทนาอยู่ (ไม่แน่ใจค่ะ แต่น่าจะใช่) พอมาอ่านเจอเลยนึกขึ้นได้ แม่ถามถึงคนข้างๆบ้านว่าพวกป้าๆ น้อง แม่ๆทั้งหลายเป็นไง เราก็เล่านิดๆหน่อยๆ พอไปถึงอีกคนก็เล่าไปธรรมดา ไม่รู้สึกว่าตนมีอารมณ์ไม่ชอบเค้า เฉยๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอนินทาคนสวนที่เราจ้างมาทำสวนว่าเห็นแก่ตัวงั้นงี้ ทำให้แต่บ้านเรา งง มากๆ กับตรรกะวิบัติของคนสมัยนี้ โกรธแทนค่ะ เพราะสงสารเค้าด้วย อะไรหลายๆอย่าง(ไม่ค่อยสุงสิงมากเพราะเห็นนิสัยโดยรวมแล้ว)หลังๆไม่ค่อยไปเสวนาด้วย รู้สึกว่าคนนี้ทำไมจิตใจคับแคบจังเอิ่ม ฉันจ้างมาทำบ้านช้าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 ตุลาคม 2014
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เอ........ นั่นดิ "ของใครหว่า" รีบ ๆ หาให้เจอนะ "ผลทั้งหลายย่อมมาแต่เหตุ" เอ........ เหตุอยู่ไหนหว่า .......
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ตรรกะวิบัติ

    +++ "ตรรกะวิบัติ" นั้นเป็น "ความชำนาญของนักการเมืองทุกคน" มันคือ "ตรรกะจูงใจ" "ตรรกะซ่อนเล่ห์เหลี่ยม ตลบแตลงไว้ภายใน" เรื่องของ "ตรรกะ" ก็คือ "เรื่องของการ เชื่อมประโยค ด้วย "อาการสมมติ" (จากมติชน สู่ มติชน) จากนั้นก็ใช้อาการสมมตินั้น ๆ เลื้อยไปมา เพื่อโชว์ลีลาท่าที แล้วเรียกว่ามันคือ ศิลปะ แล้วก็รีบ ๆ ตลบแตลงว่ามันเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน"

    +++ แม้เราจะพูดได้ว่า "มันหลอกได้แต่เฉพาะคนโง่เท่านั้น" แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา มันก็สามารถระบุได้ว่า "จำนวนของคนโง่นั้น จะประเมินว่า มีไม่มาก ไม่ได้เลย" ดังนั้น "มีแยะจริง ๆ และหาช๊อปปิ้งได้ทั่วไป ราคาถูกอีกตะหาก"

    +++ ยามใดก็ตาม เมื่อ "เศรษฐกิจเริ่มบีบรัด" ก็จะเริ่มเห็น "ตรรกะวิบัติ" เริ่มผุดโผล่ขึ้นมาเป็น "หย่อม ๆ" แล้วลามไปเรื่อย ๆ มันเป็นมาทุกยุคทุกสมัยในประวัติศาสตร์ของ "ภพภูมิมนุษย์" หากยังชอบ "เกิดแก่เจ็บตาย" ในภูมินี้ไปเรื่อย ๆ ไม่นานก็จะทำให้ "ระลึกชาติทีไร ก็เจอแต่เรื่องแบบนี้ทุกที"

    +++ "ตรรกะวิบัติ" คือเรื่อง "พูดเข้าข้างตนเอง" และผู้พูดกำลังตกอยู่ในอารมณ์ "ชอบ-ไม่ชอบ" จากนั้น "จะปรุงแต่งเพ้อเจ้อ" ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ "ความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เป็นเงาตามตัว" มีวิธีตรวจสอบได้ง่าย ๆ คือ

    +++ ดูเทปปราศรัยของพวกนักการเมือง แต่ "ห้ามเปิดเสียง" ปล่อยให้มันทำไม้ทำมือไปเรื่อย ๆ (ให้มั่นใจว่า "ต้องไม่มีเสียง" เล็ดลอดออกมาได้เลย ให้ดูแต่ภาพอย่างเดียว)(หากใครอุตริ ทำให้เสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่เพียงนิดเดียว "ก็ห้ามโทษคนอื่น" ก็แล้วกัน)

    +++ เว้นจากหน้าจอเป็นพัก ๆ แต่ไม่ต้องหยุดเทป แล้วค่อย ๆ ดูว่า "มัน" จะมีอาการ "บ้า" หนักขึ้นเรื่อย ๆ หรือไม่ "จากตอนต้น ไปตอนกลาง และตอนปลาย" ให้ "ดูเป็นพัก ๆ และ เว้นเป็นพัก ๆ" จากนั้นจะเห็นได้เองว่า "อาการนั้น ๆ" เป็น "อบาย หรือ สบาย"

    +++ ตรงนี้เป็นเพียงแค่ "วงจรสั้น ๆ" จากนั้นให้ "โอปนยิโก" แบบสั้น ๆ ว่า มันเป็นอาการของ "ความนึกคิดและมโนเอาเอง" ใช่หรือไม่ และอาการนั้น ๆ มี "สติ" เป็นองค์ประกอบเหลืออยู่กี่เปอร์เซ็นต์

    +++ จากนั้นให้ทำ "โอปนยิโก" แบบวงจรที่กว้างกว่า ว่า "ตัวเราเอง ในระยะ 10 กว่าปีที่ผ่านมา" ตกอยู่ในวงจรที่ "มโนเอาเองกี่เปอร์เซ็นต์" และ "หลุดพ้นจากวงจรนี้ได้กี่เปอร์เซ็นต์"

    +++ จากนั้นให้ทำ "โอปนยิโก" แบบวงจรที่กว้างที่สุดในชาตินี้ ว่า "ตั้งแต่เกิดมา จนปัจจุบันขณะ" เรามีความเสียดายเวลาที่ "หมดไปกับวงจรนี้หรือไม่" หรือ "ยังแสวงหาหนทาง ที่จะกลับลงสู่วงจรนี้อีกหรือไม่"

    +++ และท้ายสุดวงจรนี้ เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์เรียกว่า "สังสารวัฏแห่งโลกียะ" ใช่หรือไม่

    +++ บัดนี้ "เข้าฐาน กายเวทนา ได้แล้ว" หากปรารถนาเกิดชาติหน้าอีก 1 ชาติเดียวพอ ตามฝันที่ผ่านมา

    +++ โพสท์นี้เป็น PG 00 อ่านได้ทุกเพศทุกวัย ไม่จำกัดระดับของ "สติ" แต่โดยปกติแล้วจะโพสท์แต่เฉพาะ "วิธีปฏิบัติ" เท่านั้น แต่โพสท์นี้มีความเกี่ยวพันกับ "ตรรกะวิบัติ" จึงโพสท์พอให้เป็นที่ "พอเห็นได้บ้าง และ พอเป็นกระสายยา" เท่านั้น นะครับ
     
  14. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    แหะๆๆ ใจจริงๆไม่อยากเกิดอีกซักชาติหรอกค่า เบื่อหน่ายมนุษย์ ชีวิตในสังสารวัฏเหลือทน ยิ่งเรื่องนักการเมืองด้วยแล้วโฮะๆๆๆ สงสารประเทศไทย ม่ายรู้ไปทำกรรมอะไรไว้เกิดมาตรงเป็นไม้บรรทัดเลย ยิ่งมาสายกฎหมาย คนแช่งแล้วด่าอีก
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ มันเป็น "กรรมรวมหมู่" ผู้ที่จะอ่านตรงนี้ออก ต้องเดินจิตใน "อิทัปปัจจัยตา ในระดับ สังคมมหภาค" ได้ ภาษาตรงนี้น่าจะยากเกินไป ให้อ่านง่าย ๆ จาก "ระดับสติ" ของนักการเมืองก่อนว่า "สอบสติ ได้หรือตก"

    +++ เคยดูการถ่ายทอด "การประชุมในสภา" มาก่อนหรือเปล่า เพียงแค่การ "ตั้งมั่นในประเด็นที่จะพูด" ก็ "สอบตกกันทั้งสภาแล้ว" พอตั้งประเด็นขึ้น "ก็เลื้อยกันแบบ เลื้อยใครเลื้อยมัน" ต่างฝ่ายก็ต่างลาก "ตรรกะวิบัติ" กันมายาวเหยียด แต่ที่สำคัญที่สุด "ประชาชนเป็นผู้เลือกบุคคลเหล่านี้เข้ามาเอง" โดยไม่มีการดูว่า "ระดับสติ" ของบุคคลเหล่านี้ "ต่ำกว่าบุคคลโดยปกติ" หรือไม่ แล้ว "กรรมรวมหมู่" จะตกกับใคร ตรงนี้แหละที่เรียกว่า "วิบาก วิบาก วิบาก" แบบเหมาเข่ง

    +++ อีกประการหนึ่งที่ดูง่าย ๆ คือ "พวกเจ้าความคิด" (เจ้าแห่งความเพ้อเจ้อ เจ้าแห่งความปรุงแต่ง) แต่ไม่มี "ฐาน" มาจากความเป็นจริง ก็ประชาชนอีกนั่นแหละที่เลือกเข้ามา บุคคลพวกนี้ "สอบสติตก" ทั้งหมด

    +++ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ "ตัวประชาชน" เองนั่นแหละ "ฝึกสติ" กันสักกี่เปอร์เซนต์ และที่ฝึกแล้ว "รู้จักอาการของสติ" กันสักกี่เปอร์เซนต์ และให้ดู "ร่องน้ำลึก" ของคนในชาติว่า "โอกาส หรือ ความเป็นไปได้" ที่จะหันหน้าเข้าหา "สติ" จะเพิ่มขึ้น หรือ ลดลงอย่างไร (เอาแค่นี้ก็พอ ยังไม่ต้องไปถึง "ภพภูมิมนุษย์" ทั้งภพภูมิหรอก)

    +++ เอาแค่คร่าว ๆ ว่าระดับของ "สติ" ใน "สังคม" อยู่ใน "ขาขึ้น หรือ ขาลง" หากใคร "มองได้กว้างกว่านี้" ก็ให้มองในระดับรวมหมู่ ดังนี้ "จากศรีลังกา ลากมา บูโรพุทโธ ขึ้น ปลายแหลมญวณ ญี่ปุ่น จีนตอนบน มงโกเลีย ลากกลับมา อินเดียจรด ศรีลังกาอีกที" บริเวณนี้คือ พุทธอาณาเขต ต่อไปในอนาคต (โลกจะเหลือมนุษย์เพียงแค่ ร่มโพธิ 3 ต้น หรือ 3 ศาสนา)

    +++ ให้อ่านคร่าว ๆ แค่นีก็พอ หากว่า "ระดับสติ" อยู่ในขาลง ก็ให้รู้ว่า "ความเดือดร้อน ของภพภูมิมนุษย์ จะเพิ่มมากขึ้น" และ อายุขัยของ ภพภูมิมนุษย์ ก็จะ สั้นลงไปเรื่อย ๆ ตามระดับของ "วงจรกรรมรวมหมู่"

    +++ แม้ว่าเราจะทำเต็มความสามารถแล้วก็ตาม ก็จะทำได้แค่ "ส่วนตัว และบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย เท่านั้น" และจะ "ไม่อาจเปลี่ยนแปลง ร่องน้ำลึก ของจิตรวมหมู่ได้" ตรงนี้ต้อง "ประเมินตน ประเมินโลก" ให้เป็น (สำหรับพุทธภูมิ ให้หรี่ตา ไว้ข้างหนึ่งก่อนก็แล้วกัน กาลเวลาของท่าน ให้ควรเลือกตอนช่วง ขาขึ้น จะสะดวกกว่า เหมือนกับ พายเรือตามน้ำ เร็วกว่า ง่ายกว่า และ ไม่เหนื่อยเท่าไร)

    +++ หลังจาก "คำณวณ" คร่าว ๆ แล้วก็ให้ตัดสินใจเอาว่า "จะเผ่นก่อน หรือจะ รอลุ้นอีกสัก 2-3 ชาติ" ก็ตามสะดวก นะครับ
     
  16. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    น่ากลัวจริง ณ โลกปัจจุบันยุคตอแหลได้โล่ห์ ต้องรีบแผ่นให้ไว ตัวใครตัวมัน ตนเป็นที่พึ่งของตน
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ จากโพสท์ที่แล้ว ให้อ่านคร่าว ๆ แค่นี้ก็พอ หากว่า "ระดับสติ" อยู่ในขาลง ก็ให้รู้ว่า "ความเดือดร้อน ของภพภูมิมนุษย์ จะเพิ่มมากขึ้น" และ อายุขัยของ ภพภูมิมนุษย์ ก็จะ สั้นลงไปเรื่อย ๆ ตามระดับของ "วงจรกรรมรวมหมู่"

    +++ โพสท์นี้สำหรับคนที่รอ "พระศรีอารย์" ใน "พุทธกัปป" (1 วันกาแลคซี่ ที่มีพระพุทธเจ้า) นี้ พระพุทธเจ้า "พระกุกกุสันโธ พระโกนาคม พระกัสสปะ พระมหาสมณโคตม" ทั้ง 4 เกิดในวงจร "ขาเดียวกัน" คือ "ขาลง" แม้กระทั่ง "พระศรีอารย์" ก็ด้วยเช่นกัน จะมาในตอน "ขาลงขาต่อไป" (ไม่ได้อยู่ในขานี้) หลังจากสิ้นสุดขาขึ้นและเริ่มเข้าโค้งขาลงของ อายุมนุษย์ 84,000 ปี และลงไปเรื่อย ๆ ในรอบหน้า (คนละรอบกับปัจจุบันนี้) ดังนั้น ให้รู้ไว้เลยว่า "ศาสนาของพระพุทธเจ้า พระมหาสมณโคตม นั้น เป็นศาสนาสุดท้าย ในรอบนี้" กาลเวลาในพระพุทธศาสนานั้น เป็นกาลเวลาของ "กาลอวกาศ" ซึ่งกาลเวลาในแต่ละวงจร ก็จะนับแบบ วงจรใครวงจรมัน ให้แยกแบบง่าย ๆ คือ เทหะวัตถุในอวกาศ นับแบบอวกาศ ส่วน วงจรอายุมนุษย์ นับแบบวงจรชีวิตมนุษย์ เท่านั้น หากเอามาปนกันเมื่อไร ก็มึนเมื่อนั้น

    +++ อาจจะสงสัยได้ว่า แล้วที่เรียกว่า "นับอายุมนุษย์ได้ 1 อสงไขย นั้น นับอย่างไร" จริง ๆ แล้วมันคือ บริเวณ peak หัวโค้งของวงจรของ "ความยาวของชีวิตมนุษย์" ใน peak หนึ่ง ๆ เท่านั้นเอง ซึ่งสั้นกว่า "1 กัปป กาแลคซี่มาก"

    +++ การนับกาลเวลาทั้งหมด จะใช้ "จุดอิงจุดหนึ่ง" เป็นจุดกำหนดวงจร และจุดอ้างอิงจุดใด ก็เป็นเรื่องเฉพาะใน สังกัปโป (concept) นั้น ๆ เช่นกาลเวลา 1 ปีปัจจุบัน ใช้ ดวงอาทิตย์เป็น "จุดอิง" ที่เรียกว่า Gregorian calendar และเริ่มต้นจาก กำเนิดพระเยซู แต่ถ้าหากเป็น Julian calendar ก็จะนับตั้งแต่ยุคของ จูเลียส ซีซ่า แต่ใช้ดวงอาทิตย์เป็น จุดอิง เหมือนกัน แต่การคำณวณต่างกันนิดหน่อย

    +++ หากใช้ ดาวศุกร์ เป็นจุดอิง ก็จะได้ 584 วันเป็น 1 วงจร (ปี) หรือ 819 วันถ้าใช้ ดาวพฤหัส จุดอิงเหล่านี้มีใน ปฏิทินของชาวมายัน ซึ่งเริ่มต้นวันที่ 11 สิงหาคม ก่อนพระเยซู 3114 ปี และวงจรจบลงที่ 21 ธันวาคม ปี 2012 และใช้ "กลุ่มดาวไถ" (Orion) เป็นจุดอิง ดังนั้น "วงจรนี้ไม่ขึ้นกับระบบสุริยะ" ส่วนวงจรที่นานที่สุดของมายันเรียกว่า 1 alautun จะนานประมาณ 63 ล้านปีในระบบของ Gregorian calendar ดังนั้น คงพอสังเขปอย่างคร่าว ๆ ในเรื่อง "จุดอิงกับกาลเวลา" ได้พอสมควร

    +++ รัศมีจากจุดศูนย์กลางกาแลคซี่ คร่าว ๆ คือประมาณ 50,000 ปีแสง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 100,000 ปีแสง ดวงอาทิตย์ ห่างจากรัศมีศูนย์กลางประมาณ 28,000 ปีแสง แต่หากจะนับวงโคจรก็ต้องนับ 28,000 X 2 = 56,000 ปีแสง ตรงนี้เป็น กัปป ของดวงอาทิตย์ กับ จุดศูนย์กลางกาแลคซี่ แต่กัปปของตัวกาแลคซี่เองคือ 1 รอบวงโคจรของ 100,000 ปีแสง ดังนั้นให้เข้าใจในเรื่องของ กัปป หรือ วงจร ของอะไรไว้ก่อน คร่าว ๆ พอ ส่วน "มหากัปป" ให้ยกไว้

    +++ 1 วันกาแลคซี่ หรือ 1 กัปป คือ ปลายปีกนอกสุดและไกลที่สุดของกาแลคซี่ หมุนโคจรมาทับกันกับ องศาเดิมของรอบที่แล้ว เป็นวงจรของ 100,000 ปีแสง (แต่ตัวกาแลคซี่ยังเคลื่อนไปเรื่อย ๆ ในวงจรแห่ง "มหากัปป") และ "ข้างใน วงจรนี้" มีวงจรของ "ระบบสุริยะ" ที่มีวงจรเพียงแต่ 56,000 ปีแสง

    +++ และในวงจรของ 56,000 ปีแสง นี้มีมนุษย์ที่ "เกิดแก่เจ็บตาย" ภายในวงจรนี้หลายตลบ "จุดอิง" เริ่มต้นที่ "ระยะที่อายุขัยของมนุษย์ มีความยืนยาวที่สุด มากกว่า 100,000 ปีขึ้นไป ก่อนที่จะเริ่มสั้นลง" ต่ำกว่า 100,000 ปีลงมา ตรงนี้เป็น "จุด peak ของขาลง" จนถึงเมื่อ อายุขัยของมนุษย์ อยู่ในบริเวณ 10 ปี ก่อนที่จะเริ่มยาวขึ้น ตรงนี้เป็น "จุด peak ของขาขึ้น"

    +++ ยามใดที่ "จุด peak ของขาลง" เริ่มต้นวงจรใหม่อีกครั้ง นั่นคือ "1 อสงไขยกัปปของอายุ" (อสงไขย คือ ความยาวนาน ส่วน กัปป คือ จบวงจร) ดังนั้น จุด peak ในแต่ละวงจร จะมีความยาวนานเท่ากันหรือไม่ คำตอบคือ "ไม่เท่ากัน" แต่ในบริเวณที่อายุมนุษย์เริ่มมากกว่า 100,000 ปีขึ้นไป จนถึง ต่ำกว่า 100,000 ปีลงมา อายุที่เรียกว่า "อสงไขย" จะถูกรวมเอาไว้ในบริเวณหัวโค้งนี้ และหาก "พระพุทธองค์" ท่านเดิน อิทธิบาท 4 และจะอยู่ได้ 1 กัปปนั้น หมายถึง "พระองค์จะอยู่ได้ครบ 1 วงจร" และพระศรีอารย์ จะมา "ในวงจรถัดไป"

    +++ นักศึกษาในกระทู้นี้ คงพอได้ concept คร่าว ๆ แล้วนะ ว่า "อะไรเป็นอะไร" ดังนั้น "ศาสนาของพระพุทธเจ้า พระมหาสมณโคตม จึงเป็น เป็นศาสนาสุดท้าย ในรอบนี้" ส่วน ศาสนาของ "พระศรีอารย์" นั้น จะมาต่อเมื่อ "วงจรเริ่มบรรจบ" และคล้องจองใกล้เคียงกันกับ ศาสนาของ "พระกุกกุสันโท"

    +++ ตรงนี้เป็น "เรื่องราวของ 1 กัปป กาแลคซี่" ที่มีพระพุทธเจ้ามาบังเกิด 5 พระองค์ หลังจากนี้จึงเป็น "สุญญก้ปป กาแลคซี่" อีกเท่าไร ก็ลองไป กูเกิ้ล ดูเอา แต่ในยามที่ กัปป กาแลคซี่ใด ที่มีพระพุทธเจ้ามาบังเกิด พระองค์ก็จะ "เล็ง" ไปที่ "วงจรชีวิตมนุษย์" ใน จุดอิงของกัปปมนุษย์ ในรอบนั้น ๆ

    +++ ไหนใครจะรอลุ้นอยากเจอ "พระศรีอารย์" ยกมือขึ้น แล้วถ้าหากเผลอ "ไปหลับอยู่ที่ไหน" แล้วพลาดไป ก็ไปรอลุ้นกับ องค์ต่อไป หากใครเห็นว่า "ตรงนี้น่าลุ้น" ยกมือขึ้น :cool::cool::cool:
     
  18. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    น่ากลัวมาก ทุกวินาทียังมีความทุกข์อยู่ทุกขณะจิต แล้วฉไนจึงคิดอยากมาเกิดอีก สังสารนี้มันยาวนานยิ่ง แค่ได้เห็นภพภูมิในตาน้ำวน ซึ่งมีจำนวนนับไม่ได้แล้ว ภาษาอิสานว่า "เป็นต๋าย่าน" โลกนี้มันคือสมมุติ เป็นละครของแท้ โอ้ยยย "ข้อยสิกัวหลายแท้" จะทำยังไง ณ เวลาตัดสินใจ ณ ตาน้ำวน แค่เสี้ยวขณะจิต ถ้าพลาดแล้วพลายเลย เหมือนทำข้อสอบ มีคำตอบมากมาย แต่ว่ามีข้อถูกเพียงข้อเดียว ตอบผิดได้มาเกิดใหม่อีก :boo::boo::boo:
     
  19. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    แหมพี่ธรรมชาติแจงตัวเลขมาซะคนโง่คำนวณเงิบเลย ทำให้คิดถึงหนังเรื่อง Lucy ดูๆไปนี่มันศาสนาพุทธชัดๆ ศาสนาเราสุดยอดวิทยาศาสตร์ แต่วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง คนที่ใช้สมองได้เต็ม 100 คือคนบรรลุแล้วนั่นเอง เช่น พระพุทธเจ้า และทำให้นึกถึงเรื่องความรู้อนันตนัย ตอนนี้ก็กำลังเร่งอยู่ค่ะ และรู้สึกว่าร่างกายแยกเป็น 2 ส่วนแบบคุณ Apinya17 แต่สังเกตุอาการไปเรื่อยๆก่อน หนูขออยู่กับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี่แหละ เพราะฟังเรื่องพุทธองค์ทีไรนำ้ตาใหลอิ่มเอิบใจทุกที
     
  20. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ขอนอกเรื่องหน่อยนะคะ แบบว่า คนละเรื่องเดียวกันน่ะค่ะ อิอิ

    ส่วนตัวแล้ว มันอยากเผ่นตั้งแต่เด็กๆแล้ว ตอนเด็กมันไม่ชอบสุงสิงกับใคร ชอบอยู่คนเดียว+กับแม่ ยังเคยบ่นในใจเลยว่า จั๊กเกิดมาเอ็ดอิหยัง เบื่อ ( ไม่รู้เกิดมาทำไม เบื่อ ) อยู่กับคนเยอะๆก็ไม่ได้ มันหนหวย(อึดอัด) ถ้าโดนเพื่อนแกล้ง เดินหนีอย่างเดียว ไม่โต้ตอบ เห็นใครทะเลาะกัน ด่าว่ากัน เดินหนี แต่ถ้ารู้ว่าญาติคนไหนจะคลอดลูก มัน(ตัวเอง)ไปนั่งเฝ้าที่บ้านนั้นเลย อยากเห็น

    คนสมัยก่อนจะคลอดลูกที่บ้าน จะมีหมอตำแยมาทำคลอดให้ ส่วนถ้ามีงานเผาศพที่ไหน บางครั้งก็ไปยืนดูตอนเผา ในสมัยก่อนชาวบ้านเขาจะเผาศพตามทุ่งนา ครอบครัวของคนตายมีที่นาอยู่ตรงไหนก็มักจะนำศพไปเผาตรงนั้น บางทีตอนเผาศพ ไฟไหม้โลงก่อน พอเริ่มไหม้ศพ แขนขาชี้โด่เด่ขึ้นให้เห็นก็มี เคยเห็นศพของผู้ชายคนหนึ่งฆ่าตัวตายเพราะเสียใจที่ผู้หญิงนอกใจ คงกะให้ผู้หญิงตายไปด้วย ชวนผู้หญิงปั่นจักรยานไปส่งขึ้นรถบัสทัวร์ ผู้หญิงเป็นคนปั่น ผู้ชายนั่งหลัง ปั่นๆไปเสียงระเบิดดังลั่น ผู้หญิงก้นหาย ส่วนผู้ชายร่างเละ เราไปยืนดูไกลประมาณเมตรเดียว เห็นหัวใจของเขาที่หลุดออกมา ยังเต้นตุ๊บๆอยู่เลย

    และตอนเด็กๆ วันเสาร์-อาทิตย์จะชอบไปเล่นน้ำที่ริมแม่น้ำโขงกับเพื่อนๆ บางวันทุก 5-10 นาที จะมีศพคนตายไหลผ่าน พอเห็นศพจากไกลๆกำลังไหลใกล้เข้ามา ก็จะพากันรีบขึ้นฝั่ง พอศพไหลผ่านไปแล้ว ก็พากันลงเล่นน้ำต่อ บางทีก็เห็นศพคู่ชายหญิงแก้ผ้า ศพถูกไม้ไผ่ลำเดียวผ่าครึ่งหนีบคอไว้แล้วมัดปลายไม้ทั้งสองด้านด้วยเชือก บางครั้งเห็นศพเด็กไหลมาติดริมฝั่งก็มี ตอนที่เห็นก็ไม่กลัวนะ แต่กลัวผีม๊ากมาก กลัวตั้งแต่เด็กจนเฒ่า กะยังบ่เฒ่าปานได๋ดอกหว๊า เพิ่งผ่านหลักสี่ เลยดอนเมืองแล้วนิดหน่อย แต่ยังไม่ถึงรังสิตเลย แฮ่ๆ

    แต่กว่าจะรู้ว่าไอ้ตัวที่กลัวผีไม่ใช่เราก็เกือบจะเฒ่าทิ่มซือๆ ถ้าครูบาอาจารย์ไม่บอกก็คงไม่รู้ พอรู้แล้วก็ขำตัวเอง ขำที่ ตั้้งแต่เล็กจนโต ถูกมันหลอกมันตั้วมันต้มจนเปื่อย มันพากลัว ก็กลัวไปกับมัน มันพาโกรธ ก็โกรธไปกับมัน มันพาทุกข์ ก็ทุกข์ไปกับมัน มันพาขี้เกียจก็เอากับมันด้วย จะมีสักกี่คนที่ปฎิบัติจนเห็นตัวตนของมันและจัดการกับมันได้

    ว่าแต่ เอ วันนี้มาแปลกวุ๊ย จั๊กว่าจ่มอิ๊หยัง ฮ่าๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...