พลังบริสุทธิ์ ของยุคใหม่ แสดงผลอย่างไร

ดี.....มันต้องอย่างนี้

 

คนที่ฝึกปัจจุบัน ฝึกแบบจำลองให้ตนเอง ดูเหมือน อรหันต์
คือ การดับจิต ดับขันธ์ ....
มันไม่ใช่เลย

การดับจิต ดับขันธ์ เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการทำลาย ทำร้ายตน
...................................

อีกกรณีหนึ่ง คือ การฝึกแบบเปิดญาณบารมี นี่ก่ ไม่ใช่

การฝึกแบบ ไปรับขันธ์ นี่ ก่ ไม่ใช่

เพราะการฝึกหรือไปรับญาณบารมี หรือ รับขันธ์

เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้มีศักยภาพ บีบและบังคับ ให้

กายทิพย์ ภายใน ให้หลุดลอยออกไป

หรือถูกจับขัง ในมิติจับขัง ....

 

เพราะการฝึกหรือไปรับญาณบารมี หรือ รับขันธ์

เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้มีศักยภาพ บีบและบังคับ ให้

กายทิพย์ ภายใน ให้หลุดลอยออกไป

หรือถูกจับขัง ในมิติจับขัง

ยังไง?

 

แล้วถ้า คนคนนั้น ดับขันธ์ตนเองได้ แล้ว ไปรับขันธ์อื่น เพื่อเรียนรู้ศึกษาความจริงของการรับขันธ์นั้น ที่หลายคนต่างเข้าใจว่าการรับขันธ์มันไม่ดี
ซึ่งถ้าคนคนนั้นยังมีอวิชชาเป็นของตนเอง การรับขันธ์เพิ่มเติมอาจ ทำร้ายตนเอง
แต่ถ้าผม ไม่มีอวิชชา แต่เจตนารับขันธ์เพื่อเรียนรู้ ว่า ไอ้ที่ทุกคน เข้าใจมานั้นถูกหรือผิดอย่างไร แต่ผมไม่หลงนะจ๊ะ และเข้าใจด้วยว่า การรับขันธ์เขาทำเพื่อสิ่งใด อันนี้ผมรู้ความจริงของมัน นะจ๊ะ
และอย่ามาถามผมนะว่า ความจริงที่ผมรู้นั้น คืออะไร นะจ๊ะ

 

ผมรู้ความจริงเรื่องการรับขันธ์
หมายถึง คนที่มีปัญญา รับปัญหาอะไรมาก็แก้ไขได้ เพราะมีปัญญา(ไม่มีอัตตาตัวตน ไม่มีอวิชชา)
แต่คนที่ไม่มีปัญญา รับอะไรมาก็เป็นแต่ปัญหา เพราะด้อยปัญญา (มีอัตตาตัวตน มีอวิชชา)
ซึ่งถ้าไม่มีปัญญาก็คือ รับปัญหามาเพิ่มเติมให้ตนเองนั่นเอง นะจ๊ะ

ก็บอกแล้วไงว่า ผมรู้ ว่าผมทำอะไรอยู่นั่นเองนะจ๊ะ นะจ๊ะ

 

คนขับรถไม่เป็น ไม่มีใบขับขี่ อายุไม่ถึง ได้รับรถยนต์มา ก็เกิดปัญหา เพราะเปรียบเหมือน คนที่ไม่พร้อม คนที่ไม่มีปัญญา นั่นเอง นะจ๊ะ

 

การไปรับขันธ์ จะคล้ายกับ การใช้มนตรา จับวิญญาณกักขังหน่วงเหนี่ยวกำหนดให้อยู่ในขอบเขต มิติที่สร้างไว้โดยมนตรา (มีการกำหนดโดยมนุษย์)

การเปิดรับญาณบารมี คือ ใช้อำนาจของฌาน ของพรหม หรือ พ่อปู่ หรือ
พรหมฤษี ที่ไปเชิญมาเป็นญาน ให้ .... เหล่านี้ จะมีอำนาจของฌาน ที่จะสามารถขับ กายทิพย์ ออกจากร่าง หรืออีกนัยหนึ่งคือ กายทิพย์ ไม่สามารถทนต่ออำนาจฌาน หรือ พรหมที่มาอยู่ใกล้

กายทิพย์จะไม่สามารถทนได้ ก็หนีออกไป สังเกตง่ายๆ หากบริเวณใกล้มี เหล่าพรหมทีมีอำนาจฌาน
มาอยู่ใกล้ๆ กายเนื้อจะง่วงนอน

หรือกล่าวเปิดอนุญาต ให้มีครอบร่าง (ถูกกักขังไว้ในกายขันธ์ แบบนี้ ก่ มี)

 

หรือบางคน มีความอยาก มีกิเลสตัณหา อยากได้นั่นได่นี่ แต่พอได้มา ใช้ไม่เป็น รักษาไม่เป็น มันก็ พังเร็ว ไม่เกิดประโยชน์สูงสุด นั่นเพราะ มีแต่ความอยาก แต่ไม่เจียมตนในปัญญา เพราะไม่เข้าใจตนเอง นั่นเองนะจ๊ะ
ดังที่ผมเคยบอกว่า สร้างให้มันดีน่ะ พอสร้างได้ แต่จะรักษาให้มันดีได้ตบอดนี่สิยากกว่า

ดังพุทธพจน์ที่ว่า การเกิดว่ายากแล้ว แต่การใช้ชีวิตรักษาชีวิตให้รอดปลอดภัย สิยากว่า นะจ๊ะ

 

การรับขันธ์ ก่ เหมือน รับผู้อื่น มาอยู่ภายในบ้าน ของตนเอง
มาอยู่กินฟรี ๆ

 

การรับขันธ์ ก็เหมือน การเรียนลัด คือ อายุน้อย อายุแค่นี้ สมควรเรียนอยู่ มอ 6 แต่ดันไปเอาหนังสือปริญญาตรี โท เอก มาอ่าน โดยไม่ดูความเหมาะสมว่า ตนเอง มีอายุร่างกายสมอง วัย พร้อมหรือไม่ นั่นเอง นะจ๊ะ

 

การมีญาณ ต้องมีญาณ ที่เกิดจากตนเอง รู้สัมผัสความจริงด้วยตนเอง

ไม่มีพิธีรีตอง ขึ้นครู ขึ้นขัน อะไร

ไม่มีการกล่าว ใส่น้ำมูก น้ำมนต์ อะไร

สัมผัสรู้ ความกระจ่างแจ้งด้วย ตนเอง เท่านั้น

 

ธรรมดานะจ๊ะ ของแบบนี้ มีอยู่เยอะแยะนะจ๊ะ แค่ไม่เข้าใจมันเท่านั้นเอง
เรารู้ตัวเองดีว่า รับมือได้ เอาอยู่ ควบคุมได้ นี่เรียกว่า เป็นการเล่นเกมส์เพื่อความสนุกสนาน เสี่ยง แต่ไม่มีวันเสีย ไม่มีวันแพ้ นะจ๊ะ นอกจากเอาตัวเองไปเรียนรู้โดยตรงแล้ว ยังสามารถเอามาแนะนำสอนคนอื่น ให้เข้าใจด้วยนะจ๊ะ เหมือนเป็นการฉีดวัคซีนเชื้อโรค เข้าร่างกายนั่นเอง นะจ๊ะ

 

คุณเคยมีเพื่อนที่มีปัญหา แล้วเขามาขอให้คุณช่วยมั้ยจ๊ะ เมื่อคุณตกลงช่วยเพราะเชื่อมั่นในตนเองว่าช่วยได้ วิธีการก้อคือ เหมือนคุณเป็นคนเข้าไปรับรู้และแก้ไขปัญหาด้วยตัวคุณเองนะจ๊ะ นี่ก็เหมือนกันนะจ๊ะ
เพราะทั้งอนันตจักรวาลนี้ ผมเอาอยู่ นะจ๊ะ

 

ก็เหมือนที่ภูดิษ เคยบอกกับผมว่า ให้เชื่อเทพเทวดาประจำตัว ไม่ไช่หรือจ๊ะ
ทีแบบนี้ ภูดิษ ยังแนะนำได้เลย ว่ามีเทพมีเทวดา แล้ว ภูดิษไม่คิดหรือจ๊ะว่า
นี่คือ เส้นทางที่ผม ต้อง เดินผ่านนะจ๊ะ เพราะเราคือ รถถังประจันบานนะจ๊ะ สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก นะจ๊ะ

 

หรือที่เขาเข้าทรง เทพนั่นเทพนี่ สำนักนั้น ตำหนักนั้นตำหนักนี้ ทีแบบนี้ภูดิษไม่ไป ร้องประกาศที่หน้าตำหนักเขาล่ะจ๊ะว่า ผิดนะจ๊ะ งมงายนะจ๊ะ ออกข่าว เป็นเทศกาล ใหญ่โต แบบนี้ทำไม ภูดิษไม่ไป สอนที่ถูก ไม่ให้มีใน ศาสนาพุทธเราล่ะจ๊ะ นั่นเพราะ ผมต้องเรียนรู้ ความจริง แล้วอธิบายตอบคำถามในใจพวกเขาได้ นะจ๊ะ เพราะผมคือ หนูตะเภาของอนันตจักรวาลจ้า

 

อย่างเรื่อง มนตด นี่ ผมก็ต้องเอาตัวเอง ไปเรียนรู้ความจริง กับโดเรมอนเอง ด้วยตัวเอง
ไม่เห็นแปลกนี่จ๊ะ เพราะ โดเรมอนเองก็เคยพูดกับผมว่า ไม่มีใครที่จะมารองรับความรู้ที่เขา รู้ นี้ได้เลย ว่ามันมากมาย หลายเรื่อง ซึ่ง ผมก็ไม่คิดจำเรียนรู้หรอกเพราะ ผมไม่มีความอยาก แต่ที่เข้าไปหาโดเรมอน ก็เพราะ เข้าไปรับรู้ โลกของ มนตดเท่านั้นเองนะจ๊ะ
ถึงโดเรมอนอยากสอนหลายๆอย่างให้ผมรู้ แต่ผม ก็ ไม่สน เพราะ มันก็แค่ สมมุตินามตามท้องเรื่อง ของโลก ของจักรวาลเท่านั้นเองนะจ๊ะ

 

อยากปล่อยวางนรก ก็ต้อง ลงนรกไปเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของนรก
อยากปล่อยวางสวรรค์ก็ต้อง ขึ้นไปเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของสวรรค์
แต่ สำหรับคนที่มีปัญญาเขามีวิธีการเรียนรู้ที่ต่างจากคนด้อยปัญญานะจ๊ะ
เช่น
บางคน พูดทีเดียว เข้าใจแต่บางคนพูดสิบที ค่อยเข้าใจ
บางคนพูดร้อยทียังไม่เข้าใจต้องได้เห็นด้วยตาจึงเข้าใจ
แต่บางคนเห็นด้วยตาก็ยังไม่เข้าใจขอจับถึงเข้าใจ
บางคนขอจับสัมผัสยังไม่เข้าใจ ขอกินจึงเข้าใจ
บางคนขอกินยังไม่เข้าใจ ขอรู้วิธีการทำถึงเข้าใจ
บางคนถึงรู้วิธีการทำยังไม่เข้าใจต้องขอลงมือทำเองถึงจะเข้าใจ
บางคนลงมือทำเองยังไม่เข้าใจ ต้องลงมือทำเองอีก ร้อยปีร้อยชาติก็เป็นได้ นะจ๊ะ
ส่วนผม นะจ๊ะ ไม่ได้อยากรู้ อยากเข้าใจหรอกจ้า
แต่ต้องลงมือทำเอง เพราะ เรามันมีปัญญาเพื่ออธิบายให้คนอื่น ได้เข้าใจง่ายๆ ไงจ๊ะ
นะจ๊ะ

เห็นมั้ยจ๊ะว่า คนจำแนกได้ กี่เหล่า กันแน่จ๊ะ
นี่ขนาดผมต้องลงทุน อธิบายมาตั้งหลายอย่าง ยังไม่รุ้เลยว่า เมื่อไหร่ภูดิษ จะเข้าใจได้ นะจ๊ะ นะจ๊ะ

 

ทั้งหมดทั้งมวล หรือจะว่าทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ ทำทั้งหมดก็เพื่อ ความเข้าใจ คำนี้คำเดียวเท่านั้นแหล่ะจ้า นะจ๊ะนะจ๊ะ

 

คนทุกคน ผัวเมีย ครอบครัว ลูก พ่อแม่ ญาติ เพื่อน ที่มัน เกิดภพเกิดชาติ เกิดอวิชชา ก็เพราะพูดกันแล้ว ไม่เข้าใจกัน นี่แหล่ะจ้า
ทั้งหมด ที่ว่า วัฏจักร วงจรสมุปกิจบาท ภพชาติ อวิชชา จะถูกทำลายได้ด้วย
เพราะ ถ้า เข้าใจ แค่นี้เอง นะจ๊ะ

 

ว่าแต่ที่ผมอธิบายมาทั้งหมดนี้ ท่านภูดิษเข้าใจได้หรือยังจ๊ะ นะจ๊ะ