เพื่อการกุศล นิ่มป่าแดง...ตามอ่านประสบการณ์จริง

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย numthip, 14 มิถุนายน 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. เติบโต

    เติบโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    819
    ค่าพลัง:
    +5,298
    หลังวันเกิดผม ต้องย้ายแน่ ๆ แต่เป็นที่ทำงานนะครับ เพราะหมดสัญญาเช่าอาคาร เตรียมเก็บของย้าย ..
    ไม่ใช่แค่ปีที่ผ่านมา นับครั้งได้ครับ ไม่มีโชคทางเสี่ยงดวงเลยครับ รวมถึงแฟนผมด้วย ต้องทำงานอย่างเดียวเท่านั้น..
    ถ้าถือว่าเป็นโชคดี ก็คงมีอย่างเดียวที่ได้มาเจอกระทู้ นิ่มป่าแดง ได้เจอพี่ทิพย์ คุณพ่อประดู่และภรรยาท่าน รวมถึงพี่ธวัชชัย นี่ถือว่าเป็นโชคของผมจริง ๆ ไม่อย่างนั้นผมคงหมดตังไปกับ วัตถุมงคลของศูนย์เป็นแน่แท้ ...
     
  2. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    ดวงคุณใช้เงินเก่ง แต่ได้ภรรยาดี
    อย่าคิดว่างานสังคมเพื่อนฝูงจะทำให้ชีวิตดีขึ้น ออกงานก็แค่พอเป็นกษัย
    หลังวันเกิดการเงินจะมั่นคงขึ้น มีเพื่อน-งานสังสรรค์มาช่วยผลาญ
    ระวังเรื่องอุบัติเหตุทางการเงิน กับสุขภาพให้มาก เดินทางอย่าประมาท

    คุณเป็นคนรักครอบครัว แต่ต้องรักให้จริง อย่าไปสถานที่อโคจร และระวังเรื่องเพื่อนต่างเพศให้มาก ยุ่งมากจะยากนาน
     
  3. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    โอนเงินค่ากริชเล่มที่ 2 ให้แล้ววันนี้ (27/09/56) ผ่านตู้ ATM ธ.กรุงไทยสาขาเลย
    เวลา 16.01 น. เข้าบัญชีเลขที่ 604 233 303 2
    จำนวนเงิน 3,500.99 บ/สต.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2013
  4. R-LEK

    R-LEK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    437
    ค่าพลัง:
    +1,627
    วันนี้ได้ไปกราบ หลวงปู่สม มาครับ ท่านอาการดีขึ้น ย้ายจากห้อง rcu ขึ้นมาชั้น 4 ตึกเดียวกันแล้วครับ
     
  5. พ่อประดู่09

    พ่อประดู่09 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,378
    ศรีลังกา
    [​IMG]

    เรื่องเล่า : ตามรอยท่องตำนาน

    ตอน : เวลาผมติดใจ,สงสัย,ผมมักจะคิดติดตามและค้นหา(1)

    ผมมักจะมีปัญหาเวลาจะโหลดรูปเสมอๆ วันนี้ก็ตั้งใจจะเอารูปประเทศศรีลังกาติดต่อกับประเทศอินเดียมาให้ดู ก็ประสบปัญหา เดี๋ยวเข้าได้เดี๋ยวก็เข้า

    ไม่ได้ เลยตัดใจเล่าทั้งๆที่ไม่มีรูป นานมาแล้วประมาณปี พ.ศ. 2516-2519 ผมชอบรายการโทรทัศน์อยู่ 2 รายการคือ หนึ่ง รายการผึ้งน้อย ดำเนิน

    รายการโดยคุณศันสนีย์ สมานวรวงศ์ สอง รายการท่องตำนานไทย เพราะเป็นรายการที่เป็นประโยชน์ทั้งของเด็กและผู้ใหญ่ เสียดายเดี๋ยวนี้ไม่ค่อย

    จะมีรายการดีๆ แบบนั้น นอกจากรายการทุ่งแสงตะวัน รายการท่องตำนานไทยก็เอาเรื่องตำนานที่เล่าขานกันมาเป็นโจษท์ แล้ก็ดำเนินเรื่องตามโจทย์

    เพื่อค้นหาความจริงหรือที่มาที่ไปหรือเอาปรากฎการณ์จริงไปเปรียบเทียบเรียบเคียงกับตำนาน ยกตัวอย่างเรื่องเจ้าแม่จามเทวี ก็ถ่ายทำว่ากันตาม

    ตำนาน ทำให้คนดูติดตามอย่างได้สาระและความรู้ เสียดายเรื่องทำนองเดียวกันคือเรื่องการจะสร้างบ้านแปงเมืองของพ่อขุนเม็งราย ซึ่งเพิ่งเริ่มดำเนิน

    เรื่อง ซึ่งมีอดีตผู้กำกับและนักแสดงอาวุโสชื่อดังแสดงเป็นพ่อขุนเม็งราย และตัวแสดงจากสำนักศิลปการต่อสู้ชื่อดัง 2 ท่านแสดงเป็นลูกหรือโอรส ถึง

    ตอนที่พ่อขุนเม็งรายพาลูกหรือโอรสขึ้นไปยืนม้าบนที่สูงหรือหน้าผาบนภูเขา แล้วชี้ให้ลูกหรือโอรสทั้งสองดูภูมิประเทศเบื้องล่างที่จะสร้างเป็นเมืองใน

    อนาคต ปรากฎว่ามีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นในจอ ทีวี คือพื้นที่ๆ จะสร้างเมืองในสมัยนั้นเกิดมีภาพรถสิบล้อวิ่งฝุ่นตลบอยู่เบื้องล่าง แล้วเรื่องนี้ก็หายไปจาก

    จอทีวี........

    ตอนเป็นเด็กขณะที่เรียนชั้นมัธยมต้น ในชั่วโมงประวัติศาสตร์คุณครูวชิร เพ็งสุข ผู้มีพระคุณของผมท่านจะให้ผมเป็นคนไปยืนอธิบายเรื่องราวประวัติ

    ศาสตร์ที่จะเรียนในชั่วโมงนั้น แล้วท่านจะอธิบายตามไปด้วย เรียกว่าผมเอาเรื่องที่ยังไม่ได้เรียนมาพูดก่อนแล้วครูก็สอนเคียงไปด้วย บางเรื่องที่ผมไม่

    เชื่อก็ต้องเล่าเป็นต่อยหอยยังกับเชื่อเสียเต็มประดา เช่น เรื่องบุญญาธิการของพระเจ้าตากกับสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตอนที่มีจีนแสดูดวง

    ชะตาให้สมัยที่บวชเป็นพระ สมัยที่พระองค์ท่านทั้งสองอายุแค่นั้น มีความสำคัญอะไรที่จะมีใครไปจดบันทึกให้ นอกจากจะเอามาแต่งเรื่องเพื่อสร้าง

    ความชอบธรรมว่าไม่มีการแย่งราชบัลลังก์ แต่เป็นเพราะดวงชะตา หรือเรื่องว่าคนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอันไต พอโตขึ้นมาได้เรียนรู้มากขึ้น ได้

    รับรู้มากขึ้นว่าประวัติศาสตร์ไทยเรามีเรื่องแต่งมากมาย จากทั้งจดหมายเหตุของต่างชาติและประวัติศาสตรที่พวกสเปน,ฝรั่งเศส,โปรตุเกสฯลฯ บันทึก

    ไว้ ผ่านข้อเขียนหรือความคิดเห็นของท่านอาจารย์สุจิตต วงเทศ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ และท่านผู้รู้จากหนังสือต่วย,ตูน พิเศษ ก็ทำให้นึกอายใน

    ความภูมิใจของตัวเองตอนเด็กๆ พอแก่มากเข้าเวลาพบปะเพื่อนประจำปี ก็จะพูดตลกๆ ว่า...เฮ้ย...ขอโทษ...ที่เคยเอาเรื่องโกหกทางประวัติศาสตร์

    ไปยืนเล่าให้พวกเอ็งฟัง...ฯลฯ แล้วก็เล่าให้เพื่อนๆ ฟังถึงเหตุถึงผล เพราะเพื่อนๆ ผมส่วนใหญ่ 80 % เป็นครู ถ้าไม่เป็น ผอ. ก็ซี 7 ซี 8 แทบทั้ง

    นั้น เพื่อนๆ ก็จะพูดเหมือนๆ กันว่า...มึงยังไม่เลิกเรียนอีกหรือวะ....

    มีอยู่วันหนึ่งผมถามปู่ว่า...จริงไหม?...เขาว่ากันว่ารอยพระพุทธบาทสระบุรี พระพุทธเจ้าไม่เคยมาเหยียบเอาไว้...แต่เป็นการสร้างขึ้น...และการสร้างก็

    ฆ่าคนเยอะด้วย...ทลึ่ง...เอามาจากไหน...อุตริ...(นึกแล้ว...ไม่ผิด...ต้องเป็นแบบนั้) ผมตอบไปว่า...ครู...บอก...ปู่เงียบ...แล้วก็พยักหน้า...ใช่...ก็

    น่าจะเป็นอย่างนั้น...ผมโล่งอก...ปู่ก็อธิบายว่า มันก็น่าจะมีเรื่องเล่าเรื่องนินทากันมานานแล้ว ตั้งแต่มีการพบรอยพระพุทธบาทใหม่ๆ และเรื่องเล่า

    เรื่องนินทาก็จะเป็นเสียงเบาๆ แล้วปู่ก็เล่าเหมือนที่ครูเล่า...คือสมมติว่า ถ้าอยากจะสร้างเรื่องบุญญาธิการในเรื่องนี้ ก็น่าจะส่งคนไปสัก 500 คนก่อน

    (จำนวนสมมติ) ห้าร้อยคนก็ไปทำเรื่องพื้นฐานหักร้างถางป่า ในจุดหรือตำบลที่ถูกกำหนดไว้แล้ว พองานเรียบร้อยก็ส่งคนที่มีฝีมือมากกว่าไปอีก 250

    คน ให้ไปฆ่าคน 500 คนที่ส่งไปก่อน แล้วหาช่างฝีมือดีประมาณ 250 คน ไปทำงานต่อ พอได้งานตามต้องการแล้วก็ส่งคนไปอีกสัก 125 คน ไป

    ฆ่าช่าง 250 คน ทำอย่างนี้จนงานเสร็จ คนที่รู้เรื่องทั้งหมดตายหมดแล้วก็แต่งตั้งพรานบูรณ์ให้เป็นคนไปพบ...เรื่องก็เป็นอย่างนี้ ถามว่าทำเพื่อ

    อะไร คำตอบง่ายๆ คือต้องการให้ในรัชสมัยนั้นมีเครื่องบ่งชี้ว่ามีบุญญาธิการ KPI ถามปู่ต่ออีกว่าแล้วเรื่องหลวงปู่ทวดตอบปริศนาธรรมทำให้ไม่เสีย

    เมืองจริงไหม๊...พอๆๆๆ อย่าเอานรกมากินหัว...และอธิบายต่อว่า ครูบาอาจารย์ในยุคหนึ่งๆ ก็มีวิธีเป็นของตัวเอง ลูกศิษย์ก็มีวิธียกยออาจารย์ของตัว

    เอง หรือวิธีการสอนก็ต้องมีอุบายเช่นเรื่องพระมาลัย ไม่เกี่ยวกับนิกายในบ้านเรา อยากให้คนกลัวบาปก็ต้องสร้างพระมาลัยขึ้นมา แล้วก็ให้มีฤทธิ์ ไป

    นรกไปสวรรค์ได้ แล้วก็เอาเรื่องบาปเรื่องบุญมาเล่า อย่างที่เราเห็นตามที่เขาจัดให้มีการเทศน์ 3 ธรรมาสน์...ปู่จบ...แต่ผมไม่จบ...

    ศาสนาอะไร...มีพนันกินบ้านกินเมือง...แต่งเรื่องจนศาสนาเสียหาย(ความคิดส่วนตัว) ผมตามเรื่องรามเกียรติ์ ตอนนั้นผมยังไม่รู้เรื่องมหากาพย์ ปู่ก็

    บอกว่า...น่าจะแต่งเป็นตำนาน คงจะผูกมาจากเรื่องแขกดำแขกขาว คือฝ่ายพระรามก็อยู่ในพวกแขกขาว ฝ่ายทศกัณฑ์ก็เป็นพวกแขกดำ พวกลิงก็

    น่าจะเป็นแขกกะเร็ง สถานที่ก็คงเหมือนๆ ของเราเช่นมีบ้านหินลับ มีบ่อพรานล้างเนื้อ ผมก็ได้มาระดับหนึ่ง ปู่เก่งมากและเก่งจริงๆ เรื่องประวัติ

    ศาสตร์ แต่ก็เก่งแบบตำราที่ไม่มีการชำระ เป็นตำราแบบสมัยนั้น ได้มาก็จากวัดกับวัง...แม่บ้านผมเพิ่งจะพูดถึงปู่เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ปู่ก็เก่ง

    แบบปู่...ไม่ได้จบมหาวิทยาลัย...แต่ปู่เป็นคนคิดเก่ง...คิดเป็น...ไม่ใช่พวกเรียนเก่ง...แต่คิดไม่เป็น...ขอโทษ...มีธุระเดี๋ยวจะมาต่อ....ขอขอบคุณ

    ครับ...สวัสดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2013
  6. RGD

    RGD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +468
    ทราบว่าหลวงปู่อาพาธอยู่ ร.พ. รบกวนคุณหนุ่มทิพย์หากไปเยี่ยมหลวงปู่ผมขอฝากปัจจัยถวายหลวงปู่ด้วยครับ ได้โอนเงินไป วันที่28/09/13 เวลา08:35 จำนวนเงิน 500.05บาทครับ ขอบคุณครับ

    กราบหลวงปู่ครับ
     
  7. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    ประวัติศาสตร์แบบเด็ก ๆ สอนให้ท่องจำเพื่อรำลึกถึงคุณของบรรพชน เพื่อให้รักชาติ

    ประวัติศาสตร์แบบผู้ใหญ่สอนให้คนคิดเป็นว่า "ทำไมจึงทำเช่นนั้น เพราะอะไร เพื่ออะไร"

    ถ้าคิดดีก็ส่งเสริมความมั่นคงของชาติ คิดไม่ดีก็ล้างชาติล้างบรรพชนได้เหมือนกัน
    ที่สังคมไทยวุ่นวายอยู่ในทุกวันนี้ก็เพราะประวัติศาสตร์เหมือนกัน

    ในหนังกำลังภายในมักมีคำพูดประมาณว่าว่า "ผู้ชนะย่อมได้เขียนประวัติศาสตร์"
    ข้อความนี้เป็นจริง ทุกยุคทุกสมัย

    ในแผ่นดินจีนเปลี่ยนราชวงศ์ครั้งไหนย่อมเปลี่ยนประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน หาได้น้อยที่
    ฮ่องเต้ยอมให้บันทึกประวัติศาสตร์ตามความเป็นจริง ดังนั้นจึงมีกรณีลับ ลวง พราง
    เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายตนเสมอ และผู้แพ้ก็มีประวัติศสาตร์ของตนเองเช่นกัน

    สุดท้ายประวัติศาสตร์ก็เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมของคนบางกลุ่ม
    แทนที่จะมีไว้เพื่อเตือนสติว่า นั่นเป็นสิ่งไม่ดีไม่ควรทำเพราะนำมาซึ่งความสูญเสียและความเจ็บแค้นของประชาชน อำนาจเป็นสิ่งที่เย้ายวนแต่แฝงไว้ด้วยความหายนะ

    เมื่อไหร่ความสงบสันติในประเทศจึงจะกลับมาอีกครั้ง
     
  8. medhaphat

    medhaphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +363
    สวัสดีครับ
    วันนี้ผมได้โอนเงินส่วนที่เหลือของค่าร่วมทำบุญบูชากริชเข้าบัญชีให้แล้วนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    หลวงปู่ฯ พักอยู่โรงพยาบาลทรวงอก นนทบุรี
    ตึก2 ชั้น4
    เวลาเยี่ยม 11.00-13.00 น.

    ผู้เป็นไข้ โปรดงดเข้าเยี่ยม ระวังเรื่องการติดเชื้อระบบทางเดินลมหายใจ

    หนุ่มทิพย์
     
  10. 5000

    5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,491
    ค่าพลัง:
    +7,121
    update ตารางกริช
    [​IMG]
     
  11. พ่อประดู่09

    พ่อประดู่09 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,378
    เรื่องเล่า : ตามรอยท่องตำนาน(2) ต่อจาก #8591

    เขียนไว้ไม่ทันจบต้องออกไปทำธุระข้างนอกกับแม่บ้าน ต้องขออภัยถ้าเรื่องมันไม่สอดคล้องกับตอนแรกๆไปบ้าง เพราะนึกไม่ออกว่าก่อนหน้านั้นคิด

    อะไรเอาไว้ กลับเข้ามาตรวจดูก็เห็นว่าเขียนนามสกุลของอาจารย์สุจิตต์กับอาจารย์นิธิฯเพี้ยนไป เพราะผมไม่เเคยเรียนพิมพ์ดีด จึงพิมพ์ได้ไม่เกิน 4

    นิ้ว พิมพ์ผิดพิมพ์ตกก็ไม่รู้ มาเริ่มกันใหม่เกี่ยวกับตำนาน,ความเชื่อ,การแต่งตำรา,แต่งประวัติศาสตร์,การเชื่อทั้งที่ดีและน่าเชื่อหรือบางครั้งก็ต้องนำมา

    คิด อย่าว่าแต่ตำราเลยแม้วัตถุพยานก็ต้องนำมาคิด เช่น ถ้าเราจะบอกว่าเขาพระวิหารไม่ใช่ของเราเพราะศิลปการก่อสร้างตลอดจนความเชื่อในเรื่อง

    ของการบูชามันบอก อีกสักสองสามร้อยปีลูกหลานเราอาจจะฟ้องเอาดินแดนในหลายส่วนของโลกใบนี้ว่าเป็นของไทย เหตุผลแบบกำปั้นทุบดิน คือ

    มีหลักฐานชัดเจนได้แก่วัดไทย? เคยฟังอาจารย์นิธิฯ ท่านพูดเหมือนให้คิดว่า ปราสาทเขาพระวิหาร อาจจะเกิดจากการเดินทางของพวกพ่อค้า

    พาณิชย์ หรือการติดต่อกัน พอพบที่เหมาะๆก็ร่วมกันสร้างเพื่อเอาไว้เป็นที่ประกอบกิจร่วมกัน โดยไม่ได้คำนึงถึงว่ามันเป็นที่ของใครหรือประเทศอะไร

    ทำนองนั้น ผมจำได้คร่าวๆประมาณนี้ ผมเข้าใจแต่คนอื่นๆ ผมไม่รู้ ผมเคยอ่านเจอคำถามของลูกศิษย์ขงจื้อ ที่ถามอาจารย์ของตัวเองว่ายังจะมีใครที่มี

    ความรู้มากกว่าอาจารย์ของเขาอีกไหม? ขงจื้ตอบว่า มีท่านที่อยู่ทางตะวันตกท่านรู้ทุกเรื่องราวให้ไปถามได้ คนอื่นคิดอย่างไรผมไม่ทราบ แต่ผมรีบ

    ไปค้นดูว่าขงจื้อเป็นคนร่วมสมัยกับพระพุทธองค์หรือไม่ คำตอบคือใช่ ผมไม่แปลกใจว่าสมัยนั้นขงจื้อรู้ได้อย่างไร เพราะผมเคยอ่านเรื่องของท่านพระ

    พุทธทาสจากข้อเขียนของอาจารย์เนาวรัตน์ฯ พระพุทธทาสฯท่านไปอยู่ธารน้ำไหลไม่ติดต่อโลกภายนอก ท่านเอาเรื่องราวอะไรมาเขียนสอนคนได้

    มากมายปานนั้น นั่นคือ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหี ติ. พระพุทธทาสหยั่งรู้ได้ ท่านขงจื้อก็หยั่งรู้ได้ ผมพยายามตามรอยเรื่องของ มหากาพย์รา

    มายณะ กับ มหากาพย์มหาภารตะ แบบโง่ๆ ก็ได้แต่คิดว่าเหมือนๆวรรณคดี กว่าจะมาเรียนเรื่องศาสนาเปรียบเทียบจึงได้รู้เรื่องขึ้นมานิด แต่การที่เรา

    ติดตามเรื่องค้างคาใจมันมีข้อดีคือ การได้อ่านมาก มีข้อมูลนำเข้ามาก ความเป็นคนใจคับแคบค่อยๆลดลง เพราะความเริ่มรู้สึกตัวว่าเราไม่รู้มีมากขึ้น

    ความประมาทแบบที่เรียกว่ารู้แล้วค่อยๆหมดไป ที่คิดว่ารู้จริงแล้วเปลี่ยนเป็นคำถามตัวเองว่า ที่เรารู้หรือคิดว่ารู้นั้นมันรู้จริงหรือเปล่า เวลาจะตอบใครใน

    หลายๆ เรื่องจึงหาทางออกเอาไว้ก่อน เช่น ใช้คำว่าน่าจะ หรือไม่แน่ใจนะ หรือ ก็ได้ยินมาอย่านั้น.......

    ไม่ว่าจะอย่างไรผมก็ชอบเรื่องตำนาน เพราะทำให้เราได้รับรู้เรื่องราวของภูมิประเทศ สถานที่ตั้ง หรือที่มาของชื่อหรือความเชื่อต่างๆ เช่น ตำนาน

    ของคนเดินทางของคนภาคกลางทางน้ำหรือทางเรือ ผมเคยได้ยินชื่อคนเฒ่าคนแก่เล่าถึงความยาวของคุ้งน้ำหนึ่ง จำไม่ได้ว่าอยู่แควน้อยหรือแคว

    ใหญ่ หรือจะเป็นแควกำแพง คุ้งน้ำนั้นมีชื่อว่า คุ้งมัทรี คุ้งมัทรีมีอยู่แน่นอน เพราะปู่พูดถึงบ่อยๆ ว่าเหนื่อยล้าเป็นอย่างมากกว่าจะแจวเรือผ่านคุ้งมัทรี

    ไปได้ ผมพยายามค้นหาอยู่คงได้ในไม่นานนัก เพราะคนแถวบ้านผมอายุยืน พวกแปดสิบกว่าๆ ยังเหลือหลายคน ผมได้ยินคนพูดถึงความเหนื่อยยาก

    ของการพายเรือหรือแจวเรือผ่านคุ้งมัทรีจากผู้ใหญ่หลายคน จนอดถามไม่ได้ว่าทำไมถึงพูดว่าเหนื่อยกันมาก ได้รับคำอธิบายว่า ก็คุงน้ำมันยาว และ

    เป็นธรรมชาติอยู่เองที่กระแสน้ำตามคุ้งน้ำจะแรง ถามว่าคุ้งน้ำยาวแค่ไหน...? คำตอบ...ก็ยาวเท่ากับเวลาที่พระซ้อมเทศน์มหาชาติกัณฑ์มัทรีจบพอ

    ดี คือพระนั่งกลางลำ มีโยมแจวหัวแจวท้ายเรือ พอเริ่มเข้าคุ้งน้ำพระก็เริ่ม...พอเรือพ้นคุ้งน้ำก็จบกัณฑ์มัทรีพอดี ก็เล่าขานจนเป็นตำนานว่าคุ้งน้ำนั้น

    เรียกว่าคุ้งมัทรี...ด้วยประการฉนี้...แล้วผมเอาแผนที่ประเทศศรีลังกามาไว้หัวเรื่องทำไม? ก็ผมตามรอยตำนานเกี่ยวกับศรีลังกา ถ้าท่านสมาชิกจะ

    ย้อนกลับไปดูที่แผนที่จะเห็นว่า ในอ่าว Palk Bay จากแผ่นดินใหญ่อินเดีย-มายังเมือง Mannar จะเห็นแนวหินเรียงกันมา จะมีขาดห้วงเป็นทอดๆ

    ถ้าเป็นแผนที่แผ่นขยายจะมีตัวหนังสือเขียนว่า Adam Bridge แปลเป็นไทยง่ายๆ ก็คือสะพานหนุมาน ก็ย้อนไปดูเรื่องรามเกียรติ์ตอนหนุมานจอง

    ถนน แขกก็ไม่ธรรมดา เอาภูมิศาสตร์ที่มีอยู่แล้วคือแนวหินใต้น้ำจากแผ่นดินใหญ่มายังเกาะศรีลังกา มาผูกเป็นเรื่องให้อยู่ในมหากาพย์ได้หนึ่งตอน

    และตรงบริเวณที่เขียนว่า RANAPURA จะมีภูเขาที่สูงมากลูกหนึ่ง มองเห็นแต่ไกลจากทะเล มีชื่อว่า Adam Hill หรือชื่อที่ผมเรียกเองว่า ภูเขา

    หนุมาน แสดงว่าก่อนหน้าโน้นชาวศรีลังกาก็นับถือศาสนาฮินดู จึงมีการนับถือหนุมาน ศาสนาฮินดูมีอายุกว่าสี่พันปีแล้วทั้งๆที่ไม่ศาสดา และพวกทมิฬ

    ในปัจจุบันก็คงเป็นลูกหลานทศกัณฑ์ เพราะดุและเหี้ยมโหด แนวหินที่ผมเรียกเป็นภาษาไทยว่าถนนหนุมาน ที่แหว่งๆวิ่นๆ ก็คงเกิดจาก นางเงือกแม่

    ของมัจฉานุ มาช่วยกันขนหินไป......ผมไปมาหลายหน เป็นที่น่าเสียดายคือไม่เคยไปตรงกับพิธีแห่พระเขี้ยวแก้ว และไม่เคยได้ขึ้นไปไหว้สิ่ง

    ศักดิ์สิทธิ์บน Adam Hill เพราะเขาบังคับให้เดินขึ้นอย่างเดียว จะเริ่มเดินขึ้นประมาณ 2300 น. ไปถึงเอาตอนสว่างๆ พอดี คนอย่างผมหัวใจฝาก

    ไว้กับแมลงภู่ 2200 น. ก็ไม่เดินแล้ว...มีคนประคองหาที่นอนให้........

    พามาเที่ยวศรีลังกา มีแค่นี้หรือ.....ไม่...ไม่ใช่เด็ดขาด อยากรู้นักว่าพระจากศรีลังกาไปท้าตอบปัญหาปริศนาธรรมได้อย่างไร แค่จะเดินเรือไปให้ถึง

    อยุธยาก็แย่แล้ว ถ้าจะเดินไป กี่ปีกี่เดือน จะรอดชีวิตไหม? รายละเอียดปลีกย่อยประวัติการเดินเรือก็แย่แล้ว แม่ทัพเจิ้งเหอผู้ยิ่งใหญ่ของจีน มีเรื่อง

    ขนาดของเรือยังเป็นปัญหา เพราะยุคนั้นเรือต่อด้วยไม้ ยาวได้ไม่เกิน 50 เมตร(ขีดจำกัดของไม้ทำได้แค่นั้น อย่าเอาเรื่องสร้างปิรามิดมาแย้ง) แต่

    ขนาดที่เอามากล่าวยาวถึง 400 ฟุต 3.281 ฟุต เท่ากับ 1 เมตร นักประวัติศาสตรและผู้รู้เขาไม่ฟันธงว่าโกหกเรื่องขนาดเรือ แต่พยายามหาอู่ต่อเรือ

    ที่ว่า หามาเป็นสิบปีแล้วยังไม่มีวี่แวว ลองค้นหาดูซิว่าประเทศไทยสมัย ร.3 ค้าขายต่างประเทศ คนไทยยังเดินเรือไม่ได้ ต้องจ้างแขกจามแขกจีนมา

    เดินเรือ อย่าเอาพระเจ้าตากเดินเรือมาอ้าง มันต่างกันมากแบบเปรียบเทียบไม่ได้ ศรีลังกา(สมัยนั้นยังไม่ใช้ชื่อนี้)ในปี พ.ศ. 2181 มีใครเป็นเจ้า

    ปกครองลองไปค้นดูซิว่าตรงกับบันทึกของไทยไหม? และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2048 - พ.ศ. 2201 ศรีลังกา ถูกครอบครองโดย โปรตุเกส,ดัตซ์,

    อังกฤษ และจนถึงปี พ.ศ. 2358 อังกฤษเข้าครอบครองโดยมีอำนาจมากขึ้นๆ โดยมีพวกดัตซ์อยู่ด้วย จะเอาศักยภาพอะไรมาท้าทายกินเมือง

    เพราะเมืองของเขาเองก็ถูกกลืนกินอยู่......ก็ไม่ว่ากัน....แต่ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า หลวงปู่ทวดไม่ได้เขียนเรื่องนี้ และก็ไม่ว่าใครทั้งนั้น แต่ผมตาม

    รอยอย่างนั้นจริงๆ ไม่ลอกใคร ทุกครั้งที่ผมสร้างพระพุทธรูปไปถวายตามสำนักหรือวัดต่างๆ ผมจะนึกขอบคุณพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิ

    โดเนียทุกครั้งไป ไม่ใช่อะไร...เพราะผมสงสัยว่าหน้าพระพุทธรูปสมัยโบราณทำไมหน้าเหมือนฝรั่งมากกว่าที่จะเหมือนแขก...ผมเลยท่องตำนานตาม

    รอยการสร้างพระพุทธรูปนั่นเอง....ขอขอบคุณมากครับ....สวัสดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2013
  12. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    " ทุกครั้งที่ผมสร้างพระพุทธรูปไปถวายตามสำนักหรือวัดต่างๆ ผมจะนึกขอบคุณพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนียทุกครั้งไป "

    อ่านถึงตรงนี้ก็เกิดปัญหาคาใจขึ้นทันใด พระเจ้าอเล็กซานเดอร์เข้าอินเดียราว ๆ พ.ศ. ๒๑๖-๒๑๘ แต่อยู่ไม่นานก็กลับไปประทับที่บาบิโลนแล้วก็เสด็จสวรรคตที่นั่นราว ๆ พ.ศ.๒๒๐ จะเห็นได้ว่าช่วงเวลาอยู่ในอินเดียราว ๆ ๒ ปี รบกันคาราคาซัง ถึงแม้จะไม่ได้เข้าถึงแคว้นมคธก็ตาม ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ว่าจะเป็นผู้ริเริ่มสร้างพระพุทธรูป

    หลังจากนั้นมาอีกร้อยกว่าปีพระเจ้า เมนันเดอร์ หรือมิลันเดอร์ที่คนไทยรู้จักในนาม พระเจ้ามิลินทร์ ในหนังสือมิลินทร์ปัญหา กษัตริย์เชื้อสายกรีกชั้นเหลนโหลนของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ พระเจ้ามิลันเดอร์มีสติปัญญาดีแตกฉานในศาสตร์ลัทธิต่าง ๆ ประกาศโต้ัปัญหากับนักบวชทุกศาสนาจนเป็นที่ขยาด คณะสงฆ์จึงส่งพระนาคเสนไปประลองปัญญากับพระเจ้ามิลันเดอร์ จนพระเจ้ามิลันเดอร์แพ้ราบคาบยอมรับนับถือพุทธศาสนาและอุปถัมภ์ค้ำชูพุทธศาสนาอันเป็นเหตุเริ่มต้นของการสร้างพระพุทธรูป ดังนั้นผู้ริเริ่มสร้างพระพุทธรูปจึงน่าจะเป็นพระเจ้ามิลันเดอร์ ไม่น่าจะใช่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์

    หรือเป็นเพราะผมเข้าใจผิดกันแน่ ขอความกรุณาสรุปให้ทีว่าระหว่างพระเจ้าอเล็กซานเดอร์กับพระเจ้ามิลันเดอร์ ใครกันแน่ที่เป็นผู้สร้างพระพุทธรูปคนแรก
     
  13. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    หลังพรรษา จะให้โล่ห์....

    ..................

    วัตถุมงคลของเรา พี่นิ่มนำขึ้นไปขอบารมีหลวงพ่อสงัด วัดสันติคีรีฯ เป็นรอบที่ 3
    หลังจากพี่นิ่มได้ยินศิษย์ใกล้ชิด ว่ามีทั้งพระทั้งฆราวาสทั้งเจ้านาย มาขอบารมีหลวงพ่อฯ แต่โดนตะเพิดไล่กลับลงเขาไม่ทัน ช่วง2สัปดาห์ที่ผ่านมา

    เมื่อได้รับการอธิฐานจิตแล้ว ก็นำมาฝากพระเดชพระคุณหลวงพ่อบัวเกตุ พระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ที่มาจำพรรษาอยู่ที่ชลบุรี
    ทันทีที่ท่านฯเห็นพระของพี่นิ่ม ก็ทัก "มันเต็มแล้วนี่..."

    หลวงพ่อฯท่าน มีมิเตอร์วัดพลังพระเครื่องคนละยี่ห้อกับพี่นิ่ม แต่ไหนๆก็ไหนๆ พี่นิ่มขอบารมีท่านได้ 7 วัน

    ....................

    เหลืออีก 2 องค์ ที่หมายจะให้ท่านเสกเดี่ยว ซึ่งน่าจะแล้วเสร็จเมื่อออกพรรษา
    จากนั้นก็คงได้จัดส่งให้เพื่อนสมาชิกกันแล้ว (น้ำมัน๙ทัพ)

    และเมื่อไม่นานมานี้ มีท่านเจ้าคุณรูปหนึ่ง รักพี่นิ่มมาก มอบผงวิเศษฯให้มา1กระปุก เจ้าของผงฯนี้ เป็นสุดยอดนักอธิฐานจิตในยุคเลยทีเดียว ปัจจุบันพระเครื่องของท่านฯ มีราคาสูงมาก โดยเฉพาะในเวปพลังจิต แต่ต้องขออภัย ทุกวันนี้พี่นิ่มโดนไถผงวิเศษฯอยู่ทุกวันและทุกรูปแบบ เลยขออุบไว้ก่อน

    แต่เมื่อไหร่พี่นิ่ม ให้ผมมาทำพระฯแล้วนั้นแหละ ผมจะเอามาแจกให้.....

    ....................

    แจ้งว่าวัดโพธิผักไห่ อยุธยา น้ำไม่ท่วมนะครับ แต่ที่มีข่าวออกมา ก็เพื่อประโยชน์ในการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้ลงตัว...... (วัดเดือดร้อนไปด้วยเพราะข่าวแบบนี้)

    ..................

    อาการไข้ผมดีขึ้นมากแล้ว เร่งอัดยาอย่างหนัก เพื่อจะได้เข้าไปกราบหลวงปู่ฯวันพรุ่งนี้
    และเมื่อท่านฯหายดีแล้ว จะยุให้ย้ายวัด!

    ใครไปเยี่ยมท่าน ก็ให้ยุเหมื่อนกัน สุขภาพท่านฯน่าจะดีขึ้น

    เรื่องของเรื่องคือ คุณหนุ่มที่ทำหน้าที่อุปฐาก โดนโจมตีมาตลอด จนอาจจะอยู่อุปฐากท่านไม่ได้ ผลประโยชน์มันเยอะ

    ขนาดหลวงพ่อทองหยิบท่านยังเอ่ยปาก ยุให้คุณหนุ่มกลับเหมือนกันเมื่อทราบข่าว

    เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ผมเคยเตือนคุณหนุ่มมาก่อนหน้านี้แล้ว เตือนมาตั้งแต่ยังไม่มีใครเข้าไปทำวัตถุมงคล

    ห่วงก็แต่หลวงปู่ฯ
     
  14. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    พระพุทธรูปยุคแรกของโลก : ศิลปะคันธาระ


    พระพุทธรูปคันธาระ นับว่าเป็นพระพุทธรูปที่สวยงามและเก่าแก่ที่สุดในโลก
    การสร้างพระพุทธรูปหรือพุทธปฎิมา เกิดขึ้นครั้งแรกของโลก โดยฝีมือของช่างแคว้นคันธารราฐ เกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.๓๗๐ ที่ได้รับอิทธิพลจากกรีกและโรมัน เพราะอินเดียสมัยนั้นเคยอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ซึ่งเคยกรีฑาทัพมา ตั้งแต่ในราว ๒ ศตวรรษก่อนคริสตกาล พวกเขาได้ถือรูปแบบเคารพเดิมที่เป็นเทพเจ้าของตนที่เคยปฏิบัติสืบทอดต่อ ๆ กันมา ประดิษฐ์สร้างพระพุทธรูปขึ้น เมื่อพวกเขาหันมานับถือศาสนาพุทธ การสร้างพระพุทธรูป ครั้งแรกจึงเกิดขึ้นที่นี่จึงถือว่าเป็นการผสมผสานระหว่างกรีกโรมัน (อิทธิพล Grego-Roman) และอินเดียโบราณ ที่สัมพันธ์กับมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ของพระพุทธเจ้า อย่างลงตัว พระพุทธรูปคันธาระจึงได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีพุทธศิลปงามที่สุด และเก่าแก่ที่สุดของโลก มีอายุราว ๒๐๐๐ ปี จนได้รับการยอมรับในระดับสากลนิยมจากนักสะสมและพิพิธภัณฑ์นานาชาติทั่วโลก

    ปางลีลา ศิลปแบบคันธาระ

    ลักษณะสำคัญทางศิลป์ของพระพุทรูปยุค คันธาระก็คือ พระพักตร์คล้ายเทพอพอลโล มีเส้นพระเกศาหยิกสลวย ( ยังไม่เป็นก้นหอยเหมือนในยุคหลัง ) มีพระรัศมี ( Halo ) อยู่หลังพระเศียร ตามความเชื่อของกรีกที่ทำรูปปั้นเทพต่างๆ ห่มผ้าคลุมแบบริ้วธรรมชาติ มีอุณาโลมระหว่างคิ้ว มีอุษณีษะศีรษะ ( มวยผมโป่งตอนบน ) พระกรรณยาว พระพุทธรูปคันธารราฐ มีทั้งที่ทำด้วยปูนปั้น ( Stucco ) หินเขียว และหินดำ ( Schist )



    ปางประทานพร

    ปางสมาธิ

    ปางปฐมเทศนา
    พระยามิลินท์ ทรงเลื่อมใสพระพุทธศาสนาและทำนุบำรุงให้รุ่งเรืองอย่างมาก หลังการล่มสลายของวงศ์เมาริยะ เริ่มมีการสร้างพระพุทธรูป จำหลักหินขึ้นอย่างมากมาย เป็นศิลปกรรมแบบกรีกผสมอินเดีย เรียกตามเมืองที่ตั้งว่า ศิลปคันธารราฐ (อิทธิพล Grego-Roman) ท่านได้ทรงสร้างพระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์ขึ้นมามากมาย ส่วนใหญ่สลักจากหินเทาอมเขียว (Schist stone) โดยยึดรูปแบบศิลปกรีกและเฮเลนนิค ซึ่งมีความสวยงามไม่แพ้ศิลปะใดๆ ในยุคหลังต่อมาจึงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 4 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 13 ที่มีอิทธิพลต่อศิลปของมถุรา ในแคว้นอุตรประเทศ แห่งสาธารณรัฐอินเดียปัจจุบัน ที่สร้างพระพุทธรูปส่วนใหญ่ทำจากหินทรายแดง ( Red Sand Stone)

    ขอขอบคุณที่มาข้อมูล
    ท่านคมสรัญญ์ อินเดีย
    ที่มา : บล็อกโอเคเนชั่น.เน็ท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    แต่เดิมนั้นพุทธศาสนาไม่มีรูปเคารพแต่อย่างใด ศาสนาพราหมณ์ หรือ ฮินดู ซึ่งมีมาก่อนศาสนาพุทธ ก็ไม่มีรูปเคารพเป็นเทวรูปเช่นกัน หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ผู้ที่เลื่อมใสในพุทธศาสนา อยากจะมีสิ่งที่จะทำให้รำลึกถึง หรือเป็นสัญญลักษณ์ขององค์ศาสดา เพื่อที่จะบอกกล่าวเล่าขาน เรื่องราวขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงศึกษาค้นคว้าหาทางดับทุกข์ และทรงชี้แนะสอนสั่งผู้คน ถึงการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุถึงความเป็นอยู่ ที่ก่อให้เกิดความผาสุกในหมู่มวลมนุษย์และสิ่งมีชีวิตในโลก

    คราวแรกนั้นชาวพุทธก็ได้แต่นำเอาสิ่งของอันได้แก่ ดิน น้ำ และกิ่ง ก้าน ใบโพธิ์ จากบริเวณสังเวชนียสถาน 4 แห่ง คือ สถานที่ประสูติ (ลุมพินีวัน),ตรัสรู้ (พุทธคยา), ปฐมเทศนา (สารนาถ) และปรินิพพาน (กุสินารา) เก็บมาไว้เป็นที่ระลึกบูชาคุณพระพุทธเจ้า

    ล่วงมาถึงในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พุทธศาสนูปถัมภกที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง เมื่อ 2,200 ปีก่อน หรือหลังจากการดับขันธ์ของพระพุทธเจ้ามา 300 ปี พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ทรงส่งสมณะทูต จำนวน 500 รูป ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังเมืองตักกศิลา แคว้นคันธาราฐ จึงมีชื่อเสียงในฐานะเป็นเมืองที่ประสิทธิประสาทวิทยาการต่าง ๆ นับว่า "เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกทางพระพุทธศาสนา" แต่ก็ยังไม่มีรูปเคารพแทนพระพุทธเจ้าที่เป็นรูปคน

    พระพุทธรูป หรือ รูปเคารพแทนพระพุทธเจ้า เริ่มมีการสร้างขึ้นมาตั้งแต่ระหว่าง พ.ศ. 500 ถึง 550 เมื่อชาวกรีก ที่ชาวชมพูทวีป (อินเดียโบราณ) เรียกชาวต่างแดนว่า "โยนา" หรือ "โยนก" โดยพระเจ้าเมนันเดอร์ที่ 1 หรือ พระยามิลินท์ กษัตริย์เชื้อสายกรีก ยกทัพกรีกเข้ามาครอบครองแคว้นคันธาราฐ (ปัจจุบันเป็นดินแดนของอัฟกานิสถาน) จากนั้นพระองค์ก็แผ่อาณาเขตไปทั่วบริเวณด้านตะวันตกเฉียงเหนือของชมพูทวีป และสร้างเมืองหลวงเป็นที่ประทับ ณ เมืองสากล (Sakala) หลังจากที่ได้พบพระสงฆ์ท่านหนึ่งนามว่า นาคเสน จึงมีเรื่องราวแห่งการตั้งคำถามของพระเจ้ามิลินท์ต่อพระนาคเสน จนทำพระเจ้ามิลินท์ ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา (คำถามคำตอบปุจฉาวิสัชนา ซึ่งถูกเขียนบันทึกเป็นหนังสือและแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงมาก เรื่องนี้ก็คือ มิลินทปัญหา - The Milinda Panha or The Questions of King Minlinda) ได้มีการสร้างสถาปัตยกรรม และประติมากรรมทางพุทธศาสนามากมายในแคว้นคันธาราฐ ซึ่งการสร้างพระพุทธรูปนั้นมีลักษณะต่างๆ ตามพุทธประวัติ (ปางพระพุทธรูป)

    พระพุทธรูปรูปแรกจึงเกิดขึ้นในสมัยของพระเจ้ามิลินท์ หรือเมนันเดอร์ที่ 1 ชาวกรีกที่มาครอบครองแคว้นคันธาราฐ เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 6 หรือ 2,000 ปีที่แล้วนั่นเอง พระพุทธรูปที่เกิดขึ้นครั้งแรกจึงเรียกรูปแบบของพระพุทธรูปนี้ว่า แบบคันธาราฐ โดยถ่ายแบบอย่างเทวรูปที่พวกชาวกรีกนับถือกันในยุโรปมาสร้าง พระพุทธรูปแบบคันธาราฐจึงมีใบหน้าเหมือนฝรั่งชาวกรีก จีวรก็เป็นริ้วเหมือนเครื่องนุ่งห่มของเทวรูปกรีก และต่อมาในภายหลัง ราวพุทธศตวรรษ ที่ 4-12 มีคตินิยมสร้างพระพุทธรูปเป็นขนาดเล็กๆ (พระเครื่อง) บรรจุไว้ในพุทธเจดีย์

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    .......................

    ค้นหลายที่แล้ว ยังหาข้อสรุปเรื่องเวลา(ปี พ.ศ.) ที่แน่นอนไม่ได้
    บางแหล่งข้อมูล ระบุที่ พ.ศ.300 ปี ล่วงมา
    บางแหล่งข้อมูล ระบุที่ พ.ศ.700 ปี ล่วงมา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 220PX-~1.JPG
      220PX-~1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      9.9 KB
      เปิดดู:
      88
  16. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    ems
    Step&Time ek381622434th

    น่าจะได้รับแล้ว
     
  17. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    วันนี้ไปกราบเยี่ยมหลวงปู่ฯ กับคุณพ่อประดู่ฯ ได้เจอพี่ธวัชชัยมาช่วยเปลี่ยนผลัดเฝ้าไข้

    พรุ่งนี้ก็ยังน่าจะอยู่ที่สถาบันทรวงอกฯ ใครไปกราบเยี่ยมก็คงจะได้เจอเพื่อนคุย

    หลวงปู่ฯเหนื่อยจนพูดไม่ได้ แต่เมื่อเห็นผมก็ผายมือให้จับกุมกันอยู่ ผมก็ยังคงมีมุกให้หลวงปู่ฯได้ยิ้มตลอด แต่เผลอให้ท่านฯหัวเราะไม่ได้ ประเดี๋ยวจะเหนื่อยให้เป็นบาปซะ

    เพื่อนๆพี่ๆที่ฝากปัจจัยถวายพระอาพาธ ผมได้ประเคนใส่มือหลวงปู่ฯแล้ว ก็ฝากร่วมโมทนากัน

    หลวงปู่ฯ คงยังอยู่พักที่สถาบันฯอีกหลายวัน ใครอยู่ใกล้ก็หาโอกาสไปกราบเยี่ยมได้ แต่ต้องระวังเรื่องการที่ท่านฯต้องพักผ่อนให้มากๆด้วยครับ
     
  18. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    ems

    bobby028 ek381673011th
     
  19. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    ผมมีประชุมสำคัญ ไม่มีเวลาแก้คำผิด และเว้นช่องไฟ ขออภัย

    ...................

    ถึงน้องหนุ่มทิพย์

    หวัดดีครับ วันนี้พี่ขอเล่าประวัติของพี่ให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ได้ทราบไว้ เพื่อจะได้นำไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตบ้างนะครับ
    ผมตอนเด็กๆ เกิดที่บ้านเนินโมก ต.หนองอิรุณ อ.บ้านบึง จว.ชลบุรี เตี่ยมีอาชีพขายเป็ดพะโล้เร่ตามตลาด แม่มีอาชีพรับจ้างซักผ้า จนกระทั่งอายุประมาณ 6 ปี บ้านได้ย้ายมาซื้อที่ดินที่ป่าแดง ต.ห้างสูง อ.บ้านบึง จว.ชลบุรี โดยเตี่ยได้ซื้อที่และเตี่ยได้วางโครงการไว้ว่าจะเลิกขายเป็ด โดยจะทำไร่อ้อย ทำนา และเพาะปลูกผักสวนครัว และเลี้ยงสัตว์หมู เป็ด ไก่ ถ้าเหลือกินก็จะนำไปขายที่ตลาด เหมือนเศรษฐกิจพอเพียงในปัจจุบันเลยครับ แต่ก่อนไม่รู้ว่ามันคือเศรษฐกิจพอเพียง จำได้สมัยนั้นตอนย้ายมาจากตลาดเนินโมกใหม่ ผมก็จะคิดถึงเพื่อนที่อยู่เนินโมก พอพี่สาวบอกว่าจะไปตลาด เราก็เข้าใจว่าไปตลาดเนินโมก เลยร้องและวิ่งไล่ตามรถ เตี่ยกลับมาถึงใช้ไม้กำตอก ( ไม้ไผ้เอามาลอกเป็นเส้นบางๆ ไว้ผูกเครื่องในเป็ดตอนพะโล้ ) ตีจนล้ม หลังจากนั้นจำได้เตี่ยไม่เคยตีผมอีกเลย เตี่ยหยุดขายเป็ดได้ระยะหนึ่ง ผมมีความรู้สึกการทำไร่ ทำนาของเตี่ยไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไร ปลูกอ้อยฝนก็ไม่ตก อ้อยไม่ค่อยขึ้น พอดำนาสักพัก ฝนก็แล้ง ข้าวไม่ออกรวง เงินที่เก็บไว้ก็หมด เตี่ยเลยตัดสินใจทำเป็ดพะโล้ขายต่อ แต่ไม่มีเงินทุน จึงได้นำกระป๋องออมสินที่ใช้กระป๋องน้ำมันเครื่องล้างแล้วเจาะรูด้านบน ที่ผมเก็บเงินค่าขนมจากที่กลับมาจากโรงเรียน มาผ่าออก จำได้ว่ากระป๋องน้ำมันเครื่องสมัยก่อนเป็นสังกะสี ทรงกระบอก น่าจะเป็นประมาณ 5 ลิตร ผมหยอดกระปุกจนเต็มประมาณ 3 กระป๋อง แต่ก็ไม่รู้ว่านับแล้วได้เท่าไร หลังจากนั้นเตี่ยก็ไปซื้อเป็ดจาก อ.พนัสนิคม จว.ชลบุรี นำมาพะโล้ไปเร่ขาย เช้าตี 5 เตี่ยจะขี่รถจักรยานยนต์บรรทุกเป็ดไปขาย จะกลับมากินช้าวที่บ้านประมาณ 9 โมง เมื่อกินข้าวเสร็จก็จะไปขายอีกรอบ จนหมดจึงได้กลับมา บางวันขายดีก็จะกลับประมาณ เที่ยง บางวันขายไม่ดีกลับประมาณ 6 โมง ถึงทุ่ม ยิ่งบางวันฝนตกเตี่ยจะหนาวสั่นกลับมารีบอาบน้ำแล้วเตรียมพะโล้เป็ดขายในวันต่อไป ช่วงเย็น จะต้องรอกินข้าวพร้อมกัน เตี่ยแม่และลูกๆ ระหว่างกินข้าวเตี่ยก็จะใช้ตะเกียบคีบเนื้อสัตว์มาให้ในชาม ผมก็เบื่อแสนเบื่อเพราะเตี่ยคีมเนื้อสัตว์ให้กินจนเบื่อ และเตี่ยก็จะบอกอยู่เป็นประจำว่า กินเยอะ ๆ หัวจะได้ดีๆ จะได้เรียนเก่งๆ โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน ผมจะมาตลาดบ้านบึงกับเตี่ยบ่อย ประมาณ 3 เดือนครั้ง โดยเอาขนเป็ด น้ำมันเป็ด ไปขายที่ตลาดบ้านบึง และเมื่อแถวบ้านมีงานเลี้ยงเตี่ยก็จะพาผมไปกินเลี้ยงด้วยแทบทุกงาน ผมชอบไปกับเตี่ยมากครับ จนกระทั่งอายุเข้าเกณฑ์ เรียนหนังสือ เตี่ยพาไปฝากให้เรียนที่โรงเรียนบ้านหนองประดู่ แต่ครูสังวร สังสง่า ( ปัจจุบันตายแล้ว ) ไม่รับให้เรียนนอกเกณฑ์ ( ปัจจุบันเรียกว่าอนุบาล ) เตี่ยโกรธมาก บอกว่าทีโรงเรียนขอให้บริจาคก็ช่วยเหลือทุกครั้ง แม่บ่นว่าก็ตัวเองหน้าใหญ่เหลือเกินนี่ ชอบไปช่วยเค้าแล้วเป็นไงล่ะ ฝากเรียนยังไม่ได้เลย เตี่ยบอกว่าฝากให้ลูกเรียนไม่ได้ก็ไม่ต้องไปเรียน เดี๋ยวเตี่ยพาไปเรียนโรงเรียนบ้านป่าแดงดีกว่า โรงเรียนป่าแดงก็รับผมเข้าเรียน (แต่จะอยู่ไกลว่าโรงเรียนบ้านหนองประดู่ ) แรกๆ คิดถึงบ้านมากเลยครับ และได้มารู้จักกับนิ่มป่าแดงที่โรงเรียนนี้ครับ สมัยนั้นนั่งกับพื้นเรียนรวมกับเด็ก ป.1 เรียนนอกเกณฑ์จะนั่งหน้า จำได้มีประมาณ 3 แถว นั่งกับพื้นและก็มีเก้าอี้เป็นไม้ยาวๆ ไว้ให้เราวางสมุด เวลาเขียนหนังสือ แรกๆ เข้าไปยังใช้กระดานชนวนเขียนหนังสืออยู่เลยครับ จำได้ว่างเราเขียนหนังสือมือซ้าย ถูกครูตี ( ชื่อครูเน่งน้อยครับ ) เลยต้องเขียนมือขวา และรู้สึกขอบคุณๆครูเน่งน้อยมากเลยครับ แต่ตอนนั้นร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียนเพราะครูตี แต่ก็ไม่กล้าบอกใคร ทุกเช้าที่ไปโรงเรียนก็จะไปเอาเงินค่าขนมกับเตี่ย เตี่ยจะให้ทุกเช้า แรกๆ เดินไปกลับ โรงเรียนกับบ้านจะห่างกันประมาณ 3 กิโลเมตร เดินทุกวันจนโตขึ้นมาหน่อยก็ปั่นรถจักรยาน 2 ล้อ หน้าฝนน้ำก็จะท่วมทางไหลแรงมาก พ่อแม่บางคนก็จะต้องมารับลูกที่โรงเรียนเอง แต่ผมไม่มีครับ ต้องเดินกลับๆ กับเพื่อน ส่วนช่วงเช้าๆ จะมีรถบรรทุกซุงเยอะมากครับ วิ่งไปมาที่หัวตลาดป่าแดง เพราะมีโรงเลื่อยไม้อยู่ที่ตลาด ตั้งแต่จำความได้ผมไม่เคยขอเงินเตี่ยกับแม่เลย เตี่ยจะให้และจะคอยถามอยู่เรื่อยๆ ว่าเงินหมดหรือยัง ผมจำได้ว่า จะตอบทุกครั้งว่ายังไม่หมด แต่เตี่ยก็จะแอบนำมาให้อยู่บ่อยๆ ที่ละ ร้อย 2 ร้อง หรือบางทีก็ 500 บาท ผมก็จะเก็บใส่กระป๋องกิมจ๊อไว้ ( โดยพับเล็กๆ เป็นสี่เหลี่ยมแล้วยัดใส่กระป๋องกิมจ๊ออัดไว้จนเต็ม โดยไม่เคยนำออกไปใช้เลย) เสื้อผ้าก็จะใส่จนขาดเก่า รองเท้าก็จะเย็บแล้วเย็บอีก สบู่นี้ใช้หมดแล้ว จะต้องเอาก้อนบางๆ มาติดกับของใหม่แล้วใช้จนหมด ยาสีฟันนี่แต่ก่อนจะเป็นหลอกสังกะสี จะต้องผ่าแล้วใช้แปรงสีฟันเช็ดจนหมด เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งตอนนั้นน่าจะเรียนอยู่ชั้น ป.5 โรงเรียนจัดนำเที่ยวพิพิธภัณฑ์บางแสน ในวันเด็ก แต่ผมไม่ได้ซื้อบัตร ไม่รู้นิ่มไปเก็บบัตรมาจากไหน พาเราขึ้นไปด้วยและให้บอกว่าซื้อบัตรมาจากครูมานิตย์ฯ ผมก็เชื่อเพื่อนขึ้นรถไปด้วย ระหว่างนั้นครูวีระฯก็เข้ามาถาม เราก็เลยโกหกไป ครูก็น่าจะรู้แล้ว แต่ไม่ได้ไล่เราลงจากรถครับ มีความรู้สึกว่าเที่ยวไม่สนุกเลย บอกไม่ถูก ช่วงที่เรียนก็จะสอบได้ประมาณที่ 1 หรือที่ 2 อยู่เป็นประจำครับ เรียน จนกระทั่งจบ ป.7 แม่ให้ออกจากโรงเรียน แต่ก็มีครูจรูญ สุขก้องวารี บอกว่าออกไปแล้วจะไปทำอะไร ตัวยังเล็กอยู่เลย ส่วนพี่ชายก็บอกว่าเรียนไปเหอะ หลังจากนั้นผมจึงได้เรียนต่อที่โรงเรียนบ้านบึงมนูญวิทยาคาร ช่วงนั้นเริ่มเข้าวัยรุ่นแล้ว เสาร์ – อาทิตย์ จะต้องไปช่วยพี่สาวใช้แรง - เอาแรงกันไว้ ( เรียกว่าลงแขกครับ ) หรือไม่ก็ไปรับจ้างรายวัน ทำตั้งแต่ถากหญ้าอ้อย ตัดอ้อย ดำนา ขุดมัน ทุกอย่างเคยทำมาหมดแล้วครับ ชีวิตช่วงนั้นลำบากมากครับ บางทีก็ไปกับรถบรรทุกสิบล้อมารับไปทำทำงานรับจ้างกับหลงจู๊มีเพื่อนๆ ไปกันหลายคนครับ ได้เงินมาก็พับเล็ก แล้วยัดใส่กระป๋องกิมจ๊อไว้ ไม่เคยนำออกมาใช้เลย แม่ว่ากินก็กินกงษี รับจ้างได้มาก็เก็บเข้าพกเข้าพกเข้าห่อ ผมเก็บเงินจนเงินผุ วันหนึ่งได้หยิบเงินออกมานับ เมื่อคลี่ดูเงินผุเป็นรูๆ เกือบหมดเลยครับ เพราะรอยพับที่เป็นมุมแหลมถูกกระป๋องกิมจ้อที่เป็นสังกะสีเป็นสนิมกัดจนเงินผุ ส่วนเงินเหรียญก็ยังหยอดใส่กระป๋องน้ำมันเครื่องเหมือนเดิมครับ ช่วงเรียน มศ.-1 ถึง ม.ศ.3 ช่วงนี้จะปั่นรถจักรยานไปจอดไว้ตลาดป่าแดง แล้วโบกรถไปโรงเรียน บางที่เราไม่มีรถไปนิ่มก็จะแวะรับไปโรงเรียนด้วยทุกครับ แต่เราไม่ค่อยได้ไปด้วย เพราะเกรงใจ จนกระทั่งจบ มศ.3 นิ่มเรียนต่อโรงเรียนบ้านบึงอุตสหกรรมนุเคราะห์ ผมสอบวิทย์ คณิตได้ที่โรงเรียนชลชาย แต่ไม่ได้ไปเรียนเพราะอยากจะไปหางานทำ และแม่ชอบบ่น จึงไม่ไปเรียน แม่บอกว่าออกโรงเรียนมาซิ แม่จะซื้อรถเครื่องให้ ซื้อกางเกงยีนส์ให้ แต่ผมก็ตอบว่าถ้าออกก็ออกด้วยตัวเอง ไม่ต้องมาซื้อให้หรอก จึงได้ตัดสินใจออก รู้สึกเสียใจมาก แต่ก็ตั้งปฏิภานไว้ 3 ข้อ ในชีวิตนี้ คือ 1 จะต้องรับราชการให้ได้ 2. จะต้องเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่ในประเทศไทยมี 3. จะต้องเรียนด้วยเงินของตัวเอง แต่ตอน เช้าๆ มาซื้อกับข้าวจะเจอนิ่มรอขึ้นรถโดยสารไปโรงเรียนทุกวัน นิ่มก็จะบอกว่าไปเรียนด้วยกันเถอะ ไปหาท่านเจ้าคุณวัดเขาให้เค้าฝากให้เรียนได้ ยังไม่ช้าไปหรอก โรงเรียนเพิ่งเปิดได้ไม่กี่วัน แต่ผมก็ไม่เรียน พอดีมีคนที่ป่าแดงเค้าหาเด็กไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ไปทำรองเท้า ผมก็ไปครับ จำได้ว่าตื่นมาก็นั่งทำรองเท้า จนกระทั่งดึกก็นอน เช้าขึ้นมาก็ทำต่อ แปลกใจที่นี่ไม่มีนาฬิกาให้ดู รู้สึกว่าทำงานนานมาก คิดถึงบ้าน คิดถึงควาย คิดถึงหมาด้วย ทำงานได้ประมาณ 7 วัน ก็ป่วยคิดถึงบ้านเลยกลับมาบ้าน และไม่ได้ไปทำอีกเลย พอดีเพื่อนที่ชื่อวินัย แซ่แต้ (ปัจจุบันตกเครื่องบินเลาด้าเสียชีวิตแล้ว ) ชวนไปทำงานที่พัทยากับอี๊จิ๊น ( น้องของแม่เพื่อน ) ก็เลยตัดสินใจไปทำงานโรงแรมที่พัทยา ชื่อโรงแรมพัทยาพาเลข มีอี้จี๊นเป็นคนฝากให้ ตำแหน่งแรกเป็นพนักงานทำความสะอาดโรงแรม ทำความสะอาดล้อบบี้ ห้องน้ำ ห้องอาหาร โดยเฉพาะห้องน้ำ เค้าใช้มือเปล่าๆ กับสก็อตไบร์ ล้วงชักโครกครับ แรกๆ ก็แขยง แต่หลังๆ ก็รู้สึกเฉยๆ น้ำก็อุ่นๆ ครับ เงินเดือนๆ แรกที่ได้รับ จำนวน 850 บาท เชื่อไหมครับ มันเยอะมาก ผมไม่เคยหยิบเงินที่เยอะแบบนี้เลย ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ดี เลยแบ่งให้แม่ จำนวน 500 บาท เหลือไว้ใช้ 350 บาท เพราะโรงแรมมีข้าวให้กินทุกมื้อ หลังจากนั้นก็พยายามเก็บเงินเล่นแชร์ จนสามารถเปียแชร์เก็บเงินส่งให้ทางบ้านไถ่โฉนดที่ดินออกมาจากธนาคาร และหาที่เรียนจนกระทั่งเรียนต่อศึกษาผู้ใหญ่ ช่วงนั้นทำงานตื่นตี 5 อาบน้ำมาทำงานเข้าเวร 06.00 ถึง 17.00 น. จะต้องยืนทั้งวัน ว่างๆ ไม่มีแขกก็จะต้องเอานมสดไปเช็ดใบไม้ เลิกงาน 17.00 น.ก็จะอาบน้ำที่โรงแรม และไปเรียน 17.30 น. เลิกประมาณ 21.40 น. หลังจากนั้นก็กลับหอพัก อย่างนี้อยู่ประมาณ 5 -6 ปี จนจบ ระดับห้า ( ชั้นม.ปลาย ) ระหว่างนั้นเพื่อนญี่ปุ่นที่รู้จักกัน ที่โรงแรมชวนไปเที่ยวญี่ปุ่น ผมก็ไม่เคยไปอยากไปเพื่อนชวนก็ไปเลย บังเอิญก่อนเดินทางมีครอบครัวญี่ปุ่นอยู่คู่หนึ่ง มาเที่ยวเมืองไทยและได้รู้จักเรา เราก็บอกว่าเดือนจะไปเที่ยวญี่ปุ่น สองสามีภรรยานี้ดีใจบอกว่าถ้าไปถึงแล้วโทรหาด้วย ระหว่างขอวีซ่าไปญี่ปุ่นช่วงนั้นขอยากมาก เลยไปบนศาลพระพรมเอรวันไว้ รอจนผ่าน หลังจากนั้นเราก็คิดว่าอาจจะไม่กลับมาถ้ามีหนทางทำงานดีๆ ก่อนเดินทาง 1 วัน ได้เดินทางไปแก้บนที่พระพรมเอรวัน เชื่อไหมว่าตอนที่ปักธูปลงบนกระถางธูปธูปของคนอื่นที่ปักอยู่ก่อนแล้ว จิ้มมาถูกแขนผม ทำให้รู้สึกว่าการเดินทางไปครั้งนี้ท่านน่าจะทักว่าอะไรซักอย่าง แต่ก็ต้องไป เชื่อไหมพอไปถึงสนามบินนารีตะ เพื่อนๆ ที่นัดไว้ไม่มารับที่สนามบิน ผมต้องถือกระเป๋าลากไปมาอยู่ที่สนามบินคนเดียว แล้วต่างถิ่นด้วย อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาจะไหล เดินวนเวียนอยู่เป็นนาน เลยไปแรกเงินโทรศัพท์หาเพื่อน พอดีมีคนญี่ปุ่นให้ผมใช้การ์ดโทรศัพท์ เพื่อนบอกว่า ไม่นึกว่าผมจะไปจริง นึกว่าพูดเล่น เลยทำอะไรไม่ถูก เมื่อวางสายสักครู่ประชาสัมพันธ์ได้โฟนเรียกผม ให้ไปพบและบอกว่าให้นั่งรถไฟฟ้าไปที่จินจูกุ นั่งประมาณ 2 ชม.เราก็ไม่รู้ว่าจินจูกุอยู่ที่ไหน และ สองชั่วโมงจะถึงจริงไม่ พนักงานสนามบินบอกว่า 2 ชม.ถึง ผมก็เลยซื้อบัตรรถไฟฟ้านั่งไป พอถึงสองชั่วโมง เจ้าหน้าที่รถไฟฟ้าประกาศว่า เนคสเตชั่น จินจูกุ เลยลงตรงนั้นแต่ก็ไม่กล้าเดินไปไหน จนกระทั่งมีเพื่อนมาหา จำนวน 4 คน ระหว่างนั้นได้ติดต่อกับสองคนผัวเมืยชาวญี่ปุ่น จนทราบว่าไปพักร้อนที่ฮาวาย กลับมาวันรุ่งขึ้น คืนนั้นก็นอนโรงแรมคนเดียว พอรุ่งขึ้นเช้าเพื่อนก็พาไปหาสองสามีภรรยาที่กลับมาจากพักร้อนแล้ว และผมโชคดีได้สองสามีภรรรยานี้พาเที่ยว และพักอยู่ที่บ้านของสามีภรรยาสองคนนี้ นานประมาณครึ่งเดือน จึงได้เดินทางกลับประเทศไทย โดยสองสามีภรรยาให้ผมติดต่อทรานสคริปเพื่อไปเรียนที่ญี่ปุ่น ผมติดต่อกระทรวงศึกษาอยู่หลายสัปดาห์ เชื่อไหมว่าคืนนั้นฝันว่าเครื่องบินตกที่บ้านของผม พอรุ่งเช้าไม่แต่ใจว่าอีกวัน หรือสองวัน ได้รับโทรศัทพ์จากเพื่อนของสองสามีภรรยาว่า จะส่งให้ผมเรียนภาษาที่ประเทศไทยก่อน แล้วถึงจะให้ไป ผมเลยไม่เรียน พอดีเพื่อนๆ ที่เรียนจบศึกษาผู้ใหญ่ด้วยกันจำนวน 7 คน ชวนไปสอบตำรวจ ผมก็ไปเฉยๆ อย่างงั้นแหละครับ ไม่อยากเป็นหรอก แต่เชื่อไหมว่า ทั้งหกคนไม่ได้ มีผมได้คนเดียว ( 30 ลิขิตฟ้า 70 ต้องฝ่าฟัน น่าจะยังใช้ได้อยู่ ) หลังจากนั้นจึงได้ลาออกจากงานแล้วก็ไปเข้าเรียนนักเรียนพลตำรวจ ตอนนั้นอายุ 23 ปี แล้วครับ เข้าตำรวจปี 2530 ฝึก 1 ปี จนจบก็ไม่รับราชการที่ สภต.บ้านขอด อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี ทำงานได้สักพักก็หาที่เรียน จึงได้เลือกเรียนต่อนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี ช่วงนั้นเลือกเรียนของเอกชนเพราะว่าอยากจบเร็วๆ เพราะว่าถ้าจบช้าคู่แข็งจะเยอะมากขึ้น จำได้วันนั้นไปบอกกับพี่สาว บอกกับแม่ว่าไปเรียนต่อน่ะ แต่แม่และพี่สาวไม่เห็นด้วย พี่สาวบอกไปเรียนทำไม เปลื้องเงินเปล่า ถ้าเรียนแล้วสอบนายร้อยไม่ได้ก็เรียนฟรีเปล่าๆ ผมเลยตอบไปว่า กูจะเรียนมันเรื่องของกู กูไม่เอาเงินมึงเรียนหรอก ถ้ากูโง่เป็นควายสอบไม่ได้ก็ช่างมัน วันที่ไปสมัครเรียนมีเงินอยู่ในบัญชีธนาคาร 7,000 พันกว่าบาทเองครับ ลงทะเบียนไป 6,000 บาท กว่าบาท สมัยก่อนยังไม่แพงเหมือนเดี๋ยวนี้ เชื่อไหมผมหาเงินเรียนเองได้จนจบ โดยไม่ได้ไปรีดไถ่ใคร เริ่มจากขายเสื้อผ้าวัยน่ารัก ( ที่เปิดแคทตาล็อคขาย ) ขายดอกคำฝอยลดความอ้วน ขายสินค้าต่างๆ จำไม่ได้แล้ว จนกระทั่งเรียนจบ ปริญญาตรี และได้แต่งงานครับตอนอายุ 29 ปี และสอบนายตำรวจเมื่อเรียนจบพอดี ไปประจำที่ สภ.อ.ขุนหาญ จว.ศรีสะเกษ อยู่ได้ประมาณ 3 ปี ก็จะนำของจากศรีสะเกษมาขายด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้ฮ่องเต้ ผ้าไหม ขายได้เยอะเลยครับ เชื่อไหมมีเพื่อนบ้างคนถามว่าอยู่อีสานเดือนร้อนเรื่องเงินหรือ แต่ผมไม่โกรธนะครับ ผมก็บอกไปตรงๆ ครับ ว่าไม่เคยเดือดร้อนเรื่องเงินเลย แต่ผมชอบขายของ ชอบเจอเพื่อนฝูง ได้พูดได้คุย มีความสุขดีครับ จนกระทั่ง ย้ายกลับมาอยู่ภาค 2 และได้เรียนต่อปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง จนจบ หลังจากนั้นได้ย้ายมาประจำที่ สภ.บ้านบึง จนถึงปัจจุบัน ตอนนี้ยังขาดอีกอย่างที่ยังไม่ได้ทำ คือ เรียนให้สูงที่สุดที่ในประเทศไทยมีครับ ( ปัจจุบันถึงปริญญาเอกแล้ว ) เป็นไงบ้างครับชีวิตของผม น่าสนใจมากมัยครับ ตอนนี้ก็ถือว่าทั้งการงานและครอบครัวมีความสุขครับ แต่ยังไม่เคยใช้ชีวิตแบบคนรวยกันเลยครับ ยังประหยัดเหมือนเดิมครับ เวลาเดินตลาดนัดเสื้อผ้าก็ไม่ซื้อครับ ว่ามันถูกเกินไปต้องเป็นของไม่ดี เวลาไปเดินห้างเสื้อผ้าก็ไม่ซื้อครับ มันแพงเกินความจำเป็น ขอจบเพียงแค่นี้นะครับ คราวหน้าเจอกันใหม่ พรุ่งนี้เข้าเวรครับต้องรีบกลับ บุญรักษาทุกคนนะครับ สาธุ สาธุ

    พ.ต.ท.วินัย ตระกูลไทย
     
  20. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    บางช่วงก็พอมีเวลาให้ทบทวนอยู่บ้าง ถ้าทิ้งไว้ประเดี๋ยวก็ลืม
    พยายามค้นดวงเพื่อนสมาชิกในครั้งเมื่อทำบุญกับวัดโพธิผักไห่ (กระดานไอแพด)
    ก็จะทยอยเอามาทบทวน เผื่อไปเจอดวงใครดีๆ ก็จะขอสอบกับท่านพระครูอภิสิทธิ์ด้วยเลย

    ค้นดวงแรกเจอของคุณBelieve ก็ฝากช่วยดูให้ผมหน่อย ว่าถูกต้องผิดพลาดตรงไหนบ้าง
    ถ้าอยากรู้อะไรเพิ่ม ก็พีเอ็มมานะครับ

    ผมไม่เคยเจอกัน แต่เดาว่าน่าจะเป็นคนที่พูดน้อย พูดไม่เก่ง ค่อนข้างจะเคลื่อนไหวช้า
    แต่เรียบร้อย ละเอียดถี่ถ้วน

    ขยันอดทนและเผชิญอุปสรรคมาตลอด ยามเดือดร้อน ก็มักได้ผู้อุปการะช่วยเหลือบ้าง
    แต่ไม่มากนัก ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือบ้างครั้งยามดีๆ ก็กลับผลิกผันมีปัญหา
    บ่อยครั้งเจอเรื่อยยุ่งยากโดยไม่ทันตั้งตัวก็มี
    แต่ที่ยอมเหนื่อยยาก ก็เพราะหวังจะสุขสบายแก่ชีวิตในภายหน้า

    ได้คุณแม่ดีมาก ขยันและสร้างฐานะกับคุณพ่อจนเป็นปึกแผ่นมั่นคง
    การงานก็อาจจะทำให้ต้องเิดินทางบ่อย หรือเป็นงานที่ต้องสนับสนุนให้บริการ แต่มั่นคงดี

    ช่วงนี้มีกิจกรรมเยอะมาก การเงินดี ตัวเองก็มีเกียติมากขึ้น
    มีความราบรื่นและอุปสรรคตามมาพร้อมๆกัน แต่การงานก็ดีกว่าแต่ก่อน

    ช่วงประมาณเดือนมิถุนายน ปีหน้า การงานอาจมีอะไรใหม่ๆ ดีนะดีแน่ แต่อย่าเพ้อว่าจะไม่มีอุปสรรคยุ่งยาก
    มันเป็นบุพกรรมแห่งดาวไปตลอดชีวิต

    ผิดถูกอย่างไร ก็ช่วยผมนิดนึงนะครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...