พระโมคคัลลานะเคยเกิดเป็นมารมาก่อน!!

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ไจโกะ, 7 กันยายน 2013.

  1. ไจโกะ

    ไจโกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +1,147
    เรื่องนี้ท่านเล่าไว้ตั้งแต่ครั้งสมัยพุทธกาล ครั้ง ‘พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตมะ’ ยังมีพระชนชีพอยู่

    เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้น ณ ‘เภสกฬาวัน’ สถานที่ให้อภัยแก่หมู่เนื้อ เขต ‘กรุงสุงสุมารคิระ’ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ

    แคว้น ‘ภัคคะ’ ในอินเดียสมัยนั้น



    เรื่องมีอยู่ว่า...



    วันหนึ่ง ขณะที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะเดินจงกรมอยู่ในที่แจ้ง

    ท่านได้ถูกมารใจบาปเข้าสิงท้องอยู่ในลำไส้

    ทำให้ท่านรู้สึกว่า “ท้องเราเป็นเหมือนว่ามีก้อนหินหนักๆอยู่

    และเป็นเหมือนกระสอบที่บรรจุถั่วเหลืองเต็ม นี่เพราะเหตุอะไรหนอ”



    คิดดังนั้นแล้ว ท่านจึงลงจากที่จงกรม เข้าไปในวิหาร แล้วนั่งสมาธิมนสิการโดยแยบคายเฉพาะตน



    ท่านพระมหาโมคคัลลานะจึงได้เห็นว่า ขณะนี้มีมารใจบาปเข้ามาสิงในท้องในไส้ของท่าน

    ท่านจึงกล่าวกับมารใจบาปว่า

    “มาร ท่านจงออกมา ท่านจงออกมา ท่านอย่ามาเบียดเบียนพระตถาคตและสาวกของพระตถาคตเลย

    เพราะการเบียดเบียนนั้น จะไม่เป็นประโยชน์ใด แต่จะเป็นเพื่อทุกข์แก่ท่านตลอดกาลนาน”



    ฝ่ายมารใจบาปได้ยินคำพระเถระแล้ว กลับคิดว่า

    สมณะนี้ คงไม่รู้ไม่เห็นเราจริงๆหรอก คงพูดไปลอยๆ อย่างนั้นเอง

    แม้สมณะที่เป็นศาสดายังไม่รู้จักเราได้เร็วไวอย่างนี้ ไฉนสมณะที่เป็นสาวกจักรู้จักเราได้



    สิ้นความคิดคำนึงของมารปุ๊ป พระมหาโมคคัลลานะก็กล่าวสวนขึ้นมาปั๊ปว่า

    “มาร เรารู้จักท่านแม้แต่ความคิดของท่านที่ว่า ‘สมณะนี้ไม่รู้ไม่เห็นเราจริงๆหรอก

    แม้สมณะที่เป็นศาสดายังไม่รู้จักเราได้เร็วไวอย่างนี้ ไฉนสมณะที่เป็นสาวกจักรู้จักเราได้”



    ฝ่ายมารได้ยินพระเถระรู้เท่าทันอย่างนั้น จึงคิดว่า

    ‘สมณะนี้คงจะรู้จักและเห็นเราจริง จึงกล่าวได้ถูกอย่างนี้’

    มารจึงออกมาจากปากของพระมหาโมคคัลลานะ แล้วยืนอยู่ข้างบานประตู



    ฝ่ายพระเถระก็กล่าวรุกอีกว่า

    “มาร เราเห็นท่านแม้ที่ข้างบานประตูนั้น ท่านอย่าเข้าใจว่า สมณะนี้ไม่เห็นเรา”



    ท่านไม่ได้รู้แต่เท่านี้นะครับ แต่ท่านก็ยังรู้ไปถึงอดีตของท่านกับมารตนนี้ว่ามีความเกี่ยวดองกันมาอย่างไร

    โดยพระมหาโมคคัลานะท่านเล่าให้มารฟังว่า
    ในสมัยพระผู้มีพระภาคพระนามว่า ‘กกุสันธะ’ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก
    เราเป็นมารชื่อ ‘ทูสี’ มีน้องสาวชื่อ ‘กาลี’ ส่วนท่านเป็นบุตรของน้องสาวเรา ท่านจึงเป็นหลานชายของเรา
     
  2. ไจโกะ

    ไจโกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +1,147
    ครั้งนั้น เราคือทูสีมารมีความคิดว่า
    ‘เราไม่รู้จักการมาการไปของภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมเหล่านี้เลย (หมายถึงพระพุทธเจ้าและพระสาวกในสมัยนั้น)
    เราจะต้องดลใจให้พวกพราหมณ์และคหบดี ให้มารุมด่า บริภาษ เกรี้ยวกราด
    คอยเบียดเบียนพวกภิกษุเหล่านี้ดีกว่า เพื่อให้พวกภิกษุเหล่านี้มีจิตเป็นอย่างอื่น จะทำให้เราได้ช่องได้โอกาส’
    (น่าจะเป็นการยั่วให้โกรธ ขัดข้องขุ่นเคืองใจ มารจะได้จับอารมณ์ได้)

    ครั้งนั้น พวกพราหมณ์และคหบดีถูกทูสีมารดลใจแล้วก็ด่า บริภาษ เกรี้ยวกราด เบียดเบียนพวกภิกษุว่า
    “สมณะหัวโล้น เป็นชาวบ้าน เป็นค่าง เกิดจากหลังเท้าของพรหม
    พูดว่าตัวเจริญฌาน แต่เป็นผู้คอตก ก้มหน้า เกียจคร้าน เที่ยวรำพึง ซบเซาเหงาหงอยอยู่
    เหมือนนกเค้าแมวที่หาหนูกินไม่ได้ เหมือนสุนัขจิ้งจอกหาปลาไม่ได้ เหมือนแมวที่ไม่มีหนูให้จับ
    เหมือนลาที่ถูกปลดระวางแล้ว ฉะนั้น”

    ดูก่อน มาร! สมัยนั้น มนุษย์พวกนั้นทั้งหลายที่ตายไป ได้ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินบาต และนรกโดยมาก

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ได้รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสสอน(เพื่อแก้ทางมาร)ว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย มาเถิด พวกเธอจงมีเมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขาจิต แผ่ไปตลอดทิศที่ ๑, ๒, ๓, ๔,
    ทั้งทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเฉียง แผ่ไปตลอดโลกทั่วทุกหมู่เหล่าในที่ทุกสถาน
    ด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาจิต อันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่”

    เมื่อเหล่าภิกษุทำตามที่ พระกกุสันธพุทธเจ้าทรงสอน ทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนี้ มารจึงไม่ได้ช่องไม่ได้โอกาส
    (ในการจับสัตว์ไปเป็นบ่าวเป็นทาสพญามาร)

    ครั้งนั้นเราคือทูสีมารจึงมีความคิดว่า
    ‘เราทำอยู่แม้ถึงอย่างนี้ ก็ยังมิอาจได้รู้ถึงการมาและการไปของภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมเหล่านี้เลย
    เอาอย่างนี้ดีกว่า (มาไม้ใหม่) เราควรดลใจชักชวนพวกพราหมณ์และคหบดีว่า
    ‘เชิญท่านทั้งหลายมาสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมกันเถิด
    เพื่อจะทำให้ภิกษุเหล่านั้นมีจิตเป็นอย่างอื่น ทำให้เราพึงได้ช่องได้โอกาส’
    (เป็นการยั่วให้หลงไหล โลภในลาภสัการะทั้งหลาย)

    ครั้งนั้น พวกพราหมณ์และคหบดีเหล่านั้น ถูกทูสีมารดลใจชักชวนแล้ว
    พากันสักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุทั้งหลายอยู่

    ดูก่อน มาร! สมัยนั้นมนุษย์พวกนั้นทั้งหลายที่ตายไป ก็ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์โดยมาก

    ครั้งนั้น (เมื่อมารมาไม้ใหม่อย่างนี้) พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ได้รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสสอน(แก้ทางมาร) ว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมา จงพิจารณาเห็นกายว่าไม่งาม
    มีความสำคัญในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล
    มีความสำคัญในโลกทั้งปวงว่าไม่น่ายินดี
    พิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงว่า เป็นของไม่เที่ยงอยู่เถิด”

    เมื่อเหล่าภิกษุทำตามที่พระกกุสันธพุทธเจ้าทรงสอน ทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนี้ มารจึงไม่ได้ช่องไม่ได้โอกาส
    เป็นเหตุให้ทูสีมารมีความคับแค้นเป็นทวียิ่งนัก
     
  3. ไจโกะ

    ไจโกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +1,147
    มาวันหนึ่ง ในเวลาเช้า ‘พระกกุสันธพุทธเจ้า’ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน
    โดยมี ‘พระวิธุระ’ อัครสาวกเบื้องขวา เป็นผู้ติดตามหลังพระองค์(เป็นปัจฉาสมณะ)

    ครั้งนั้น เราคือทูสีมารได้เข้าสิงเด็กคนหนึ่งแล้วเอาก้อนหินขว้างที่ศีรษะของท่านพระวิธุระแตก
    ท่านพระวิธุระมีศีรษะแตกเลือดไหลอาบอยู่ แต่ก็ยังคงเดินตามเสด็จพระผู้มีพระภาคไปอยู่อย่างนั้น

    ลำดับนั้น พระกกุสันธพุทธเจ้า ทราบเหตุแล้วทรงชำเลืองดูทูสีมาร เหมือนช้างชำเลืองดู แล้วตรัสว่า
    ‘ทูสีมารนี้ไม่รู้จักประมาณเลย’
    พร้อมกับพระกิริยาที่ทรงชำเลืองดูนั้นเอง ทูสีมารได้เคลื่อนแล้วจากที่ตรงนั้น ไปเกิดในมหานรก

    ดูก่อน มาร! มหานรกนั้นมี ๓ ชื่อ คือ
    (๑) ฉผัสสายตนิกนรก (นรกที่มีผัสสายตนะ ๖ เป็นเหตุเกิดทุกขเวทนาอันเผ็ดร้อน)
    (๒) สังกุสมหตนรก (นรกที่สัตว์นรกต้องถูกแทงด้วยขอเหล็ก)
    (๓) ปัจจัตตเวทนียนรก (นรกที่สัตว์นรกก่อทุกขเวทนาให้เกิดแก่ตนเอง คือต้องทำร้ายตนเอง)

    มาร ครั้งนั้น พวกนายนิรยบาลเข้ามาหาเรา(ผู้เป็นทูสีมาร)แล้วบอกว่า
    “เมื่อใดหลาวเหล็กกับหลาวเหล็กมารวมกันที่กลางหทัยของท่าน
    เมื่อนั้นท่านพึงรู้ว่า ‘เราไหม้อยู่ในนรกพันปีแล้ว”

    เรานั้นหมกไหม้อยู่ในมหานรกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี
    และหมกไหม้อยู่ในอุสสทนรก ซึ่งเป็นบริวารแห่งมหานรกนั้น
    เสวยทุกขเวทนาหนักกว่าก่อนอีกหนึ่งหมื่นปี
    เรานั้นมีร่างกายเหมือนมนุษย์ มีศีรษะเป็นปลา”

    เมื่อท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เล่าเรื่องนี้แก่มารผู้เป็นอดีตหลายชายแล้ว
    ท่านได้กล่าวอวสานคาถาไว้ว่า

    ... คนพาลมาเข้ากองไฟที่กำลังลุกโชน ย่อมเดือดร้อนอยู่ว่า
    ‘ไฟย่อมไม่มีความคิดว่าจะเผาเรา แต่เราผู้เป็นคนพาลเผาตัวเอง’
    มาร ท่านเบียดเบียนผู้เป็นเช่นนี้(ตถาคต)แล้ว จักเผาตัวเอง
    ดังคนพาลที่ถูกไฟเผาฉะนั้น

    มาร ท่านเบียดเบียนผู้เป็นเช่นนี้แล้ว ต้องประสบบาป
    ก็ท่านเข้าใจหรือว่า ‘บาปไม่ให้ผลแก่เรา’
    ผู้ที่สั่งสมบาป ย่อมโอดครวญตลอดกาลนาน

    มาร ท่านเบื่อหน่ายพระพุทธเจ้า
    อย่าคิดหวังที่จะทำภิกษุทั้งหลายให้พินาศเลย
    ภิกษุ(พระมหาโมคคัลลานะ)ได้คุกคามมารในเภสกฬาวัน ด้วยประการฉะนี้
    ลำดับนั้น มาร(อดีตหลานฯ)นั้นเสียใจ ได้อันตรธานไปจากที่นั้น ดังนี้แล.

    อ้างอิงจาก-พระไตรปิกฎก (มจร.แปล) เล่มที่ ๑๒ ข้อที่ ๕๐๖-๕๑๓ หน้าที่ ๕๔๕-๕๕๓.
     
  4. ไจโกะ

    ไจโกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +1,147
    มารที่มีตัวตนอย่างนี้แหละครับ เรียกว่า เทวบุตรมาร
    ซึ่งสามารถตกนรกหมกไหม้ได้เหมือนสัตว์ทั่วไป หากไปทำบาปกรรมอันหนักเข้า
    ส่วนตัวหัวหน้าใหญ่ที่เรียกว่า ‘พญามาร’ เห็นจะออกโรงที
    ก็ครั้ง พระบรมโพธิสัตว์จะตรัสรู้ในคืนเพ็ญวิสาขะนั่นแหละครับ หมอระดมพลพรรคมารมาทั้งแสนโกฏิจักรวาลทีเดียว
    แม้แต่บรรดาเทพเจ้าทั้งหลาย ทั้งศักดิ์น้อยศักดิ์ใหญ่แค่ไหนยังต้องหนีกระเจิดกระเจิงเมื่อพญามารระดมพล
    จะเข้าทำลายการบรรลุ ‘อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ’ ของบรมโพธิสัตว์ของเรา
    ทั้งที่ตอนแรก เทพทั้งแสนโกฏิจักรวาล ก็ระดมพลตั้งใจมาเพื่อปกป้องพระบรมโพธิสัตว์แท้ๆ แต่ก็ นะ..

    อย่าว่าแต่เทวดาเลยครับ พระพรหมที่เหนือกว่าเทพเจ้าทั้งปวง
    ผู้คิดว่า ตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ คณะพรหมฝ่าฝืนไม่ได้ เป็นผู้รู้ทั่ว
    ยังสรรพสัตว์ให้เป็นไปในอำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้างโลก นิรมิตโลก เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้แต่งสัตว์
    เป็นผู้ใช้อำนาจ เป็นบิดาของเหล่าสัตว์ที่เกิดแล้ว และที่กำลังจะเกิด
    ยังถูกมารเข้าสิงได้! แถมคุยโตโอ้อวดข่มพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราต่างๆ นาๆ ซะด้วย
    แต่เมื่อพระพรหมนี้ โต้วาทะกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราแล้วสู้ไม่ได้
    สุดท้ายก็เลยประลองฤทธิ์กัน เป็นที่เลื่องลือสะท้านสะเทือนอาณาจักรเทพเจ้าทีเดียวครับ น่าศึกษามากๆ ครับ



    เครดิท คุณ ศรีวยาฆร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 กันยายน 2013
  5. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154
    เรียกหารึปล่าว?
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. siwatcha

    siwatcha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    219
    ค่าพลัง:
    +1,242
    สาธุ สาธุ ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ทั้งน่าทึ่ง น่าติดตามมากอีกทั้งได้ข้อคิดเรื่องธรรมมะตลอดว่า องค์สมเด็จบรมครูพระผู้พิชิตมารนั้นท่านทรงมีน้ำพระทัยเมตตา กรุณาต่อศัตรู หมู่มารเสมอ ไม่มีประมาณ ทั้งที่โดนใส่ร้ายป้ายสี กลั่นแกล้งทุกทาง มีแต่ออกพระโอษฐ์ว่าให้แผ่เมตตาไปทุกทิศ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องซ้าย ขวา ไม่มีประมาณ ยิ่งทำให้ความรักและศรัททาที่มีต่อพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเสมือนหนึ่งเข้ากระแสเลือดที่หล่อเลี้ยงกายใจจริง ๆ ที่พูดนี่ไม่เกินจริงเลย ขอทุกคนจงเป็นผู้ทีี อายชั่ว กลัวบาป เคารพรักศรัททาพร้อมปฏิบัติตามองค์พระศาสดาเถิดค่ะ
    ยังรอฟังเรื่อง มารสิงใจพรหม อยู่นะคะ เจริญในธรรม กำหนดมีพระพุทธเจ้าเป็นพุทธานุสติเสมอ
     
  7. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    เรื่องของมาร เรื่องของกิเลส จุดสูงสุดคือ อะไร


    ขออนุญาตครับ

    มีผู้ถามผมโดยตรงว่า ผมรู้ได้อย่างไร
    ผมก็ตอบว่า ผมรู้ได้โดยการ พิจารณา

    แล้วท่านผู้นั้ก็บอกออกมาว่า เรื่องนี้ ไม่เคยรู้ ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้ฟังมาก่อน
    ู้
    เรื่องที่ผมบอกเล่าแก่ท่านผู้นั้นคือว่า

    คุณงามความดี กุศลผลบุญ มีผู้นำในการอบรมสั่งสอน คือ พระพุทธเจ้าในแต่ละพุทธันดร

    ความชั่ว อกุศลผลบาป มีผู้นำในการอบรมสั่งสอน คือ พญามาร

    จากคำสอนขององค์หลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน องค์ท่านได้สอนว่า


    "มาร อกุศล ได้สิงสู่อยู่ในจิตใจมนุษย์ มานานแสนนาน หลายกัป หลายกัลป์"
    "มันสิงสู่ มันปกครองอยู่ในจิต อยู่ในใจเรา"
    "มันโน้ม มันนำ ให้เรา หลงผิดคิดชั่ว ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น หลายกัป หลายกัลป์"
    "จนแม้แต่ตัวเรา ก็ไม่รู้ว่า ความคิดที่เกิดขึ้นมาในใจเรานั้น อันไหนเป็นเรา อันไหนเป็นกิเลส"
    "เพราะทั้งเรา ทั้งมาร ทั้งกิเลส มันผสมกลมกลืน อยู่ในจิต อยู่ในใจเรา มานานแสนนาน"
    "ครั้นเมื่อเราจะทำคุณงามความดีกับเขาบ้าง ก็ถูกมาร ก็ถูกกิเลส ฉุดรั้ง ฉุดดึงเอาไว้ ก็เลยไม่ได้ทำซักที"

    "ครั้นพอเราออกบวช มาประพฤติ มาปฏิบัติ เราจึงได้รู้ว่า"
    "กิเลสนั้น มันอยู่ในใจเรานี่เอง มันไม่ได้อยู่ที่อื่นใดเลย"
    "กิเลสนั้น มันจะชักจูง มันจะโน้มนำให้เรา ทำผิดคิดชั่ว"
    "กิเลสนั้น มันทำงาน ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันลา"
    "ไม่มีวันพัก ไม่มีวันผ่อน ไม่มีวันเสาร์ ไม่มีอันอาทิตย์"
    "ไม่มีวันโกน ไม่มีวันพระ ไม่ว่า พระ เถร เณร ชี ล้วนถูกมันปกครองอยู่ทั้งสิ้น"

    "ครั้นเรามาประพฤติ มาปฏิบัติ เพื่อหนี เพื่อออก จากการปกครองของมัน"
    "มันก็ตาม มันก็คอยต้อน คอยโน้ม คอยนำ ไม่ให้เราออก ไม่ให้เราหนีจากมันได้"
    "ตอนเรานอนหลับก็ยังพอว่า แต่พอเราตื่นขึ้นมาเมื่อไร"
    "มันจะตื่นก่อนเราเสียอีก มันมาคอยตาม คอยต้อน คอยโน้ม คอยนำ ให้เราทำผิดคิดชั่วอยู่เสมอ"
    "มันกลัวว่า เราจะออก เราจะหนี จากการปกครองของมันได้"

    "ครั้นพอมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น พระองค์ทรงมีพระปัญญาญาน ทรงรู้เท่านั้นกิเลส"
    "พระองค์ก็ ออกเผยแผ่ พระธรรมคำสอนของพระองค์"
    "เพื่อให้เหล่ามนุษย์ สามารถเดินตามพระองค์ และหนีจากการปกครองของพญามารได้"
    "เพื่อให้มนุษย์ หนีออกจากการหลอกลวง ต้มตุ๋น จากพญามารได้"

    "จนเรามาออกบวช ออกมาประพฤติ ออกมาปฏิบัติ เราจึงได้รู้ว่า"
    "ต้องมหาสติ ต้องมหาปัญญา โน่นล่ะจึงจะพอฟัด จึงจะพอเหวี่ยงกับกิเลสได้"
    "เราจึงจะมีสติ เราจึงจะมีสัมปชัญญะ เอาไว้ปกป้อง ไม่ให้กิเลส ไม่ให้มาร"
    "เข้ามาสิงสู่ เข้ามาปกครอง เข้ามาชักจูง เข้ามาอยู่ในจิต เข้ามาอยู่ในใจของเราได้"
    "แม้กระนั้น มันก็ยังเพียรพยายามอย่างไม่ลดละ เพื่อดึงเราให้กลับไปอยู่ในปกครองของมันให้ได้"
    "ไม่ว่าเราจะประพฤติ ไม่ว่าเราจะปฏิบัติ ขึ้นไปได้สูงเท่าไร"
    "มันก็ปรับ มันก็ปรุง มันก็ติด มันก็ตามเราอยู่ไม่ลดละ ไม่ย่อท้อ"
    "เราพลั้ง เราเผลอเมื่อไร เราก็เสร็จมันเมื่อนั้น"

    "สุดท้าย เมื่อเราผ่านวิมุติหลุดพ้นแล้วโน่นล่ะ มันจึงจะทำอะไรเราไม่ได้อีกต่อไป"


    ดังนั้นตราบใดที่เรายังเป็นปุถุชนอยู่ ตราบนั้น เราก็ยังมีกิเลส ครอบจิต ครองใจเราอยู่เสมอ

    ขึ้นอยู่กับว่า เราจะสะสมบุญบารมี เราจะสะสมสติปัญญา เอาไว้ต่อต้าน กิเลสได้มากน้อยเท่าไร

    ขึ้นอยู่กับว่า เราจะสามารถต่อสู้ เราจะสามารถยึดครอง พื้นที่ในใจของเราคืนมาจากกิเลสได้มากน้อยเท่าไร

    สัดส่วนของพื้นที่ในใจของเราเอง ระหว่างกิเลส กับคุณงามความดี
    ก็จะเป็นตัวชี้นำว่า เราจะทำความดีมากกว่า หรือ เราจะทำความชั่วมากกว่า
    ก็จะเป็นตัวชี้นำว่า ตัวเรานั้น เป็นคนดี หรือ เราเป็นคนชั่ว

    ถ้าเราสะสม ถ้าเราทำคุณงามความดี มากกว่าเขา นั่นก็คือ เรามีความดีมากกว่าเขา

    ดังนั้นผู้ที่หัวเราะเยาะเย้ย ดังนั้นผู้ที่ตำหนิ ติเตียน ผู้ที่ทำคุณงามความดี
    ก็อย่าได้โอ้ อย่าได้อวด อย่าได้ทรนงตัวเอง
    เพราะตัวท่านเองนั่นละ ที่ในจิต ที่ในใจของท่าน ถูกกิเลส ถูกมาร ครอบครองพื้นที่ไปได้มากแล้ว

    ท่านจะสู้กับกิเลสในใจตน หรือท่านจะให้กิเลสชักนำ ออกหน้าท่านต่อไป
    ก็แล้วแต่ตัวท่านเอง

    ดังนั้น การปรับสัดส่วน ของกิเลสในใจตน ให้เหมาะ ให้ควรจึงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง

    ถ้าเราหักหาญกิเลสมากเกินไป มันก็จะปรับปรุงจัดขบวนทัพมาจัดการเราหนักข้อยิ่งขึ้น

    ทางที่ดีเราก็มุ่งสร้างคุณงามความดีของเราไป ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องคิดหาวิธีที่จะหลอกกิเลสให้ได้ว่า

    "เราพวกเดียวกันโว้ย"

    บางท่านก็ถามผมว่า แล้วเราจะทำอย่างไร ผมก็ตอบให้ไปว่า

    ก็เหมือนในสังคมทั่วๆไปนั่นละ

    "เราต้องทำให้เขาเชื่อให้ได้ว่า เราก็เป็นคนดีเหมือนๆกับเขา"
    "ขณะเดียวกัน เราต้องทำให้เขาเชื่อให้ได้ว่า เราก็เป็นคนชั่วเหมือนกันกับเขา"
    "และที่สำคัญที่สุดก็คือ เราต้องไม่เป็นพิษ ไม่เป็นภัยกับเขา ทั้งคนดี ทั้งคนชั่ว ทั้งสองฝ่าย"

    ส่วนจะทำได้อย่างไรนั้น ผมบอกออกมาไม่ได้ ต้องเรียนรู้เอาเอง

    องค์หลวงตามหาบัว ท่านยังสอนอีกว่า


    "แม้กระทั้งกิเลส มันครอบงำจิตใจเรา มันชัก มันชวนให้เราทำผิดคิดขั่ว"

    "แต่พอเราตกนรก กิเลสมันกลับไม่ได้ตกนรกไปกับเราด้วย"


    ผมก็จะแนะให้อีกว่า

    "ต่อให้เราสร้างคุณงามความดีมากมายขนาดไหน เราก็ต้องหลอกกิเลสให้ได้ว่า เราทำความชั่วแล้ว เราเป็นพวกกับมันแล้ว"

    ส่วนวิธีการ จะคิดแบบไหน จะทำแบบไหน ก็ให้ไปคิดกันเอาเอง

    เมื่อพญามาร ที่แม้แต่ ขอห้ามไม่ให้พระพุทธองค์ ได้ออกบวช
    เมื่อพญามาร ที่แม้แต่ ขอห้ามไม่ให้พระพุทธองค์ ได้ทรงตรัสรู้
    เมื่อพญามาร ที่แม้แต่ กล่าวตู่ว่า ตนเท่านั้นเป็นผู้ปกครอง จิตใจมนุษย์ทั้งหมดทั้งสิ้น
    เมื่อพญามาร ที่แม้แต่ ทูลอัญเชิญพระพุทธองค์ให้ ปรินิพพาน เร็วๆ

    เขากลับจะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง ก็ยังเป็นไปได้

    แล้วทำไม พระโมคคัลลานะ จะเคยเกิดเป็นมารมาก่อน ไม่ได้!!

    หรือว่านี่เป็นเพียงแค่ การหมุนเวียนของ กฏแห่งกรรม
    หรือว่านี่เป็นเพียงแค่ เครื่องมือของ กฏแห่งกรรม

    แล้วเราจะเอาประโยชน์จากมันได้อย่างไร

    แล้วคุณล่ะ
    เคยรู้เรื่องพวกนี้ไหม
    เคยคิดเรื่องพวกนี้ไหม
    เคยพิจารณาเรื่องพวกนี้ไหม

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2013
  8. athip999

    athip999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +151
    อ่านแล้วกระจ่างใจเลยครับ

    ขอบคุณสำหรับบทความและความคิดเห็นด้วยนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...