นี่เขาคิดอะไรกันแน่สั่งให้ครูไปอบรมธรรมะแต่(จัดโดยธรรมกาย)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย data44, 26 กรกฎาคม 2013.

  1. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,126
    สาธุด้วยครับ

    แต่ที่ผมเขียน ไม่ได้มีเจตนาจะเขียนเจาะจงไปที่ตัวบุคคลนั้นๆน่ะครับ
    เห็นพี่ที่โพส เทศน์หลวงพ่อฤาษี เขียนจั่วหัวไว้แบบนั้น เลยตามน้ำไปกับเขา

    แต่ยังต้องขอขอบคุณมากครับจะระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    วิญญาณเป็นอนัตตา นิพพานไม่ได้เป็นอนัตตา นิพพานไม่ใช่การดับสูญ ที่พูดกันว่าไปเจอพระพุทธเจ้าในวิมาน ได้คุยกับพระพุทธเจ้าเป็นการเจอในนิมิต นั่นไม่ใช่ของจริง ส่วนมากนั่งสมาธิแล้วหลงในนิมิต จิตสร้างนิมิตขึ้นมาครับ

    พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้พระสงฆ์ทำการก่อสร้าง ที่มีการสร้างโบสถ์ใหญ่โตมาทำกันยุคหลังทั้งนั้น ไม่ใช่พุทธบัญญัติ ถ้าเอาตามพุทธบัญญัติ กุฏิในพุทธกาลไม่ได้สร้างกันใหญ่โตแบบในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าอนุญาตแค่กว้าง 7 คืบ ยาว 12 คืบ เท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ทำกันเป็นพุทธพาณิชย์เชิญชวนให้ชาวบ้านบริจาคเงิน อวดความยิ่งใหญ่แต่ทางวัตถุสิ่งก่อสร้าง ความเจริญของศาสนาไม่ได้อยู่ที่ความหรูหราอลังการ แต่อยู่ที่ผู้ปฏิบัติตั้งมั่นอยู่ในศีลอยู่ในธรรมไม่ใช่อยู่ที่ความเจริญทางด้านวัตถุครับ
     
  3. philosophi

    philosophi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +1,896
    นี่ก็ตัวอย่างของระบบ ทุกอย่างอยู่ในระบบหมดค่ะ
    ปล.เราก็ต้องเป็นส่วนนึงของระบบ ไม่งั้นไม่เป็นองค์กร มันก็มีอยู่แค่นี้แหล่ะค่ะ ทนทำกันไปตามๆกัน (อย่านอกกรอบนะคะ อันตราย)
     
  4. pasit_99

    pasit_99 การเวียนว่ายตายเกิดนั้นน่ากลัว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,673
    ค่าพลัง:
    +3,464
    ผมมองว่า การอบรมธรรมมะครูพร้อมๆกันนับหมื่นคน
    มีองค์กรไหนทำได้ครับ
    ตรงนี้ผมไม่ได้มองว่าถูกหรือผิด
    แต่วัดธรรมกายมีศักยภาพทำตรงนี้ได้
    จึงถูกเลือก
    ก็หวังว่าคุณครูทุกท่านจะรับสารมาด้วยวิจารณญาณที่ถูกต้องนะครับ
     
  5. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เห็นด้วยเมื่ออยู่ในระบบเเล้วไม่ควรออกนอกกรอบเดี๋ยวอนาคตส่วนตัวดับวูบ

    ควรทำตัวให้อยู่ในกรอบว่านอนสอนง่าย หากชาติจะพังก็ไม่เป็นไร ปล่อยไปก่อน
    ขอให้เราอยู่รอด!?!!อ้าวเเล้วเราจะรอดได้จริงรึเปล่า

    เอ๊ะรึยังงัย!?!!เชียร์เาใจคุณครูรึเปล่าเนี่ย!!!
    นักปกครองชอบให้มีบุคคลากรเเบบนี้เยอะๆปกครองง่ายไร้ปัญหาพาชาติล่มเรือง
    !!!!
     
  6. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,126

    ได้เปิดฟังเสียงของหลวงพ่ิฤาษีลิงดำที่ท่านเล่าให้ฟังถึงวัดธรรมกายแล้วหรือยังครับ ?

    โดยส่วนตัวแล้วผมก็ไม่ได้มีอะไรกับทางสำนักแต่อย่างใด แค่รู้สึกเฉยๆกับที่นี่ก็เท่านั้น
    แต่ตัวผมเองมีอยู่ครั้งนึงได้มีโอกาสไปฟังเทศน์แบบสดๆที่สำนัก นั่งฟังตั้งแต่ต้นจนจบแล้วก็ยิ่งเฉยกว่าเดิมเสียอีก ก่อนหน้านี้ถูกผิดเกี่ยวคำสอนของสำนักนี้ก็ไม่แน่ใจหรอก ได้แต่ฟังเค้าพูดถกกัน แต่พอมาฟังหลวงพ่อฤาษีท่านเล่าไว้ มันก็พอจะปะติดปะต่ออะไรได้มากขึ้นว่าอะไรเป็นอะไร กับแนวทางของสำนักนี้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นชัดเจนขึ้น...

    ป.ล.
    ครูเป็นแม่พิมพ์ของชาติ ถ้าควบแม่พิมพ์ได้เมื่อไหร่ ลูกพิมพ์ก็คงเป็นไปตามต้องการ ถ้าแม่พิมพ์ดีมีคุณภาพแล้วก็น่าโมทนาสาธุ แต่ถ้าแม่พิมพ์เบี้ยวๆบูดๆ นึกแล้วสยอง...ครับพี่น้อง
     
  7. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    โดยส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยกับวัดพระธรรมกายนะ แต่ไม่ขอพูดดีกว่า ทีนี้หลวงปู่หลวงลุงท่านใดจะว่าเป็นอรหันต์ แล้วไปเจอพระพุทธเจ้าไปคุย

    ก็ไม่ต้องไปสนใจ

    เราจับหลักพระพุทธศาสนาให้ถูกโดยยึดพระไตรปิฏก เป็นหลักจะดีกว่า จะอรหันต์จริงอรหันต์ปลอมไม่ใช่ประเด็นเพราะพระธรรมวินัยนั้นแหละคือที่สถิตของพระศาสดา

    พระพุทธศาสนาเถรวาทยืนยันว่านิพพานเป็นอนัตตา(พระวินัยปิฎก เล่ม ๘ ปริวาร)

    พระไตรปิฏกยืนยันแบบนี้(พระวินัยปิฎก เล่ม ๘ ปริวารและมีการบอกเป็นนัยอีกหลายเล่ม)ชั้นอรรถกถา(เช่นวิสุทธิมรรค) ฏีกา อนุฏีกา อะไรก็ยืนยันว่านิพพานเป็นอนัตตา

    ที่นี้อนัตตาคืออะไร? ขันธ์ทั้ง5 เป็นอนัตตา วิญญาณเป็นหนึ่งในขันธ์ทั้ง5นะครับ ความหมายก็คือไม่มีตัวตนโดยอิสระนั้นแหละคืออนัตตา

    ปกติเรา สรุปความจริงโดยปรมัตถ์ว่า มีจิต เจตสิก รูป หรือจะเรียกรวมกันว่า นามรูป และอีกอย่างคือ ความดับของนามรูป นี้เรียกนิพพาน


    ที่นี้จิต เจตสิก รูป นี้เป็นการพูดแบบคัมภีร์อภิธรรม มันก็คือ ขันธ์ทั้ง5 ในพระสูตรนั้นเอง

    จิตคือวิญญาณ รูปก็คือรูป เจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร

    ที่นี้ ที่ว่าจิต เจตสิก รูป เป็นสังขตธรรม ก็หมายความว่า จิต เจตสิก รูป ต้องอิงอาศัยซึ่งกันและกันจึ่งจะเกิดขึ้นได้

    คือไม่มี จิตโดดๆๆ เจตสิกโดดๆๆ รูป โดดๆๆ

    ขึ้นมาลอยๆๆ

    อุปมา เสียงกลอง กะกลอง เสียงกลองมีได้ไหม? ถ้าไม่มีกลอง ก็ไม่ได้ใช่ไหม?

    นั้นแหละเขาพูดว่า สังขตธรรม มันเป็นอนัตตา คือมันไม่มีตัวตนอยู่อย่างอิสระโดยไม่อิงอาศัยสิ่งใดเพื่อมีขึ้นมานั้นเอง

    ที่นี้ ความดับของสังขตธรรม ก็คืออสังขตธรรมหรือนิพพาน กล่าวคือไม่มีกลองก็ไม่มีเสียงกลองขึ้นมาได้ เช่นเดียวกันกับจิต ถ้าไม่มีเจตสิก หรือรวมไปถึงไม่มีรูปก็เกิดขึ้นมาไม่ได้ ธรรมชาติของมันจึ่งไม่อาจจะมีตัวตนได้อย่างอิสระ ขึ้นกับเหตุปัจจัยและเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยและเมื่อเหตุปัจจัยดับมันก็ดับ
    อย่างจิตต้องมีเจตสิกหรือรูปขึ้นมาประกอบจึ่งจะมีได้ เช่นเราต้องมีตา(เป็นรูปนะ จำแนกได้ว่าเป็นอุปาทายรูป ) มีวัตถุที่เราเห็น(เป็นรูป) แล้วก็มีความรู้สึก(เป็นเจตสิก) เมื่อตาเราเห็นวัตถุขึ้นมาซึ่งอาจจะชอบ ไม่ชอบหรือเฉยๆก็ได้ เมื่อมีความรู้สึกก็มีผู้รับรู้เกิดขึ้น(จิต หรือ วิญญาณ)จากนั้นผู้รับรู้ก็อาจจะจำได้หมายรู้ว่าวัตถุที่ตาเห็นแล้วเรารู้สึกนั้นคืออะไร นี้คือสัญญา(เป็นเจตสิก) แล้วก็อาจะปรุงแต่งการรับรู้นั้นต่อไปจนมันรุนแรงขึ้นมาเป็นกรรมอะไรที่ตอบโต้ไป ตรงนี้เรียกว่าสังขาร (เป็นเจตสิก)

    จะเห็นว่ามันต้องเกิดขึ้นมาร่วมกันอยู่ในระดับหนึ่ง ถ้าไม่มีปัจจัยพร้อมก็มีไม่ได้เช่นกรณีจิตหรือวิญญาณหรือผู้รับรู้นี้ ในกรณีนี้เป็นตาเห็นรูปเขาก็เรียกจักษุวิญญาณ

    ที่นี้ ประเด็นคือจิตหรือการรับรู้นี้หลายๆๆครั้งมันเกิดดับสืบเนื่องกันไป เพราะว่าปัจจัยเหล่านี้มันเปลี่ยนไปตลอด จิตจึ่งไม่ใช่ดวงเดิมอีกต่อไป เช่นเราเห็นรูปใช่ไหมสมมติเป็นหมาตัวที่เราไม่ชอบ เราจึ่งโดดถีบมันทันทีที่เราเห็น ตอนนี้ เป็นกายเราที่สัมผัสกับรูปนั้นแล้วคือขาไปถีบหมา เราไปรับรู้ การถีบนั้น(เกิดกายวิญญาณ ) เจตสิกก็มี ความรู้สึกใหม่ที่อาจะรู้สึกดี จากการถีบ สัญญาที่สืบมาจากของเดิม(คือจำได้ว่าเป็นไอ้หมาวันก่อนที่กัดเราเราเลยรอล้างแค้นมันอยู่แล้ว) สังขารที่สืบมาจากของเดิม(อย่าง โทสะ เป็นต้น) จะเห็นว่ามีปัจจัยบางอย่างเปลี่ยนไป

    จิตจึ่งเปลี่ยนไปด้วยไม่เหมือนเดิมอีก ถือว่าเป็นดวงใหม่ที่เกิดสืบจากของเดิมที่ดับไปแล้ว(นี้และคืออนิจจัง ทุกขังลักษณะ) เขาจึ่งว่ามันเกิดดับสืบต่อไป

    แต่เนื่องจากการเกิดดับสืบต่อไปของจิตนี้ มันเร็วมากเราไม่เห็นความจริงตรงนี้ว่า มันเปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยง อะไรทำนองนี้ (หรือก็คือในกระบวณธรรมที่เราพูดไปเมื่อกี้มีโมหะ หรือ เจ้าทิฏฐิ(ความเห็นผิด) เข้ามาเป็นเจตสิกประกอบด้วยถ้าจะเอาละเอียดเว่อร์แจ่อาจจะไม่จำเป็นต้องรู้ขอให้ไปดูในพระอภิธรรม)

    เราก็เลยไปยึดมั่นถือมั่นว่า มันเป็นจิตที่เที่ยงคงทนถาวรเป็นดวงเดิมตลอดมาและจะมีอยู่ต่อไปเรื่อยๆๆ นี้แหละคืออหังการ หรือความยึดมั่นถือมั่นว่ามีอัตตา ซึ่งส่งผลต่อมาเป็นมมังการ หรือความยึดมั่นว่ามีของเรา อันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ที่พระพุทธศาสนาสอนให้ถอน


    ดั้งนั้นนิโรธธาตุ หรือนิพพาน ก็คือให้เห็นความจริงตรงนี้คือว่าสังขตธรรม(จิต เจตสิก รูป)ก็มีความเปลี่ยนแปลงและเกิดดับไปไม่เที่ยง เห็นตรงนี้ก็คือนิพพาน คือเห็นความดับของสังขตธรรมทั้งหลาย ก็ละอหังการ และ มมังการได้(เพราะเกิดวิราคะ)ที่ว่าเห็นคือเห็นจริงๆๆนะ คือปฏิบัติวิปัสสนา แล้วเห็น ไม่ใช่เห็นเพราะอ่านเพราะจำมาอันนี้ไม่เห็นจริง เป็นการเห็นแบบนึกคิดเอา คือจับดูรูปธรรมนามธรรมที่เป็นปัจจุบันและเห็นความเกิดดับที่เป็นปัจจุบัน และก็พิจารณาว่าในอดีตก็เป็นเช่นเดียวกัน ในอนาคตก็จะเป็นเช่นเดียวกัน ก็เป็นอันว่าเป็นสิ่งที่เกิดดับอยู่ทุกขณะ ขณะที่เป็นอดีตก็เกิดดับ ขณะที่เป็นอนาคตก็เกิดดับ ขณะที่เป็นปัจจุบันก็เกิดดับ จนเป็นเหตุสำรอกจิต จากความติดใจยินดี ตลอดถึงจากความยินร้าย อันเนื่องมาจากความยึดถือได้อย่างแท้จริง วิราคะ นี้ก็คือจิตหยั่งถึงนิพพาน นิพพานคือความดับของสังขตธรรม ทั้งอหังการ และ มมังการก็เป็นสังขตธรรมนะ เพราะไม่มีตัวตนอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง เหมือนความทุกข์นั้นแหละก็ต้องอาศัยอหังการ และ มมังการเป็นปัจจัย จึ่งจะมีตัวตนความทุกข์นี้ขึ้นมาได้

    อหังการ และ มมังการมีอวิชชาเป็นปัจจัยที่ทำให้ไม่เห็นความจริงของขันธ์ทั้ง 5 ว่าไม่มีตัวตนสักแต่เป็นเพียงกระแสเกิดดับสืบต่อไม่เที่ยงตามเหตุปัจจัยเท่านั้น ไม่มีตัวตนโดยอิสระในตัวมันเอง จึ่งเกิดอุปทาน ยึดมั่นว่ามีตัวมีตนขึ้น(อหังการ) เมื่อเกิดวิราคะอย่างที่บอกไปแล้วนะ เราก็ถอนทำลายอวิชชาเสียได้ เมื่อไม่มีอวิชชาเป็นปัจจัย(อันหนึ่งที่สำคัญ) อหังการ และ มมังการ อันเกิดจากอำนาจของตัญหา และ อุปทานก็เกิดไม่ได้อีกนี้ คือนิพพานที่ปรากฏขึ้นเพราะความดับของอวิชชา ของ ตัญหา อุปทาน กรรม อะไรเหล่านี้นี้เอง จิตก็เรียกว่าเป็นอิสระแล้ว(คือวิมุมติ)มันก็ปล่อยวางในสิ่งต่างๆๆได้(ปฏินิสสัคคะ) ก็จบกิจพุทธธรรม

    และความดับนี้เราจะบอกว่ามีตัวตนได้ไหม? มันก็ไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าบอกว่ามีตัวตน สิ่งที่มีตัวตนก็ต้องเป็นสิ่งที่มีเหตุปัจจัย และก็ตกอยู่ใต้อำนาจอนิจจัง ทุกขังอีก เพราะมันจะมีขึ้นมาลอยๆๆไม่ได้ ซึ่งนิพพานคือความดับของเหตุปัจจัยของสังขาร นั้นแหละเขาถึงบอกว่า อสังขตธรรมหรือนิพพาน ก็เป็นอนัตตาเช่นกัน เมื่อไฟดับไป เราไม่บอกว่าไฟมีตัวตนอยู่อีกใช่ไหม?ล่ะ นั้นแหละอุปมาแล้วเหมือนกัน

    ดั้งนั้นพระพุทธเจ้าจะไม่พูดว่า มีวิญญาณ หรือ ไม่มีวิญญาณ แต่จะพูดว่าเพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึ่งมี และเพราะสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึ่งไม่มี เพราะสิ่งนี้เกิดสิ่งนี้จึ่งเกิด เพราะสิ่งนี้ดับไปสิ่งนี้จึ่งดับไป

    คือมุ่งแสดงธรรมทั้งหลายอย่างเป็นกลางๆๆ ไม่โต่งไปข้างหนึ่ง เช่นนี้แล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2013
  8. กฮ

    กฮ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +415
    คุณโฮดี้โจนส์กำลังหลงประเด็นไปจับในสิ่งที่เข้าถึงไม่ได้ด้วยความคิดนะครับ

    ผมขอพูดแถมเรื่องที่คนในสมัยก่อนแค่ฟังธรรมก็บรรลุนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องความคิดที่คนในสมัยนี้หลงว่าเป็นปัญญาอะไรทั้งนั้น แต่เป็นเพราะพระพุทธเจ้าท่านเป็นบรมครู ท่านทราบว่าผู้ที่ท่านจะเทศน์โปรดมีอินทรีย์ในด้านใดมาบ้างแล้ว ท่านจึงแสดงธรรมที่เหมาะแก่อินทรีย์ของผู้รับให้ได้พิจารณากระเทาะเห็นความจริง เราเอาอินทรีย์ของเราไปเทียบคนในสมัยก่อนไม่ได้ ท่านในสมัยนั้นเป็นผู้มีบุญและทำอินทรีย์มามาก นั่นคือประเด็นที่ทำไมเราต้องมาปฏิบัติทำอินทรีย์กัน

    ในมโนมยิทธิสิ่งที่เห็นจะจริงหรือไม่จริงก็แล้วแต่ แต่เมื่อทำจนจิตมีความชำนาญแล้ว มาน้อมพิจารณาธรรม จิตที่ความแข็งแกร่งขนาดนั้นย่อมสามารถกระเทาะธรรมเพื่อเห็นความจริงได้ง่าย หากพูดในศาสนาพุทธเรานำมาใช้กันตรงนี้ อย่าหลงประเด็นไปคิดปรามาสเพราะรู้เท่าไม่ถึงกัน

    ส่วนเรื่องวัดธรรมกายนั้น คำสอนไม่ได้เป็นไปเพื่อความดับเพื่อความเห็นจริง แต่กลับทำให้โลภให้หลง คำสอนของวัดนี้จึงไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ขอให้ผู้มีปัญญาพิจารณา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2013
  9. pasit_99

    pasit_99 การเวียนว่ายตายเกิดนั้นน่ากลัว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,673
    ค่าพลัง:
    +3,464
    ไม่เคยฟังครับ เรื่องนี้ต้องถามไปที่คนคิดโครงการนี้ครับ ว่าเป็นมายังไง เริ่มโครงการตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมก็ดูว่ามันแปลกๆ เหมือนล็อกเสปค
     
  10. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    อย่าร้อนตัวครับผมไม่ได้พูดถึงใครหรือลัทธิอะไรทั้งนั้น ผมพูดแล้วว่าใครจะเห็นอะไรเรื่องของเขาหรือไม่เห็นอะไรก็เรื่องของเขา ผมยังไม่ได้ว่าอะไรวิชามโนมยิทธิของคุณเลย จะให้ผมพูดเรื่องมโนมยิทธิตามพระไตรปิฏกเล่มที่ ๙
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ก็ได้ครับ แต่จะเหมือนกับที่คุณเข้าใจกันหรือเปล่า ก็สงสัยอยู่

    จุดยืนของผมคือมุ่งพูดถึงหลักพุทธธรรมจะไม่ไปวิจารณ์ ใครมุ่งแสดงธรรมของพระพุทธศาสนา ตามพระไตรปิฏกเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ได้หยิบมาก็อปปี้วาง เขียนขึ้นมาตามความเข้าใจ
    แต่ทุกตอนก็สามารถหยิบมาวางได้หมด

    เพียงแต่ไม่เหตุผลอะไรที่จะทำ เสียเวลาครับ
    ส่วนอะไรครับที่ว่าเข้าถึงไม่ด้วยความคิด นิพพานหรือ นิพพานไม่ใช่อจินไตย 4 นะครับ ทำไมจะว่ากันด้วยความคิดไม่ได้
    อีกอย่างคุณรู้ได้ไงว่าผมเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วยความคิด ผมอาจจะพูดมาจากทั้งตำราและการปฏิบัติประกอบกันก็ได้(เพราะผมเน้นว่าต้องมีการปฏิบัติประกอบไปด้วย ใครมีไหวพริบจะรู้ว่าแอบพูดถึงธรรมานุปัสสนาย่อๆๆลงไปด้วย)

    ว่าแต่คุณเข้าใจที่ผมพูดหรือเปล่าครับ
    ที่ร่ายมาซะยาว
    นี่...หรือสักแต่ว่าตีโพยตีพายไปงั้น ว่าแต่เหมือนที่คุณพูดจะไม่ตรงกะที่ผมพูดเลยนะ มีมโนยิทธิ คนสมัยก่อนฟังธรรมก็บรรลุ ผู้มีบุญและทำอินทรีย์มามาก อะไรนี่ ผมพูดเรื่องอื่นนะ ......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2013
  11. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493

    ดิฉันไม่ทราบเหมือนกันว่าครูที่ไปอบรมมีความคิดเช่นไร แต่เท่าที่คุยกันกับเพื่อนครูที่ไปอบรม ว่าเราต้องไปตามหน้าที่ ขัดคำสั่งไม่ได้ เพียงแต่ถ้าเป็นส่วนดี เรานำมาปฎิบัติได้

    แต่หากคำสอนบิดเบือนจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะไม่ปฎิบัติตามเป็นอันขาด เรายึดคำสอนองค์พระประทีปแก้วเป็นสรณะเท่านั้น
     
  12. Artorius

    Artorius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +313
    เอาตั้งแต่ประเด็นแรกแล้วกันนะครับ เรื่องนิพพานอัตตาและอนัตตา เราต้องมาดูนิยามหรือความหมายของแต่ละภาวะ อัตตาคือการมีตัวตน หมายความว่าปรากฎว่ามีการเกิด เมื่อปรากฎว่ามีการเกิดจึงปรากฎว่ามีการเสื่อม คือไม่เที่ยงเป็นอนิจจัง และเสื่อมลงเรื่อยๆจนดับหรือสูญ จึงเรียกว่าอนัตตา พิสูจน์ได้ทุกอย่างในโลก ล้วนปรากฎมีการเกิด ปรากฎมีการเสื่อมและเสื่อมลงเรื่อยๆ แต่นิพพานไม่ปรากฎว่ามีการเกิด เมื่อไม่ปรากฎว่ามีการเกิด จึงไม่ปรากฎว่ามีการเสื่อมและเสื่อมลงเรื่อยๆ เมื่อไม่ปรากฎว่ามีการเกิดจึงไม่ใช่อัตตา เมื่อไม่เกิดก็ไม่สามารถจะเสื่อมได้จึงไม่ใช่อนิจจัง เมื่อไม่เกิดไม่เสื่อม แล้วจะดับจะสูญได้อย่างไร จึงไม่ใช่อนัตตา นิพพานคือนิพพาน ความหมายของนิพพานตามคำตรัสของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ความหมายนิพพานตามคณะสงฆ์แต่ละนิกาย กล่าวไว้ว่า “ที่” ซึ่งนามรูปดับไม่มีเหลือ “ดิน นํ้า ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน? ( ไม่อาจเข้าไปอยู่ได้ในที่ไหน) ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน? นามรูปดับสนิทไม่มีเหลือ ในที่ไหน?” ดังนี้ต่างหาก. ภิกษุ! ในปัญหานั้น คำตอบมีดังนี้ :- “สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็ นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ไม่มีที่สุด มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ, นั้นมีอยู่; ใน “สิ่ง”นั้นแหละ ดิน นํ้า ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ (ไม่อาจเข้าไปอยู่ได้); ใน“สิ่ง” นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงามความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ (ไม่อาจเข้าไปอยู่ได้); ใน “สิ่ง” นั้นแหละนามรูป ดับสนิทไม่มีเหลือ; นามรูป ดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ

    ส่วนเรื่องภาพลักษณ์รูปทรง ทำไมเอาวัตถุสิ่งก่อสร้างที่เห็นด้วยตามากำหนดความน่าศรัทธา แทนที่จะใช้ปัญญาพิจารณาธรรมมากกว่า ถามว่าที่บอกว่า "มันก็ดูมีไอเดียดี ดูศาสนาอื่นๆ ในโลก อย่าง โบสต์ ซาน มาร์โค ที่ อิตาลี หรือ ที่สเปนเขาก็ทำสะหรูหราอลังกาล หรือ มัสยิด ทาง โอมาน " มันเจริญในด้านวัตถุก็จริง แต่มันเจริญในด้านศีลธรรม คุณธรรมหรือไม่ ที่รบๆกันนี่ สงครามครูเสด นี่ของศาสนาอะไรกับอะไร ความเจริญทางโลกอย่างอเมริกานี่จะเจริญได้อีกกี่ปี จะเจริญได้ร้อยปีพันปีมั้ย แสดงว่ายึดติดในวัตถุผิดจุดประสงค์พุทธ แต่ไม่ได้บอกให้ปล่อยปละละเลยต้องให้ทรุดโทรม แต่ให้พอดีๆ ให้ถูกต้องตามหลักการ
     
  13. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    เลือกเอาในส่วนที่ดีนำมาใช้้ อย่างเช่น ๕ ห้องชีวิต

    ส่วนใดที่เข้าลักษณะบังคับบีบคั้นก็เว้นเสียเช่น

    เกณฑ์เด็กนักเรียนบวชช่วงปิดภาคฤดูร้อนอย่างน้อย ๓๐ - ๔๐ คน / โรงเรียน
    และให้เพิ่มจำนวนให้มากขึ้นในปีถัด ๆ ไป

    ให้ครูผู้ชายไปอย่างน้อยบวชปีละ ๑ คน คนละ ๑ พรรษา
    หรือช่วงปิดภาคฤดูร้อน ๑๕ - ๒๑ วัน
    ให้ครูผู้หญิงไปบวชอุบาสิกาแก้วช่วงปิดภาคฤดูร้อน
    เพื่อเป็นพี่เลี้ยงแก่สามเณรที่นำไปบวช

    และให้ทุนการศึกษาสำหรับผู้ที่สามารถพูดแนะนำำให้คนไปบวชได้เป็นรายหัว

    ให้ส่งนักเรียนประกวดเด็กดีวีสตาร์ และไปร่วมกิจกรรมกับสำนัก

    จะเห็นได้ว่าเขาไม่ได้พูดถึงเรี่ยไรเงินเข้าวัดเลยแม้แต่นิดเดียว
    เพราะตอนนี้เงินเขามีมากพอแล้ว เขาเริ่มจะปลูกฝังเยาวชน
    เพื่อเอาไปเป็นฐานกำลังของเขาในกาลข้างหน้า

    นี่คือสิ่งที่แฝงมากับโครงการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2013
  14. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เมื่อเรากลายเป็นสินค้าสำหรับโชว์ให้ลูกค้าได้เห็นว่า"ร้านนี้มีสินค้าเยอะ
    และเป็นสินค้าดีมีคุณภาพ"น่าสนใจ ทำบุญกับสินค้าเราซิได้บุญเยอะนะ
    มีโอกาสมั่งคั่งร่ำรวยนะ ทำบุญด้วยบัตรเครดิตสินเชื่อกรุงไทย(มีจริงๆ)ก็ได้นะจ๊ะลูก!!!!!
     
  15. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    ต่ออีกนิด

    ทัศนะเรื่องวิญญาณในพระพุทธศาสนาว่าวิญญาณเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยจึ่งมีขึ้นมาได้จึ่งตกอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาลักษณะ

    "พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ ได้ยินว่า เธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
    เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป(ข้ามภพข้ามชาติไป)
    ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?
    สาติภิกษุทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาค
    ทรงแสดงว่า วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง.
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร?
    สาติภิกษุทูลว่าสภาวะที่พูดได้ รับรู้ได้ ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนดี
    ทั้งส่วนชั่วในที่นั้นๆ นั่นเป็นวิญญา
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ที่เราแสดงแก่ใครเล่า ดูกรโมฆบุรุษ
    วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ ความ
    เกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วย
    ขุดตนเสียด้วย จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว ดูกรโมฆบุรุษ
    ก็ความเห็นนั้นของเธอ จักเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆ เกิดขึ้นก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ
    วิญญาณอาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุ
    วิญญาณ วิญญาณอาศัยโสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ วิญญาณ
    อาศัยฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ วิญญาณอาศัยชิวหาและรส
    ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าชิวหาวิญญาณ วิญญาณอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น
    ก็ถึงความนับว่ากายวิญญาณ วิญญาณอาศัยมนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า
    มโนวิญญาณ"

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
    มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

    ต่อมา นิพพานตามความหมายของพระพุทธศาสนา คือไม่ใช่ดินแดน(ไม่มีในโลกนี้โลกอื่น) คือไม่ใช่เมืองแก้วเป็นดินแดน ภพภูมิอะไรเทือกนี้อย่างที่พระบางรูปอ้างว่าตนนั่งสมาธิไปเที่ยวเมืองนี้ไปเห็นมา สภาวะจิตอมตะที่เป็นอัตตาเหมือนปรมาตมันของฮินดู ขอให้สังเกตว่าไม่มีในโลกนี้โลกอื่น หรือก็คือ นิพพานนั้นไร้การมาการไป(หมายถึงความดับของทัศนะคู่ๆๆ เพราะมาก็มีไปเป็นปัจจัย ไปก็มีมาเป็นปัจจัยจึ่งมีได้ แต่นิพพานไปพ้นหรือก็คือความดับของเหตุปัจจัยต่างๆๆ) มีแต่การต้องหยั่งถึง เป้าหมายของพระพุทธศาสนาไม่ใช่การบรรลุนิพพาน เพราะนิพพานไม่ใช่สถานที่ไม่ใช่สภาวะที่ดำรงอยู่ให้มาให้ไปให้เข้าถึง เพราะนิพพาน นั้นแหละคืออีกด้านหรือธรรมชาติที่เป็นปรมัตถ์ของสังขตธรรมอย่แล้ว พระสูตรอุปมาว่าตัวตน สัตวะ บุคคล ชีวะ คือคลื่น จึ่งมี เกิดตาย(เหมือนคลื่นเคลื่นขึ้นไปสูงสุดจากผิวน้ำแล้วลงมากลับสู่ผิวน้ำอีก) นิพพานหรีอธรรมชาติไม่เกิดไม่ตายคือน้ำ ซึ่งคลื่นก็คือน้ำ แต่เพราะคลื่นไม่รู้ความจริงนี้จึ่งรู้สึกว่ามีเกิดมีตาย หรือเห็นความจริงเพียงด้านเดียวในด้านที่เรียกว่าสมมติ แต่ถ้าคลื่นรู้ว่าตัวเองคือหนึ่งเดียวกับน้ำมาแต่ต้นก็จะไม่กลัวเกิดและตายอีก คือเห็นความจริงอีกด้านเรียกว่าเห็นความจริงด้านที่เป็นปรมัตถ์ สังสารวัฏนั้นแหละอีกด้านหนึ่งของมันก็คือนิพพาน เหมือนที่นาคารชุนปราชญ์พุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดถ้าไม่นับพระพุทธเจ้า เขียนไว้ในมูลมัธยมกการิกา ว่า"โกฏิของสังสารวัฏ นั้นแหละ คือโกฏิเดียวกันกับพระนิพพาน" คุณคงไม่บรรลุในสิ่งที่คุณเป็นอยู่แล้วกระมั้ง ดังนั้น เป้าหมายของพระพุทธศาสนาคือ วิมมุติ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อโลภะ โทสะ โมหะ ในใจของเราหมดไป นั้นแหละธรรมชาติอีกด้านของเราของสังสารวัฏก็ปรากฏตัวออกมา นี้คือนิพพาน


    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง มีอยู่ ถ้าไม่มีธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความพ้นไปจากธรรมชาติที่เกิด ที่เป็น ที่มีใครทำ ที่มีอะไรปรุงแต่ง ก็จะปรากฏไม่ได้ เพราะเหตุที่มีธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความพ้นไปจากธรรมชาติที่เกิด ที่เป็น ที่มีใครทำ ที่มีอะไรปรุงแต่ง จึงปรากฏได้."
    อิติวุตตก ๒๕/๒๕๗

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่(หมายถึงนิพพาน) ในอายตนะนั้นไม่มีดิน, น้ำ, ไฟ, ลม ไม่มีอากาสานัญจายตนะ, วิญญาณัญจายตนะ, อกิญจัญญายตนะ, เนวสัญานาสัญญายตนะ, ไม่มีโลกนี้, ไม่มีโลกอื่น, ไม่มีพระจันทร์ พระอาทิตย์ทั้งสอง, เราย่อมกล่าวถึงอายตนะนั้นว่า ไมใช่การมา มิใช่การไป มิใช่การตั้งอยู่ มิใช่การจุติ (การเคลื่อนจากที่เดิม) มิใช่การเกิดขึ้น ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีความเป็นไป ไม่มีอารมณ์ นั่นแหละเป็นที่สุดแห่งทุกข์."
    อุทาน ๒๕/๒๐๖


    ตัวอย่าง พระนิพพานเป็นอนัตตา


    "สังขารทั้งปวงที่ปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พระนิพพานและบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา "

    พระวินัยปิฎก ปริวาร(๘/๘๒๖/๒๒๔)

    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดาก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยงครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตามธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา(คือทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรม(นิพพาน)เป็นอนัตตา"

    อุปปาทสูตร อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต (๒๐/๕๗๖/๒๗๔)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2013
  16. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    เมื่อวิญญาณเป็นอนัตตา แล้วอะไรล่ะที่ไปเกิด? ขอหยิบเอามิลินทปัญหา มาแสดงดั้งนี้

    พญามิลินทร์ “ ข้าแต่พระนาคเสน อะไรปฏิสนธิ คือถือกำเนิด ? ”
    พระนาคเสนเถระ “ มหาราชะ นามรูป ถือกำเนิด ”
    พญามิลินทร์ “ นามรูปนี้หรือ…ถือกำเนิด ? ”
    พระนาคเสนเถระ “ มหาราชะ นามรูปนี้ไม่ได้ถือกำเนิด แต่ว่าบุคคลทำกรรมดีหรือชั่วด้วยนามรูปนี้ นามรูปอื่นก็ถือกำเนิดด้วยกรรมนั้น ”

    อธิบายเพิ่มเติม สังเกตว่าถามว่า พญามิลินทร์ถามว่า "อะไรปฏิสนธิ คือถือกำเนิด " แล้วพระนาคเสนเถรเจ้าตอบว่านามรูปนี้แหละ คือจิตกับกายนี้แหละ ที่ไปปฏิสนธิ ถือกำเนิด พญามิลินทร์จึ่งพูดว่า "นามรูปนี้หรือ…ถือกำเนิด ? ” คือถามว่านามรูปอันเดียวกันนี้หรือที่ไปเกิด อุปมาเหมือนคนเปลี่ยนเสื้อผ้า เสื้อใหม่ เสื้อเก่าทิ้งไป คนเดิมเปลี่ยนเสื้อ
    เพราะแกเป็นกรีก กรีกมีปรัชญากรีก ที่ว่าจิตเป็นอมตะ คือเมื่อเกิดใหม่ก็สักแต่เป็นกายใหม่จิตเดิม พระนาคเสนเถระแย้งว่า “ มหาราชะ นามรูปนี้ไม่ได้ถือกำเนิด แต่ว่าบุคคลทำกรรมดีหรือชั่วด้วยนามรูปนี้ นามรูปอื่นก็ถือกำเนิดด้วยกรรมนั้น ” คือนามรูปนี้ที่เป็นบุคคลคนนี้ตรงนี้ไม่ได้ถือกำเนิดเพราะดับไปแล้วแต่ผลของการกระทำหรือกรรมทั้งดีทั้งชั่วของนามรูปนี้นั้นแหละที่ทำให้เกิดการเกิดใหม่การสืบต่อของนามรูปใหม่ต่อไป (แม้ว่าจะเป็นนามรูปใหม่แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนามรูปเดิมเพราะอาศัยกรรมของนามรูปเดิมจึ่งเกิดขึ้นมาได้(เป็นผลหรือเสวยผลจากนามรูปเดิม)หรือสืบต่อขึ้นมาได้ ตรงนี้เป็นการอุดความคิดว่าถึงแม้ว่านามรูปจะเป็นไปตามไตรลักษณ์ แต่กฏแห่งกรรมก็ยังใช้ได้อยู่ ไม่ได้ขัดกันและไตรลักษณ์ ยังเป็นการสนับสนุนกฏแห่งกรรมว่าเป็นไปได้จริงอีกด้วย

    นั้นเอง(จนกว่าที่จะหลุดพ้นคือไม่ก่อกรรมอีก คือเป็นอิสระจากอวิชชา ตัญหา อุปทาน)

    ที่นี้ก็มีการยกอุปมาออกมายาวเยียดว่า เพื่อชี้ที่ได้บรรยายไปก็อ่านเองเถิด

    อุปมาด้วยผลมะม่วง


    “ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่งไปขโมยผลมะม่วงของเขามา แต่เจ้าของมะม่วงนั้นจับได้ จึงนำไปถวายพระราชา กราบทูลว่า บุรุษผู้นี้ขโมยมะม่วงของข้าพระองค์ บุรุษนั้นจะต้องกราบทูลว่า ข้าแต่สมมุติเทพ ข้าพระองค์มิได้ขโมยมะม่วงของบุรุษนี้ มะม่วงที่บุรุษนี้ปลูกไว้เป็นมะม่วงอื่น ส่วนมะม่วงที่ข้าพระองค์นำไปนั้น เป็นมะม่วงอื่นอีกต่างหาก ข้าพระองค์ไม่ควรได้รับโทษ ดังนี้ อาตมภาพจึงขอถามมหาบพิตรว่า บุรุษผู้นั้นควรจะได้รับโทษหรืออย่างไร ? ”
    “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บุรุษนั้นควรได้รับโทษ ”
    “ เพราะอะไรล่ะ มหาบพิตร ? ”
    “ เพราะว่า บุรุษนั้นรับว่าไปเอาผลมะม่วงมาแล้ว แต่บอกว่าเอาผลมะม่วงลูกก่อนไปถึงกระนั้นก็ควรได้รับโทษด้วยผลมะม่วงลูกหลัง ”
    “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือบุคคลทำกรรมดีหรือชั่วอันใดไว้ ด้วยนามรูปนี้แล้ว นามรูปอื่นก็ถือกำเนิดสืบต่อกันด้วยกรรมนั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นไปจากบาปกรรมขอถวายพระพร ”
    “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไป ”

    อุปมาด้วยไฟไหม้


    “ ขอถวายพระพร มีบุรุษคนหนึ่งก่อไฟไว้ในฤดูหนาว แล้วทิ้งไว้มิได้ดับไฟ ได้ไปเสียที่อื่น ไฟนั้นได้ไหม้นาของผู้อื่น เจ้าของนาจึงจับบุรุษนั้นไปถวายพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่สมมุติเทพ บุรุษนี้เผานาของข้าพระองค์ บุรุษนั้นจะต้องทูลให้การว่า ข้าพระองค์ไม่ได้เผานาของผู้นี้ ไฟนั้นถึงข้าพระองค์ไม่ได้ดับ แต่ไฟที่ไหม้นาของผู้นี้ ก็เป็นไฟอื่นต่างหากข้าพระองค์ืไม่มีโทษ ดังนี้ อาตมภาพขอถามมหาบพิตรว่า บุรุษนั้นจะมีโทษหรือไม่ ? ”
    “ ต้องมีโทษซิ พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ เพราะเหตุไร มหาบพิตร ? ”
    “ อ๋อ…เพราะเหตุว่า ถึงบุรุษนั้นจะหมายเอาไฟก่อนก็ตาม แต่ก็ควรได้รับโทษด้วยไฟหลัง ”
    “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือบุคคลทำกรรมดีหรือชั่วอันใดไว้ด้วยนามรูปนี้แล้ว นามรูปอื่นก็ถือกำเนิดด้วยกรรมนั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรม ”
    “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”

    อุปมาด้วยประทีป


    “ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่าบุรุษคนหนึ่ง ถือเอาประทีปเข้าไปที่เรือนโรงแล้วกินข้าว ประทีปก็ลุกลามไปไหม้หญ้า หญ้าก็ลุกลามไปไหม้เรือน เรือนก็ลุกลามไปไหม้หมู่บ้าน ชาวบ้านจึงพากันจับบุรุษนั้น แล้วถามว่า เหตุไฉนเจ้าจึงเผาบ้าน บุรุษนั้นจึงตอบว่า เรานั่งกินข้าวอยู่ด้วยประทีปอื่นต่างหาก ส่วนไฟที่ไหม้บ้านเป็นไฟอื่นอีกต่างหาก เมื่อโต้เถียงกันอย่างนี้ เขาพากันมาเฝ้ามหาบพิตร กราบทูลว่า มหาราชเจ้าจะรักษาประโยชน์ของใครไว้ พระเจ้าข้า มหาบพิตรจะตรัสตอบว่าอย่างไร ? ”
    “ โยมจะตอบว่า จะรักษาประโยชน์ของชาวบ้านไว้ ”
    “ เพราะอะไร มหาบพิตร ? ”
    “ เพราะว่า ถึงบุรุษนั้นจะกล่าวอย่างนั้นก็จริง แต่ว่าไฟนั้นเกิดมาจากประทีปดวงก่อนนั้นเอง ”
    “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือถึงนามรูปอันมีในที่สุดแห่งความตายเป็นนามรูปอื่น ส่วนนามรูปที่ถือกำเนิดเป็นนามรูปอื่นก็ตาม แต่ว่านามรูปนั้นเกิดจากนามรูปเดิม เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรม ”
    “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”

    อุปมาเรื่องหมั้นเด็กหญิง


    “ ขอถวายพระพร เปรียบปานบุรุษผู้หนึ่งหมั้นเด็กหญิงที่ยังเล็ก ๆ เอาไว้ ให้ของหมั้นแล้วกลับไป ต่อมาภายหลังเด็กหญิงคนนั้นก็เติบโตขึ้น มีบุรุษอีกคนหนึ่งมาให้ของหมั้นแล้วแต่งงาน บุรุษที่หมั้นไว้ก่อนจึงมาต่อว่าบุรุษนั้นว่า เหตุใดเจ้าจึงนำภรรยาของเราไป บุรุษนั้นก็ตอบว่า เราไม่ได้นำภรรยาของเจ้าไป เด็กหญิงเล็ก ๆ คนนั้น ที่เจ้าขอไว้แล้วให้ของหมั้นไว้นั้น เป็นคนหนึ่งต่างหาก เด็กหญิงที่เติบโตแล้ว ที่เราสู่ขอแล้วนี้ เป็นคนหนึ่งอีกต่างหาก เมื่อบุรุษทั้งสองนั้นโต้เถียงกันมาเฝ้ามหาบพิตร พระองค์จะทรงวินิจฉัยให้หญิงนั้นแก่ใคร ? ”
    “ อ๋อ…ต้องให้แก่บุรุษคนก่อนนะซิ พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ เพราะเหตุใด มหาบพิตร ? ”
    “ เพราะเหตุว่า ถึงบุรุษนั้นจะกล่าวอย่างนั้นก็จริง แต่เด็กสาวคนนั้นก็เติบโตต่อมาจากเด็กหญิงเล็ก ๆ นั้นเอง ”
    “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือถึงนามรูปอันมีต่อไปจนกระทั่งตายเป็นนามรูปอื่น ส่วนนามรูปที่ถือกำเนิดเป็นนามรูปอื่นก็ตาม แต่นามรูปนั้นก็เกิดมาจากนามรูปเดิมนั่นเอง เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรม ”
    “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งกว่านี้อีก ”

    อุปมาด้วยนมสด


    “ ขอถวายพระพร เช่นเดียวกับบุรุษผู้หนึ่ง ไปซื้อนมสดจากมือนายโคบาล แล้วฝากนายโคบาลนั้นไว้ ด้วยคิดว่า พรุ่งนี้เช้าจึงจะมารับเอาไป ต่อมานมสดนั้นก็กลายเป็นนมส้ม เมื่อบุรุษนั้นมาก็บอกนายโคบาลว่า จงให้หม้อนมสดนั้นแก่เรา นายโคบาลนั้นก็ส่งหม้อนมส้มให้ ฝ่ายผู้ซื้อก็กล่าวว่า เราไม่ได้ซื้อนมส้มจากเจ้า เจ้าจงให้นมสดแก่เรา นายโคบาลก็ตอบว่า นมสดนั้นแหละกลายเป็นนมส้ม ลำดับนั้น คนทั้งสองได้โต้เถียงกันไม่ตกลง จึงพากันมาเฝ้ามหาบพิตร พระองค์จะทรงวินิจฉัยให้คนไหนละ ? ”
    “ โยมต้องวินิจฉัยให้นายโคบาลชนะ ”
    “ เพราะอะไร มหาบพิตร ? ”
    “ เพราะถึงบุรุษนั้นกล่าวอย่างนั้นก็จริง แต่นมส้มนั้นก็เกิดมาจากนมสดนั่นเอง ”
    “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถึงนามรูปที่มีต่อมาจนกระทั่งเวลาตายเป็นนามรูปอื่น ส่วนนามรูปที่ถือกำเนิดเป็นนามรูปอื่นก็ตามแต่ก็เกิดมาจากนามรูปเดิมนั่นแหละ เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรม ขอถวายพระพร ”
    “ พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว ”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2013
  17. Artorius

    Artorius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +313
    กระผมหาไม่เจอนะครับ ในจุดที่ว่า
    ตัวอย่าง พระนิพพานเป็นอนัตตา
    "สังขารทั้งปวงที่ปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พระนิพพานและบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา "
    พระวินัยปิฎก ปริวาร(๘/๘๒๖/๒๒๔)
    พระวินัยปิฎก เล่มที่๘ ปริวาร มีตั้งแต่หน้าที่ ๑-๕๑๗ ตั้งแต่ข้อที่ ๑-๑๓๖๖

    และจุดที่ว่า
    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดาก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยงครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตามธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา(คือทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรม(นิพพาน)เป็นอนัตตา"
    อุปปาทสูตร อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต (๒๐/๕๗๖/๒๗๔)
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต มีตั้งแต่หน้า ๑-๒๙๐ ตั้งแต่ข้อที่ ๑-๕๙๙
     
  18. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    http://www.84000.org/tipitaka/read/?๘/๘๒๖/๒๒๔)

    http://www.84000.org/tipitaka/read/?๒๐/๕๗๖/๒๗๔

    ถ้าหาก็มีนะ ถ้าไม่หาก็พูดซะและ ก็คงไม่มี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2013
  19. Artorius

    Artorius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +313
    คำว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย" ส่วนมากจะเป็นคำตรัสขึ้นต้นของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น จึงใช้เครื่องหมายอัญประกาศแสดงไว้ว่าเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า แต่คุณใช้อัญประกาศครอบนนขลิขิตไว้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพานเป็นอนัตตา
    สรุปแล้วอันไหนคือคำพูดของพระพุทธเจ้า อันไหนเป็นความเห็นเติมของคุณ
     
  20. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    คือใช้เครื่องหมาย"" ก็ไม่ได้อีก ผมใส่เพื่อแยกว่ามันเป็นข้อความในพระไตรปิฏก ไม่ใช่ส่วนที่พิมพ์ใส่ว่าปิฏกว่าไง จริงๆๆก็สนับสนุนคำอธิบายซึ่งจริงก็ตีความมาจากปิฏกอีกที จะถูกหรือผิดก็เป็นเรื่องของผมผมก็ลงปิฏกแล้วคุณมีสมองก็สามารถอ่านและตีความเองได้ไม่ต้องเชื่อผม ผมลงเพราะประเด็นนี้

    จริงๆๆไม่ใส่คนก็แยกออกนะว่าตรงไหนผมอธิบายตรงไหนของที่เอามาจากปิฏก ถ้าคนไม่โง่....นะ

    เอ้า......ผมเติมหรือเปล่าผมก็อปปี้วางต่างหากพิมพ์เองยังไม่ได้พิมพ์เลย ก็อปปี้วางจากพระไตรปิฏกออนไลน์ ยกเว้นตอนที่อธิบายนะ ก็แยกไว้เป็นส่วนแล้ว ผมว่าคุณคิดว่าตัวเองหน้าแตกเพราะคำพูดผมเลยพาลอะไรผมหรือเปล่า แบบนั้นก็ไม่ดีนี่ก็ไม่ใช่ตินั้นตินี้ บ้านเรียกมีอคติและมั้ง

    ผมไม่ได้เขียนใส่คุณให้คุณหน้าแหกหรอกผมเอามาเขียนมาลงให้คุณDuchessFidgetteดูประกอบผมคุยกับเธอมาจะสิบยี่สิบกระทู้และ จนซี้กันแล้ว ผมพึ่งไปอ่านที่คุณลงเมื่อกี้ด้วยซ้ำ.....คุณเขียนอธิบายอะไรผมไม่ได้สนใจเลย....ไม่คิดจะอ่านด้วยซ้ำผมลงขยายที่พูดเมื่อวานต่างหาก

    สบายใจได้ผมไม่ได้ลงโจมตีอะไรคุณหรอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...