จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    หลวงพ่อฤๅษี สอนเรื่ิอง "ให้อภัยจิตเราก็เป็นสุข"

    ด้านปัญญา เขาเคยอบรมมาแล้ว แต่ทำไมจึงเลว เพราะว่าทุกชาติที่เราเกิดมาต้องทำบาป บุญก็ทำ บาปก็ทำ เวลาที่บาปให้ผล มันก็โง่ทุกอย่าง เห็นจากดีเป็นชั่ว จากชั่วเป็นดี เวลาที่บาปให้ผล เราต้องให้อภัยเขา ต้องนึกถึงตัวเราเหมือนกันว่าบางครั้งเราก็โมโหโทโสชาวบ้าน

    การที่โมโหโทโสชาวบ้านนี่มันตัวบาป จำไว้นะ โมโหนี่ ว่าง ๆ เราก็ถ่ายวิดีโอไว้ เวลาโมโหตั้งกล้องแล้วก็ถ่าย มันออกท่าไหนบ้าง พอเลิกโมโหแล้วมาฉายให้ดู มันสวยไหม เสียงพูดก็เหมือนกัน ดีไม่ดีฟังไม่รู้เรื่อง โมโห คือ โมหะตัวหลง มันเป็นบาป ความจริง คนทุกคนก็ต้องมีบาป เราก็ต้องคิดว่าบาปไม่ให้ผลกับเขาตลอดไป สักวันหนึ่งข้างหน้า ความดีของเขา ต้องมีขึ้น มีอยู่ ต้องให้ผล ก็ให้อภัยเสีย จิตเราก็เป็นสุข พยายามให้อภัย เขาด่าเดี๋ยวนี้โกรธ ต่อไปวันรุ่งขึ้นจิตมันคลายตัว คิดว่าการต่อกรกับคนที่ด่าเราไม่มี ด่าแล้วก็แล้วกันไป ค่อยๆทำอย่างนี้ ไม่ช้าอารมณ์ก็ชิน คำว่าชิน คือ ฌาน

    วันนี้สอนกรรมฐานกัน พูดเรื่อง อภัยทาน มันเป็นกรรมฐานกองไหน ก็ต้องตอบว่าเป็นกอง สีลานุสสติกรรมฐาน อภัยทานนี้นะ เป็นทานสูงสุดในพระพุทธศาสนา

    ที่มา: ธรรมปฏิบัติ ๑๙ หน้า ๕๙-๖๐
     
  2. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สาธุขออนุโมทนากับความว่างของทุกๆท่าน.

    เมื่อว่างแล้วให้เอาความว่างนั้น มาบำรุงสติ อย่าให้เวลานั้นเสียไปโดยปล่าว

    ประโยชน์ เพราะตอนจิตว่างนี้ดีนักสำหรับผู้ปฏิบัติ ให้สติจับรู้อยู่กับปัจจุบันให้

    ผลสมาธิเพิ่มขึ้น สมาธิที่มีสติจับทันปัจจุบันนั้นผลเป็นมหาสติ มหาสติรู้ทันใน

    ไตรลักษณ์ ผลเป็นปัญญา ปัญญามีสติรู้อยู่ในนั้น ผลเป็นวิสุทธิ หรือวิมุติ

    เมื่อเกิดความว่างแล้วไม่ต้องสงสัย ให้ทำสติอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ทางและผล

    จะมีอยู่ในนั้นทั้งหมด เมื่อสติรวมตัวแล้วให้จับอะไรที่อยู่ในตัวเราสักอย่างหนึ่ง

    จับดูมันอยู่ตรงนั้นแหละมองมันด้วยสติและปัญญามองดิ่งลงไปให้ลึกๆมองอยู่

    นะที่จุดนั้นที่เดียว เมื่อเรามีความว่างขนาดนี้แล้วพร้อมแล้ว การปฏิบัติของเรา

    นั้นเห็นผลแล้วได้ผลแล้ว อย่างไม่คาดคิด. ขอมอบให้กับทุกท่านที่พร้อมแล้ว

    ขอให้ผลของการกระทำของความว่างให้บรรลุถึงเป้าหมายอย่าได้มีมารเลย.

    การที่เรามีความว่างนั้นคือการปฏิบัติที่ได้ผลแล้วที่ผู้เขียนได้แนะนำให้ดูอะไร

    สักอย่างหนึ่งในตัวเองอย่างเช่นกระดูกข้อต่อที่หัวไหล่ก็ให้มองตรงนั้นมองแล้ว

    ใช้มหาสติของเราให้เห็นได้ชัดเลย นั่นคือผลของการปฏิบัติที่เราได้ฝึกฝนมา

    จนเกิดความว่างและเป็นความว่างที่มีความสุข. ปราสจากทุกข์ทั้งปวง.สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2013
  3. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713

    สวัสดีค่ะ คุณว่าง ยินดีค่ะที่นำธรรมะดีๆมาฝาก ขอน้อมรับทุกๆธรรมะ

    และจะปฏิบัติตามค่ะขออนุโมทนาค่ะ และขอขอบคุณกับธรรมะที่ฝากมาให้

    พวกเราชาว U.K สาธุ.
     
  4. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ธรรมมีอยู่ทั่วไป แต่ธรรมไม่ปรากฏแก่ใจนั้นก็เพราะเราไม่ได้แสวงหาอย่างจริงจังนั้นเอง การปฏิบัติต้องมีสติ ความจริงใจ ต่อการปฏิบัติ แต่ถ้ามีสติจะผิดพลาดก็น้อย แต่ถ้าไม่มีสติความผิดพลาดจะมีอยู่เสมอ ไม่ว่าทําการงานอะไรก็ตามต้องมีสติติดแนบ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเราๆท่านๆก็คือความผิดพลาดหรือเราไม่มีสตินั้นเอง ถ้าทางด้านปฏิบัติเราต้องมี "วิริยะธรรม ขันติธรรม สติธรรม" และปัญญาธรรม ต้องอาศัยการพิจารณา ตามขั้น ตามภูมิ ของตนเราจะเห็นว่าอะไรๆก็ไม่เที่ยงในโลกนี้ มีแต่ตายจากกันไป ขึ้นชื่อว่า "กิเลส"แล้วมีแต่ขวางกั้นทางเดินของธรรม ต้องเอาธรรมชําระอย่างอื่นไม่มี ต้องทําและหลุดพ้นที่ใจเท่านั้น กิเลสก็เหมือนผู้ต้องหาถูกจําจองไม่ได้รับอิสระภาพภายในตนเอง ถ้าเราเชื่อธรรมเราจะรู้ว่ากิเลสก่อแต่ทุกข์แต่ภัยให้เราตลอดกัปปตลอดกาลมานานแสนนาน ถ้าเรามีสติกํากับใจแล้วต้องมีความสงบได้ตั้งเจตนาลงอย่างจริงใจ คือการกําหนดเอาจริงลงที่ปัจจุบันธรรม ไม่ต้องเอา อคีด อนาคต มานึกคิดเอาปัจจุบัน จนเห็นความสงบลงที่ใจแล้วนั้น เรียกว่า "สมาธิธรรม"ถ้าเราทําจริงก็จะเจอของจริงเพราะมีใจจุดจ่ออยู่กับ"การภาวนา"ต้องสงบลงได้ แล้วก็ใช้ปัญญาหยั่งลงไปให้เห็นความจริงใช้"สติธรรม ปัญญาธรรม" จะได้ผลแน่นอน แต่ถ้า"เป็นสัญญา" นั้นก็เป็นเรื่องของทางโลกไปเสียเพราะโดนกิเลส ฉุดลากไปคิด"อคีด อนาคต"เลยเป็น"สมาธิหัวต่อ" คือไม่เกิดปัญญานั้นเอง ก็จะไม่สามารถรู้ทันกิเลสได้.ทีมา จากเทปธรรมะขององค์ หลวงตา มหาบัว ญาณสัมปันโน.ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้าค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2013
  5. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    <IMG src='http://palungjit.org/attachments/a.1258903/' width=450>

    <IMG src='http://palungjit.org/attachments/a.2444767/' width=450>

    เครดิต : เจ.ศayamol
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2013
  6. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    อัคคิวัจฉโคตตสูตร

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕
    มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์

    [๒๔๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ว่า:-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก-
    *เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ปริพาชกวัจฉโคตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
    ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่
    ควรส่วนข้างหนึ่ง.

    ทิฏฐิ ๑๐ อย่าง
    [๒๔๕] วัจฉโคตตปริพาชก นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มี
    พระภาคว่า ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า โลกเที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้
    หรือ?
    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น.
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า โลกไม่เที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริง
    สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ?
    ดูกรวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น.
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า โลกมีที่สุด สิ่งนี้เท่านั้นจริง
    สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ?
    ดูกรวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น.
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น
    สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ?
    ดูกรวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น.
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า ชีพอย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง
    สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ?
    ดูกรวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น.
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไป มีอยู่
    สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ?
    ดูกรวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น.
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไป ไม่
    มีอยู่ สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ?
    ดูกรวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น.
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไป มีอยู่
    ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ?
    ดูกรวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น.
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไป มีอยู่
    ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ?
    ดูกรวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น.

    [๒๔๖] พระองค์อันข้าพเจ้าทูลถามว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ท่านพระโคดมทรงเห็น
    อย่างนี้ว่า โลกเที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ ก็ตรัสตอบว่า ดูกรวัจฉะ เรา
    ไม่ได้เห็นอย่างนั้น. ฯลฯ พระองค์อันข้าพเจ้าทูลถามว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ท่านพระโคดม
    ทรงเห็นอย่างนี้ว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตาย มีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ ดังนี้หรือ ก็ตรัสตอบว่า
    ดูกรวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น. ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นโทษอะไรหรือ จึงไม่ทรงเข้าถึงทิฏฐิ
    เหล่านี้ โดยประการทั้งปวงเช่นนี้.

    [๒๔๗] ดูกรวัจฉะ ความเห็นว่าโลกเที่ยง ... โลกไม่เที่ยง ... โลกมีที่สุด ... โลกไม่มี
    ที่สุด ... ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ... ชีพอย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง ... สัตว์เบื้องหน้าแต่
    ตายไปมีอยู่ ... สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ ... สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี ...
    สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่ก็หามิได้ ดังนี้นั้น เป็นความเห็นที่รกชัฏ เป็น
    ความเห็นอย่างกันดาร เป็นความเห็นที่เป็นเสี้ยนหนาม เป็นความเห็นที่กวัดแกว่ง เป็นความ
    เห็นเครื่องผูกสัตว์ไว้ เป็นไปกับด้วยทุกข์ เป็นไปกับด้วยความลำบาก เป็นไปกับด้วยความ
    คับแค้น เป็นไปกับด้วยความเร่าร้อน ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับสนิท
    เพื่อสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน.
    ดูกรวัจฉะ เราเห็นโทษนี้แล จึงไม่เข้าถึงทิฏฐิเหล่านี้ โดยประการทั้งปวงเช่นนี้.
    ก็ความเห็นอะไรๆ ของท่านพระโคดม มีอยู่บ้างหรือ?
    ดูกรวัจฉะ ก็คำว่าความเห็นดังนี้นั้น ตถาคตกำจัดเสียแล้ว ดูกรวัจฉะ ก็ตถาคตเห็น
    แล้วว่า ดังนี้ รูป ดังนี้ ความเกิดแห่งรูป ดังนี้ ความดับแห่งรูป ดังนี้ เวทนา ดังนี้ ความ
    เกิดแห่งเวทนา ดังนี้ ความดับแห่งเวทนา ดังนี้ สัญญา ดังนี้ ความเกิดแห่งสัญญา ดังนี้
    ความดับแห่งสัญญา ดังนี้ สังขาร ดังนี้ ความเกิดแห่งสังขาร ดังนี้ ความดับแห่งสังขาร
    ดังนี้ วิญญาณ ดังนี้ ความเกิดแห่งวิญญาณ ดังนี้ ความดับแห่งวิญญาณ เพราะฉะนั้น เราจึง
    กล่าวว่า ตถาคตพ้นวิเศษแล้ว เพราะความสิ้นไป เพราะคลายกำหนัด เพราะดับสนิท เพราะสละ
    เพราะปล่อย เพราะไม่ถือมั่น ซึ่งความสำคัญทั้งปวง ซึ่งความต้องการทั้งปวง ซึ่งความถือว่า
    เราว่าของเรา และความถือตัวอันนอนอยู่ในสันดานทั้งปวง.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2013
  7. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    อัคคิวัจฉโคตตสูตร (ต่อ)

    ปัญหาว่าด้วยผู้หลุดพ้น
    [๒๔๘] ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ภิกษุผู้มีจิตพ้นวิเศษแล้วอย่างนี้ จะเกิดในที่ไหน?
    ดูกรวัจฉะ คำว่าจะเกิดดังนี้ ไม่ควรเลย.
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าเช่นนั้น จะไม่เกิดขึ้นหรือ?
    ดูกรวัจฉะ คำว่า ไม่เกิดดังนี้ ก็ไม่ควร.
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าเช่นนั้น เกิดก็มี ไม่เกิดก็มีหรือ?
    ดูกรวัจฉะ คำว่าเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี ดังนี้ ก็ไม่ควร.
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าเช่นนั้น เกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็มิใช่หรือ?
    ดูกรวัจฉะ คำว่าเกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็มิใช่ ดังนี้ ก็ไม่ควร.

    [๒๔๙] พระองค์อันข้าพเจ้าทูลถามว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ภิกษุผู้มีจิตพ้นวิเศษแล้ว
    อย่างนี้ จะเกิดในที่ไหน ก็ตรัสตอบว่า ดูกรวัจฉะ คำว่าจะเกิด ดังนี้ ไม่ควร. ฯลฯ พระองค์
    อันข้าพเจ้าทูลถามว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าเช่นนั้นเกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็มิใช่หรือ ก็ตรัสตอบว่า
    ดูกรวัจฉะ คำว่า เกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็มิใช่ ดังนี้ ก็ไม่ควร. ข้าแต่ท่านพระโคดม ในข้อนี้
    ข้าพเจ้าถึงความไม่รู้ ถึงความหลงแล้ว แม้เพียงความเลื่อมใสของข้าพเจ้าที่ได้มีแล้ว เพราะ
    พระวาจาที่ตรัสไว้ในเบื้องแรกของท่านพระโคดม บัดนี้ได้หายไปเสียแล้ว.

    [๒๕๐] ดูกรวัจฉะ ควรแล้วที่ท่านจะไม่รู้ ควรแล้วที่ท่านจะหลง เพราะว่าธรรมนี้
    เป็นธรรมลุ่มลึก ยากที่จะเห็น ยากที่จะรู้ สงบระงับ ประณีต ไม่ใช่ธรรมที่จะหยั่งถึงได้ด้วย
    ความตรึก ละเอียด บัณฑิตจึงจะรู้ได้ ธรรมนั้นอันท่านผู้มีความเห็นเป็นอย่างอื่น มีความพอใจ
    เป็นอย่างอื่น มีความชอบใจเป็นอย่างอื่น มีความเพียรในทางอื่น อยู่ในสำนักของอาจารย์อื่น
    รู้ได้โดยยาก ดูกรวัจฉะ ถ้าเช่นนั้น เราจักย้อนถามท่านในข้อนี้ ท่านเห็นควรอย่างใด ก็พึง
    พยากรณ์อย่างนั้น ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ถ้าไฟลุกโพลงอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านจะพึง
    รู้หรือว่า ไฟนี้ลุกโพลงต่อหน้าเรา.
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าไฟลุกโพลงต่อหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพึงรู้ว่า ไฟนี้ลุกโพลงอยู่
    ต่อหน้าเรา.
    ดูกรวัจฉะ ถ้าใครๆ พึงถามท่านอย่างนี้ว่า ไฟที่ลุกโพลงอยู่ต่อหน้าท่านนี้ อาศัยอะไร
    จึงลุกโพลง ท่านถูกถามอย่างนี้แล้วจะพึงพยากรณ์ว่าอย่างไร?
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าใครๆ ถามข้าพเจ้าอย่างนี้ว่า ไฟที่ลุกโพลงต่อหน้าท่านนี้ อาศัย
    อะไรจึงลุกโพลง ข้าพเจ้าถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ไฟที่ลุกโพลงอยู่ต่อหน้าเรานี้
    อาศัยเชื้อ คือหญ้าและไม้จึงลุกโพลงอยู่.
    ดูกรวัจฉะ ถ้าไฟนั้นพึงดับไปต่อหน้าท่าน ท่านพึงรู้หรือว่า ไฟนี้ดับไปต่อหน้าเราแล้ว?
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าไฟนั้นดับไปต่อหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพึงรู้ว่าไฟนี้ดับไปต่อหน้า
    เราแล้ว.
    ดูกรวัจฉะ ถ้าใครๆ พึงถามท่านอย่างนี้ว่า ไฟที่ดับไปแล้วต่อหน้าท่านนั้น ไปยังทิศ
    ไหนจากทิศนี้ คือทิศบูรพา ทิศปัจจิม ทิศอุดร หรือทิศทักษิณ ท่านถูกถามอย่างนี้แล้ว จะ
    พึงพยากรณ์ว่าอย่างไร?
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ข้อนั้นไม่สมควร เพราะไฟนั้นอาศัยเชื้อ คือหญ้าและไม้จึงลุก
    แต่เพราะเชื้อนั้นสิ้นไป และเพราะไม่มีของอื่นเป็นเชื้อ ไฟนั้นจึงถึงความนับว่าไม่มีเชื้อ ดับ
    ไปแล้ว.

    การละขันธ์ ๕
    [๒๕๑] ฉันนั้นเหมือนกัน วัจฉะ บุคคลเมื่อบัญญัติว่าเป็นสัตว์ พึงบัญญัติเพราะ
    รูปใด รูปนั้นตถาคตละได้แล้ว มีมูลรากอันขาดแล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี
    มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ตถาคตพ้นจากการนับว่ารูปมีคุณอันลึก อันใครๆ ประมาณ
    ไม่ได้ หยั่งถึงได้โดยยาก. เปรียบเหมือนมหาสมุทรฉะนั้น ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิด ไม่ควรจะ
    กล่าวว่าไม่เกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี ไม่ควรจะกล่าวว่า เกิดก็หามิได้ ไม่เกิด
    ก็หามิได้. บุคคลเมื่อบัญญัติว่าเป็นสัตว์ พึงบัญญัติเพราะเวทนาใด ... เพราะสัญญาใด ... เพราะ
    สังขารเหล่าใด ... เพราะวิญญาณใด ... วิญญาณนั้น ตถาคตละได้แล้ว มีมูลรากอันขาดแล้ว
    ทำให้ดุจเป็นตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ตถาคตพ้นจากการ
    นับว่าวิญญาณ มีคุณอันลึก อันใครๆ ประมาณไม่ได้ หยั่งถึงได้โดยยาก. เปรียบเหมือน
    มหาสมุทรฉะนั้น ไม่ควรกล่าวว่าเกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าไม่เกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิดก็มี ไม่เกิด
    ก็มี ไม่ควรจะกล่าวว่า เกิดก็หามิได้ ไม่เกิดก็หามิได้.

    ปริพาชกวัจฉโคตรถึงสรณคมน์
    [๒๕๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว วัจฉโคตตปริพาชกได้ทูลพระผู้มีพระภาค
    ว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม เปรียบเหมือนต้นสาละใหญ่ ในที่ใกล้บ้านหรือนิคม กิ่ง ใบ เปลือก
    สะเก็ด และกระพี้ ของต้นสาละใหญ่นั้น จะหลุดร่วง กะเทาะไปเพราะเป็นของไม่เที่ยง สมัย
    ต่อมา ต้นสาละใหญ่นั้นปราศจาก กิ่ง ใบ เปลือก สะเก็ด และกระพี้แล้ว คงเหลืออยู่แต่
    แก่นล้วนๆ ฉันใด พระพุทธพจน์ของท่านพระโคดม ก็ฉันนั้น ปราศจากกิ่ง ใบ เปลือก
    สะเก็ด และกระพี้ คงเหลืออยู่แต่คำอันเป็นสาระล้วนๆ.
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของ
    พระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
    หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด ท่านพระโคดมทรงประกาศ
    ธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าพระองค์นี้ถึงท่านพระโคดม พระธรรมและภิกษุสงฆ์
    ว่าเป็นสรณะ ขอท่านพระโคดม จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต
    ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้แล.

    จบ อัคคิวัจฉโคตตสูตร
     
  8. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
  9. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนา สาธุ กับ ครูพี่ภูที่นําเอา "ปัญญา" มาแสดงให้ได้รู้เพราะปัญญามีอยู่ด้วยกัน ๓ ขั้น แต่ขั้น "ภาวนามยปัญญา" เป็นปัญญาที่ใช้ฆ่า "กิเลสล้วนๆ" ที่ได้จาก "การภาวนาโดยตรง" จึงขอ กล่าวคํา "อนุโมทนา สาธุ" ค่ะ
     
  10. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ปลูกต้นไม้ หวังผล สอนคนหวัง-เพื่อ-มี-เป็น-ไปได้ประโยนช์ ต้นไม้ผลิตดอก ออกผล ต้นไม้มีสาระทุกส่วนแม้จะแห้งหรือสด ยิ่งมีสาระยิ่งกว่าชีวิตของเราร้อยล้านพันทวีโน้นแหละ ใบ ดอก ผล ต้น ราก มากไปด้วยสาระประโยนช์ยิ่ง จึงเปรียบเทียบดังนี้
    ผู้มีปัญญาสร้างป่า คนมีตัณหาสร้างบ้าน คนพาลสร้างโรงสุรา คนโมหาสร้างโรงฝิ่น
    คนทุศีลสร้างโรงยาสูบ คนมีอวิชชาสร้างโรงหนัง คนมีหวังสร้างโรงพยาบาล คนสงสารสร้างโรงเรียน คนเสถียรสร้างโรงพัก คนพิทักษ์สร้างโรงพิมพ์ คนจิตอิ่มสร้างโรงทาน
    คนเบิกบานสร้างศาลา คนมีวิชาสร้างโรงแรม คนยิ้มแย้มสร้างวัด คนฝึกหัดสร้างโรงงาน
    คนสําราญสร้างวิหาร คนทรมานสร้างโรงฆ่าสัตว์ คนเจนจัดสร้างสถาบัน คนสําคัญสร้างมหาวิทยาลัย คนมีภัยสร้างกําแพง คนระแวงสร้างอคติ คนตําหนิสร้างศัตรู คนลบหลู่สร้างเนรคุณ ก็คือ เราชอบสิ่งไหนเราก็จะทําสิ่งนั้น คนชอบปฏิบัติก็จะได้ธรรม แล้วแต่ความชอบแต่ละท่านค่ะ ที่มา หนังสือ ธรรมะสาระของชีวิต.(หลวงปู่ทองใบ ปภัสฺสโร)
     
  11. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    สิ่งมหัศจรรย์ ๗ อย่างในโลกนี้ ก็มีอยู่แต่ถ้าเราอยากเห็นเราก็จะเสียทั้งเวลา เสียทั้งเงินไปดู เพราะมันไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน เพราะแต่ละที่อยู่ต่างที่กันต่างทวีป แต่ สิ่งที่เราควรมีอยู่ในตัวเรานี้ เราก็สามารถทําได้คือ ๗ อย่างมหัศจรรย์ที่บุคคลควรมี ๑.ได้เกิดเป็นมนุษย์ ๒.การได้ดํารงค์ชีวิตที่ปลอดภัย
    ๓.เกิดมาในพระพุทธศาสนา(หรือทันคําสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
    ๔.การได้ฟังสัจธรรม ๕.การมีกัลยาณมิตร ๖.มีสุขภาพที่ดี ๗.มีสติรู้ทันกิเลส ๗อย่างนี้ถ้าเราสามารถที่จะทําให้เกิดขึ้นโดยเราไม่ได้เสียอะไรเลย เพราะการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ไม่ได้ง่ายๆและจะได้มาพบพระศาสนานั้นก็ไม่ใช่ได้ง่ายๆ เพราะสิ่งเหล่าจึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่มีอยู่ในตัวของเรานี่เอง.ทีมาได้ยินได้ฟังจากธรรมะ ท่าน ว. วชิรเมธี
     
  12. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    โอ้ ต้นกล้วย สวยงาม ตามธรรมชาติ

    น่าอนาจ เหลือที่ เมื่อมีผล

    ถนอมลูก ไว้จนโต โอ้เหลือทน

    จนลำต้น โค้งค้อม น้อมลงมา

    พอลูกแก่ แม่โอน เขาโค่นทิ้ง

    นี่เป็นสิ่ง น่าคิด ปริศนา

    เขาโค่นแม่ เพื่อประโยชน์ โภชนา

    เข้าตำรา ตายเพราะลูก ถูกจริงๆ พระครูสุมณฑ์ภาวนานุรักษ์

    ณ. สวนป่าแสงธรรม วัดกลาง ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2013
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    อนิสงส์ของการปพฤติธรรม ๑๐ ประการ คือ

    ๑ เป็นมหากุศล ๒ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท ๓ เป็นผู้รักษา พระสัทธรรม

    ๔ นำพระศาสนาให้เจริญ ๕ เป็นสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า ๖ ปราศจากเวรและภัยทั้งปวง

    ๗ เป็นผู้ให้อภัยทานในสัตว์ทั้งหลาย ๘ เดินตามปฏิปทาของนักปราชญ์

    ๙ ห่างจากข้าศึกภายนอกและภายใน ๑๐ เป็นการสร้างมนุษย์สมบัติ.

    สวรรค์สมบัติ. และพระนิพพานสมบัติ.
     
  14. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    มอบให้ อ.ภู และครู กูรู ทุกท่านครับ :'(

    <iframe width="320" height="215" src="http://www.youtube.com/embed/7874CEJIsmU" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="320" height="215" src="http://www.youtube.com/embed/ouw36HbfrnY" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="320" height="215" src="http://www.youtube.com/embed/rzTMS2xxLnQ" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2013
  15. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    คุณข้างบน ทำซึ้ง แต่เช้า แงๆๆ:'(

    ขอมอบความปรารถนาดี ถึงคุณครูทุกท่านนะคะ
     
  16. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คำว่า “เที่ยง” หรือ “แน่นหนามั่นคง” หรือ “จีรังถาวร”
    เป็นสิ่งที่โลกต้องการในส่วนที่พึงปรารถนา เช่น ความสุข เป็นต้น
    แต่สิ่งดังกล่าวจะหาได้ที่ไหน ? เพราะในโลกนี้เต็มไปด้วย
    สิ่งที่ขัดต่อความต้องการของโลกทั้งนั้น
    คือ เป็น อนิจฺจํทุกฺขํ อนตฺตา ไปเสียสิ้น

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ที่มา fb เครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
     
  17. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    “ทิ้งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเมื่อไหร่ ทุกข์เมื่อนั้น”

    หลวงปู่ชา สุภัทโท
    ที่มา fb ธรรมโอสถ
     
  18. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    มาร กับความดี

    มาร ๕ อย่างประกอบด้วย

    กิเลสมาร ความชั่วที่อยู่ในใจของเราเอง
    ขันธมาร สภาพร่างกายของเราเอง
    เทวปุตมาร เทวดาที่มาทดสอบกำลังใจของเรา
    อภิสังขารมาร บุญ-บาปที่มาขวางเรา
    มัจจุมาร ความตายที่มาขวางเรา

    กิเลสมาร ความชั่วในใจของเรา รู้อยู่แล้ว รัก โลภ โกรธ หลง ที่มันเกิดขึ้น

    ขันธมาร คือสภาพร่างกายคอยกลั่นแกล้ง คอยขัดขวางเราอยู่ เวลาที่เราไม่คิดจะทำดี ร่างกายแข็งแรงทำโน่นทำนี่ได้สารพัด บางคนกินเหล้าเมาหัวทิ่มนอนตากน้ำค้างทั้งคืนไม่เป็นไร แต่พอหันเข้ามาถือศีลปฏิบัติธรรมป่วยแทบตาย กลายเป็นบางคนเข้าใจผิดไปเลยว่าเข้าวัดแล้วทำให้เป็นยังงี้ ก็เลยพาลไม่เข้าไปเลย

    เทวปุตมาร เทวดาที่มาลองใจเรา ถ้าหากว่าเราทำข้อสอบนั้นผ่านได้ ไม่รัก โลภ โกรธ หลง ไปตามการณ์ที่ยั่วยุทดสอบของท่าน เราก็จะไม่แพ้ในตรงจุดนั้นอีก แต่ถ้าหากเราพลาด ไม่สามารถก้าวผ่านไปได้ ท่านก็เลยกลายเป็นมารคือ ผู้ขวาง ผู้ฆ่าของเรา แต่จริง ๆ เจตนาของท่านก็คือต้องการทดสอบให้เราผ่าน

    อภิสังขารมาร บุญ-บาป บาปเรารู้ว่าขวางความดีอย่างไร แล้วบุญขวางได้ยังไง ก็อย่างเช่นว่า อรูปฌาน เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ อรูปพรหม อายุตั้ง ๘๔,๐๐๐ มหากัป คุณไม่ต้องทำมาหากินอะไรหรอก ติดแหง็กอยู่แค่นั้น พอกินบุญหมดแล้วลงยาว ถ้าหากว่าไม่มีเศษบุญเหลือ ดีไม่ดีลงนรกไปเลย มันขวางได้ขนาดนี้

    ตัวสุดท้ายคือ มัจจุมาร บางคนกำลังใจเข้มแข็งแรงมาก เขารู้ว่าถ้าหากว่าปล่อยให้เราทำความดี เราพ้นมือเขาแน่ เขาตัดให้ตายไปเลย อาศัยช่วงจังหวะอุปฆาตกรรมที่เข้ามาถึง ทำให้เราจะต้องสิ้นชีวิตลง เสียเวลาไปเกิดใหม่อีกรอบหนึ่ง ใช้วิธีเหยียบเบรกไว้ก่อน สกัดดาวรุ่ง

    มารทั้งหมดไม่ใช่แค่ความรู้สึกเฉย ๆ มันมีตัวมีตนของมันจริง ๆ สามารถพบเห็นได้ ถ้ามีทิพจักขุญาณจริง แต่ว่ามันแปลกตรงที่ว่าเขาแฝงมาอย่างแนบเนียนที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเรา เขาสามารถแฝงเพื่อใช้งานได้หมด อันนี้ฟังไว้เฉย ๆ ไม่ต้องกลัว บอกแล้วว่าเขาเป็นครูที่ดี

    เพราะฉะนั้นครูที่ดีการสอนต้องละเอียดมาก เคยพูดเต็มปากเต็มคำว่า มาร กับความดี หน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง เพียงแต่ว่าก้าวสุดท้าย ความดีชักเราไปสุคติ ไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพาน แต่มารพาเราลงนรกบ้าง เป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานบ้าง จ่อมจมต่อไป

    เพราะฉะนั้นสรุปว่า เขาทำหน้าที่ของเขา ให้เขาทำไป หน้าที่ของเรา เราก็ทำของเราไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่มีใครเป็นศัตรูกับใคร ครูมีความสามารถสูง ขยันออกข้อสอบ เด็กอย่าไปกลัวเลย ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำ

    พระอาจารย์เล็ก เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน
    อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

    ที่มา fb Motanaboon.Com
     
  19. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สาธุ สาธุ สาธุ พี่เพ็ญขา ช่วยประกาศด้วยจ้าาา..:cool:

    กราบแทบเท้าครูทุกท่านผู้มีพระคุณ ขออนุญาติอธิบายเพิ่มเติม การละสังโยชน์ 10ประการค่ะ.

    ว่าตั้งแต่การเริ่มต้นปฏิบัติมาเป็นเวลา เกือบสิบปี เคยอ่านหนังสือเพียงเล่มเดียว คือทางสายเอกของหลวงพ่อจรัญ เชื่อในกฏแห่งกรรมมาตลอด ขยันทำบุญทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่ในช่วงนั้นเน้นการทำทานค่ะ ทำแล้วจะรวยเชื่อว่าอย่างนั้น ยังทำทานด้วยความอยาก อยู่มาก ประมาณว่า ทำ10 บาทหวังเป็นหมื่นแสน เชื่อเรื่องอิทธิปาฏิหารมากจนถูกหลอกไม่รู้เท่าไหร่ค่ะ แต่ยังดี ยึดศีล เป็นที่ตั้ง สวดมนต์ ภาวนา อโหสิกรรมเป็นประจำยึดว่าเอาใจสงบอย่างเดียวเป็นใช้ได้ นั่นเป็นช่วงระยะ4 ปีแรกค่ะทำดีค่ะมีสติในตอนไปปฏิบัติธรรมเผลอหน่อยเดียวจิตใจหวั่นไหวอยากจะผิดศีลอีกแล้วโดยเฉพาะศีลข้อ3ค่ะ เมื่อมีอาการก็อยากจะหนีเข้าวัดอย่างเดียวเพื่อเรียกสติแต่ลึกๆก็รู้นะค่ะว่ามันเป็นการวิ่งหนีปัญหาชั่วคราวเท่านั้น ต่อมาในระยะ 3 ปีให้หลังนี้จิตใจตั้งมั่นเอาแค่ ทาน ศีล ภาวนา ใจสงบ เชื่อกฏแห่งกรรม อยู่กับปัจจุบัน อะไรเข้ามาดับแหลกค่ะ ในตอนนั้นยังเน้นจิตสงบ. อย่างเดียว แต่ลึกๆข้างในยังรู้สึกว่ายังไม่ใช่ค่ะ มันจะจิตว่างอย่างเดียว คือว่ามีปัญหาเข้าห้องสวดมนต์ นั่งสมาธิ 3 ชม ไม่ขยับมันแค่ลืมชั่วคราวเท่านั้น พอออกมา สิ่งต่างเหล่านั้นก็ยังอยู่. 2 ปีหลังนี้เพิ่งปราถนาพระนิพาน เคยได้ยินค่ะแต่ลึกๆแล้วต่อต้านค่ะ ว่าอย่างเรานี่นะมนุษย์ศีล5.. จะไปพระนิพพาน...และเป็นคนหัวดื้อมากค่ะ..ศึกษาแค่นี้พอใจแค่นี้เพราะว่า...เราคิดว่ามันยากเกินไปสำหรับเรา...และแล้วก็ถึงเวลา...การปฏิบัติดำเนินมาถึงจุดหนึ่ง คือสงบอย่างเดียวเป็นก้อนแค่จิตรวมเห็นภาพนิมิตรพอใจแค่นี้... ต่อมาก็ได้พบกับคุณครูพี่แนท...เป็นครั้งแรกที่ได้ศึกษาธรรมมะของท่านพระหลวงพ่อพระฤาษี...รู้สึกศรัทธา. ท่านมากค่ะก็สนใจเชื่อและอยากจะพบครูบาอาจารย์ เพราะรู้สึกว่าการปฏิบัติไม่ถึงไหนเลย...ค่ะ จนเมื่อต้นปีที่ได้เข้ามาฝึกจิตเกาะพระ เริ่มพยายามทำความเข้าอย่างตั้งใจจริงทำทุกอย่างที่ครูแนะนำ โดยไม่ถ้อค่ะทำๆๆอยู่ทุกขณะจิตค่ะจะต้องทำงานเลี้ยงลูกและธุระมากมายเรียกว่าชีวิตค่อนข้างยุ่งค่ะ...

    1.สักกายทิษฐ์ ; มีความเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงกายเป็นเพียงธาตุ 4 มาประชุมรวมตัวกันแต่เพียงเท่านั้นค่ะ ไม่ใช่ตัวตน สังขารร่างกายล้วนเป็นไปตามพระไตรลักษณ์ ล้วนเกิดมาตามเหตุและปัจจัยต่างๆ ชุมกันกันในระยะหนึง ตั้งอยู่แปรปรวน และดับไปเป็นธรรมดาค่ะ ไม่มีตัวตน เป็นอนัตตา เมื่อไม่มีตัวตน. เราเขาไม่มี และยึดถึงร่างกายแล้วค่ะ มันจะเหนื่อย จะแก่ตาย ก็ตามแต่...อยากก็ตาย ...ไม่อยากก็ตายอยู่ดี ....แล้วจะไปเป็นทุกข์กับมันทำไมกัน ทุกๆลมหายใจระลึกถึงความตายเป็นอารมย์ เข้าก็ตาย...ออกก็ตาย... ไม่มีความสำคัญอะไรค่ะ..ตายก็ดีไม่ต้องการอีกต่อไป...ตอนนี้ยังไม่ตายมีหน้าที่อะไรก็ทำไปตามนั้นคอยระวังไม่ให้ไปทำความชั่วที่ไหนก็พอค่ะ...

    2.วิจิกิจฉา; ไม่มีความสงสัยในพระรัตนตรัย เชื่ิอมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพระธรรมคำสั่งสอนขอองค์พระศาสดา ที่ทรงมีพระเมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งสามโลกให้พ้นทุกข์ มีความสุข และหากเราปฏิตามอย่างเคร่งครัด แล้วย่อมหลุดพ้นจากการเวียนว่ายในวัฏสงสารอย่าแน่นอนโดยมิต้องสังสัยเลย และรู้สึกทราบซึ้งในพระปัญญาธิคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ อย่างล้นพ้นค่ะ

    3. สีลัพพตปรามาส ; มีความถือมั่นเชื่อมั่นในศีลอย่างเคร่งครัด เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์แห่งศีล
    เป็นเหตุแห่งสมาธิ และปัญญาตามลำดับ เชื่อทุกอย่างเริ่มต้นจากศีลต้องบริสุทธิ์ มีความสุขในการรักษาศีลตลอดเวลาและจะรักษาและปฏิบัติเคร่งครัดกาย วาจา ใจ แบบไม่ต้องฝืนหรือพยายามเลยแม้แต่น้อย...เพิ่มขึ้นเริ่มอยากถือศีลแปดแล้วค่ะ...รู้สึกว่าศีล5 มันเด็กๆ ...ไม่อยากออกไปไหนถ้าไม่จำเป็น มีความสุขอยู่กับการฟังเทศน์มั่นพังเพลงก็ไปเพลงธรรมมะ ตรวจดูกิเลส ถ้ามีอะไรผุดขึ้นมาก็ตามจัดการกับมันค่ะ...ไม่ฟุ้งซ่านสำรวม.. ขึ้นมากค่ะจะทำอะไรตอนนี้กลัวบาปมากค่ะ กลัวศีลจะพร่องค่ะ จะพูดอะไร..จะทำอะไร..ก็คิดทบทวนค่ะ..เอาศีลเป็นที่ตั้ง...เรื่องนินทาเลิกเด็ดขาดแน่นอน...จะพูดแต่เรื่องที่ดีมีประโยชน์เท่านั้นค่ะ

    4.กามฉันทะ ; ส่วนอันนี้ชัดที่สุดค่ะ..เมื่อก่อนจะออกข้างนอกเสื้อผ้า หน้า ผม ต้องเป๊ะค่ะ... ไม่ยอมใส่ชุดเดิมเด็ดขาด...ส่วนตอนนี้แค่ทาครีมกันผิวแห้ง ก็ไปแล้วค่ะ..เสียดายเวลาเดินชอบป์...เอาเวลามาสวดมนต์ฟังเทศ..แม้เพลงหรือหนังเป็นแนวธรรมมะหมดค่ะ..กระทั่งข่าวสนใจเฉพาะงานบุญการกุศลค่ะ...รู้สึกว่าเวลามีค่ามาก อยากจะสร้างความดีให้มากที่สุดค่ะ

    5.ปฏิฆะ; นี้อันเป็น สามารถละ ความโกรธ ได้อย่างไม่น่าเชื่อค่ะ ไม่ดุลูกเลยค่ะไม่ทะเลาะกับสามีมา15วันแล้วค่ะ ทั้งที่เขาก็เป็นเหมือนเดิม...ทุกอย่าง...มีความรำคาญแม่สามี..ไม่มี..มีแต่ความสงสารอยากทำความดีต่อกันให้มากที่สุดคนเราไม่นานก็ตายจากกันแล้วค่ะ... รีบขอขมาโทษมีกรรมวาจากับท่านมากค่ะ..บ่นค่ะเก่งค่ะ..(เพราะต้องดูแลเขาและอยู่ด้วยกันค่ะ ยกกำลังสามแถมทำงาน เกือบ 20 ชม ต่อ week ) เหนื่อยแค่ไหนยุ่งแค่ไหนไม่เคยทิ้งพระเลยแม้จะไปทำงานมีอาการจับภาพพระทันทีค่ะและในเมื่อความตายมันเกิดขึ้นกับเราแน่นอน และตลอดเวลา...เราประมาทไม่ได้แล้ว...รีบโทรขอขมาคุณแม่ คุณพ่อทันทีค่ะ ตลอดทั้งสามี เพื่อนๆทีเราโกรธมาก เคืองกันมา7 เดือน...เราสามารถขอโทษเขาทั้งที่เราไม่ผิด..แต่วันนี้เราไม่เอาผิดถูกค่ะ... เราเอาอโหสิกรรม กาย. วาจา ใจ. รู้สึกว่าไม่เคยมีความสุขเท่านี้มาก่อนในชีวิต ตอนที่ทุกอย่างจบลงด้วยเมตตาที่แท้จริง เสียดายเวลา7เดือนไม่พอค่ะ เสียตั้งแต่เกิดมาจนป่านนี้อายุ ปาเข้าไป 32 ปียังทำดีไม่พอค่ะต้องทำทุกลมหายใจค่ะ.

    6 รูปฌาณ ; อันนี้ชัดค่ะเมื่อก่อนติดสุขมากมาก...เล่นนั่งไม่ขยับ3-4ชั่วโมงนี่สบายๆค่ะ...รวมสวดมนต์ด้วยก็เกือบ 5 ชั่วโมงคิดว่าถ้าตายตอนนี้ละก็... ตอนไม่มีแล้วค่ะ...ไม่ใช่ทางหลุดพ้น..

    7 อรูปฌาณ ; อันนี้ก็เช่นกันค่ะ ไม่ยึดกับมันค่ะ...เพราะมันไม่ใช่ทางหลุดพ้นเลย

    8 ทิถิมานะ ; อันนี้มากค่ะ... ถ้าไม่ฝึกจิตเกาะพระ..ไม่เคยทราบมาก่อนค่ะว่าข้าพเจ้านี้..สอนยากมาก..ขี้อิจฉา..ก็ที่หนึ่ง..ค่ะเห็นใครดีเด่น..เป็นต้อง..มีข้อแม้กับเขา.. ตอนนี้ไม่มีค่ะ ทุกคนเสมอเหมือนมีสิทธิความเป็นเท่ากัน คือเกิดแก่เจ็บตาย..เห็นใครทำดี..ต้องอนุโมทนาด้วยความเต็มใจ..จากใจจริงๆ ถึงตอนนี้แล้วมองอะไรเป็นเมตตาค่ะ..มามัวแข่ง ความสามัคคีจะเกิดขึ้นได้อย่างไรค่ะ.

    9. อุทธัจจะ ; ตัดขันธ์๕ เด็ดขาดตัวเดียวค่ะ ทุกอย่างจบ ไม่มีตัวตน คน สัตว์ สิ่งของ อะไรก็ตามไม่สามารถมาทำความฟุ้งซ่านได้ อารมย์นี้ตอนท่านพ่อ ยกจิต เห็นกายไม่ต่างกันเลย กับ หมาตายตัวหนึง ที่ดิน บ้านช่อง แม้ขนเส้นเดียวเอาไปไม่ได้ จะเสียเวลาทำไมกัน...

    10. อวิชชา ; ไม่เอาแล้วค่ะเกิดเป็นมหาเศษฐี เจ้าจักรพรรค์ แม้สวรรค์ชั้นใด พุ่งตรง พระนิพานสถานเดียวค่ะ นิพพานัง ปัจจะ โย โห ตุ ขอเกาะพระบาทตลอดกาล

    เป้ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 มกราคม 2013
  20. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    จะซึ้งอีกสักคลิปสองคลิป ก็ไม่ว่านะ :'(

    <iframe width="320" height="215" src="http://www.youtube.com/embed/36Jw1uBm47c" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="320" height="215" src="http://www.youtube.com/embed/HeTXrcX0AkY" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>​
     

แชร์หน้านี้

Loading...