ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสบอกชัด คนไทยจะถูกกำจัดอย่างไร ถ้าพระนารายณ์เปลี่ยนไปเป็นคริสต์

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 9 กันยายน 2007.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสบอกชัด คนไทยจะถูกกำจัดอย่างไร ถ้าพระนารายณ์เปลี่ยนไปเป็นคริสต์
    บรรยายธรรมโดย พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)<O:p</O:p

    สำหรับประเทศฝรั่งเศส ในรัชกาลพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ มหาราชนี้ นอกจากสงครามศาสนาที่ฝรั่งเศสเข้าไปร่วมรบระหว่างประเทศแล้ว ภายในประเทศของตนเอง การกำจัดกวาดล้างทางศาสนาก็ดำเนินมาอย่างยืดเยื้อ ต่อเนื่องจากรัชกาลก่อนๆ<O:p</O:p
    ฝรั่งเศสนั้นเป็นประเทศคาทอลิก ดังนั้น ภายในประเทศ จึงมีการกำจัดพวกโปรเตสแตนต์เรื่อยมา <O:p</O:p
    ชาวโปรเตสแตนต์ในฝรั่งเศสมีชื่อเรียกพิเศษว่าพวก “ฮิวเกนอต” (Huguenot) ซึ่งเริ่มตั้งกลุ่มเกิดมีองค์กรขึ้นเมื่อ ค.ศ. ๑๕๕๙ (พ.ศ. ๒๑๐๒) แต่หลังจากนั้นเพียง ๓ ปี คือ ค.ศ. ๑๕๖๒ (พ.ศ. ๒๑๐๕) ก็เริ่มเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างพวกฮิวเกนอตนั้นกับพวกคาทอลิก ฝ่ายโปรเตสแตนต์ถูกสังหารหมู่ จึงตอบโต้ด้วยการสังหารบาทหลวงและข่มขืนแม่ชี สงครามดำเนินต่อไปโดยทั้งสองฝ่ายทำการต่างๆ อย่างโหดร้าย <O:p</O:p
    ชาวคริสต์ ๒ นิกายนี้ทำสงครามกลางเมืองกันมาเรื่อยๆ อย่างยืดเยื้อและล้มตายกันไปมาก จนหลังสงครามกลางเมืองครั้งที่ ๘ แล้ว มีกษัตริย์ที่เดิมเป็นโปรเตสแตนต์ได้ขึ้นครองราชย์ ยอมสยบต่อวาติกัน หันไปนับถือคาทอลิก แล้วได้ประกาศราชโองการแห่งแนนต์ส์ (Edict of ffice:smarttags" /><?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]<ST1:place w:st="on">Nantes</ST1:place></st1:City>) เมื่อปี ๑๕๙๘ (พ.ศ. ๒๑๔๑) ทำให้ชาวโปรเตสแตนต์ได้มีสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาและประกอบพิธีกรรมของตน พวกฮิวเกนอตจึงค่อยหายใจสะดวกขึ้น<O:p</O:p
    แต่พอถึง ค.ศ. ๑๖๒๗ (พ.ศ. ๒๑๗๐) บาทหลวงใหญ่ ซึ่งเป็นรัฐบุรุษด้วย คือ คาร์ดินัล ริเชลลู (Cardinal Richelieu) ได้ยกทัพมาล้อมฐานที่มั่นของพวกฮิวเกนอต หลังจากล้อมอยู่ ๑๔ เดือน และทัพเรืออังกฤษมาช่วยไม่สำเร็จ พวกคาทอลิกก็ยึดที่มั่นได้ หลังจากนั้นพวกฮิวเกนอตก็สูญสิ้นอำนาจการเมืองที่มีกำลังทหารของตนเอง และพวกฮิวเกนอตก็อยู่ในฐานะลำบากมากขึ้น เช่น แม้จะยังมีเสรีภาพในการนับถือหรือทำพิธีบูชา แต่ไม่มีสิทธิชุมนุมและขาดที่หลบลี้ภัย <O:p</O:p
    ชะตากรรมของพวกฮิวเกนอตมาถึงจุดจบในรัชกาลพระเจ้า หลุยส์ที่ ๑๔ มหาราช ใน ค.ศ. ๑๖๘๕ (พ.ศ. ๒๒๒๘) เมื่อพระองค์ได้ทรงยกเลิกเพิกถอนพระราชโองการแห่งแนนต์ส์ (Edict of Nantes) ที่ให้สิทธิเสรีภาพแก่พวกฮิวเกนอตไว้ตั้งแต่ ค.ศ. ๑๕๙๘ (พ.ศ. ๒๑๔๑) ทรงห้ามมิให้มีการถือปฏิบัติลัทธิศาสนาอื่นใดนอกจากศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก<O:p</O:p
    ถึงตอนนี้พวกฮิวเกนอตก็หมดทางไป และในที่สุดพวกฮิวเกนอตส์ประมาณ ๕ แสนถึง ๑ ล้านคน ต้องอพยพหนีภัยไปอยู่ในประเทศอื่นที่นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ เช่น อังกฤษ ฮอลแลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน เยอรมัน อาฟริกาใต้ และจำนวนหนึ่งก็หนีต่อจากยุโรปไปยังดินแดนแห่งโลกใหม่ คือ อเมริกา ไปอยู่ในรัฐต่างๆ เช่น แมสสาจูเซตส์ นิวยอร์ก ฟลอริดา และเซาต์คาโรไลนา<O:p</O:p
    หลายประเทศในยุโรปยินดีต้อนรับ ให้พวกฮิวเกนอตส์เข้าไปอยู่ในประเทศของตน เพราะพวกฮิวเกนอตส์เป็นคนระดับที่มีการศึกษาดี เช่นเป็นขุนนาง พ่อค้า ปัญญาชน และช่างฝีมือต่างๆ รวมทั้งนายทหาร และนักเดินเรือทะเล การอพยพใหญ่ครั้งนี้ทำให้ประเทศฝรั่งเศสสูญเสียทรัพยากรคนไปมากมาย และทำให้ประเทศอ่อนแอลง<O:p</O:p
    ต่อมาในปี ๑๗๑๕ (พ.ศ. ๒๒๕๘) พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้ทรงประกาศว่า พระองค์ได้ทำให้ศาสนานิกายโปรเตสแตนต์จบสิ้นการดำเนินการทุกอย่างหมดไปแล้วจากประเทศฝรั่งเศส (พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เองก็ได้สวรรคตในปีนี้)<O:p</O:p
    แต่ที่ว่าโปรเตสแตนต์จบสิ้นจากฝรั่งเศสนั้น ไม่หมดจริงโดยสิ้นเชิง พวกโปรเตสแตนต์ยังรวมกลุ่มประชุมกันพยายามฟื้นนิกายของเขาขึ้นมา และต่อมาก็มีการพยายามกำจัดพวกฮิวเกนอตอีกในช่วง ค.ศ. ๑๗๔๕–๑๗๕๔ คือ พ.ศ. ๒๒๘๘–๒๒๙๗ แต่ถึงตอนนี้ประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายไม่พอใจการห้ำหั่นบีฑากันแล้ว พวกฮิวเกนอตส์ก็อยู่มาได้ จนกระทั่ง ค.ศ. ๑๗๘๗ คือ พ.ศ. ๒๓๓๐ เกิดปฏิวัติฝรั่งเศส มีการยอมรับเสรีภาพทางศาสนา และยอมให้พวกโปรเตสแตนต์เข้าทำงานในราชการและอาชีพทุกอย่างได้เหมือนคนอื่นทั้งปวง<O:p</O:p
    ขอให้สังเกตว่า ปีที่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงยกเลิกพระราชโองการแห่งแนนต์ส์ (Edict of <st1:City w:st="on"><ST1:place w:st="on">Nantes</ST1:place></st1:City>) คือ ค.ศ. ๑๖๘๕ (พ.ศ. ๒๒๒๘) นั้น ตรงกับปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก่อนจะสวรรคต ๓ ปี (สวรรคต พ.ศ. ๒๒๓๑ ตรงกับ ค.ศ. ๑๖๘๘) <O:p</O:p
    ตรงนี้ขอให้นึกถึงบันทึกของพ่อค้าฝรั่งเศสเกี่ยวกับการที่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ จะชวนสมเด็จพระนารายณ์มหาราชให้หันไปเป็นคาทอลิก ที่ยกมาให้ฟังข้างต้น ที่เขาพูดว่า <O:p</O:p
    ถ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้ทรงชักชวนแล้ว สมเด็จพระนารายณ์ก็คงจะหันเข้าหาศาสนาโรมันคาทอลิกเป็นแน่…จะเป็นพระเกียรติยศแก่พระเจ้าหลุยส์สักเพียงไร เพราะในเวลาพระองค์ได้ทรงจัดการศาสนาในราชอาณาเขตของพระองค์ ยังได้ทรงจัดการทำลายศาสนาอันไม่ดีในแผ่นดินฝ่ายตะวันออก ซึ่งนับว่าเป็นประเทศที่เจริญที่สุดอยู่แล้ว<O:p</O:p
    ถ้าใครไม่อ่านไม่รู้ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสและประเทศในยุโรปตอนนี้ จะมองไม่เห็น และไม่รู้ทันว่าบันทึกของพ่อค้าฝรั่งเศสนี้ มีความหมายสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ความหมายว่าอย่างไร?<O:p</O:p
    คำว่า “ได้ทรงจัดการศาสนาในราชอาณาเขตของพระองค์” ก็คือการที่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงทรงดำเนินการให้ศาสนาอื่น โดยเฉพาะนิกายโปรเตสแตนต์หมดไปจากฝรั่งเศส คงเหลือแต่นิกายโรมันคาทอลิกอย่างเดียว<O:p</O:p
    ในคำว่า “ยังได้ทรงจัดการทำลายศาสนาอันไม่ดีในแผ่นดินฝ่ายตะวันออกซึ่งนับว่าเป็นประเทศที่เจริญที่สุดอยู่แล้ว” แผ่นดินฝ่ายตะวันออก ซึ่งนับว่าเป็นประเทศที่เจริญที่สุดอยู่แล้ว เวลานั้นก็คือประเทศสยาม หรือไทยนี้แหละ <O:p</O:p
    ส่วนคำว่า “ยังได้ทรงจัดการทำลายศาสนาอันไม่ดี” ก็หมายความว่า ถ้าพระนารายณ์มหาราชทรงหันไปนับถือศาสนาคาทอลิกตามที่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงชักชวนแล้ว พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาที่เขาว่าไม่ดี (ชาวคาทอลิกเวลานั้นถือว่าศาสนาอื่นไม่ดีทั้งนั้น ดังที่เขาต้องกำจัดพวกโปรเตสแตนต์) ก็จะถูกกำจัดหมดไป และเมื่อนั้นชาวพุทธในสยามก็จะมีชะตากรรมเช่นเดียวกับพวกฮิวเกนอตในฝรั่งเศส ที่จะต้องถูกกำจัดให้หมดสิ้น เพื่อให้แผ่นดินเหลือแต่คาทอลิกอย่างเดียว อันเป็นการแน่นอน ไม่มีอะไรจะต้องสงสัย <O:p</O:p
    หากการเป็นไปเช่นนี้ พระเกียรติยศของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ก็จะเลื่องลือระบือไกล ปวงประชา(ชาวคาทอลิก)ก็จะแซ่ซ้องสรรเสริญพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ กันโดยทั่ว

    ที่มา
    หนังสือ ภัยแห่งพระพุทธศาสนาในประเทศไทย<O:p</O:p
    พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
    <O:pพิมพ์ที่ บริษัทสื่อตะวันจำกัด<O:p</O:p
    ๗๙/๔๗ม.๒ต.บางหลวงอ.เมืองจ.ปทุมธานี<O:p</O:p
    โทร. ๐–๒๕๙๓–๓๕๒๑, ๐–๑๔๙๔–๖๘๕๖<O:p</O:p
    โทรสาร๐–๒๕๙๓–๓๕๒๒<O:p</O:p</O:p<O:p</O:p
     
  2. putipongb

    putipongb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +3,843
    ภัยของพุทธศาสนามีมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเริ่มต้นในยุคนี้ ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ
     
  3. โตโต้

    โตโต้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +610
    เป็นความรู้ดีครับ แต่ฟังแล้วก็รู้สึกหดหู่เหมือนกัน
    อดีตก็คืออดีต ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แต่อดีตสามารถเป็นบทเรียน และแนวทางให้กับปัจจุบัน ไปจนถึง อนาคตได้
    ได้อ่าน ได้ฟังแล้ว ก็ขอพุทธศาสนิกชนทุกท่าน จงยึดหมั่นในหลักคำสอนแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอพุทธศาสนิกชนทุกท่านอย่าเสื่อมศรัทธาจากคำสอนแห่งองค์พระศาสดาเพราะรักตัวกลัวตาย ดังชาวคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ แล้วเมื่อนั้น พระศาสนาจักคงอยู่กับเรา ตราบนานเท่านาน
     
  4. 2fish

    2fish เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +312
    ควรรู้เท่าทันคริสต์จักร แล้วท่านจะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นพุทธ
     
  5. nutnun_k

    nutnun_k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +1,021
    บางทีก็เบื่อพวกคริสต์มาแจกใบปลิวค่ะ
     
  6. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    ขอบคุณที่ให้ความรู้คะ ตอนนี้ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่เป็นกลางทางศาสนาไปแล้ว รัฐคือศาสนา และห้ามสวมใส่เครื่องหมายทางศาสนาในโรงเรียนและสถานที่ราชการ
     
  7. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    บาทหลวงฝรั่งเข้ามาสมัยพระนารายณ์ ทำไมว่า เมืองไทยใจเสรี ไม่มีที่ไหนเทียมเท่า

    บาทหลวงฝรั่งเข้ามาสมัยพระนารายณ์ ทำไมว่า เมืองไทยใจเสรี ไม่มีที่ไหนเทียมเท่า

    ทำไมบาทหลวงฌอง เดอบูร์ ชาวฝรั่งเศส มาเมืองไทยในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เห็นอัธยาศัยไมตรีของคนไทย ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชน ที่แสดงออกต่อพวกตนที่เป็นคนต่างชาติต่างศาสนาแล้ว จึงได้เขียนจดหมายเหตุไว้โดยยืนยันหนักแน่นยิ่งนัก อย่างที่ได้ยกมาให้ดูข้างต้นแล้วว่า

    ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าจะมีประเทศใดในโลกที่มีศาสนาอยู่มากมาย และแต่ละศาสนาสามารถปฏิบัติพิธีการของตนได้อย่างเสรีเท่ากับประเทศสยาม

    คำพูดอย่างนี้จะเกิดขึ้นมาได้ ต้องอาศัยการกระทบประสบการณ์ใหม่ที่แปลกแตกต่างจากความรู้สึกนึกคิดของเขามาก และทำให้เกิดความประทับใจในทางตรงข้ามอย่างแรงทีเดียว ประสบการณ์แตกต่างที่ทำให้แปลกประหลาดประทับใจนั้น เกิดขึ้นอย่างไร

    ลองหันไปดูสภาพการนับถือศาสนาในประเทศแถบยุโรปที่เป็นดินแดนของบาทหลวงฌอง เดอบูร์ เองในสมัยนั้นว่าเป็นอย่างไร

    ก่อนทำสงครามโลก ฝรั่งเคยมีสงครามระดับทวีป สูญชีพ บ้านเมืองย่อยยับ ด้วยสงครามศาสนา

    รัชกาลของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา คือเมื่อประมาณ ๓๕๐ ปีมาแล้ว ตรงกับ พ.ศ. ๒๒๐๐–๒๒๓๑ เท่ากับ ค.ศ. ๑๖๕๗–๑๖๘๘ เทียบแผ่นดินประเทศฝรั่งเศส คือ สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ซึ่งครองราชย์ ค.ศ. ๑๖๔๓–๑๗๑๕ (พ.ศ. ๒๑๘๖–๒๒๕๘)

    พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ราชาธิบดีแห่งฝรั่งเศส (Louis XIV King of France) เป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศฝรั่งเศส คือ รวมถึง ๗๒ ปี และได้รับเฉลิมพระนามว่าเป็นพระเจ้าหลุยส์มหาราช (Louis the Great) เป็นเจ้าของวาทะอันลือเลื่องว่า “I am the state!”

    ในรัชสมัยของพระองค์ “สงคราม ๓๐ ปี” (Thirty Years’ War) แห่งยุโรป ที่เริ่มรบกันมาตั้งแต่รัชกาลของพระราชบิดา คือพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๓ ได้จบสิ้นลง (เวลานั้นพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ยังทรงพระเยาว์ พระชนมายุเพียง ๕ พรรษา และพระราชมารดาทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์) และประเทศฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ในฝ่ายมีชัย ได้โดดเด่นขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป

    ต่อมา โดยเฉพาะในช่วง ค.ศ. ๑๖๖๗–๑๖๙๗ (พ.ศ. ๒๒๑๐–๒๒๔๐) พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงประสบความสำเร็จอย่างมากในการทำสงครามขยายดินแดนของประเทศฝรั่งเศสออกไปทางทิศตะวันออก

    ในที่นี้ เรื่องที่ควรกล่าวถึงก็คือ “สงคราม ๓๐ ปี” (Thirty Years’ War) ซึ่งนอกจากเป็นสงครามใหญ่ยิ่งอย่างที่เรียกว่า สงครามมหาวินาศแล้ว ก็เป็นเหตุการณ์ที่มิใช่เป็นเรื่องของมหากษัตริย์ฝรั่งเศสเท่านั้น แต่เป็นสงครามของทวีปยุโรป และยิ่งกว่านั้นยังเป็นเครื่องแสดงลักษณะนิสัยจิตใจความคิดความเชื่อถือ เฉพาะอย่างยิ่งลักษณะการนับถือศาสนาของชาวยุโรป หรือชาวตะวันตก คือฝรั่งทั่วไปทั้งหมดด้วย

    สงคราม ๓๐ ปีนี้ เป็นสงครามศาสนา (religious war) ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการที่ศาสนาของชาวตะวันตกเข้าไปวุ่นวายปะปนกับอำนาจการเมืองและการทหารอย่างแยกไม่ออก และแสดงให้เห็นว่า ประเพณีการนับถือศาสนาของชาวตะวันตกนั้น เป็นเรื่องของความเชื่อหรือศรัทธาแบบผูกขาด ประกอบด้วยความรุนแรง ที่ไม่อาจยอมรับซึ่งกันและกัน แต่จะต้องกำจัดกวาดล้างความคิดความเชื่อถืออย่างอื่นให้หมดไป

    สงคราม ๓๐ ปีนั้น เป็นเพียงตัวอย่างครั้งหนึ่งของสงครามศาสนามากมายในประเทศตะวันตก และเป็นครั้งสำคัญ กับทั้งถือว่าเป็นสงครามศาสนาระหว่างประเทศครั้งสุดท้าย เพราะหลังจากนั้น การห้ำหั่นบีฑาหรือกำจัดกันทางศาสนาในยุโรปก็เป็นเรื่องภายในของแต่ละประเทศ

    เพื่อจะให้เข้าใจเรื่องนี้ ขอย้อนไปเล่าภูมิหลังเล็กน้อย กล่าวคือ หลังจากมาร์ติน ลูเธอร์ ทำการประท้วง ซึ่งเป็นการละเมิดต่อพระอำนาจขององค์สันตะปาปา (Pope) ทำให้เกิดคริสต์ศาสนาที่เป็นนิกายใหม่แยกออกไปจากโรมันคาทอลิก เรียกว่านิกายโปรเตสแตนต์ ในประเทศเยอรมนี เมื่อ ค.ศ. ๑๕๑๗ (พ.ศ. ๒๐๖๐) แล้ว และนิกายโปรเตสแตนต์แผ่ขยายออกไป ก็ได้เกิดการขัดแย้งรบราฆ่าฟันกันระหว่างชาวคริสต์ ๒ นิกายนี้ ในประเทศต่างๆ ทั่วยุโรป

    การกำจัดหรือห้ำหั่นบีฑากันนี้ รุนแรงมาก เพราะนอกจากราษฎรข่มเหงกันแล้ว ก็เป็นเรื่องของผู้ปกครองประเทศต่อราษฎรด้วย คือถ้าประเทศใดกษัตริย์เป็นคาทอลิก ก็กำจัดชาวโปรเตสแตนต์ ถ้ากษัตริย์เป็นโปรเตสแตนต์ ก็กำจัดชาวคาทอลิก โดยเฉพาะฝ่ายคาทอลิกนั้นได้กำลังหนุน หรือคำสั่งกำกับมาจากองค์สันตะปาปาที่วาติกันด้วย

    โดยเฉพาะในประเทศเยอรมนี ที่เกิดนิกายโปรเตสแตนต์นั้น พวกคาทอลิกได้พยายามกำจัดพวกโปรเตสแตนต์เรื่อยมา เวลานั้นเยอรมันยังแยกเป็นรัฐใหญ่น้อยมากมายภายในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) ต่อมา พวกเจ้าเมืองโปรเตสแตนต์ได้รวมกันตั้งกลุ่มป้องกันตัวขึ้น แล้วฝ่ายพวกคาทอลิกก็ตั้งสันนิบาตของฝ่ายตนขึ้นเช่นเดียวกัน

    ต่อมาใน ค.ศ. ๑๖๑๘ (พ.ศ. ๒๑๖๑) การขัดแย้งและกำจัดกันก็รุนแรงขึ้น พวกคาทอลิกคิดจะทำลายนิกายโปรเตสแตนต์ให้จบสิ้น และกลายเป็นสงคราม เริ่มด้วยกองทัพของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ยกเข้าทำลายฝ่ายโปรเตสแตนต์ จนในที่สุดพวกเจ้านครฝ่ายโปรเตสแตนต์ได้ขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศ กษัตริย์ประเทศเดนมาร์กและนอรเวย์ก็ยกทัพมาช่วยพวกโปรเตสแตนต์ของเยอรมัน ต่อมากษัตริย์ประเทศสวีเดนก็เข้าร่วมสงคราม ตามด้วยออสเตรีย ฝรั่งเศส และสเปน การสงครามดำเนินมาจนถึง ค.ศ. ๑๖๔๘ (พ.ศ. ๒๑๙๑) รวม ๓๐ ปี จึงยุติลง

    เนื่องจากสนามรบส่วนใหญ่อยู่ในประเทศเยอรมัน ดินแดนและประชาชนชาวเยอรมันจึงประสบภัยพิบัติรุนแรงที่สุด ดังจะมองเห็นภาพความโหดร้ายทารุณและความพินาศ จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ว่า เมื่อจบสิ้นสงคราม ๓๐ ปีนี้ ประชากรเยอรมันลดจาก ๒๑ ล้านคน เหลือเพียง ๑๔ ล้านคน คือ ตายหายสูญไป ๗ ล้านคน (=๑ ใน ๓ ของประเทศ) หลายเมืองประชากรตายหายสูญไปครึ่งหรือค่อนเมือง โดยเฉพาะเมืองแมกดีเบอร์ก (Magdeburg) ทั้งเมืองถูกเผาและผู้คนก็ถูกฆ่า ราษฎรที่มีอยู่ ๓๐,๐๐๐ คน ถูกฆ่าตายไป ๒๐,๐๐๐ คน

    นับคร่าวๆ สงครามนี้ได้ทำลายหมู่บ้านหมดไป ๑๘,๐๐๐ หมู่ เมือง ๑,๕๐๐ และวังเจ้า ๒,๐๐๐ วัง

    ความสยดสยองของสงคราม ๓๐ ปีนี้ ฝรั่งเขียนบันทึกว่า เป็นภาพที่ฝังแน่นในความทรงจำของประชาชนยิ่งกว่าสงครามใดที่มีมาในยุโรปก่อนศตวรรษที่ ๒๐ ความพินาศย่อยยับของสังคมเยอรมันจากการสงครามครั้งนี้ จะเทียบได้ก็ด้วยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เท่านั้น

    หลังจากสงครามศาสนาครั้งใหญ่ระหว่างประเทศต่างๆ ในยุโรปนี้ยุติแล้ว การห้ำหั่นบีฑากำจัดกันระหว่างคาทอลิกกับโปรเตสแตนต์ ก็ดำเนินต่อมาในประเทศของตนๆ
     
  8. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ถึงบอกไงว่าอยู่ที่พระมหากษัตริย์เป็นส่วนสำคัญ ถ้าพระมหากษัตริย์เปลี่ยน คนในชาติก็ต้องเปลี่ยนไปหมด จึงอยากให้หลายๆที่ที่วิตก กลับไปอ่านพระราชเสาวนีย์ของพระราชินีอีกครั้ง จะได้ไม่วิตกเกินไป
     
  9. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    ขอให้ทุกท่านเมตตากับคนต่างศาสนาด้วยคะ จิตวิญญาณของพุทธที่แท้จริงคือเมตตาไม่มีประมาณ
     
  10. กระถางธูปสแตนเลส

    กระถางธูปสแตนเลส Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2005
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +36
    ทุกๆอย่างเกิดจากคนครับ มีทิฎฐิมาก คิอยึดตัวเราของเราถึงขนาดใช้อำนาจต่างๆมาบังคับให้เป็นนั่นเป็นนี่ บาปกรรมจริงๆ ... ศาสนาแต่เดิมดีอยู่แล้ว แต่คนนำศาสนามาใช้เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง ผลก็ลงเอยอย่างที่อ่านๆกันมาครับ...ขอให้เข้าใจให้ตรง ปฎิบัติให้ตรงตามหลักคำสอนในแต่ละศาสนาก็เพียงพอแล้ว...ทุกศาสนาให้ยึดหลักเมตตา หากทำได้ตามนี้ โลกก็เย็นครับ
     
  11. เด็กเมื่อวานซืน

    เด็กเมื่อวานซืน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +1,222
    ไม่เห็นจะจริงเลยครับ

    ในรัฐธรรมนูญ ไม่มีมาตราไหนตรงไหนระบุไว้ครับ ว่าคนต้องนับถือศาสนาตามพระมหากษัตริย์
    ขนาดพระมหากษัตริย์เอง ยังต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเลยครับ

    และมาตราต่าง ก็ระบุไว้ว่า ประชาชนมีสิทธินับถือศาสนาได้นี่ครับ นี่มันยุคประชาธิปไตยแล้วนะครับ ไม่ใช่ ยุคราชาธิปไตย

    อีกประการที่ว่าคนในชาติต้องเปลี่ยนหมด นี่ถ้าจะเข้าใจผิดแล้วหละครับ อย่างน้อย พวกคริสต์เขาก็ไม่เปลี่ยนหรอกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2007
  12. เด็กเมื่อวานซืน

    เด็กเมื่อวานซืน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +1,222
    ถึงวันนี้ คนพุทธส่วนใหญ่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า เจตนา ที่ต้องการบัญญัติไว้ทำไม

    เพราะมองไปว่า เพราะกิเลสครอบงำ เพราะความอยากในทางที่ผิด ก็ว่ากันไป

    อย่างที่ผมเคยเขียนในกระทู้อื่น ๆ แล้วว่า ภัยของพระพุทธศาสนามีอยู่ 2 รูปแบบ ภัยภายใน กับ ภัยภายนอก

    วิธีการแก้ไข นอกจากจะต้องทำตามคำสอนของพระท่านแล้ว อีกประการก็คือระแวดระวังภัยจากภายนอกที่จะคุกคามพระพุทธศาสนาด้วย

    เข้าใจดีครับว่า แต่ละท่านก็คงไม่ใช่นักการเมืองคงทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากแนวทางที่บอกว่า ต้องทำตัวเองให้ดีตามคำสอนของพระท่าน

    .แต่.

    ทุกท่าน ก็มีสิทธิออกเสียงเพื่อให้นักการเมืองทำหน้าที่เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาได้ ครับ


    สมัยนี้ มันอยู่ในยุคประชาธิปไตยแล้ว รัฐธรรมนูญคือ กฏหมายสูงสุด มีสิทธิและอำนาจเต็มที่สุดในประเทศ

    ดังนั้น กฏหมายต่าง ๆ ที่จะตราขึ้นมา เพื่อการใดก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีกฏหมายแม่บทในรัฐธรรมนูญแล้ว กฏหมายลูกเหล่านั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ (ลองไปดูในรัฐธรรมนูญดูครับ ถ้าจำไม่ผิด กฏหมายใดที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ กฏหมายนั้นถือว่าเป็นโมฆะ)


    การที่ปล่อยให้พระท่านต้องปกปักรักษาพระพุทธศาสนาถ่ายเดียว ก็ดูจะำิกินแรงท่านเกินไปครับ
    บริบทตั้งแต่อดีตมา อาณาจักร และ พุทธจักร ต้องเดินควบคู่กันไป

    พุทธจักร ก็ควบคุมความประพฤติ ศีลธรรม ของ อาณาจักร(พระมหากษัตริย์)ให้ดี
    ใน ขณะเดียวกัน อาณาจักร ก็คอยอุปภัมภ์เกื้อกูล ดูแล ทำนุบำรุง พุทธจักร ให้อยู่ได้



    แล้วปัจจุบัน ท่านลองถามตัวท่านเองสิครับว่า (ไม่ต้องลำเอียง เข้าข้างพรรคไหน กลุ่มไหน ขั้วไหน ไม่อิงการเมืองใด ๆ )

    สถานะภาพความสัมพันธุ์ ระหว่าง พุทธจักร และ อาณาจักร(ในระบอบประชาธิปไตย คือ รัฐบาล) ยังดีเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า ?

    มีความใส่ใจสอดส่องดูแล ช่วยเหลือเกื้อกูลกันหรือไม่อย่างไร มากน้อยแค่ไหน ท่านก็จะได้คำตอบเองหละครับ
     
  13. เด็กเมื่อวานซืน

    เด็กเมื่อวานซืน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +1,222
    นายกฯห่วงพระสงฆ์-วัด จี้หาวิธีพัฒนาวิชาการ-ปฏิบัติธรรม
    20 กันยายน 2550 23:50 น.

    รมต.ประจำสำนักนายกฯเผย "สุรยุทธ์" ห่วงพระสงฆ์-วัดแนะหาวิธีพัฒนาทั้งด้านวิชาการ-ปฏิบัติธรรมมส. คลอดระเบียบว่าด้วยการเผยแผ่พระพุทธศาสนาพ.ศ.2550 ด้านรัฐบาลดันวัดต้นแบบ35,000 แห่งเป็นศูนย์กลางชุมชน

    http://www.komchadluek.net/2007/09/21/e001_154905.php?news_id=154905

    เห็นไหมครับ บริบท ที่นักการเมืองที่ดำรงตำแหน่ง นายกฯ สามารถทำได้ ถ้าจะทำจริง ๆ จัง ๆ

    แต่ที่ผ่านมา ๆ ทุกรัฐบาลละเลย และ ไม่เอาใจใส่ ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเลย

    นี่ถ้า ไม่รณรงค์เคลื่อนไหวจะให้บรรจุฯ กัน ก็ไม่รู้จะตื่นตัว ออกนโยบายและ พรบ แบบนี้มาบ้างหรือเปล่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2007
  14. คริสต์

    คริสต์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +21
    กระทู้นี้คิดอย่างไร

    ถึงได้เอาเอาประวัติศาสตร์ที่บรรยายโดยพระ(ที่ไม่เป็นกลางทางศาสนา) มาเข้าข้างตัวเอง

    ไม่มีประเทศไหนในโลกหรอกครับที่เปลี่ยนเป็นคริสต์แล้วศาสนาเดิมถูกรังแก ถ้ามียกตัวอย่างมาสิ

    คนคริสต์เขาพยายามดีต่อคนศาสนาอื่นทั้งนั้นแหละ เพื่อเผยแผ่ศาสนาของเขา

    อีกอย่างคนยุโรปเขาทำสงครามศาสนาเพราะมีเหตุผลด้านการเมืองอยู่เบื้องหลังครับ

    บ้านเราไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น ลองอ่านประวัติศาสตร์ดูหน่อยนะ ไม่ใช่พระพูดก็คิดว่าถูกแล้ว

    เพิ่มอีกนิดครับ
    คุณรู้ไหมว่า ในสมัยเอโดะ ประมาณ 400 ปีที่แล้ว
    โชกุนที่เป็นชาวพุทธได้บังคับให้คนที่เป็นคริสต์และชินโตเปลี่ยนศาสนา
    ทำให้ชาวคริสเตียนและชินโตลุกขึ้นมาต่อต้าน
    ชาวนาซึ่งเป็นคริสเตียนชื่อว่า อามากุสะ ได้ต่อสู้อย่างกล้าหาญ แม้จะมีกำลังพลน้อยกว่า ด้วยศรัทธาของเขา
    แต่สุดท้าย ด้วยไพล่พลที่น้อยกว่า ชาวคริสเตียนฆ่าเกือบหมด ที่เหลือก็หนีไปอยู่ตามเกาะต่างๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2007
  15. เด็กเมื่อวานซืน

    เด็กเมื่อวานซืน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +1,222
    1.. แล้ว กรณี โป๊ป จอห์นปอลที่ 2 ที่เพิ่งตายไป มาปรามาส พระพุทธศาสนาหละครับ ?
    การเมืองหรือเปล่า ?

    กษัตริย์ใน สแกนดิเนเวีย (จำไม่ได้แล้ว ไม่นอร์เวย์ ก็ สวีเดน) ก็ชวนในหลวงองค์ปัจจุบันเข้ารีต เหมือนสมัยพระนารายณ์เปีี๊ยบเลยเหมือนกัน การเมืองอีกหละสิครับ ?

    2..เรื่อง กรณี กบฏ shimabara (ฝรั่งยังเขียนเลยว่า Shimabara Rebel) นั่น เป็นผลพวงของการเมืองเด๊ะ ๆ เหมือนกันครับ

    จริง ๆ ยังมี ภาพพระพุทธรูปตามข้างถนน โดนตัดพระเศียรอยู่หลายรูป โดยฝีมือใคร ผมคงไม่ต้องบอก อยากจะดูไหมหละครับ ?

    เดี๋ยวจัดให้ ?


    ที่สำคัญ การเผยแพร่คริสต์ในยุค เซนโกคุ นั้น มันก็หมิ่นเหม่เหลือเกิน การเมืองเป็นเรื่องน่ากลัว เพราะ ขุนศึกที่เป็นเจ้าเมืองและนับถือคริสต์ ก็มีอยู่ไม่น้อย

    ตอนนั้น โอดะ โนบุนางะ ก็ยังรวมประเทศได้ไม่หมด ดังนั้น รัฐบาลกลาง ก็จำเป็นจะต้องตัดไฟ แต่ต้นลม

    มันก็เรื่องการเมืองล้วน ๆ ครับ ที่สำคัญ โนบุนางะ ก็ไม่ได้โหดขนาดกวาดล้าง จนหมด

    ไม่งั้น Ito Yoshimasu หรือ ชื่อทางคริสต์ว่า Ito Jerome

    คงไม่ได้ไปถึง Rome ตามคำสั่งของ โอดะ โนบุนางะ หรอกครับ

    -------------------------------------------------------------

    It was through Ito Jerome that the dad got into historical records, in this case Jesuit diaries. One day in 1582, just after giving permission to the Jesuits to take four Japanese youngsters to Rome, Oda Nobunaga visited the school where Ito studied at and listened to him playing a violin. The conversation between them was ludicrous enough to be remembered through all these ages:

    ..
    ..
    ..

    Oda Nobunaga was glad to let the kids(Ito jerome) go to Rome -- he hoped they would teach the Romans the Japanese way instead of the goal the Jesuits had in mind. But he didn't get to see the boys when they got back -- he died in 1582.

    Ito Anzio was one of the famous 'four boys of Nagasaki' who went to Rome and saw the Pope and got back to Japan and straight to martyrdom.
    ---------------------------------------------------------------

    แบบนี้รู้บ้างไหมหละครับ ?
     
  16. เด็กเมื่อวานซืน

    เด็กเมื่อวานซืน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +1,222
    Oda That's a curious melody. It must be a Barbarian song.
    Ito It's the Song of David, My Lord.
    Oda Whatever. What's your name?
    Ito Jerome, My Lord.
    Oda I've never heard of such a name, 'Jerome'. Don't you have a NAME?
    Ito That's how I am called, My Lord, it's a Christian name. My cousin is also called by a Christian name, Anzio. He is going to Europe with Father Valignano.


    Oda I know Valignano. But who is this 'Anzio'?
    Ito He is the nephew of Lord Ito Yoshimasu of Obi, My Lord.
    Oda I know Ito. But for the gods' sake WHO are you?
    Ito I am Ito Yoshimasu's son.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2007
  17. เด็กเมื่อวานซืน

    เด็กเมื่อวานซืน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +1,222
    ผมเอาประวัติ อมาคุสะ ชิโร โตกิซาดะ ที่คุณบอกไว้ มาลงให้อ่านกันครับ

    Amakusa Shiro Tokisada (died in 1638, no record of year of birth, but he was around 18 or so) used to live near the isles of Amakusa peacefully, and might have continued to languidly exist under the sun if not for his family-tree.


    His dad was a member of the Masuda clan. The man was a soldier under the Roman Catholic warlord Konishi Yukinaga's command, who pledged his allegiance to Toyotomi Hideyoshi, and led Toyotomi's invasion of Korea in late 1590's.

    After Toyotomi died, Konishi Yukinaga was, along with other Christian warlords, treated coldly by Tokugawa Ieyasu and his son Tokugawa Hidetada -- who was Shogun. Konishi then joined the Catholic clerk of Toyotomi's administration, Ishida Mitsunari, in his major bloody blunder of Sekigahara (click here for story and pictures). Konishi was captured by Tokugawa soldiers, and together with Ishida he was executed in Edo (today's Tokyo) after the war.


    ---------------------------------

    ตัวแดง ๆ นั่น คงเข้าใจนะครับ ว่าทำไม ถึงต้องโดนล้าง ?

    สงครามที่ทุ่งเซกิงาฮาร่า นั่น อคามาคุสะ อยู่ฝ่ายตะวันตก ของ อิชิดะ มิซึนาริ ซึ่ง แพ้สงคราม ต่อ ฝ่ายตะวันออก ของ โตกุงาว่า อิเอยาสึ

    ไม่น่าแปลกใจครับ เพราะ ฝ่ายตะวันตก ที่เป็นพุทธ ก็โดนกว้าดล้างเหมือนกัน

    ไม่งั้น จะมี โจรสลัดญี่ปุ่น ไปเผ่นพ่าน แถวเมืองชายฝั่งของ จีน สมัยราชวงศ์หมิง จน ชีจี้กวง ต้องมาปราบอยู่นานหลายปีหรือครับ ?
     
  18. เด็กเมื่อวานซืน

    เด็กเมื่อวานซืน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +1,222
    When Amakusa Tokisada was relaxing in the sun, just a blink away from him there was the busiest port in Japan -- Nagasaki. The city's docks were having the atmosphere of welcoming foreigners because that was the policy of its previous ruler, the Christian warlord Omura Sumitada (see another page at this section). This warlord was the first Christian around -- of his rank and sociopolitical position. He sensed some lucrative biz with Portuguese merchants, so he painstakingly built the city of Nagasaki from a swampy habitat into some sort of international trading spot.

    Amakusa's Roman Catholicism was a spillover from this city. Missionaries were crowding there, and Omura's people were Catholics, though mostly be so simply out of fear. So actually this area had already been under surveillance since the Tokugawas ascended.

    On the other hand, Nagasakians and the surrounding places had also been alert since Tokugawa Ieyasu took control of Japan.

    In 1602, Tokugawa Ieyasu already released his harsher Christian Expulsion Edict, perfecting and seriously meaning to apply what Toyotomi Hideyoshi had begun in 1587.


    In 1626, Shogun Tokugawa Hidetada crucified the so-called '26 martyrs of Nagasaki' (see another page at this section). So the nationwide atmosphere was actually telling of some ogre of decisive backlash, though for some time nothing went on because -- holding on to the samurai codes of honor -- Christian warlords always flatly refused to listen to the Portuguese and Spanish Roman Catholic priests and preachers whenever the latter urged them to wage war against whoever was in charge of Japan (Toyotomi Hideyoshi was their first target, after releasing his own Christian Expulsion Edict in 1567).

    ชัดเจนไหมครับ ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2007
  19. เด็กเมื่อวานซืน

    เด็กเมื่อวานซืน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +1,222
    ส่วนรอบสุดท้าย ที่ ชาวนาที่นับถือคริสต์ที่ ชิมาบาระ ลุกฮือก่อกบฏ เพราะอะไร เชิญติดตามต่อครับ

    In 1637, Shimabaranese farmers declared war against the shogunate of the Tokugawas, starting from the lowest-ranked Tokugawan officer, which was their local administrator, Matsukura Shigeharu -- the warlord that got Shimabara after Konishi was executed.

    Matsukura, as far as the peasants were concerned, was the cause of their misery; paying taxes to Matsukura had made some families starve even as their harvest was sort of bountiful. The rigidified sociocultural status in Japan, that had really gotten fixed and was immune to any changes under the Tokugawa regime, put villagers and soil-toilers in general at the lowest level of existence in Japanese society. They bowed to merchants, to samurai, to everyone. They sustained the feudal economy that depended entirely on rice production, but they never got anything to compensate the backbreaking job with.

    -------------------------------------------

    เหตุผลคือตรงนี้ครับ อ่านดูดี ๆ ก็เหมือนกรณี กบฏไท่ผิง ที่เป็นคริสต์ ที่เมืองจีน เหมือนกันเด๊ะ ๆ
    คือ การกดขี่ทางการปกครองของรัฐบาลกลาง

    ซึ่งไม่เกี่ยวกับศาสนา แต่ ผู้ก่อการ อาศัย ศาสนามาอ้าง เพื่อปลุกระดมคน
     
  20. เด็กเมื่อวานซืน

    เด็กเมื่อวานซืน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +1,222
    และที่ว่า ฝ่ายชาวนามีเป็นจำนวนน้อยนั่น ไม่รู้ว่าจะน้อยจริงหรือไม่ เพราะในช่วงแรก ที่ก่อการ เพื่อแบ่งแยก ดินแดน shimabara จาก อำนาจรัฐบาลกลาง นั่น

    ฝ่ายชาวนา มีจำนวน 23,000 คน ต่อฝ่ายรัฐบาลที่ไปปราบแค่ 3,000 คน กำลังคน 8:1 จะสู้ไงไหวครับ ?


    -----------------------------------

    Matsukura was in deep trouble because the number of rebels hovered somewhere around 23,000 people. Some of them were even trained to kill, since those were masterless samurai looking out to whack anyone for adventure. Then the peasants of Amakusa isles joined this assorted band, and they resorted to Amakusa Shiro Tokisada to lead them from there. From this point on, the rebellion donned the cape of Christianity.

    ชัดไหมครับ ?

    ฝ่ายกบฏ มี โรนินมาผสมด้วย ไม่เก่งทำไงไหวครับ ?

    Matsukura นั่นคือ ผู้ปกครองส่วนท้องถิ่นของ Shimabara หลังจาก อมาคุสะ ตายไปแล้ว


    Shimabara was a slice of the entire Nagasaki province, so Matsukura sent S.O.S messages to the Governor, Terazawa Hirotaka. Terazawa instantly dispatched 3,000 soldiers. Only 200 came back. They were utterly and unpredictably defeated by the rebels.
    ------------------------------------------------------------
    เจอแบบนี้เลยขอกำลังพลจาก ท่านผู้ว่าเมือง นางาซากิ คือ Terazawa Hirotaka ซึ่ง ก็ส่งคนมา อย่างที่บอกไป แค่ 3 พันคน สุดท้ายรอดกลับมาได้แค่ 200 ไม่น่าแปลกใจ ถ้าอ่านเหตุผลขั้นต้น


    เมื่อเป็น กบฏ ที่ไหนในโลก ก็ต้องโดนปราบปรามครับ เป็นธรรมดา

    แถมยังมีอุดมการณ์จะแบ่งแยกดินแดนอีกต่างหาก ถ้าไม่โดนปราบ แสดงว่า ผู้ปกครองประเทศนั้นก็ต้องเสียสติแล้วครับ

    กบฏไท่ผิง ก็ กินพื้นที่เมืองจีนไปถึง 1 ใน 3 ตอนใต้แม่น้ำฉางเจียง(แยงซีเกียง) เป็นคริสต์เกือบหมด

    รัฐบาลกลางชิง ต้องส่งแม่ทัพฝีมือดีอย่าง เจิ้งกวอฝาน ไปปราบนานหลายปี กว่าจะปราบได้เหมือนกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...