จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ขออาราธนา คุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในจักรวาลสากลภิภพ โปรดดลบันดาล ให้ คุณภู ครูดัชชี่ คุณลูกพลัง และชาวจิตบุญ จิตบำเพ็ญ ทุกท่านที่มีธาตุขันธ์เจ็บป่วย อ่อนเพลีย หายจากความเจ็บป่วยโดยเร็วพลันค่ะ
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตเหนือโลก​

    แท้ที่จริงแล้ว ก็คือ จิตเหนือขันธ์ ๕
    หรือ เปรียบได้ดั่งคนที่ไม่มีหนี้สิน นั่นเอง (ตัวเบา)

    แต่กายจะเบาได้ จิตจะต้องเบาก่อน

    ขันธ์ ๕ หรือ สังขารขันธ์ ก่อนจะมาเป็นพระธาตุหรือธาตุนั้น
    ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ จะต้องฝึกจิตมาดีก่อน
    หรือ ทำจิตให้รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นระยะเวลายาวนานก่อน
    ธาตุทั้ง ๔ ก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จึงยอมกลับบ้านใครบ้านมัน
    หรือ ทำให้จิตว่าง ผู้ที่ทำอาสวะให้สิ้นไป

    ผู้ใดสามารถเข้าถึงความเป็นอนัตตาของจิต
    จิตของผู้นั้น ย่อมปราศจากกิเลสทั้งปวง
    ถึงจะยังครองหรือว่ามีขันธ์ ๕ อยู่ก็ตามที
    กิเลสทั้งปวง อันได้แก่ รัก โลภ โกรธ และหลง ย่อมมีอยู่ครบกับในขันธ์ ๕ นี้
    อายตนะทั้ง ๖ ไม่ว่าอายตนะทั้งภายในและภายนอกนั้น ก็ยังทำหน้าที่ไปตามปรกติ
    สังขารขันธ์ หรือขันธ์ ๕ (รูป๑นาม๔)นั้น ก็มีอยู่ครบทุกประการ และยังทำหน้าไปตามปรกติ
    เจตสิก หรือ การเกิด-ดับของดวงจิตนั้น ยังมีอยู่ตามปรกติทุกอย่าง
    ส่วนความสุข ความทุกข์ ความรู้สึกนึกคิด ความยินดีหรือไม่ยินดี ความดีใจหรือความเสียใจ
    หัวเราะหรือว่าร้องไห้ หรืออาการหรืออารมณ์ของจิตนั้น ก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม ทุกประการฯ

    แต่มีเพียงจิตหรือดวงจิตเท่านั้น ที่มิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือไปยึดติดกับสิ่งเหล่านี้อีกต่อไปแล้ว
    สรุปแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม อย่างมากก็เกิดแค่ร่างกายหรือขันธ์๕นี้เท่านั้น
    แม้นกระทั่ง เรื่องกฎแห่งกรรม คืออย่างมากก็ทำได้แค่ขันธ์๕นี้ เท่านั้นเอง
    แต่จิตหรือดวงจิตอนัตตานี้ คือ จิตมีแต่ความว่างเปล่า
    ก่อนจิตจะว่าง จิตจะต้องรู้จักวางกับสิ่งที่เรียกกันว่า สมมุติทั้งปวงกันให้ได้เสียก่อน

    ถามว่า...ที่พี่ภูพร่ำมาทั้งหมดนี้ จิตบุญหลายท่านก็พอจะเข้าใจกันบ้างแล้ว
    แต่อยากจะถามต่อไปว่า มีใครสักกี่คน ที่จิตถึงความว่างจริงๆ หรือจิตอนัตตา
    พวกจิตบุญ ท่านก็ลองตรวจดูที่ตัวอินทรีย์ของพวกท่านเป็นหลัก
    ตรงนี้ก็พอจะเป็นตัวชี้วัดกับจิตตนเองได้บ้าง

    จิตบุญที่เคารพรักทั้งหลาย พวกท่านอย่าเอาแค่รู้และเข้าใจเท่านั้น แต่ต้องปฎิบัติตามให้ได้
    โดยอาศัยจิตทรงฌานเป็นหลัก หรือทรงฌานให้ได้อย่างต่อเนื่อง
    ควรนำจิตของท่านออกจากทางโลกให้ได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า
    ยกเว้น ผู้ที่มั่นใจว่ามีอินทรีย์แก่กล้า ผู้ที่ไม่เผลอสติ คือมีสติปัญญาเลิศ
    หรือผู้ที่ปัญญาญาณ หมายความว่า เมื่อพบเจอสิ่งใดก็วิปัสสนาได้ทันที

    เพราะจิตอนัตตานั้น เมื่อมีสิ่งใดๆมากระทบจิต ก็จะไม่มีผลกับจิต ไม่ว่าทุกข์หรือสุขก็ตามที
    สรุปแล้ว จิตบุญที่เข้าถึงความเป็นอนัตตาแล้ว จะไม่เสียเวลามาตั้งสติ มานั่งตามดูหรือคอยระวัง

    เพราะฉะนั้น ความตายนั้นเป็นสมบัติของทุกๆท่าน ไม่ต้องกลัว ถึงท่านกลัวก็หนีไม่พ้นอยู่ดี

    นับตั้งแต่วันที่จิต(ของตนเอง)ยก จิตบุญทั้งหลาย พวกท่านมีความพร้อมมากน้อยขนาดไหน
    ก็ลองหัดเช็คกำลังใจกันบ้างนะ
    อย่ามัววิ่งไปทำกิจกรรม หรือทำงานจนเพลิน
    จิตของท่าน พร้อมหรือยัง?
    ยอมรับความตายที่จะมาเยือนตนเองกันหรือยัง

    เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือความพลัดพรากจากคนที่เรา หรือสิ่งของอันเป็นที่รักของเรา
    ทุกธรรมเหล่านี้ฯ แท้ที่จริงแล้ว ก็คือ ตัวทุกข์ หรือธรรมดา คือทุกท่านหนีไม่พ้นแน่ๆ
    เกิดเมื่อไหร่ เกิดที่ไหน ก็ช่างมัน เพราะธรรมพวกนี้ก็คือ ธรรมดา
    จิตบุญหรือผู้ใดสามารถเข้าไปถึงอนัตตาหรือความเป็นธรรมดานั้น

    ขอตอบอีกทีว่า...(ท่าน)ไม่ธรรมดา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 ตุลาคม 2012
  3. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    โมทนาสาธุกับท่านพี่ภูด้วยครับ
    ท่านพี่กล่าวได้ชอบแล้ว ชอบแล้ว..

    "จิตธรรมดาหรือจิตไม่ธรรมดา มันก็เป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง.."

    ปล.ขอขอบพระคุณจิตบุญทุกๆท่านที่ส่งความปรารถนาดีและความรู้อันดียิ่งมาแบ่งปันกัน
     
  4. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    พระพุทธพจน์ที่ตรัสแสดง สีลัพพตปรามาส

            ผู้ใดไม่ถือมงคลตื่นข่าว  ไม่ถืออุกกาบาต  ไม่ถือความฝัน  ไม่ถือลักษณะดีหรือชั่ว  ผู้นั้นชื่อว่าล่วงพ้นโทษแห่งการถือมงคลตื่นข่าว ครอบงํากิเลสที่ผูกสัตว์ไว้ในภพ อันประดุจคูกั้นเสียได้ ย่อมไม่กลับมาเกิดอีก (ขุ.ชา. ๒๗/๘๗/๒๘)
            ถ้าแม้นบุคคลจะพ้นจากบาปกรรมได้ เพราะการอาบนํ้า(ชําระบาป)  กบ เต่า นาค จรเข้ และสัตว์เหล่าอื่นที่เที่ยวไปในแม่นํ้า ก็จะพากันไปสู่สวรรค์แน่นอน.......(กล่าวต่อในอีกมุมมองหนึ่งอันน่าพิจารณายิ่งว่า) ถ้าแม่นํ้าเหล่านี้พึงนําบาปที่ท่านทําไว้แล้วในกาลก่อนไปได้ไซร้  (ดังนั้น)แม่นํ้าเหล่านี้ก็พึงนําบุญของท่านไปได้ด้วย(เช่นกัน) (ขุ.เถรี.๒๖/๔๖๖/๔๗๓)
            บุคคลประพฤติชอบเวลาใด  เวลานั้นได้ชื่อว่า  เป็นฤกษ์ดี  เป็นมงคลดี  เป็นเช้าดี  อรุณดี  เป็นขณะดี  ยามดี  และ(นับได้ว่า)เป็นอันได้ทําบูชาดีแล้วในท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย  แม้กายกรรมของเขา(นั้น)ก็เป็นสิทธิโชค  วจีกรรมก็เป็นสิทธิโชค  มโนกรรมก็เป็นสิทธิโชค  ประณิธานของเขาก็(ย่อมต้อง)เป็นสิทธิโชค  ครั้นกระทํากรรม(การกระทําใดๆ)ทั้งหลายที่เป็นสิทธิโชคแล้ว เขาย่อมได้ประสบแต่ผลที่มุ่งหมายอันเป็นสิทธิโชค (สุปุพพัณหสูตร)
            ประโยชน์ได้ล่วงเลยคนเขลา ผู้คอยนับฤกษ์อยู่   ประโยชน์เป็นตัวฤกษ์ ของประโยชน์เอง  ดวงดาวจักทําอะไรได้ (หรือโดยพิจารณาว่า ไปเปลี่ยนแปลงดวงดาวได้หรือ? แต่เปลี่ยนแปลงโดยการทำเหตุให้ดีหรือถูกต้อง จึงเป็นปัจจัยในสิ่งที่ดีหรือเป็นไปได้ ) (ขุ.ชา ๒๗/๔๙/๑๖ )


    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,807
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    การบำรุงรักษาสิ่งใดๆ ในโลก การบำรุงรักษาตนคือใจเป็นเยี่ยม จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือใจ ควรบำรุงรักษาด้วยดี ได้ใจแล้วคือได้ธรรม เห็นใจตนแล้วคือเห็นธรรม

    รู้ ใจแล้วคือรู้ธรรมทั้งมวล ถึงใจตนแล้วคือถึงพระนิพพาน ใจนี้คือสมบัติอันล้ำค่า จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป คนพลาดใจคือไม่สนใจปฏิบัติต่อใจดวงวิเศษในร่างนี้ แม้จะเกิดสักร้อยชาติพันชาติก็คือผู้เกิดผิดพลาดอยู่นั่นเอง ผู้ปฏิบัติพึงใช้อุบายปัญญาฟังธรรมเทศนาทุกเมื่อ
    : หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7532


    ที่มา ::
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2012
  6. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    วันนี้วันพระ

    วันนี้คุณนึกถึงพระหรือยัง


    [​IMG]
     
  7. จารุณี22

    จารุณี22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +1,403
    พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์


    487 อินทรีย์ ๕ สนับสนุนกันและกัน


    ปัญหา อินทรีย์ ทั้ง ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ต่างเป็นกำลังสนับสนุนกันอย่างไร ?


    พระสารีบุตรทูลตอบพระพุทธองค์ “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อริยสาวกใดมีศรัทธามั่น เลื่อมใสยิ่งในพระตถาคต อริยสาวกนั้นไม่พึงเคลือบแคลงหรือสงสัยในพระตถาคตหรือในศาสนาของพระตถาคต... จักเป็นผู้ปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม เพื่อให้กุศลธรรมสมบูรณ์ มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย


    “.....วิริยะของอริยสาวกนั้นเป็นวิริยินทรีย์..... อริยสาวกผู้มีศรัทธา ปรารภความเพียรแล้ว จักเป็นผู้มีสติ ประกอบด้วยสิตเป็นเครื่องรักษาตนอย่างยิ่ง จักระลึกถึง จักจดจำกิจที่ทำและคำที่พูดแล้วแม้นานมาแล้วได้....

    “ความระลึกถึงได้ของอริยสาวกนั้นเป็นสตินทรีย์ด้วยว่าอริยสาวกผู้มีศรัทธา ปรารภความเพียรแล้วมีสติตั้งมั่นแล้ว... จักยึดเหนี่ยวเอาความสลัดออกเป็นอารมณ์ ได้สมาธิ ได้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว

    “.....สมาธิของอริยสาวกนั้นเป็นสมาธินทรีย์ ด้วยว่าอริยสาวกผู้มีศรัทธาปรารภความเพียร เข้าไปตั้งสติไว้ มีจิตตั้งมั่นอย่างถูกต้อง.... จักรู้ชัดอย่างนี้ว่าสงสารมีที่สุด และเบื้องต้นที่บุคคลรู้ไม่ได้ เบื้องต้นและที่สุดไม่ปรากฏแก่เหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกมัดไว้ แล่นไป ท่องเที่ยวไป ส่วนความดับเพราะสิ้นราคะโดยไม่มีส่วนเหลือ แห่งมวลความมืด คือ อวิชชาเป็นทางสงบ ทางประณีต คือ ทางสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสิ้นราคะ ความดับทุกข์ และนิพพาน

    “....ปัญญาของอริยสาวกนั้นเป็นปัญญินทรีย์ อริยสาวกนั้นมีศรัทธา พยายามแล้วพยายามเล่า ระลึกแล้วระลึกเล่า จิตตั้งมั่นแล้วตั้งมั่นเล่า รู้ชัดแล้วรู้ชัดเล่าอย่างนี้ ย่อมเชื่อมั่นว่า ธรรมเหล่านี้แลเมื่อก่อนเป็นแต่ธรรมที่เราได้ยินได้ฟังมา บัดนี้เราประสบธรรมนั้นด้วยนามกายแล้วดำรงอยู่ และแทงทะลุด้วยปัญญาเห็นแจ้งชัดอยู่.....”



    สัทธาสูตร มหา. สํ. (๑๐๑๑-๑๐๑๕ )
    ตบ. ๑๙ : ๒๙๗-๒๙๙ ตท. ๑๙ : ๒๘๑-๒๘๒
    ตอ. K.S. ๕ : ๒๐๐-๒๐๒​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2012
  8. จารุณี22

    จารุณี22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +1,403
    พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์

    127 ทำบ่อย ๆ ดี


    ปัญหา พระผู้มีพระภาคเสด็จไปบิณฑบาตที่บ้านอุทัยพราหมณ์ติดกัน ๓ ครั้ง อุทัยพราหมณ์ก็ใส่บาตรทั้ง ๓ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ ได้กล่าวขึ้นว่า พระสมณโคดมนี้ติดในรส (อาหาร) จึงเสด็จมาบ่อย ๆ ?


    พุทธดำรัสตอบ “ กสิกรย่อมหว่านพืชบ่อย ๆ ฝนย่อมตกบ่อย ๆ ชาวนาย่อมไถนาบ่อย ๆ แว่นแคว้นย่อมบริบูรณ์ด้วยธัญญชาติบ่อย ๆ ยาจกย่อมขอบ่อย ๆ ทานบดีก็ให้บ่อย ๆ ทานบดีให้บ่อย แล้วก็เข้าถึงสวรรค์บ่อย ๆ ผู้ต้องการน้ำนม ย่อมรีดนมบ่อย ๆ ลูกโคย่อมเข้าหาแม่โคบ่อย ๆ บุคคลย่อยลำบากและดิ้นรนบ่อย ๆ คนเขลาย่อมเข้าถึงครรภ์บ่อย ๆ ส่วนผู้มีปัญญาถึงจะเกิดบ่อย ๆ ก็เพื่อได้มรรค แล้วไม่เกิดอีก ดังนี้”




    อุทัยสูตรที่ ๒ ส. สํ. (๖๘๐)
    ตบ. ๑๕ : ๒๕๖ ตท. ๑๕ : ๒๔๒-๒๔๓
    ตอ. K.S. I : ๒๑๙-๒๒๐
     
  9. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิดมีคุณประโยชน์ต่อการรักษาโรคดังนี้ค่ะ

    1. ปวดหัวกินปลามากๆทั้งปลาทะเลปลาน้ำจืด มันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัวกินพร้อมกับขิงะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง

    2. แพ้ละอองเป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ให้กินโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว

    3. โรคหัวใจดื่มชาเขียวเป็นประจำสารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด

    4. โรคนอนไม่หลับดื่มน้ำผึ้งเป็นประจำสารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี

    5. โรคหืดหอบกินหอมต้นหอมหรือหัวหอมก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง

    6. โรคไขข้ออักเสบกินปลาเท่านั้นแก้ไขเป็นปกติได้ได้แก่ปลาแซลมอนปลาทูน่า
    ( ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรลปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง ) น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง

    7. ท้องผูกท้องอืดให้กินกล้วยหรือขิงกล้วยทำให้ไม่ท้องผูกและขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป

    8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะให้กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี ( ไม้เมืองหนาว) กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้

    9.. โรคหงุดหงิดฟุ้งซ่านให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียดวิตกกังวลและความคิดสับสนได้

    10. โรคกระดูกพรุนทั้งกระดูกเปราะและแตกง่ายแก้ไขได้โดยให้กินสับปะรดซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มากช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้

    11. ความจำเสื่อมแก้ไขโดยกินหอยนางรมหอยแครงหรือหอยอื่นซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี

    12. เป็นหวัดกินกระเทียมทำให้จมูกโปร่งสมองโล่งกระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย

    13. ไอจามกินพริกแดงสารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง

    14. มะเร็งเต้านมกินข้าวสาลีรำข้าวและกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี โดยเฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลีช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม ข้อสำคัญอย่ากินไก่มากเพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต

    15. มะเร็งปอดกินส้มและผักใบเขียวมีวิตามินเออยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน

    16 แผลในกระเพาะอาหารกินกะหล่ำปลีซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กหายขาดได้

    17. โรคท้องร่วงกินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือกช่วยให้อาการปั่นป่วนในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง

    18. เส้นเลือดตีบกินผลอโวคาโดแก้ได้เพราะไขมันดี ' โมโรอันแซตเทอเรต ' ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว ' คลอเลสเตอรอล ' ได้

    19. ความดันโลหิตสูงกินผลโอลีฟและผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมีทำให้ระดับความดันเลือดลดลง

    20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุลกินผักบร็อกโครลี่และถั่วลิสงซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้

    พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วยสร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆได้ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเองและคุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร
     
  10. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    โมทนา สาธุค่ะคุณนก ญ ถูกใจจริง ๆ ค่ะ
    พี่ภูรับแซ่บด้วยค่า เกี่ยวกันไหมนี่ ^.^
    บอกตามตรงนะว่าตอนนี้พี่เพ็ญไม่ห่วงใครเลยนะนอกจากพี่ภู
    กลัวไม่มีคนมาสร้างบ้านบนดินให้(จิต)อยู่ อิอิ
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    บบ.สั่งมาให้เธอนำจิตมาตั้งอยู่กับฝ่ายบุญ ฝ่ายกุศลให้มากๆ เพราะจิตเธอเริ่มหันเห เอาดีทางโลกแย๊วว นี่คือ ที่มาที่ไป

    และท่านไม่ให้พูดเรื่องบ้าน เพราะยังไม่ถึงเวลา อย่าไปพูดบ่อย ยิ่งพูดก็ยิ่งเลื่อนน่ะเอา
    และจิตพี่ภูกำลังเป็นอนัตตาอยู่ ห้ามนึก ห้ามพูด ห้ามทำเรื่องบ้านๆตอนนี้ เดี๋ยวครูเพ็ญก็โดนเรียกจิตไปพบเป็นการส่วนตัวอีกหรอก เหมือนดั่งที่ท่านพ่อสอนทำจิตเกาะพระใหม่ จำได้ป่ะ? เห่อๆ

    (พี่ภูช่วยด้วย หนูเป็นไรไม่รุ๊ จิตมันชอบทรงฌานทั้งวันทั้งคืน นี่ขนาดลืมตาและทำงาน หนูทำงานไม่ได้เลย เพราะจิตทรงฌานลึก ทำงานก็ช้าลง)
    หวังว่า ครูเพ็ญคงจะจำประโยคนี้ได้นะครับ


    นึกว่าห่วงพี่ภูตรงๆ ที่แท้ห่วงยาง เอ๊ย ห่วงอ้อมๆ นี่เอง(รักน่ะ จึงหยอกเล่น)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 ตุลาคม 2012
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอขยาย+เน้น​
    อินทรีย์ ทั้ง ๕ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
    (คุณจารุณี22)​

    อินทรีย์ ทั้ง ๕ ได้แก่...
    ๑."สัทธา" อริยสาวกใดมีศรัทธามั่น เลื่อมใสยิ่งในพระตถาคต อริยสาวกนั้นไม่พึงเคลือบแคลงหรือสงสัยในพระตถาคตหรือในศาสนาของพระตถาคต... จักเป็นผู้ปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม เพื่อให้กุศลธรรมสมบูรณ์ มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย

    ๒."วิริยะ" เป็นเหตุให้กล้าลงมือทำงานและกล้าเผชิญปัญหาอุปสรรคต่างๆ ขณะทำงาน ตรงกันข้าม หากขาดความเพียรพยายามเสียแล้วก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า"คนจะล่วงทุกข์ได้ก็เพราะความเพียร"

    ๓."สติ" ถ้าเรามีสติมาก จิตเราก็จะนิ่ง เพราะตามปรกติจิตเราไม่นิ่งกัน จิตจะนิ่งกันได้เราจะต้องฝึกให้นิ่ง
    (ขอเราโดยการนึกถึงพระบ่อยๆถี่ นั่นเอง ง่ายไปมั๊ย ง่ายๆคนส่วนใหญ่มองข้าม คือข้ามไปทำในสิ่งที่ยากหรือที่มิให้ทำ ก็ทำ เราเรียกว่าอะรั่ย ดื้อไง๊หล่ะ)

    ๔."สมาธิ" เมื่อเรามีสติมาก จิตก็นิ่งและนิ่งอย่างต่อเนื่องนี้ จิตก็เป็นสมาธิหรือฌานลำดับ

    ๕."ปัญญา" เมื่อเรามีสติมาก จิตก็เป็นสมาธิหรือฌานตามลำดับ ต่อไปปัญญาก็จะเกิดตามมา

    นี่คือรางวัลของคนดี หรือจิตนิ่ง หรือจิตเป็นสมาธิ หรือเกิดฌานตามลำดับ
    เพราะตราบใด ถ้าผู้ปฎิบัติไม่เริ่มต้นสร้างสติกัน จิตก็จะไม่นิ่ง จิตก็ไม่เป็นสมาธิหรือทรงฌานลำดับ ดังได้กล่าวไปแล้ว เพราะคำว่า ปัญญา(ในทางธรรม)เท่านั้น ที่จะทำให้เป็นผู้รู้แจ้ง โดยมิต้องใครมาสั่งมาสอน
    แต่ถ้าไม่มีปัญญาในทางธรรมแล้ว ต่อให้พระพุทธเจ้ามาโปรดด้วยพระองค์ พวกท่านก็มิอาจรู้เห็นแจ้งแทงตลอดกาลไปได้ ยกเว้น พระองค์ท่านจะใช้กำลังฌาน หรืออภิญญาให้ท่านเข้าถึงฌาน เข้าปัญญาได้ แต่ท่านไม่ทำ
    เพราะธรรมะกับกฎแห่งกรรมนั้น เสมือนเป็นญาติกัน พระองค์ท่านจึงไม่นิยมหรือสรรเสริญ
    แต่พระองค์ท่าน อยากเป็นแค่ผู้แนะให้ผู้ปฎิบัตินั้นทำเอง หรือมาพิสูจน์ด้วยตนเอง จะดีกว่า
    เพราะจะได้รู้คุณค่าจิตของตนเอง


    ขอโมทนาบุญและกุศลในการให้เพื่อธรรมาทานในครั้งนี้ กับคุณจารุณี22ด้วย​
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอขยาย+เน้น​

    พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์
    ...คนเขลาย่อมเข้าถึงครรภ์บ่อย ๆ ส่วนผู้มีปัญญาถึงจะเกิดบ่อย ๆ ก็เพื่อได้มรรค แล้วไม่เกิดอีก...
    (จารุณี22)​

    สติของคนเราก็เหมือนกัน ให้พวกเราคอยหมั่นระลึกรู้ตัวบ่อยๆ หรือสร้างสติบ่อยๆ(นึกถึงพระบ่อยๆ) ต่อไปจิตก็นิ่งบ่อยๆ จิตก็เป็นสมาธิบ่อยๆ จิตทรงฌานบ่อยๆ(ทรงฌานทั้งวันทั้งคืนบ่อยๆ) เดี๋ยวจิตก็มีปัญญาบ่อยๆ เดี๋ยวจิตวิปัสสนาบ่อยๆ และในที่สุด จิตก็จะกลายเป็นวิปัสสนาญาณหรือปัญญาญาณ

    และในที่สุด จิตก็ไม่พ้น คำว่า มรรค ผล นิพพาน ไปได้หรอก​
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สรุปแล้ว อะไรสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ ก็คือ จิตใจ
    ใครขยันดูจิต สนใจแต่จิตตนเอง ยิ่งดูก็ยิ่งฉลาดคือมีปัญญามาก แต่ถ้าใครไปดู หรือไปสนใจที่มิใช่เรื่องจิต(ตนเอง) ก็ยิ่งโง่เขลา เบาปัญญาเท่านั้น หรือ ใกล้เขาควายจะขึ้นที่หัวก็ยังไม่รู้ ผมหมายถึง คนที่เดินหลงทางอยู่ทุกวันนี้ หรือคนที่กำลังหลงกายหลงใจตนเอง ใจในที่นี้หมายถึง หลงตามใจตนเอง หรือหลงจิตตนเองที่ไม่นิ่ง ก็คือหลงไปวิ่งตามกระแสโลก นั่นเอง


    ขอขอบพระคุณ คุณพี่สุภาทร ที่แนะนำเพื่อธรรมาทาน ขอให้ท่าน..สิ่งเลอเลิศประมวลมา ให้สุขีปรีดา สมปรารถนาดั่งใจปอง ให้มีอายุยืนนาน จิตเบิกบานมั่งมีเงินทอง ... และขอให้คุณพระคุ้มครองท่านพี่และครอบครัว สุขภาพแข็งแรง เอย
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    วันนี้วันพระ และตอนนี้ท่านนึกถึงพระกันหรือยัง?
    สตินะ..สติ
    อยากให้ทุกท่าน มองเห็นสติกับจิต เป็นดั่ง เพชร ทอง จริงๆ
    เพราะมนุษย์เราจะได้มองเห็นคุณค่า​


    ขอขอบคุณ คุณนก(ญ)มากๆ ที่ให้พวกเรานึกถึงพระ ก็เสมือนว่าเธอให้พวกเรามีสติกัน มากๆ นั่นเอง​
     
  16. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ก็ห่วงพี่ภูนั่นและ บอกตรง ๆ ก็ไม่ค่อยจะยอมเชื่อกัน ก็เลยต้องหาเหตุมาอ้อมไง จิตยังอยู่กับงานทางธรรมและทางโลกจ้า มันอยู่ 2 ทาง ไม่มีลำเอียง เพราะเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งขันธ์ห้าเดือดร้อนทั้งสองทาง แต่จิตไม่เดือดร้อนจ้า บอกท่านพ่อว่าปล่อยแล้ว ใครจะเรียนก็เรียนยินดีช่วย ใครจะไม่เรียนก็ตามใจไม่บังคับให้ไปนิพพานกันนะ ใครจะไปนิพพานก็ต้องไปด้วยความสมัครใจ

    ถึงจิตหนูจะดื้อไปหน่อย(หรือเปลา^^) แต่หนูก็ไม่เคยขาดการปฏิบัติและไม่เคยขาดส่งการบ้านพี่ภูด้วยใช่ป่าว จำได้ไหมตั้งแต่เริ่มฝึกจิตเกาะพระหนูส่งการบ้านพี่ภูทุกวันแม้ว่าท่านพี่จะไม่อ่านไม่เอาหนูก็ส่ง อิอิ ยังจำได้ไหมพี่ภูบอกว่า

    "แล้วเธอมาเล่าให้ผมฟังทำไม"

    หนูตอบว่า

    "ก็จะเล่าจะทำไม ไม่อ่านก็ตามใจแต่จะเล่าอ่ะ"

    เพราะสิ่งมหัศจรรย์ในจิตหนูไม่มีใครจะสามารถหยั่งถึง แม้แต่พี่ภูก็ยังงงใช่ไหม มันมีอย่างนี้ด้วยเหรอ และอีกเหตุผลหนึ่งคือหนูบันทึกไว้เป็นหลักฐานเผื่อลูกหลานจิตเกาะพระจะได้ตาสว่าง พวกเธออย่าไปยึดตำราให้มาก เอาจิตเข้าไปเรียนรู้อย่างเดียว เดี๋ยวเธอก็จะรู้ความจริงเองว่าจิตนั้นมหัศจรรย์อย่างไร

    ตลอดเวลา 21 วันแห่งการปฏิบัติจิตอย่าเข้มข้น หนูกระตือรือร้นเรียนรู้จิตและส่งการบ้านไม่เคยขาด แหะ ๆ กลัวพี่ภูไม่รู้เรื่องนอกตำรา แต่หนูก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าผู้ปฏิบัติที่มาปฏิบัติกับเรา ท่านปรารถนาการไม่เกิด แต่เหตุไฉนท่านจึงปล่อยจิตไหลไปตามกรรม ปล่อยให้กรรมจูงจมูก จิตท่านไม่ได้อยู่กับพระหรือ ทำไมท่านจึงไม่เห็นจิตตนเอง ไม่เข้าใจจิตตนเอง แม้ในระหว่างฝึกท่านมีครูคอยให้คำอธิบายตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ แต่หนูไม่มีใครอธิบาย หนูก็ไม่เคยเหลวไหลไม่เคยหมดกำลังใจ

    หากจิตบุญจะทรงอารมณ์พระนิพพานและอยู่กับทางโลก แต่จิตก็ไม่เคยลืมพระนิพพาน ไม่เคยลืมเจริญอิทธิบาทสี่ แต่งานทางโลกโดยเฉพาะงานราชการไม่เหมือนงานอิสระ ยิ่งหน่วยงานเล็ก ๆ คนน้อย แต่ละคนรับผิดชอบงานของตนเอง ปัดป่ายบ่ายเบี่ยงให้ใครก็ไม่ได้ เราต้องรับผิดชอบเพราะเรายังกินเงินเดือนเขาอยู่ ขันธ์ห้ายังมีภาระให้ต้องทำงานหนักอยู่ จะให้สละงานทางโลกไปทำงานทางธรรมอย่างเดียวก็ไม่ได้ หนูรายงานท่านพ่อแล้ว ท่านพ่อไม่ว่าอะไร คุณแม่สุมาลียืนยันได้ เพราะท่านขึ้นไปถามท่านพ่อด้วยจิตท่านเอง ท่านพ่อบอกว่าทำไปสบายอย่าให้มันเคร่งเครียดเป็นภาระกับจิต

    เรื่องบ้านก็ไม่ได้อยากได้แล้ว เพียงแต่ขันธ์ห้ายังมีอยู่นะ ยังไงมันก็ต้องมีบ้านให้อยู่อาศัย หนูหมายถึงบ้านทางธรรม ไม่ใช่บ้านส่วนตัว ใจหนูไปอยู่ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ใครไม่เอาจิตตามไปก็จะหาบ้านไม่เจอ ท่านพี่ลืมเรื่องบ้านไปซะ หนูก็แค่มาแซวเล่นเฉย ๆ ใจหนูไม่เอาบ้านแล้วจ้า ในโลกนี้ก็ไม่เอาอะไรแล้ว รอเวลาตามท่านพ่อกลับบ้านเท่านั้นเอง^^

    ปล.ขออธิบายเพิ่มเติมเดี๋ยวจิตบุญท่านอื่นจะงงว่าครูเพ็ญจะละขันธ์แล้วเหรอ ยังไม่ละค่ะ คำมั่นสัญญาเลยครูเพ็ญจะเจริญอิทธิบาทอยู่ให้ครบ 4 ปี แต่ภายใน 4 ปีที่เหลือ จะมีครูจิตบุญบางท่านต้องถูกขับเคี่ยวโดยพี่เพ็ญ เพื่อถ่ายทอดวิชาจิตเกาะพระอย่างเข้มข้น พี่เพ็ญกำลังดูใจท่านทั้งหลายอยู่ และเผื่อว่าจะมีจิตกล้าลุย(เดนตาย)เหมือนพี่เพ็ญอุบัติขึ้นในภายหน้าบ้าง แต่ถ้าไม่มีจริง ๆ ก็ขอให้ท่านถือตำราจิตเกาะพระต้นฉบับของพี่เพ็ญเป็นแนวสอนนะ นี่ไม่ใช่เรื่องฟุ้งซ่านแต่อย่างใด ทุกอย่างถูกเตรียมการไว้หมดแล้ว เพียงแต่รอเวลาให้ขันธ์ห้าของครูเพ็ญว่างเท่านั้นเอง ครูเพ็ญจะเริ่มเขียนตำราจิตเกาะพระต้นตำรับไว้ให้ทั้งครูจิตบุญและจิตเกาะพระเป็นคู่มือ ส่วนครูจิตบุญหัวแถวพี่เพ็ญไม่ห่วงแล้ว โดยเฉพาะครูน้องหนู ครูดัช ครูวิทย์ แต่ละท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาทางจิตไปบ้างแล้ว แต่ยังไม่มีใครจะสามารถรับได้หมดทุกกระบวนความ ไม่เป็นไรกระจายกันไปคนละนิดคนละหน่อย สักวันพวกท่านก็จักนำวิชามารวมกันได้เอง ขอเพียงให้จิตของท่านมีท่านพ่อประทับอยู่ในจิตตลอดกัลปาวสาน...เหอ ๆ มันมีเพลงนี้ด้วยเหรอ
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=UEMXixWPF2g"]????????? ??????? Tea Time With ??? ????? - YouTube[/ame]​

    แถมอีกเพลง จิตเบิกบานฮ้า หรือว่าเป็นนิมิตอะไรหรือเปล่า จิตใครจะยกโปรดยกมือขึ้น สาธุ^^
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=klALWhz882k&feature=endscreen&NR=1"]?????????? Tea Time with ??? ????? [Official Song] - YouTube[/ame]​

    และเพลงสุดท้ายมอบให้พี่ภู จิตบุญทุกท่าน และจิตเกาะพระทุกท่านค่ะ
    หมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจ
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=kdmqMcPHslo&feature=related"]Sofa ????????????????????????? - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2012
  17. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    ขอบพระคุณพี่หมอที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่มีประโยชน์ค่ะ โมทนาสาธุค่ะ :boo:
     
  18. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    มาร ๕

    คือ สิ่งที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากคุณความดีหรือจากผลที่หมายอันประเสริฐ,
    สิ่งที่ล้างผลาญคุณความดี, ตัวการที่กำจัดหรือขัดขวางบุคคลมิให้บรรลุ
    ผลสำเร็จอันดีงาม

    ประกอบด้วย

    1. กิเลสมาร
    มารคือกิเลส, กิเลสเป็นมารเพราะเป็นตัวกำจัดและ<WBR>ขัด<WBR>ขวาง<WBR>ความ<WBR>ดี ทำให้สัตว์ประสบความพินาศทั้งในปัจจุบันและอนาคต

    2. ขันธมาร
    ขันธ์ 5 เป็นมาร เพราะเป็นสภาพอันปัจจัย<WBR>ปรุง<WBR>แต่ง มีความขัดแย้งกันเองอยู่ภายใน ไม่มั่นคงทนนาน เป็นภาระในการบริหาร ทั้งแปรปรวนเสื่อมโทรมไปเพราะชราพยาธิเป็นต้น ล้วนรอนโอกาสมิให้บุคคลทำกิจหน้าที่ หรือบำเพ็ญคุณความดีได้เต็มปรารถนา อย่างแรง อาจถึงกับพรากโอกาสนั้นโดยสิ้นเชิง

    3. อภิสังขารมาร
    มารคืออภิสังขาร, อภิสังขารเป็นมาร เพราะเป็นตัวปรุงแต่งกรรม นำให้เกิดชาติ ชรา เป็นต้น ขัดขวางมิให้หลุดพ้นไปจาก<WBR>สังขาร<WBR>ทุกข์

    4. เทวปุตตมาร
    มารคือเทพบุตร, เทพยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดแห่งชั้น<WBR>กามา<WBR>วจร<WBR>ตนหนึ่งชื่อว่ามาร
    เพราะเป็นนิมิตแห่งความขัดข้อง คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้
    มิให้ล่วงพ้นจากแดนอำนาจครอบงำของตน โดยชักให้ห่วงพะวงในกามสุข
    ไม่หาญ เสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดียิ่งใหญ่ได้

    5. มัจจุมาร
    มารคือความตาย, ความตายเป็นมาร เพราะเป็นตัวการตัดโอกาส
    ที่จะก้าวหน้าต่อไปในคุณความดีทั้งหลาย
    คัดมาบางส่วนจาก
    พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

    จงอย่าประมาท มารใดมารหนึ่ง อาจมาขัดขวางการปฏิบัติธรรมเมื่อไรก็ได้

     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอเล่าเพื่อเป็นธรรมาทาน
    พี่ภูเห็นกรรมเพื่อนแล้วก็...อึมม(อุเบกขา)

    พูดไม่ได้ พูดไปเขาก็ไม่เห็นธรรม เพราะจิตเขามันหยาบ และทำผิดศีลข้อ ๓
    โดยเฉพาะบอกได้เลยว่า คนยุคสมัยนี้ วัตถุยิ่งเจริญเท่าไหร่ จิตก็ยิ่งเจริญลงเท่านั้น
    แต่จะมีผลเฉพาะผู้ที่ไม่รักษาศีลธรรม หรือ ผู้ที่ไม่ฝึกดูจิต ก็ย่อมไหลหลงลงสู่ที่ต่ำเป็นธรรมดา

    อันนี้จะเล่าเพื่อเป็นธรรมาทานเฉยๆนะ มิได้ไปอยากรู้ อยากเห็นกรรมของผู้อื่น
    แต่ถ้าเห็นแล้ว เห็นกรรมคนทางโลก จะอ๊วกเหมือนครูดัชพูดจริงๆ แต่เมื่อก่อนที่ผมไม่รักษาศีล ไม่ทำภาวนา เราก็จะทำไปเรื่อยๆ ทำตามใจ ที่เรากำลังทำตามใจกันอยู่นั้น ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า มันบาปกรรมทั้งนั้นเลย เพราะด้วยจิตที่หยาบ ที่ไม่รักษาศีล ไม่ทำภาวนา ยิ่งมีแต่จะทำให้เราคิดผิด พูดผิด และกระทำแต่สิ่งผิดๆทั้งนั้น โดยมิรู้ตัว ก็เพราะว่า จิตมีอวิชชาเต็มหัว ความไม่รู้ตัวเดียวนี่เอง จิตคนเราก็จะกลายเป็นจิตที่มีแต่มิจฉาทิฎฐิ(ความเห็นผิด) เมื่อภายใน(จิต)ไม่ดีแล้ว ฉะนั้นทั้งคำพูดและการกระทำก็ออกมาไม่ดี หรือไม่สำรวมตามไปด้วย และท้ายที่สุด ผลก็คือไม่พ้นคำว่าทุกข์

    สำหรับผู้ที่กำลังปฎิบัติธรรม ไม่ว่าจะเป็นแนวไหน ก็ถือว่าท่านโชคดีมาก ถึงวันนี้จะยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม แต่สักวัน ถ้าวาระกรรมใกล้จะหมด
    แต่ถ้าผู้ใด อยากให้วาระกรรมใกล้หมดไวๆ ให้ทำดังนี้ ก็คือ..
    หยุดทำชั่วทุกอย่าง หันมาสร้างแต่กรรมดีเท่านั้น รีบพากันรักษาศีลและทำภาวนา(ดูจิตหรือทำจิตเกาะพระ)

    วันนี้เมื่อท่านเรียนวิชาจิตเกาะพระ ไม่ได้เสียอะไรเลย แต่เมื่อท่านเรียนจบ พวกท่านรู้ไหม๊ว่า พวกท่านนั้นจะได้อะไรอีกมากมายตามา ทั้งทางโลกและโลกทิพย์ หรือโลกหลังความตาย เมื่อตายไปแล้ว ไปที่ชอบๆ หรือไปนิพพาน แต่ถ้าไปไม่ถึง ไปแค่สวรรค์หรือพรหม มันก็สุดคุ้มมากแค่ไหนแล้ว ที่สามารถปิดประตูอบายภูมิ นรกภูมิของตนเองได้

    อย่าไปคิดนะว่า เมื่อจิตยกแล้ว จะไปอบายภูมิกันไม่ได้ ถ้าผู้นั้นชอบทำจิตหลุดจากฌาน แต่จะไปได้แค่ชั่วคราว เดี๋ยวเมื่อจิตเขาระลึกถึงบุญกุศลหรือบารมีที่ตนเองได้สร้างไว้ ครั้งในยามที่ยังมีชีวิตอยู่ เดี๋ยวก็กลับไปที่ที่ จิตเขาได้สร้างไว้ดีแล้ว ขอให้จิตบุญทุกๆท่าน จงคอยหมั่นเจริญสติภาวนาไปจนกว่าจะละขันธ์ ๕

    นี่แค่เริ่ม นี่ยังไม่ได้เล่าเลย ฮ่าๆ ติดโม้ซะเยอะเคยตัว ขอประทานอภัยด้วย งั้นขอเล่าเลยนิดนึง...

    ผมมีเพื่อนผู้หญิงคนนึง แฟนเขาเป็นฝรั่งแต่งงานกันหลายปีแล้ว แต่เธอแอบไปมีกิ๊ก(เธอเล่าเองนะ มิได้คิดเอาเอง) และกิ๊กเธอก็มีแฟนที่กำลังจะหย่า (เริ่มมั่วแล้ว) ต่อมาวันหนึ่ง แฟนคนที่แต่งงานไปนั่งดริ๊งไปดื่มเบียร์ แต่ฝ่ายหญิง(เพื่อนผม) เธอไปเห็นสามีไปนั่งดริ๊งกับหญิง เมื่อกลับถึงบ้าน คุณเธอไม่พอใจ ก็เลยต่อว่ากันยกใหญ่ และไล่สามีออกจากบ้าน

    ทุกๆท่าน พอจะนึกมองภาพกันออกนะว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร จะจบอย่างไร (คิดเอากันเองเห่อ) คุณเธอก็ไม่เบา ไม่นึกเลยว่า ถ้าสามีรู้ว่าเธอมีกิ๊กกั๊กบ้าง สามีของเธอจะว่ายังไง...ไม่อยากจะเซดเลยใช่ไหม๊

    นี่ขนาดเธอทำผิดศีล๓ เพียงข้อเดียวเองนะ แต่เธอคนนี้ชอบทำบุญนะจะบอกให้ ฟังเทศน์ ฟังธรรม เอาทุกอย่าง แต่คุณเธอมองข้ามศีลไป

    นี่ไง๊ ที่ผมกำลังจะเตือนผู้ปฎิบัติธรรม อย่ามองข้ามเรื่องศีล(ตนเอง)เด็ดขาด อย่าเห็นเรื่องศีลเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะคนจะดีได้ คนจะปฎิบัติมรรคผลนั้น จงอย่ามองข้ามศีล(ตนเอง) การปฎิบัติธรรมนั้น ศีลจะต้องมาก่อน แต่ผู้ใดมองข้าม เห็นศีลไม่มีคุณค่า อย่าได้หวังจะเอาดีทางเดินมรรคาเลย เพราะฉะนั้น พวกเรารู้แล้ว คำว่า พระนิพพานนั้น ที่คนส่วนใหญ่บอกกันว่า มันไกลเกินเอื้อมน่ะ สำหรับพวกที่ไม่รักษาศีลกันนี่เอง
    ศีลเปรียบเสมือนรากฐานนะ อย่าลืม!
    ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว พระพุทธองค์จะเรียงลำดับมรรคมีองค์๘ มาให้กับพวกเราทำไม นั่นก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา (เห็นมั๊ยๆ)

    จบดีก่า...เดี๋ยวคุณดัชจะมาอ่านเจอ เดี๋ยวเธอจะขอลาป่วยต่ออีก เดี๋ยวจะยุ่ง

    สรุปแล้ว ขอให้พวกท่านพากันรักษาศีล ทำภาวนา โดยเฉพาะทำจิตเกาะพระ
    พากันปฎิบัติจิตเกาะพระกันดีกว่าไวดี ได้ผลไวดี รู้ตัวไวดี รู้ดีรู้ชั่วไวดี ปิดประตูนรกหนีเข้านิพพานไวดี (ว่าจะไม่โฆษณาแล้วนะ เอาจนได้ ขอหน่อยนึงนะ)

    ปล.ขอให้เพื่อนหญิงคนนั้น จงรักษาศีล ทำภาวนาให้ได้ แต่ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาที่จะล่วงเกินกรรมเธอ ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมมา ณ ที่นี้ด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 ตุลาคม 2012
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออนุโมทนาบุญกับคุณหมอด้วยนะครับ
    ขอให้คุณหมอหายไวๆ ปราศจากโรคภัยทางกายใดๆทั้งสิ้นด้วยเทอญ
    มารไม่มีบารมีบ่เกิด
    ไม่มีพระพุทธเจ้า พวกเราก็ไปพระนิพพานกันไม่ได้(ช่วยกันระลึก นึกถึงคุณงามความดีของท่านให้มากๆ)

    ก็เหมือนดั่ง แต่ถ้าไม่มีอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง ความสำเร็จย่อมไม่ปรากฎ เพราะความสำเร็จมักมาหลังความสำเร็จเสมอ
    การปฎิบัติก็เหมือนกัน แต่ถ้าผู้ใดขาดความเพียรแล้ว ย่อมทำไม่สำเร็จแน่นอน
    เหมือนทำจิตเกาะพระ แต่ถ้าผู้ใครแอบทำกันเอง ป่านนี้ก็ยังไม่เห็นมีใครทำได้สำเร็จเลย นอกจากท่าน คือ สัพพัญญู หรือ พระพุทธเจ้าเท่านั้น
    พวกท่าน ถ้าจะคิดจะเอาดีในทางปฎิบัตินั้น จงละตัวรู้(Ego)ของตนเองให้ได้ก่อน มิฉะนั้นแล้ว ตัวรู้หรืออีโก้นี้ จะเป็นตัวคอยขัดขวางการเจริญในธรรม หรือความจริงของตัวคุณเอง มิใช่ใครที่ไหน เพราะฉะนั้นคนที่มีปัญญากันจริงๆ เขาจะถ่อมตน มิใช่ข่มคนอื่น แต่ผู้ใดเป็นเช่นนี้ ท่านก็จงเดินทางอ้อมกันไป เดินข้ามภพชาติกันเข้าไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...