"วาระสุดท้ายของโลก" จากพระไตรปิฎก

​

249 วาระสุดท้ายของโลก

ปัญหา นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า โลกของเราจะมีอายุประมาณ ๕,๐๐๐ ล้านปีแล้วก็จะแตกดับ ทางพระพุทธศาสนาแสดงเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม.... ควรเบื่อหน่าย.... ควรคลานกำหนัด.... ควรหลุดพ้น
“ขุนเขาสิเนรุโดยยาว ๘๔,๐๐๐ โยชน์ โดยกว้าง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ หยั่งลงในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงจากมหาสมุทรขึ้นไป ๘๔,๐๐๐ โยชน์ มีกาลบางคราวที่ฝนไม่ตกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี เมื่อฝนไม่ตก พืชคาม ภูตคามและติณชาติป่าไม้ใหญ่ย่อมเฉา เหี่ยวแห้ง เป็นอยู่ไม่ได้

“.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่สองปรากฏ...แม่น้ำลำคลองทั้งหมดย่อมงวดแห้ง.... ไม่มีน้ำ
“.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๓ ปรากฏ...แม่น้ำสายใหญ่ ๆ คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรพู มหี ทั้งหมดย่อมงวดแห้ง.... ไม่มีน้ำ
“.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๔ ปรากฏ...แม่น้ำสายใหญ่ ๆ ที่ไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำใหญ่ คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรพู มหี ทั้งหมดย่อมงวดแห้ง.... ไม่มีน้ำ
“.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๕ ปรากฏ...น้ำในมหาสมุทรลึก ๑๐๐ โยชน์ก็ดี.... ๗๐๐ โยชน์ก็ดี ย่อมงวดลงเหลืออยู่เพียง ๗ ชั่วต้นตาลก็มี ๖ ชั่วต้นตาลก็มี.... ชั่วต้นตาลเดียวก็มี แล้วยังจะเหลืออยู่ ๗ ชั่วคน ๖ ชั่วคน.... เพียงเขา... เพียงรอยเท้าโค
“.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๖ ปรากฏ...แผ่นดินใหญ่นี้และเขาสินเนรุ ย่อมมีกลุ่มควันพลุ่งขึ้น เปรียบเหมือนนายช่างหม้อเผาหม้อที่ปั้นดีแล้ว ย่อมมีกลุ่มควันพลุ่งขึ้น ฉะนั้น
“.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๗ ปรากฏ...แผ่นดินใหญ่นี้และเขาสินเนรุ ไฟจะติดทั่วลุกโชติช่วง มีแสงเพลิงเป็นอันเดียวกัน.... เมื่อแผ่นดินใหญ่และเขาสิเนรุ ถูกไฟเผาผลาญอยู่ ย่อมไม่ปรากฏขี้เถ้าและเขม่า.....
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย..... สังขารทั้งหลาย.... เป็นสภาพไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม ควรจะเบื่อหน่าย.... ควรคลานกำหนัด.... ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง


สุริยสูตร ส. อํ. (๖๓)
ตบ. ๒๓ : ๑๐๒-๑๐๕ ตท. ๒๓ : ๙๕-๙๗
ตอ. G.S. IV : ๖๔-๖๘

249

 

โลกมนุษย์ไม่มีวันดับ หากจะหายไปจะต้องใช้เวลานานมากๆ จนที่ไม่สามารถสรรหาหน่วยวัดใดๆบนโลกมาเปรียบเทียบระยะเวลา ล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ปี พิมพ์ไม่ผิดหรอกนะครับ ไม้ยามก อีก พันล้านไม้ยามก ก็ไม่พอครับ แต่ที่จะดับคือ สิ่งมีชีวิต

 

กลัวโลกจะแตก กลัวภัยธรรมชาติ กลัวนั่นกลัวนี่

จะมีชีวิตอยู่เห็นวันพรุ่งนี้หรือป่าวก็ไม่รู้ เนอะ

 

อย่าเข้าใจผิดสิครับ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปเป็นไปตามธรรมดา ที่แสดงไว้ในพระไตรปิฏกนั้นหมายถึงกาลภายหน้าอีกนานหลังจากสิ้นยุคพระศรีอาริย์แล้วครับ มิใช่ในช่วงนี้

คุณลองพิจารณาดู แม้กระทั้งกาแลคซี่ก็ยังมีการดับสูญ เช่น เกิดการชนกันของกาแล็คซี่สองกาแล็คซี่ เกิดซุปเปอร์โนวาขึ้นมา นักวิทยาศาสตร์ในแวดวงศ์ดาราศาสตร์ได้พบซุปเปอร์โนวาแล้ว แสดงว่ามีกาแล็คซี่ีบางกาแล็คซี่ในจักรวาลเกิดการชนกันจนเกิดการระเบิดขนาดใหญ่ที่เรียกว่า "ซุปเปอร์โนวา" ครับ

 

1วิ 1นาที สรรพสิ่งยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เกิด-ดับ นับไม่ถ้วน
จะโลกนี้ หรือ โลกไหน... มันก็ช่างหาความแน่นอนได้ยากยิ่ง
ซึ่งไม่ว่านับจากนี้ไป หากเกิดอาเพศ ภัยร้ายใด ๆ
หรือ ... ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ก็ตามที
ก็ขอให้พึงมีสติตั้งมั่นอยู่ทุกขณะ ลด ละ ไว้ซึ่งความประมาท
ตราบเท่าที่ เรา ๆ ท่าน ๆ ยังคงต้องดำรงตนอยู่ในวัฎสงสารนี้
ภัยใดที่ว่าร้ายแล้ว ยังไม่อาจเทียบเท่ากับภัยในใจเราได้เลย...

 

รู้ได้ยังไง??? มั่นใจขนาดนี้ ขอข้อมูลประกอบ

 

อันนี้น่าจะจริง ขนาดตอนนี้โลกยิ่งร้อนขึ้นทุกวัน อาจจะจริง ถ้ามีพระไตรปิฏกมาด้วยนี่จริงแน่ แต่คงไม่มีใครไปอยู่ถึงตอนนั้นหรอก อีกนาน ยกเว้นว่าดันไปเสือกเกิดตรงนั้นเองก็ซวยละหว่า:boo:

 

เห็นตามคุณ นพนัฐ มีการเปลี่ยนแปลง เกิด ดับ เกิด ดับ ทุกเวลานาที ทุกลมหายใจเข้า และลมหายใจออก ไม่มีอะไรแน่นอน ยั่งยืนและจีรัง

 

...มีปรากฏด้วยว่าสัตว์ทั้งหลายไปเกิดในชั้นอาภัสราพรหม...เมื่อโลกกลับมีขึ้นก็
จะลงมากินง้วนดิน..กายก็หยาบขึ้น..เป็นชายหญิงต้องตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัย..

 

เป็นวัฏวน...แล้วพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปก็อุบัติ..

 

น่าจะหมดกัปล์นี้ก่อนนะ...กัปล์ของเรามีพระพุทธเจ้า5พระองค์...เราอยู่องค์ที่4..ถ้าหมดยุค4ก็เข้าสู่ยุคมืด...คือไม่มีศาสนาอยู่ช่วงนึงรอจนกว่าพระศรีอาริย์จะมาตรัสรู้ ตอนนั้นจะมีหลายลัทธิมาก..แล้วก็มีหลายเมือง...เป็นยุคที่เชื่อมกับจิตวิญาณได้มีพลังพิเศษคล้ายกับหนังช่อง7 ของค่ายสามเศียรตอนเช้าๆอ่ะ...ยุคนั้นจะยังไม่มีที่พึ่งคือพระรัตรตรัย จนกว่าองค์ที่5ท่านจะมาโปรดให้พ้นข้ามสังสารวัฏ....ใครยังไม่ข้ามก็ต้องยิงยาวไปกัลป์ใหม่อีกดวงจิตที่โลกจะไม่ลงเหลือจะไปอยู่ในภพภูมิต่ำกว่าโลก หรือสูงกว่าโลก เช่น เทวดา พรหม หรือถ้าจะอยู่บนโลกก็จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน พวกไดโนเสาร์ ปลา แมลง แล้วไฟปลัยกัน7ลูกก็จะเข้ามาล้างโลก ลาวา แม็กม่า จะออกมาผสมธาตุ...สัตว์ทุกตัวตายหมด....จนธาตุสมดุล มีธาตุไฟดวงอาทิตย์1ดวง มีน้ำบริสุทธิ์ มีง้วนดินบริสุทธิ์ มีอากาศบริสุทธิ์ .....เมื่อธาตุบนโลกบริสุทธิ์จึงเชื่อกับมิติพรหมที่มีธรรมชาติของความบริสุทธิ์เช่นกัน แต่ยังขาดปัญญาจึงยังไม่จบต้องลงมาใช้กรรมต่อ เกิด ภพ เกิด ชาติ เกิด รูป เกิดชรา แต่ช่วงแรกยังคงมีอายุยืนอยู่จนต่อๆไปเริ่มหยาบขึ้นๆเรื่อย ....อจินไตยนะครับแล้วแต่ใครจะสัมผัส

 

แล้วยุคพระศรีอาริย์นี่ เห็นบอกกันว่าท่านจะนำพาผู้คนทั้งหมดเข้าสู่พระนิพพานไม่ใช่เหรอคะ แล้วทำไมยังมีหลงเหลือไปเกิด แก่ เจ็บ ตายวนเวียนในวัฎฎสงสารอีกอ่ะ

 

เป็นเรื่องธรรมดาครับ อย่าไปกลัว
แต่ควรทำใจคือโลกส่วนตัวของเราเองให้ดับ ให้เย็น ก่อนโลกอื่นจะดับ จะได้ประโยชน์มากกว่า
จะดีกว่าไหมครับ

 

คนที่ดีไม่พอจะไม่สามารถไปเกิดในยุคนั้นได้ครับ อย่างมากถ้าจะได้เกิดอาจไม่ได้อยู่ในศาสนาพุทธ หริออาจเป็นเดรัจฉาน หรือไม่ก็หลบลงไปอยู่อบายก่อน ศีล5 บริสุทธิ์ถึงจะสามารถเกิดในย่านนั้นได้ครับ

 

มีพระโพธิสัตว์ไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนองค์ที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าไว้แล้วว่าจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ก็แสดงว่าโลกไม่ดับสูญไปง่ายๆในเร็วๆนี้แน่ เพราะพระโพธิสัตว์ทั้งหลายรอจ่อมาจุติเพื่อโปรดสัตว์อยู่คิวยาวเหยียด แค่ยุคพระศรีอารย์มาเกิดก็ต้องรอเป็นล้านปี โลกน่ะไม่แตกง่ายๆหรอก แต่ภัยพิบัติที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ และทำลายล้างอารยธรรมต่างๆไปจนหมด จนมนุษย์นี้ต้องเริ่มต้องเรียนรู้ใหม่พัฒนาใหม่ตั้งแต่ต้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นวัฐจักรมากกว่าพวกนักวิชาการเชื่อว่าอารยธรรมมนุษย์พึ่งเริ่มตั้งแต่ 3000ปีก่อน(โดยประมาณ) จากหลักฐานที่ค้นพบ แต่กลับมีหลักฐานต่างๆผุดขึ้นมาว่าอารยธรรมจากหลักฐานทางโบราณวัตถุ(จำไม่ได้แล้วว่าเป็นอะไรอ่านเจอนานแล้วอ่านผ่านๆด้วย)มีอายุมากกว่า 30000ปี และยังแสดงให้เห็นถึงความรู้และเทคโนโลยีในยุคนั้นที่ดูก้าวไกลกว่าปัจจุบันเสียอีก

ไม่ว่าเรื่องที่กล่าวมาในขั้นต้นเป็นจริงมากน้อยขนาดไหนก็ตาม สิ่งที่มีอยู่ในพระไตรปิฏกและความเชื่อทางศาสนา หลักฐานทางวิชาการที่มีเหลืออันน้อยนิดจากเศษซากของอารยธรรมที่สูญสลายจากอดีตอันไกลโพ้น จะเป็นความจริงเพียงใดก็ตาม แต่เราจะมามัววิตกกับคำพยากรณ์วันโลกสิ้นโลกที่ไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จริงแค่ไหนก็ไม่รู้ เห็นทำนายกันมาทุกปีขวัณเสียทุกครา ในเมื่อเราก็ไม่รู้ว่าเราจะอยู่บนโลกได้อีกกี่วันจะมัวพะวงอยู่ทำไม ที่เกิดขึ้นแน่ๆคือภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ และมนุษย์ต้องได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย ใหญ่สุดคือภัยที่ทำลายล้างมนุษย์จนเจือนจะสูญพันธุ์มากกว่า แต่นั้นจะเป็นเวลาที่โลกจะได้พักและรักษาตัวเองจากการทำลายธรรมชาติทั้งทางตรงและทางอ้อมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน

 

ช่วงยุคมืดยังไม่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประกาศศาสนา
แต่ก็ยังมีพระปัจเจคพุทธเจ้าที่ท่านตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองเช่นกัน
ท่านก็ต้องบำเพ็ญบารมีจากพระโพธิสัตย์เช่นกัน
แต่ท่านไม่ได้ประกาศศาสนา
ส่วนมากท่านจะอยู่ตามป่าตามถ้ำ
มีพี่น้องกันหลายร้อยองค์แต่ละองค์ก็เป็นพระปัจเจคพุทธเจ้าด้วยกันทั้งนั้น
ก็พอที่จะลดคิวอันยาวเหยียดของผู้ที่หวังพุทธภูมิได้บ้าง

ตามประวัติในอดีตชาติของพระมหากัสสปะก็เคยได้ทำบุญกับเหล่าพระปัจเจคพุทธเจ้าด้วย
บารมีของพระมหากัสสปะเลยมากและเป็นเอตทัคคะด้านธุดงค์วัตรด้วย ท่านออกป่าอยู่ถ้ำจนชำนาญมากๆๆ

 

สนใจดับกิเลสในใจมากกว่าสนใจโลกดับดีกว่าไหม

 

อืม ยังไม่ชินกันอีกเหรอเนี่ย
เราเกิดๆตายๆมากี่ชาติกันแล้ว ต้องผ่านการเกิดดับของโลกมาหลายครั้งแล้ว แทนที่จะกลัวกับเรื่องแบบนี้ สู้เร่งภาวนาให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารกันไม่ดีกว่าเหรอ สำหรับคนที่กลัวภัยพิบัติครับ
ปล.ตอนนี้ผมก็คิดได้แบบนี้แหละ เจอเข้าจริงๆอาจกลัวก็ได้ 555+

 

ดูทฤษฎีประกอบเพิ่มได้ที่นี่ครับ อาจช่วยความรู้ให้กับท่านที่สนใจเฉพาะได้ครับ

การแตกทำลายของโลกธาตุ /โลกพยุหะ





http://palungjit.org/threads/การแตกทำลายของโลกธาตุ-โลกพยุหะ.364150/

 

ทำไมเดี๋ยวคนชอบพูดเรื่องนี้.......