ไม่เข้าใจว่า มัน เกื้อกูลกันยังไง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นราสภา, 13 กันยายน 2012.

  1. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337



    ภิกษุ ท.! โมฆบุรุษบางพวกในกรณีนี้ เล่าเรียนปริยัติธรรม (นานาชนิด) คือ สุตตะ ฯลฯ เวทัลละ,
    พวกโมฆบุรุษเหล่านั้น ครั้นเล่าเรียน ธรรมนั้น ๆ แล้ว ไม่สอดส่องใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญา.
    เมื่อไม่สอดส่องใคร่ครวญเนื้อความด้วยปัญญา ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมไม่ทน ต่อการเพ่งพิสูจน์ ของโมฆบุรุษเหล่านั้น;


    นี้เเละความหมายของโมฆบุรุษ ปฏิเสธการทรงจำธรรม การไม่ทรงธรรมไม่มีทางจะนำไปสอดส่องใคร่ครวญเนื่อความเเห่งธรรมได้ ธรรมทั่งหลายย่อมไม่ทนต่อการเพ่งพิสูจน์ของ โมฆบุรุษ

    ที่จริงมีสูตรที่ว่าภัยร้อยของโมฆบุรุษไม่อยากถึงขนาดนั้นเดียวจะหาว่าเกินไป
     
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    5 สารีบุตร บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ทำได้เต็มที่ในส่วนศิล ทำได้เต็มที่ในส่วนสมาธิ แต่ทำได้พอประมารในส่วนปัญญา เพราะทำสังโยชน์ห้าอย่าง ในเบื้องต้นให้สิ้นไป บุคคลนั้นเป้น อนาคามีผู้มีกระแสในเบื้องบนไปถึง อกนิฎฐภพ....สารีบุตร นี้เป้นบุคคลผู้มีเชื้อเหลือพวกที่5ที่เมื่อตาย ก็พ้นแล้วจากนรก จากกำเนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแห่งเปรต จากอบาย ทุคติวินิบาต.................6สารีบุตร บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ทำได้เต็มที่ในส่วนศิล แต่ทำได้พอประมาณในส่วนสมาธิ ทำได้พอประมาณในส่วนปัญญา เพราะทำสังโยชน์ สามอย่างให้สิ้นไป และเพราะมีราคะ โทสะ โมหะ เบาบางน้อยลง เป็น สกทาคามี ยังจะมาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกขืได้ สารีบุตร นี้เป็นบุคคลมีเชื้อ จำพวกที่หก ที่เมื่อ ตาย ก็พ้นแล้ว จากนรก จากกำเนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแห่งเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต..........................7 สารีบุตร บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ทำได้เต็มที่ในส่วนศิล แต่ทำได้พอประมาณในส่วนสมาธิ ทำได้พอประมาณในส่วนปัญญา เพราะทำสังโยชน์ สามอย่างให้สิ้นไป บุคคลนั้นเป็นโสดาบันผู้มีพืชหนเดียว คือ จักเกิดในภพมนุษย์หนเดียวเท่านั้น แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกขืได้ สารีบุตร นี้เป็นบุคคลมีเชื้อเหลือ พวกที่ 7 ที่เมื่อตาย ก็พ้นแล้วจากนรก จากกำเนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแห่งเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต...
     
  3. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    8 สารีบุตร บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ทำได้เต็มที่ในส่วนศิล แต่ทำได้พอประมาณในส่วน สมาะิ ทำได้พอประมาณในส่วนปัญญา เพราะทำสังโยชน์ สามอย่างให้สิ้นไป บุคคลนั้นเป็นโสดาบันผู้ต้องท่องเที่ยวไปสู่สกุล 2หรือ 3 ครั้ง แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ สารีบุตร นี้เป็นบุคคลมีเชื้อเหลือพวกที่8 ที่เมื่อตาย ก้พ้นแล้วจากนรก จากกำเนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแห่งเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต..........9สารีบุตร บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ทำได้เต็มที่ในส่วนศิล แต่ทำได้พอประมาณในส่วนสมาธิ ทำได้พอประมาณในส่วนปัญญา เพราะทำสังโยชน์ สามอย่างให้สิ้นไป บุคคลนั้นเป็นโสดาบันผู้ยังต้องท่องเที่ยวไปในเทวดาและ มนุษย์อีก7 ครั้งเป็นอย่างมาก แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกขืได้ สารีบุตรนี้เป็นบุคคลผู้มีเชื้อเหลือพวกที่9 ที่เมื่อตาย ก้พ้นแล้วจากนรก จากกำเนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแห่งเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต........สารีบุตร ปริพาชกลัทธิอื่น ยังอ่อนความรู้ ไม่ฉลาด จักรู้ได้อย่างไรกันว่า ใครมีเชื้อเหลือ ใครไม่มีเชื้อเหลือ สารีบุตร...บุคคลเหล่านี้แล ที่มีเชื้อเหลือ 9 จำพวก เมื่อตายไป ก็พ้นแล้วจากนรก จากกำเนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแห่งเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต.....สารีบุตร!....ธรรมปริยายข้อนี้ ยังไม่เคยแสดงให้ปรากฎ แก่หมู่ศิษย์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย มาแต่กาลก่อน ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า?...เพราะเราเห็นว่า ถ้าเขาเหล่านั้นได้ฟังธรรมปริยายข้อนี้แล้ว....จักพากันเกิดความประมาท อนึ่งเล่า ธรรมปริยายเช่นนี้ เป็นธรรมปริยายที่เรากล่าวต่อเมื่อถูกถามเจาะจงเท่านั้น ดังนี้แล....นวก.อํ.23/393/261:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กันยายน 2012
  4. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ลองนำพุทธพจน์นี้ไปใคร่ครวญดูว่าคืออะไร เเล้วกลับมาตอบผม

    ถ้าบุคคลมีอนุสัยในสิ้งใดเค้าย่อมตายตามสิ้งนั้น ตายตามสิ้งใดไปย่อมโดนตราหน้าเพราะสิ่งนี้
     
  5. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ............ครับ ถ้าไม่ประมาท นะครับ..เกี่ยวกับการละสังโยชน์5 สังโยชน์3 จากการปฎิบัติ สิล สมาธิ ปัญญา หรือ อธิศิลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา...หรือลงในอริยมรรคมีองค์8 อ่อนแก่ ตามอินทรีย์พละนั่นแหละครับ.......ไม่ประมาท นั่นแหละ ครับดีสุด:cool:
     
  6. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    การสวดมนต์ เรียกว่าอะไร

    กิริยาการสวดมนต์เรียกว่าอะไร เรียกว่า จดจ่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่งไหม

    หากเรียกว่า จดจ่อในสิ่งใดสิ่งนึ่ง นั้นเรียกว่าอะไร

    เรียกว่า จิตไม่วอกแวก จดจ่ออยู่ในการสวดมนต์
    แล้วทีนี้ จิตที่จดจ่อในการสวดมนต์จะเรียกว่า สมาธิได้ไหม

    เมื่อการสวดมนต์เป็นไปอย่าง ทุกวัน ต่อเนื่อง
    เรียกว่า ผู้นั้นได้กระทำกรรม เป็น กรรมอนุสัย
    ที่จะสะสมเนืองๆในการกระทำ

    การกระทำกรรมบ่อยๆแบบนี้ จิตจะผูกอยู่กับสิ่งนี้

    ยิ่งเมื่อทำอย่างเป็นประจำ ต่อเนื่อง ผลของการกระทำอย่างนี้ก็จะให้ผลอยู่แล้ว

    และการกระทำแบบนี้ หากว่า
    1.ขณะทำ ไม่ได้ไปฆ่าสัตว์
    2.ขณะทำ ไม่ได้ไปลักทรัพย์
    3.ขณะทำไม่ได้ไปประพฤติผิดในกาม
    4.ขณะทำไม่ได้ไปมุสา กล่าวแต่คำจริง
    อันมีพระธรรมคำของพระพุทธเจ้าเป็นต้นนั่นคือบทสวดมนต์
    5.ขณะทำไม่ได้ไปดื่มสิ่งของมึนเมา

    ทีนี้ ผลของการทำแบบนี้ย่อมให้ผลแน่นอน

    และหากการทำอย่างที่กล่าวมานี้เนืองๆ เป็นประจำ ผลของการกระทำนี้ ย่อมเป็นผลมาก ย่อมให้ อานิสงส์ก่อน เมื่อตายไป ผลกรรมนี้จะส่งผลเป็นกรรมวิบากก่อน

    และเมื่อ เรียกว่าการกระทำที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นกุศล
    ผู้นั้นย่อมไส่สุคติแน่นอน

    และ ผมมีคำถาม ถามโลวนินโย่ว ว่า

    การกระทำแบบข้างต้นหากเรียกว่า การทำสมาธิ

    เช่นนั้นแล้ว นี่ก็เป็น การทำตามคำสอนพระพุทธเจ้าทั้งหลายใช่ไหม

    ทีนี้ หากใครบอกว่า การสวดมนต์ไม่มีคุณ
    จะเรียกผู้นั่นว่า ไม่ยำเกรงสมาธิ ได้หรือไม่


    ทีนี้ คนที่ชำนาญ สวดได้ถึง 108 มันจะอีกเสต็บนึง
    คนที่ไม่เคยสวดถึง 108 จบจะไม่รู้เรื่องเด็ดขาด
    ในสภาวะของการสวดมนต์ ว่ามันย้อนมาเจริญปัญญาได้อย่างไร


    ทีนี้ ผมจะตอบคำถาม โลวนินโย่ว ว่า

    ถ้าบุคคลมีอนุสัยในสิ้งใดเค้าย่อมตายตามสิ้งนั้น
    ตายตามสิ้งใดไปย่อมโดนตราหน้าเพราะสิ่งนี้

    เมื่อเรามีอนุสัยในการสวดมนต์ย่อมตายตามการสวดมนต์
    ตายตามการสวดมนต์เป็นกุศลย่อมโดนตราหน้าด้วยกุศลเป็นที่ไป
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .................ผมเห็นด้วย กับ ท่านนิวรณ์ นะเพราะลงได้กับ " ศิล สมาธิ ปัญญา" การปฎิบัติเพื่อละ สังโยชน์ แน่นอน:cool:
     
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เดี๋ยวค่อยมาแมวแมวใหม่ วิสกัส วิสกัส

    จะแถมภาษา ของนิ้วอ้วนๆก็ได้นะ :cool:
     
  9. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ไม่ไหวๆ

    ลอง โลนินโย่ ปล่อยโต้ง ยอโย่ง ออกมาว่า "ความคิด เป็น อดีต" เท่านี้
    ก็เท่ากับ ปิดบัญชีการเสวนา เพราะ หากจะกล่าวถึง ต้นสายปฏิจสมุปบาท
    ตรงช่วง "อวิชชา ปัจจัย สังขารา" ซึ่ง สังขารา ก็คือ "ความคิด" แล้ว โลนินโย่
    ไม่เอะใจว่า มันจะเป็น สภาพธรรมที่ทำให้ทวนกระแสไปเห็น อวิชชาได้ ละก้อ

    ก็เชิญ อมความคิดที่เป็นคนละตัวกับ สังขาร ไปได้เลย เรียน ศาสนาแทบตาย
    ดันยังแปลความหมายผิดอีก แปล "ความคิด" ซึ่ง ก็คือ "สังขาร" ไปเป็น ตัวสภาพ
    ธรรมอื่นๆ ก็เป็นอันจบเห่ ไม่ต้องคุยกัน หาศาสนาไม่เจอ ได้แต่ เอาหัวกบ
    มาครอบไปวันๆ
     
  10. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    อย่าไปอนุโมทนากับโมฆบุรุษอีก เดียวจะหาว่าไม่เตือน


    สงสัยปัญหานี้ ไม่ใช่อยู่กับผมเเละ คงเป็นพวกคุณไม่เข้าใจคำว่า เมื่อขาดสติตายยังได้ขึ้นสวรรค์ นี้ หมายถึงอนิสงส์ของการจำได้ขึ้นใจเเทงตลอดด้วยความเห็น ไม่ใช่ขึ้นสวรรค์คือการหลุดพ้น อย่าสับสนอย่าทำให้วุ่นวาย ถ้าเกิดมั่นใจขนาดนั้น ไม่มีใครห้ามไว้เลย ที่พูดคืออนิสงส์ของผู้ที่ขาดสติ เพราะ วิชา วิมุตติยังไม่เเจ้ง ยังละขันธ์5ไม่ได้ หรือ ละไม่เป้นเพราะเนื้องด้วยจากการไม่ไปทำความเข้าใจในธรรม
    อาจจะต้องขึ้นไปต่อยอด ก็เพื่อจะได้บรรลุธรรมได้ ก็ท่องเทียวอีกไม่เกิน7ชาติถ้ายังละไม่ได้ ถ้าเข้าใจธรรมด้วยการทำตามสัจธรรม12 ให้บรรลุตาม ตรงนี้ผมก็บอกอุบายให้ก็คือการสาธยายคำ หรือ นั่งท่องคำพระองค์นั่นละบ่อยๆก็จะจำได้ เเต่พระองค์ไม่ให้ใช้เวลาทั่งวันในการศึกษาเเต่ให้ทำให้มากเจริญให้มากอย่างสัจจานุปัตติ

    เเล้วเรื่องสั่งโยชน์3ข้อเเรกดูดีๆมีอะไรบ้าง
     
  11. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    พูดจาอะไรให้มันเหมือนที่ยึด อก ออกมารับว่าข้าเห็นเเล้วหน่อย ให้เหมือนผู้ชายหน่อบ อย่างว่าข้าเนี่ยบรรลุเเล้ว ไม่ใช่พูดโคมลอย ส่งเดทมั่วๆ อย่ามาสวดภาษาพม่าให้คนเค้าลำคาญอยู่ พูดให้มันดีๆไม่ใช่ พูดจาเหมือนพวก สันนิบาตลูกนก เหมือนชัดๆ เเบบนี้ไม่สมนะที่เเอบอ้างว่าเป็นนักปฏืบัติ อะไรๆก็ให้มันเนียนๆหน่อย
     
  12. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    การที่จะเข้าใจธรรมอะไรๆสักอย่าง ที่คนเค้าามาพูดไว้เเล้ว หรืออาจารย์พูด ไม่ใช่ไปจับความผิดของเค้าอยู่ มันทำให้คิดอยู่ เลยฟังเค้าพูดไม่รู้เรื่อง ก็จะเกิดปัญหากัน เเทนที่จะได้รับประโยชน์ มันก็จะเสียประโยชน์ไป เเละก็จบด้วยการเกิดปัญหา เพราะ ทิฏฐิที่ถือเอาไว้กัน ไม่ใช่ใคร
    ควรที่จะถามให้มันเป็นประโยชน์ เเบบชัดๆ ว่าสงสัยตรงไหน ไม่ใช่ทึกคิดเอาเอง ถ้าเค้าไม่รู้เเล้วจะมาพูดเพื่ออะไรใช่หรือไม่

    ในสูตรหมายถึงการเล่าเรียนปริยัติธรรมฟังจำได้ขึ้นใจเเทงตลอดด้วยความเห็น ก็เห็นๆอยู่ว่าพูดถึงปริยัติ ไม่ได้ให้ปฏิบัติทำให้เเทงตลอด ให้รู้ด้วยปัญญา ให้เป็นสัมมาทิฏฐิเห็นชอบด้วยปัญญาอันยิ่งตามที่เป็นจริง เท่านั้นเอง

    ก็ดูเอาได้อย่างที่ยกสูตรมาเเล้วนิ
    เเต่ต้องเข้าใจว่าอนิสงส์หลักๆใน4ข้อนั้น ก็คือ ถึงขาดสติตายก็ยังได้เป็นเทพเทวดา
    จะอธิบาย
    อนิสงส์อย่างที่1คือ สติช้า เเต่บรรลุเร็วกว่าเพื่อน
    บทเเห่งธรรมย่อมปราฏกขึ้นเลยเมื่อตายขาดสติหรือไม่ขาดสติไปก็ตาม พอขึ้นสวรรค์ไปเเล้ว ถึงเเม้สติยังบังเกิดขึ้นช้าาอยู่ก็จริง หรือ กำลังมึนๆอยู่ เเต่ด้วยอนิสงส์เเห่งธรรมย่อมเป็นผู้บรรลุคุณวิเศษไว ก็คือ ย่อมบรรลุธรรมที่เคยเล่าเรียนมา ทันที ได้โดยง่าย เพราะอะไร? ก็เพราะจำได้ขึ้นใจเเทงตลอดเเล้วด้วยทิฏฐิ ใช่ไหม
    ส่วนอนิสงส์อย่างที่2ก็ ขาดสติตายก็ยังได้ไปเป็นเทพเทวดาเหมือนกัน เเต่บทเเห่งธรรมยังไม่ปราฏก
    ก็คือเป็นผู้ที่ยังระลึกบททเเห่งธรรมที่เคยเรียนไมได้ เเต่พอภิกษุผู้มีฤทธิ์ ชำนาญทางจิต ขึ้นไปเเสดงธรรมเเก่เทพบริษัท
    พอได้ฟังธรรมเเล้วย่อมเกิดปริวิตก ก็คือคุ้นๆ อย่างนี้ว่า ในการก่อนเราได้เคยปฏิบัติเล่าเรียนธรรมมาเเล้ว สติยังช้าอยู่ เเต่ย่อมระลึกธรรมได้โดยทันที
    คราวนี้พระองค์ก็อุปมาว่า บุรุษผู้ฉลาดต่อเสียงกลอง เขาเดินทางไกล พอได้ยินเสียงกลอง เข้าก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือเสียงกลอง ไม่สงสัยว่ามันใช่หรือไม่ ที่เเท้เขาย่อมตกลงใจว่า มันก็คือเสียงกลองนั้ ฉันใด ฉันนั้น ย่อมเล่าเรียนปริยัติธณรม จำได้ขึ้นใจเเทงตลอดด้วยความเห็น ย่อมบรรลุเร็วกว่าเพื่อน

    อธิบายในอุปมาอีกนิดคือ อย่างบ้านขายกลองอยู่ เล่นกลองอยู่ทุกวัน ต้องรู้ว่าไหนเสียงกลอง ไหนเสียกีต้า เมื่อตีกลองอยู่ทุกวัน เเต่พอเดินทางไปที่อื่น ได้ยินเสียงกลอง จะไม่มีความสงสัยว่านั้นคือเสียงหมาหรือเเมว เเต่มันรู้เลยทันทีว่าคือกลอง เพราะบ้านขายกลองเล่นอยู่ทุกวัน
    เหมือนกัน สวดคำพระพุทธเจ้าอยู่ทุกๆวัน พอไปที่อื่นอย่างบนสวรรค์ ไปได้ยินภิกษุผู้มีฤทธิ์เเสดงธรรมกับเทพบริษัทอยู่ พอได้ยินก็เกิดปริวิตกได้ เเล้วจะจำได้ ไม่สงสัยเลยว่านั้นคำของใคร จะรู้ด้วยคุณอันวิเศษ ถึงเเม้สติจะช้า จะรู้ได้ทันทีว่านี้เเละคำพระพุทธเจ้า ไม่สงสัยว่าตรัสอย่างไร ตรัสลักษณะไหน พอคำนั้นเริ่มขึ้นก็รู้เลยว่านี้เเละคำพระพุทธเจ้าอย่างนั้นเลย ทำให้ บรรลุคุณวิเศษไวกว่าเพื่อน

    ส่วนในกรณีอนิสงส์3 คือ เทพบริษัท เเสดงธรรมกันเองก็ทำให้บรรลุคุณวิเศษได้

    ส่วนในกรณี อนิสงส์ที่4 คือ เคยเป็นเพื่อนกัน ปฏิบัติร่วมกันมา ก็จะอุปมาเหมือนว่า เคยเล่นดินกันมาตั้งเเต่เด็กๆ พอไปเจอกันที่อื่นๆก็ทักทายกันว่า นายจำเราได้มั้ย เราเคยเล่นดินด้วยกันไง สนุกมั้ย ...ก็บอกจำได้ๆ ฉันนั้น เหมือนกัน ก็จะบรรลุคุณวิเศษทันที
    ก็คือเพื่อนที่ขาดสติก่อน เเล้วไปเกิดก่อนใหม่ พอเห็นเพื่อนที่ขาดสติตายตามมาทีหลัง มาเกิดบนสวรรค์เหมือนกัน เพื่อนที่เกิดก่อนเเล้วบรรลุคุณวิเศษก่อน ที่เกิดก่อนหน้านี้เเล้ว ก็ทักทายกัน ว่าไงเพื่อนจำเราได้มั้ย ก็ทำให้ เกิดคุณอันวิเศษระลึกธรรมขึ้นมา เกิดจำเพื่อนได้ด้วย เเละจำบทธรรมที่เคยเรียนร่วมกันมา

    พระองค์ก็สรุปทั่งหมดนี้ว่า ดูกรภิกษุทั่งหลาย อนิสงส์4ประการนี้ เเห่งธรรมทั้งหลายที่ภิกษุฟังเเล้วเนืองๆคล่องปากขึ้นใจ เเทงตลอดด้วยทิฏฐิ อันบุคคลพึงหวังได้


    อธิบายที่พระองค์สรุปให้ก็คือ คล่องปากขึ้นใจ เเทงตลอด หวังได้เเน่นอน
    ---------------------------------------------------------
    เเต่จะเห็นอนิสงส์หลักกทั่งหมด ก็เมื่อ ตายขาดสติก็ยังได้ไปเป็นเทพเทวดาหมู่ใดหมู่1 ซึ่งต่างจากผู้ไม่มีที่ไม่รู้ เชื่ออย่างสิ้นเชิง เพราะจะเป็นตามอรรถภาพนั้น นั่นเทียว ถ้าคิดว่ามั่นใจว่าไม่ต้อง ปฏิบัติอย่างเดียว นั่นก็ได้ เเต่ก็อย่าประมาทก็เเล้วกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2012
  13. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    งั้นจะขอสรุปด้วยบทนี้ที่มีคนตั้งกระทู้ไว้อยู่ ก็หยิบมาอธิบายด้วย

    คุณสมบัติของพระโสดาบัน
    1.อริยสาวกเป็นผู้ระงับภัยเวรห้าประการ
    2.อริยสาวกเป็นผู้ประกอบพร้อมองค์แห่งโสดาบันสี่ประการ
    3.อริยสาวกเป็นผู้เห็นแล้วด้วยดีในอริยญายธรรม

    ดูก่อนคหบดี ในกาลใด ภัยเวรห้าประการ อันอริยสาวกทำให้สงบระงับได้แล้ว ด้วย อริยสาวกประกอบพร้อมแล้วด้วยโสตาปัตติยังคะสี่ ด้วย อริยญายธรรมเป็นธรรมที่อริยสาวกเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดีด้วยปัญญา ด้วย
    ในกาลนั้น อริยสาวกนั้น เมื่อหวังอยู่ก็พยากรณ์ด้วยตน นั่นแหละ ว่า “เราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดเดรัจฉานสิ้นแล้ว มีเปรตวิสัยสิ้นแล้ว มีอบาย ทุคติ วินิบาตสิ้นแล้ว เราเป็นผู้ถึงแล้วซึ่งกระแส (แห่งนิพพาน) มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมเป็นเบื้องหน้า” ดังนี้.

    อธิบายเสริมคือ มีศิล5 ประกอบด้วยองค์โสดาบัน4 มีความเสื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว เเละ เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ คือ อริยญายธรรม
    เมื่ออริยสาวกนั้น มีคุณสมบัติครบถ้วนเเล้วอย่างนี้ พระองค์เเนะนำให้ พยากรณ์ด้วยตัวเองเลยว่า เราเป็นผู้มีนรกสิ้นเเล้ว มีกำเนิดเดรัจฌานสิ้นเเล้ว มีเปรตวิสัยสิ้นเเล้ว อบาย ทุคติ วินิบาตสิ้นเเล้ว มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เทียงเเท้ต่อนิพพาน จักตรัสรู้ในเบื้องหน้า พออ่านเข้าใจกันบ้างนะ

    เเล้วอริยญายธรรม หมายถึงอะไร

    ดูก่อนคหบดี ก็ อริยญายธรรม เป็นสิ่งที่อริยสาวกเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดี ด้วยปัญญาเป็นอย่างไรเล่า

    ดูก่อนคหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อม ทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว ดังนี้ว่า “เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป ข้อนี้ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.



    มันคุ้นๆที่ผมยกมาหรือไม่ว้า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นปฏจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏจสมุปบาทผู้นั้นเห็นตถาคต
     
  14. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ^

    นั่นแล คนสวดมนต์พระพุทธเจ้าได้ 108 จบ ได้เป็นประจำ
    จะไปเดาเขาเป็นไปได้ยาก
     
  15. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    เริ่มจะพูดจาไม่รับผิดชอบขึ้นเยอะเลยนะ

    ผมได้เเนะนำให้สวดคาถาพระพุทธเจ้า 108 จบตอนไหน ?

    เเต่ผมบอกให้สวดคำพระพุทธเจ้าใช่มั้ย เพื่อที่จะได้จำขึ้นใจ
    เเล้วการจำได้ขึ้นใจมันมีอนิสงส์2ด้านคือ สัจธรรม12 กับ อนิสงส์4ใช่มั้ย
    ถ้าไปทางสัจธรรม12 ก็จะทำให้ เเทงตลอดด้วยความเห็น เเล้วคนที่ศึกษาปฏจสมุปบาทนั้นหมายถึงเค้าก็จะเป็นอริยญายธรรมด้วย เเต่สำหรับคุณนั้นไม่ใช่หรอกนะ ไม่รู้หรือไม่รู้ไรเลยสะมากกว่า
    ถ้าคุณบอกว่าการทรงจำธรรมนั้นไม่จำเป็นเเล้วไม่ต้องจำขึ้นใจก็ได้ อย่างนี้จะหมายถึงว่าคุณมีวิธีที่ดีกว่าอย่างนั้นหรือ คุณก็ไปตั้งลักธิดูถ้าคิดอย่างนี้ ถ้าอยากจะนอกรีตก็ตามใจไม่ว่า

    ผมก็บอกเเล้วไงว่า พระองค์ก็ไม่ได้ให้ศึกษาทั่งวัน ให้ทำให้มากเจริญให้มากอยู่เเล้ว ไม่ใช่หรือ
     
  16. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    นำพุทธพจน์นี้ไปใครควรญเเล้วกลับมาตอบผม เอาตามที่เข้าใจก็พอ

    ภิกษุนี้ เราเรียกว่า ผู้มากด้วยการสวด (นักสวด) ยังมิใช่ธรรมวิหารี - ผู้อยู่ด้วยธรรม.
    อีกอย่างหนึ่ง, ภิกษุคิดพล่านไปในธรรมตามที่ได้ฟังได้เรียนมา, เธอใช้เวลาทั้งวันให้เปลืองไปด้วยการคิดพล่านในธรรมนั้น
    ต้องเริดร้างจากการหลีกเร้น ไม่ประกอบซึ่งธรรมเป็นเครื่องสงบในภายใน.
     
  17. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    เดี่ยวนี้มีแต่อาจารย์ขี้โมโห กับลูกศิษย์จอมโวยวาย
     
  18. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    โล่วนินโย่ว เอ๋ย

    กำลังคุยถึงการสวดมนต์ คุณคิดว่าจะให้เป็นมนต์ของใคร

    มนต์ของพระพุทธเจ้าก็คือคำสอนคำประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน


    คุยกันถึงเรื่องศาสนาพุทธ จะให้ไปเอา มนต์ที่ไหนมาสวด


    ทีนี้ ดูที่ขีดเส้นใต้ให้ดีดีนะ ผมไม่เคยพูด

    การสวดมนต์มีแต่จะจำธรรมนั้นได้มากกว่า

    และในขณะ ที่ทำนั้น ก็เป็นการฝึกสมาธิไปในตัว

    อีกอย่างผมก็ไม่เคยบอกว่า ให้ทำทั้งวัน มีแต่บอกเนืองๆ ประจำ บ่อยๆ
     
  19. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ยกมาให้ดูอีกทีนึง

    ประเด็น อยากจะบอกว่า
    คนไม่เคยสวด 108 ย่อมไม่รู้เรื่องหรอก

    ว่าช่วงไหนจะลงความสงบ
    ช่วงไหนจะมีการพิจารณาตาม
    ช่วงไหนจะเริ่มเดินปัญญา

    หากยังไม่เคยสวด ก็ไปลองดูได้
    ว่าตัวเองจะจำได้ไหม และจะเข้าใจเนื้อความได้ไหม
    หากทำได้ 108 จบ ทุกวัน

    แต่ว่า ยังไม่ต้องถึง 108จบก็ได้ เอาแค่ให้ได้ วันละ 5 จบ
    ติดต่อกันซัก 3เดือนนี่ก็หรูแล้ว
     
  20. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    มันอัดอั้นตันใจจนทำให้ต้องระบายเลอะเทอะไปทั่วอย่างนี้เลยหรือไง อย่ามาเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่อยู่ หรือดูคนที่ภายนอก สงบจิตสงบใจเรื่องที่ร้ายๆมันก็ไม่เกิดเอง เพียงเลิกคิดเท่านั่นพอ
     

แชร์หน้านี้

Loading...