นั่งสมาธิแล้วปวดหลังทำไงดีคะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Thanks-Epi, 28 กรกฎาคม 2012.

  1. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ยังพูดปดทั้ง ๆ ที่รู้ จะไม่ทำความชั่วอย่างอื่นเป็นไปไม่ได้

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลยังไม่ละธรรมข้อหนึ่ง คือการพูดปดทั้ง ๆ รู้ เราย่อมไม่กล่าวว่า มีบาปกรรมอะไรบ้างที่ผู้นั้นจะทำไม่ได้."

    อิติวุตตก ๒๕/๒๔๓
    <!-- End main-->
     
  2. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    ขอตอบอันนี้ก่อนค่ะ เราเองไม่ได้ว่าตัวเอง "ภาวนาเก่งกว่าการกินยา" แต่ผลตรวจเอง แพทย์ก็ยังไม่เชื่อเหมือน (โรคนี้อาศัยคลื่นสมองเป็นตัววัด) แต่เรายังต้องกินยาเหมือนเดิม ไม่ใช่ ขัดคำสั่งหมอ
    แต่แพทย์ก็ไม่เชื่อเราเหมือนกันว่า ทำไมเราไม่มีอาการ เพราะคลื่นมันฟ้องอยู่ว่าป่วยจริง และคลื่นไม่ดี ยังมากกว่าคนป่วยอีกหลายรายด้วย


    อ้าว คุณไม่เคยได้ยิน นั่งสมาธิรักษาโรคหรือ แต่ไม่มาประกาศตัว เพราะผิดหลักการแพทย์ เป็นไปไม่ได้ในตำราฝรั่งค่ะ

    ส่วน เรากะ พระธุดงนั้น เจตนา เราถามเพราะว่า ทำไมพระธุดงท่านทนต่ออาการเจ็บปวดทางร่างกายได้ แต่ยังภาวนาได้ดี/เก่ง นั่นเป็นอะไร (เราสงสัย เพราะเราไม่ได้เก่งต่างหาก ถึงต้องตั้งกระทู้ถาม)
     
  3. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253

    ถ้าคุณ เจ้าของกระทู้ ต้องการ ยก ส่วนนี้ เป็นผลงาน ของการภาวนา

    ก็ถือว่า ผมไม่ได้พูดอะไรให้คุณได้ยิน ได้ฟังก็แล้วกัน

    ........

    เรื่อง ภาวนาดี ภาวนาเก่ง อันนี้ ไม่ต้องมา ยกประเด็นนี้กับ ผมนะครับ

    เพราะว่า ไม่มีหรอก

    ทุกๆคนเนี่ยะ ภาวนาโดยอาศัยฟังธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ เท่านั้น
    และ เหมือนกันหมด มีความสามารถได้แค่ ฟังจากพระพุทธองค์อีกที เหมือน
    กันหมด จึงไม่มีเรื่อง เก่ง หรือ ไม่เก่ง ถูก หรือไม่ถูก

    มีแต่ ฟังอยู่หรือเปล่า ฟังให้มากๆ อยู่หรือเปล่า

    ส่วนเวลาสำเร็จขึ้นมาเนี่ยะ พระพุทธองค์ก็เรียก คนที่ปฏิบัติสำเร็จว่า
    "เธอเป็นเพียงคนที่ฟังคำถตาคต และ มีเชาว์ จึงสำเร็จได้ "
     
  4. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    ก็อ่านดูมาหลายข้อแล้วค่ะ
    เข้าใจว่าคนตอบคงเก่งมากเรื่องภาวนา
    แต่ลืมดูตัวเองหรือเปล่า ว่า กำลังทำอะไร กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่เราถาม นักปฎิบัติผู้มากประสบการณ์ (เพราะเราคงไม่มีเวลาไปวัดบ่อยๆ หรือพระท่านมีเวลามาตอบให้)
    ...ดูตัวเอง ไม่ใช่ดูคนอื่น..คำนี้ พระท่านย้ำเรามากๆ เวลาเราถามอะไร ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว ก็ความรู้น้อยนะคะ เพิ่งนั่งมาประมาณ ครึ่งปี
    ส่วนคำบาลี ที่คุณเขียนๆ เราไม่เข้าใจจริงๆนะ
    ส่วนตัวเอง คิดว่า กระทู้ห้องอภิญญา คงมีไว้แนะนำ /แชร์ ผู้ไม่รู้ ไม่มีไปวัดถามพระ ไม่ใช่ห้องที่เอาไว้ทะเลาะเหน็บแนมกัน ว่า เราทำได้ เราเก่ง คุณผิด ฉันถูก นอกจากถ้าทำผิดจริงๆ ก็เตือนๆกันไปด้วยความเมตตา หวังว่าผู้ถามจะได้คำตอบกลับไปเพื่อปฎิบัติให้ก้าวหน้า


    ส่วนจะให้ฝึกพิจารณากรรมฐานข้อใดเพิ่มด้วย คงต้องรบกวนอธิบายเพิ่มนะค่ะ เพราะไม่รู้จัก ไม่รู้แนวทางจริงๆ (ขอภาษาที่เขียนเองนะค่ะ แบบก๊อปปี้ ยกมาวาง อ่านไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่) ส่วนจะให้พิจารณว่า ขานี้เป็นเพียงวัตถุก้อนธาตุ ไม่ใช่ตัวเรา ยอมรับค่ะ ว่าอินทรีย์ยังอ่อนมากจริงๆ
    การแก้ท่าทางนั้น พระท่านก็พอแนะนำมาบ้าง เช่น ถ้าเราเริ่มเผิน (เอ คำนี้หรือเปล่าไม่แน่ใจ)
    หรือการที่เราไปนั่งเหยียดขากลัวว่าจะปวดขาไปเสียกว่านี้

    ส่วนสมถะเราก็แบบโง่ๆ จริงๆค่ะ เพราะปล่อยให้คอเอียง โดยไม่รู้ว่าเป็นอาการตกภวังค์ ถามใครก็ไม่ได้นะค่ะ (ถ้าย้อนกลับไปอ่านดีๆ เราจะเขียนไว้ค่ะ ว่าเป็นความเข้าใจผิดของเราเอง ปล่อยมานาน คอถึงเอียงปวดอยู่เนี่ย)
     
  5. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    อืม จะว่า เป็นผลงาน คงไม่ใช่นะค่ะ เพราะเรามาใช้วิธินี้ เนื่องจาก ยาหยุดนำเข้ากระทันหันแบบ คนไข้ไม่ได้เตรียมตัว หมอก็ไม่ทราบ ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยลองใช้วิธีนี้ตามญาติธรรมแนะนำค่ะ เพราะพึ่งหมอก็คงไม่ทันแล้ว จะเรียกร้องอะไรจากใคร ก็ไม่มีประโยชน์

    ถามเรื่องปวดหลังนะเนี่ย....(สรีระ/ปัญหา น่ะค่ะ)
     
  6. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ต้อง ขออภัยนะครับ ในบางเคส บางคน คุณ อาจจะเห็นว่า มีการขัดแย้งกัน

    มันจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องทำแบบนั้น

    เพราะ ถ้าให้คุณ เผลอไปกับ คนบางคนนั้นแล้ว มันจะไม่รอด !!


    <TABLE id=threadslist class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY id=threadbits_forum_4><TR><TD id=td_threadstatusicon_351446 class=alt1>[​IMG] </TD><TD class=alt2></TD><TD id=td_threadtitle_351446 class=alt1 title="">[​IMG] [/RIGHT]


    </TD><TD class=alt1 align=center>3</TD><TD class=alt2 align=center>4</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เนี่ยะ ลองดูสิ

    คนที่ เอะอะนิดหน่อยก็ ร้องโหวกโวยวาย น้อยใจ ตัดช่องน้อยแต่พอตัวเนี่ยะ

    หาก คุณไปฟังธรรมจากเขา แล้วจะเป็นอย่างไร

    จะเอา แบบเขาเหรอ ...............................:mad::'(;9kpig_cryy2pig_cryy;k01

    ดังนั้น บางคนบางเคส ก็ต้องออกตัว "ตีกัน" ด้วยความจำเป็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2012
  7. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    ขออนุโมทนาในความหวังดีของทุกท่านค่ะ เราเอง ไม่ทราบว่าใครเป็นอย่าง /ทะเลาะกันอย่างไร ฯลฯ ในห้องนี้มาก่อน
    ย้ำอีกที จุดประสงค์เราเอง ตั้งกระทู้เพื่อความก้าวหน้า (ไม่ต้องก้าวหน้าก็ได้ แต่อย่าถอย เพราะปวดหลังไปนานๆ อาจจะถอยได้)

    ไม่มีเจตนาให้คนมาทะเลาะเบาะแว้งกัน หรือหากขัดแย้งกัน ก็น่าจะประนีประนอมกันได้ ไม่ได้เป็นเรื่องขอขาดบาดตาย ถึงขนาดต้องอารมณ์ขึ้น ใช้คำหยาบ เสียดสี รวมถึงน้อยใจ ฯลฯ

    หรือจะอย่างที่ญาติธรรมเคยเตือนไว้จริงๆ อย่าตั้งกระทู้ถามเรื่องสมาธิ ในห้องนี้เด็ดขาด มีอะไรติดขัด ไปถามพระ

    (คือว่า เราคิดว่า เราไม่กล้าไปถามพระเรื่องปวดหลังนะค่ะ)

    อย่าใช้กระทู้เราเป็นที่ระบายอารมณ์เลย เราว่ามันไม่ค่อยดีหรอก มีอะไรเตือนกันแนะนำช่วยกันเพื่อให้ไปทางที่ดี ก็น่าจะดีกว่า ไม่ใช่หรือ
    ....ดูตัวเรา ไม่ใช่ตัวเขา...

    เอ้า! นั่งอ่านคนเถึยงกันมานาน อาการปวดหลังกำเริบจนได้
     
  8. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134


    1. เจริญสติในชีวิตประจำวัน ต่อไปเรื่อยๆ นั่นแหละครับ ของแบบนี้มันไม่ได้ปุบปับได้ในไม่กี่วัน มันขึ้นอยู่กับบุญบารมีเก่าที่สะสมมา พระพุทธองค์ท่านว่าไม่เกิน 7 วัน หรือ 7 เดือน หรือ 7 ปี ครับ เราไม่รู้หรอกว่า บุญบารมีเก่าเรามีเท่าไหร่ แล้วต้องทำความเพียรชาตินี้เพิ่มเท่าไหร่ เราก็พยายามทำให้ดีที่สุดไปเรื่อยๆ แล้วกัน แต่เจริญสติแบบไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องไปพยายามบีบให้มันเห็นนะครับ ทำให้เป็นธรรมชาติไปเรื่อยๆ ดูแบบเป็นผู้ดู

    ตัวอย่าง : http://www.ruendham.com/book_detail...%E3%B9%AA%D5%C7%D4%B5%BB%C3%D0%A8%D3%C7%D1%B9

    2. ถ้าตอนมันดับหมดทุกอย่างจริงๆ ตอนนั้นจะไม่รู้สึกอะไรเลยครับ ไม่เห็น ไม่คิด ไม่รู้สึก ไม่มีอะไรเลย แค่รับรู้อย่างเดียวว่ามันไม่มี สภาวะนี้ ไม่ค่อยได้ประโยชน์กับวิปัสสนานะครับ ไม่จำเป็นต้องหวังอยากได้สภาวะนี้ก็ได้ครับ เมื่อถึงเวลาก็น่าจะได้เอง

    3. ผมก็ยังไม่ได้ครับ แต่นักปฏิบัติที่ไปไกลมากๆ แล้ว ท่านจะได้สภาวะนี้ อย่างเช่นหลวงพ่อจรัญ อันนี้ท่านมีสติรู้ตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลากายสังขารหลับครับ

    4. ตอบยากครับเรื่องนี้ หากเป็นวิบาก ก็ต้องเป็นไปตามนั้น เพราะยังไงเราก็ยังมีกายสังขาร
    http://palungjit.org/tripitaka/default.php?cat=2500077
    เรื่องพระโคธิกะนี้ ท่านได้ฌาน แล้วท่านก็เสื่อมจากฌาน เพราะอาพาธในร่างกายของท่าน
    เรานั้น ก็ค่อยๆ ทำไปครับ สะสมไปเรื่อยๆ สักวันนึงเมื่อเหตุปัจจัย เมื่อกรรมเก่าเบาบางลง และเราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท รักษาโรคด้วยวิธีแผนปัจจุบันตามหมอสั่ง และปฏิบัติธรรมควบคู่กันไป เมื่อนั้น โรคที่เป็นอยู่จะหายแน่นอน (อย่าประมาท คิดว่าธรรมะอย่างเดียวช่วยได้หมดทุกอย่าง เพราะเมื่อนั้น เรากำลังจะสร้างกรรมใหม่ด้วยความประมาท ส่งให้วิบากเราในอนาคตโรคไม่หาย ก็เป็นได้)

    5. สติ กับ สมาธิ ต้องควบคู่กันไปครับ พระธุดงค์ เราดูตามวิสัยคนที่อยู่ในเมือง ดูท่านลำบาก แต่ท่านปฏิบัติตามวัตรของพระพุทธเจ้า วัตรเหล่านั้น หากปฏิบัติตามได้ทั้งหมดแล้ว เป็นการรักษาธาตุขันธ์ให้มีอายุยาวนานครับ เหมือนคำถามว่า ทำไมคนอยู่นอกเมือง ทำไร่ไถนา ทำไมร่างกายแข็งแรงกว่าคนอยู่ในเมือง

    การนั่งเข้าสมาธินานๆ ส่วนตัวผมเห็นเป็น 2 แบบ
    แบบไม่เข้าฌานดับผัสสะ อันนี้คือพิจารณาด้วยวิปัสสนาญาณ และกำลังของสติ แบบนี้ ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น จะละได้ โดยการเห็นแล้วละ แต่ผมไม่แน่ใจว่าแบบนี้ ใช้นั่งสมาธินานๆ เกิน 4-5 ชั่วโมงได้หรือเปล่า เวลานั่งสมาธิแบบนี้ จะมีสติสัมปชัญญะระลึกรู้ตัวตลอด หากมีใครมาเรียกให้ออกจากสมาธิก็ออกได้เลย

    แบบที่สองคือ เข้าฌานลึกๆ ไปเลย ดับผัสสะหมด กำหนดเวลาเข้าออกไปเลย แบบนี้ ใครมาเรียกก็ออกจากสมาธิไม่ได้ครับ นั่งนิ่งแข็งไปเลย แบบนี้แหละ ที่นั่งนานๆ ได้ นั่งกันได้เป็นวัน และเป็นแบบที่พระอริยะ ใช้เข้าผลสมาบัติ และนิโรธสมาบัติ

    ตอบไปตอบมา ชักรู้สึกว่าออกนอกเรื่อง...
    กลับเข้าเรื่องดีกว่า

    นั่งสมาธิแบบไหนก็แล้วแต่ เรื่องการจัดท่านั่ง สำคัญครับ เพราะว่าเรายังต้องอาศัยอยู่ในกายสังขารนี้ เมื่อรู้ตัวว่าคอเอียง ก็อย่าปล่อยไว้ จัดให้ตรง ไม่งั้นร่างกายก็จะมีปัญหาตามมา การนั่งสมาธินานๆ แต่ท่านั่งผิด แก้ไขปัญหาสรีระไม่ได้ครับ

    และการปฏิบัติกรรมฐานนั้น ก็มีใน 2 แนวทาง คือ สมถะกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน ไม่ทราบว่าตอนนี้ ท่านเจ้าของกระทู้เห็นชัดเจนแล้วหรือยัง ว่า สมถะกรรมฐานกับ วิปัสสนากรรมฐาน แตกต่างกันอย่างไรครับ

    โดยส่วนตัวแล้ว ผมเห็นประโยชน์จากการปฏิบัติทั้งคู่ และควรที่จะเรียนรู้ทั้งคู่ หากทำได้ครับ ทั้งสองแนวทางนั้น ให้ประโยชน์ต่างกัน และก็ต้องอาศัยซึ่งกันและกันในระดับนึงครับ
    </o
     
  9. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อ้อ อีกอย่างนะครับ เรื่องการพูดกีดกัน คุณก็ เห็นเหตุ และพอจะเห็น ที่ไป ได้บ้างแล้ว

    ส่วน การภาวนา เราก็ กล่าวไปหมดแล้วว่า ภาวนาอย่างไร ซึ่ง อาจจะทรอดแทรก
    กันไปกับ บทตีกัน อันนั้น ก็ขึ้นกับ ปฏิภาณ การเลือกเฝ้น

    ส่วน

    จะถามอะไรมาอีก แล้ว ให้ผมตอบ

    ตอบไป พลาง ก็โดน คนที่ตั้งคำถาม เทศนาสั่งสอนกลับไปพลาง......

    อันนี้ ผมก็ตองออกตัว ขอตัวไปนั่งทบทวนก่อนหละว่า

    สมัยเด็กๆ ผมเคยทำอาการแบบนี้ กับ ครู ผู้ช่วย ผู้สอน คนไหน หรือเปล่า ....
     
  10. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    คำแนะนำนี้ เป็นคำแนะนำที่ดี และ ถูกต้อง
    การจะปฏิบัติธรรม ให้เห็นผล และหวังใช้ผล ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เริ่มสะสมกำลังไปก่อนทีละนิดๆ

    ถ้าจะบอกว่า ผู้มีกำลังสติ สมาธิดีเยี่ยม สามารถผ่าตัดสดไม่ใช้ยาชาได้ ก็เป็นเรื่องจริง และ ผู้ปฏิบัติทุกคน มีความสามารถจะทำเช่นนั้นได้ ไปถึงจุดนั้นได้ เมื่อกำลังถึงพร้อม แต่ก่อนหน้าจะไปถึงจุดนั้น ลองจับไปผ่าตัดสด คงได้มีตายกันพอดี ก็เหตุปัจจัยมันยังไม่พร้อม จะไปเร่งเอาผล มันก็ไม่ได้หรอก

    การปฏิบัติธรรม ก็ให้พิจารณาเป็นทางสายกลางไป โดยผมเองก็ไม่ทราบถึงวิธีการปฏิบัติโดยละเอียดของเจ้าของกระทู้ และไม่ทราบถึงกำลังอินทรีย์ ว่าได้ถึงระดับไหนแล้ว หากจะบอกให้ปฏิบัติตึงขึ้นไปอีก ถ้าปัจจุบันตึงเกินไปแล้ว ก็อาจจะขาดได้ หากจะบอกให้ปฏิบัติหย่อนลงมาอีก หากกำลังอินทรีย์ในปัจจุบันสามารถรับได้มากกว่านี้ ก็จะเป็นการถ่วงให้ปฏิบัติช้าลงไปอีก

    ผมก็มีข้อนึงอยากฝากถึงท่านขันธ์ไว้เช่นกัน เรื่องเกี่ยวกับภาษาที่ใช้
    จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้รู้สึกถูกกระทบอย่างใด ที่ท่านขันธ์ใช้คำว่า เอ็ง ข้า
    แต่ในเมื่อท่านขันธ์เห็นแล้วว่า กลไกการทำงานของอัตตา ในตัวมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร การยอมปฏิบัติตามกฎของส่วนรวม เคารพกฎกติกา ก็ถือเป็นการละอัตตาของตัวเองลงไป เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมได้เช่นกัน

    การจะดื้อแพ่ง แม้ความเห็นของตนเองถูกต้องดีแล้ว แต่จะดื้อใช้ภาษาที่ตนเองชิน โดยไม่มองเห็นประโยชน์ของผู้รับฟังเป็นใหญ่ อันนี้ก็คือ ยังไม่ชนะอัตตาของตัวเอง
    เมื่อเทียบประโยชน์ในใจแล้ว มีสองข้าง ข้างนึงคือ ประโยชน์ของการสื่อสารธรรมะให้ผู้ที่ยังไม่เข้าใจ ได้รับรู้ กับอีกข้างนึง คือ การรักษาอัตตาตัวตนเอาไว้ ผู้ที่ละอัตตาได้อย่างแท้จริง ย่อมจะคิดถึงแต่การสื่อธรรมะให้ผู้อื่นได้เข้าใจ โดยไม่มีความคิดว่าจะต้องรักษารูปแบบภาษาคำพูด หรือแนวทางการสอนของตนเอง จะคิดเพียงแค่ว่าจะทำอย่างไร ให้ธรรมะไปถึงผู้ฟังเข้าใจได้ดีที่สุด
     
  11. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    ขอบคุณมากค่ะ
    จริงๆ อยากนั่งให้นานกว่านี้ แต่ไม่มีเวลาเท่าไหรค่ะ แถมยังติดอาการทางร่างกายอีก แถมง่วงด้วย คิดว่ามาตั้งกระทู้ถามคนที่เขานั่งได้นานๆ ทำได้อย่างไร

    ไม่ได้คิดว่า บางท่านกลับตีความไปคนละเรื่องว่าเราเก่งบ้าง หรือภาวนาได้เก่งกว่ายาฝรั่งบ้าง แต่ทำควบคู่กันไป เพราะการรักษาอยู่ที่ดุลพินิจแพทย์ปัจจุบันด้วย (คือที่บอกว่าช่วยในอาการป่วย เพราะเกรงว่า บางท่านอาจจะตอบมา ว่า ทำไม่ร่างกาย ไม่อำนวย แต่ยังดันทุรังอีก) โดยแพทย์ตอบตาม ผลตรวจของเครื่องมือ (นั่นหมายถึง ยังต้องทานยาอยู่ ซึ่งเราก็ต้องทำตามในฐานะคนป่วย)
    แต่เราตอบแพทย์ด้วยความจริงว่า เราปกติดีไม่มีอะไร
     
  12. thepkere

    thepkere เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,018
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,449
    ลอง ดูลมหายใจ เผื่อชอบ ลมเข้ารู้ ลมออกรู้ แล้วสังเกต แบบที่๑ จิตอยู่กับลมไม่ไปไหน (ดูกาย)
    แบบที่๒ จิตรู้ว่า มีเรารู้ลม(ดูจิต) แบบที่๓ รู้สึกว่า นิ่งๆ (ดูอุเบกขาเวทนา) แบบที่๔ รู้ว่า เดี๋ยวจิตไปคิด เดี๋ยวมารู้ลม
    (ดูธรรม ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา) เวลาเรานั่งสมาธิ อย่าเอาแบบใดแบบหนึ่ง (เพราะเราเอาไม่ได้จริงมันจะทำให้เรา ทุกข์ ) มีแบบใหน เรียนแบบนั้น อย่าเลือกครู ครูคนนี้เท่านั้นเราถึงเรียน เกิดครูที่เราชอบไม่มาสอนเราแย่เลย
    (ผิดพลาดอะไรขอ อภ้ยไว้ก่อน)อีกนิด อย่าลืม ลม
     
  13. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    นามรูปนี้ มีทุกขสภาวะมีสารพัด หน้าที่ของโยคี คือผู้ประกอบความเพียร คือ กำหนดรู้ตามที่มันเป็น มิใช่ไปทำให้มันเป็นตามที่ตนเองยึดตนเองอยากให้มันเป็น
     
  14. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมปฎิบัติมา 17 ปีแล้ว ยังไม่อาจก้าวข้ามสภาวะของร่างกายไปได้เลยครับ

    ระยะเวลาในการนั่งนั้น ยิ่งนั่งก็ยิ่งเพิ่มเวลา อาการของร่างกายย่อมมีเป็นธรรมดา

    ๑.การเดินจงกรม เป็นสิ่งที่ควรเจริญครับ จิตจะเกิดความสงบนิ่งได้มากขึ้นในเวลานั่งกรรมฐานครับ

    ๒.หากเจริญสมาธิจนถึงที่เหมาะ ที่ควรแล้ว แม้ยามนอนหลับจิตก็จะทำสมาธิได้ครับ ข้อสังเกตุ คือ จิตมนุษย์จะพักผ่อนเพียง 2-3 ชั่วโมง แล้วจิตจะตื่นขึ้นมา มนุษย์จึงอาการของการฝัน หากเป็นสมาธิแล้วนิ่งสงบแม้แต่ความฝันก็ไม่เกิดขึ้น

    การปฎิบัติธรรมนั้นต้องใช้ระยะเวลาทั้งชีวิตครับ ไม่ใช่ปฎิบัติเพียงแค่ วันสองวัน เดือนสองเดือน ปีสองปี จึงจะสำเร็จ แม้สำเร็จแล้วก็ยังปฎิบัติอยู่เป็นนิตย์

    สาธุครับ
     
  15. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมขอบอก จขกท ว่า การปฎิบัติธรรมนั้น หาใช่ว่าต้องนั่งกรรมฐานได้นานๆครับ

    เพราะการปฎิบัตินั้น ฝึกที่จิตครับ หาใช่ฝึกที่ร่างกายครับ จิตนั้นนำพาให้มาเกิด

    จิตย่อมมีใจเป็นสิ่งยึดเกาะ มีร่างกายเป็นสถานที่อาศัย ถึงแม้ว่าจะทำความสะอาดบ้านมากเท่าไหร่

    แต่หากไม่รักษาความสะอาดของตนเองแล้ว ก็ยังชื่อว่า สกปรกอยู่เช่นเดิม

    แต่หากรักษาความสะอาดของตนเองแล้ว ก็จะรู้จักรักษาความสะอาดในทุกสถานที่

    นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น นั่งกรรมฐานจนมีจิตที่สงบนิ่ง แต่ครั้นออกจากการนั่งแล้วแต่จิตยังปรุงแต่ง

    ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ควรเป็นครับ เพราะการปฎิบัติ เป็นการฝึกความสงบให้เป็นนิสัยครับ

    การไม่ยึดติดในการปรุงแต่ง หรือ การฝึกหยุดการปรุงแต่ง ให้ผลเช่นเดียวกันครับ

    สาธุครับ
     
  16. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    เข้าใจแต่ข้อที่ 1 ค่ะ ดูกาย นอกนั้น ยังไม่เข้าใจเลยค่ะ รบกวนอธิบายหรือแปะลิ้ง ได้หรือเปล่าคะ ความรู้น้อยค่ะ จริงๆ ตั้งกระทู้ เพราะอยากทราบว่า เผื่อท่านอื่นๆ จะมาช่วยสอนบ้าง ไม่ได้คิดว่ากระทู้จะออกมาแบบนี้

    ญาติธรรมเคยบอกไว้เหมือนกันช่วงแรกๆ ว่าไม่ใช่นั่งนานนะ คนเข้าใจกันผิดมาก

    จากที่กรุณาอธิบายมา
    1 .เราควรฝึกเดินจงกรมเพิ่ม และทำ"ก่อน" นั่งสมาธิใช่มั้ยคะ (เคยเดินบนฟุตบาท แล้วดูลมหายใจ+ ทำธุระก็ดูลมหายใจ วันนั้นสมาธิ บนรถไฟฟ้า ดีนะค่ะ)..และก็ทำไม่ได้อีกเลย




    "มีทุกขสภาวะมีสารพัด หน้าที่ของโยคี คือผู้ประกอบความเพียร คือ กำหนดรู้ตามที่มันเป็น มิใช่ไปทำให้มันเป็นตามที่ตนเองยึดตนเองอยากให้มันเป็น "

    ค่ะ ยอมรับ แรกๆ คิดว่าจะถามแค่เรื่องปวดหลัง (ซึ่งเป็นธรรมดาของคนสมัยนี้ ) อยากรู้ว่า คนอื่นๆก็ น่ามีปัญหากันบ้าง แต่ไหงกลายเรื่องยาวๆๆๆ ออกไปไม่รู้
    ถ้ามัวแต่ กำหนดรู้ว่า ปวดหลัง คิดว่าคงแก้อะไรไม่ได้หรอกค่ะ เพราะเป็นเรื่องสัวขารร่างกาย ที่เกิดจากการทำงานด้วยบ้าง เราจะหาวิธีแก้อย่างไร เลยลองมาถามดูนะค่ะ

    หรือ ไม่มีคนปฎิบัติธรรมคนไหนไม่มีปัญหาสังขารบ้างเลยค่ะ สาธุด้วยค่ะ
     
  17. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ตอบตามสีแดงครับ

    ๑.อย่าได้สนใจว่าเคยทำได้ครับ แต่ให้ทำไปเรื่อยๆครับ เหมือนกับฝึกหัดงานทำได้ครั้งแรกแต่ทำอีกก็ทำไม่ได้ แต่หากทำบ่อยๆจนเป็นความชำนาญแล้ว จะทำได้ทุกครั้งที่คิดจะทำครับ การปฎิบัติก็เช่นกันครับ ทำบ่อยๆจนชำนาญก็ทำได้ครับ

    ๒.แม้แต่ท่านพระอาจารย์ ท่านยังไม่อาจข้ามพ้นได้เลยครับ มีแต่ยอมรับด้วยใจจริงว่า เหตุเพราะมีร่างกายนี่เอง หากไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ย่อมไม่มีร่างกายให้เป็นทุกข์ครับ อาการทั้งหลายย่อมสร้างความขี้เกียจให้เกิดขึ้น เมื่อเกิดความขี้เกียจ "สักกายะทิฎฐิ" ก็จะเริ่มแสดงผลครับ ให้แสวงหาหนทางที่สะดวกสบายแก่ตนเองครับ

    สาธุครับ
     
  18. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    นึกออกไหมครับพี่สามว่าเด็กในชาติไหน
    ทีนี้ที่อ่านมา จขกท รู้จักการฝึกเจริญสติ การนั่งสมาธิ เพียงแต่ ยังลังเลสงสัยบางอย่าง และอยากจะทราบว่าที่ตนเป็นอยู่ กำลังจะเป็น และคิดว่าจะเป็น
    ถูกต้อง ดี แล้วหรือไม่ (จากที่อ่านมานะครับ ลองเป็นหมอเดาสุ่มดู)
     
  19. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ทีนี้ ลองตัดตอนสำนวน ง๊องแง๊ง ของพี่สาม(บุคคลทั่วไป 3 คน) ออกไปครับ
    ก้จะทราบว่า น่าจะปฏิบัติอย่างไรต่อ ด้วยการอ่านซ้ำแล้วน้อมพิจารณา ให้แยบคายครับ
    ฟังธรรมจากภายใน กายใจ
     
  20. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    ใช่ๆๆ น่าจะมาจากตรงนี้อะ อยากสบายขึ้น (อยากเปลี่ยนเป็นนอนสมาธิ) แต่นอนสมาธิจะทำได้ไม่ค่อยดีนัก ลมหายใจไม่ดับ ฟุ้งซ่านบ้าง หลับอีก เผลอลืมตาบ่อยๆ ฯลฯ
    (พอมีคำแนะนำ นอนสมาธิแบบ ไม่ขี้เกียจได้เปล่าคะ)

    ...แล้วพอมีคำแนะนำ อะไรเพิ่มมั้ยคะ
    นั่นสิ จริงๆแล้วเราอยากสบายขึ้น แทนที่จะนั่งหลังขดหลังแข็ง ปวดหลังเวลาออกจากสมาธิ
    นั่นสิ... ลืม สักกายะทิฎฐิไปแล้ว (คิดว่า แต่ตัดนิวรณ์ 5 ก็น่าจะพอ)


    ค่ะ น้อมรับและอนุโมทนาบุญด้วยทุกความเห็นค่ะ เข้ามาตั้งกระทู้ เผื่อว่าจะมีคำแนะนำกลับไปบ้าง ไม่คิดว่า เรื่องจะบานปลายไปกันใหญ่

    คงจะค่อยๆอ่านแล้วพิจารณาไป เพื่อเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง แม้ไม่ก้าวหน้า แต่อย่าถอยหลังค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...