การกินเจได้บุญมากไหม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย MaximusDeximus, 19 กรกฎาคม 2012.

  1. MaximusDeximus

    MaximusDeximus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +117
    ผมมีความเห็นว่าไม่ได้บุญเพราะ
    1.พระพุทธเจ้าเองท่านก็ไม่ได้บอก
    2.หากกินเจได้บุญจากการละเว้นชีวิต การกินผักที่ในกระบวนการผลิตต้องไถดินไส้เดือนตายอยู่ดี

    มาแสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ

    ปล.ผมชอบกินผักมาก คนที่กินเจก็มักจะถือศีลด้วยเป็นส่วนที่ดีมากครับ
     
  2. phai_unghaiyi

    phai_unghaiyi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +75
    จุดประสงค์ของการกินเจนี่น่าจะเป็นการสอนให้รู้จักรักชีวิตของคนอื่นเหมือนตัวเองน่ะ ส่วนการได้บุญหรือไม่น่าจะเป็นกุศโลบายมากกว่า เหมือนสร้างวัดให้สวยๆจะได้มีคนไปเยอะๆ แต่แท้จริงก็คือยากให้คนเข้าหาธรรมะมากขึ้น ในความคิดเราที่เราพยายามเลี่ยงกินเนื้อสัตว์ต่างๆมาตลอด ก็เพื่อเราคิดว่าทุกชีวิตต่างรักชีวิตของตนเอง แต่อย่างไรก็ตามมนุษย์ทุกคนก็ต้องอาศัยอาหารเพื่อดำรงอยู่ตามธรรมชาติ เราก็เลี่ยงให้ได้มาที่สุดอะจ๊ะ ไม่เคยอยากได้บุญ
     
  3. buschannarong

    buschannarong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2009
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +541
    หลวงตาบัวท่านบอกว่า ท่านก็ฉันเนื้อสัตว์นะ. ทำไมท่านยังบรรลุอรหันต์เลย ถ้าหากกินเจแล้วได้บุญ

    แล้วทำไมวัว ควายไม่บรรลุอรหันต์หละ เพราะมันไม่ได้กินเนื้อหนิ คราวหนึ่งพระเทวทัตเคยเสนอพระพุทธเจ้า

    ให้ตั้งกฎว่าภิกษุห้ามฉันเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต

    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเนื้อสัตว์ที่ไม่ควรฉันมี 10 อย่างดังนี้
    1. เนื้อมนุษย์
    2. เนื้อช้าง
    3. เนื้อม้า
    4. เนื้อสุนัข
    5. เนื้องู
    6. เนื้อราชสีห์
    7. เนื้อหมี
    8. เนื้อเสือโคร่ง
    9. เนื้อเสือดาวประพฤติพรหมจรรย์
    10. เนื้อเสือเหลือง

    แต่มิได้ทรงห้ามไปถึงการกินปลากินเนื้อที่มิได้ฆ่าเอง หรือสั่งเขาฆ่าเพื่อตน หรือมีคนฆ่าเพื่อนำว่าถวายโดยเฉพาะ พวกนี้จะฉันไม่ได้

    การฉันของที่รับบิณฑบาต พระพุทธเจ้าให้พิจารณาก่อนฉันและเมื่อฉัน แล้วก็พิจารณาอีก ตามนี้
    - ไม่ให้เป็นไปเพื่อความสนุกสนาน
    - ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเมามัน เกิดกำลังพลังทางกาย
    - ไม่ให้เป็นไปเพื่อประดับ
    - ไม่ให้เป็นไปเพื่อตกแต่ง
    - ไม่ให้เป็นไปเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้
    - เพื่อความเป็นไปได้ของอัตตภาพ
    - เพื่อความสิ้นไปแห่งความลำบากทางกาย
    - เพื่อการอนุเคราะห์แห่งการประพฤติพรหมจรรย์
    - เพื่อระงับความหิวซึ่งเป็นทุกขเวทนาเก่า และไม่ทำให้ทุกขเวทนาใหม่เกิดขึ้น
    - เพื่อความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตตภาพ
    ก่อนที่จะบริโภคอาหาร พระพุทธเจ้าให้พิจารณาอีกว่าอาหารเหล่านี้เป็นของปฏิกูล เป็นธาตุ 4 แล้วก็ฉันเป็นยา ไม่ให้คิดว่ากำลังฉันเนื้อสัตว์ ฉันผัก ฯลฯ
     
  4. vichayut

    vichayut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +661
    เป็นเรื่องที่สงสัย ถกเถียงกันมายาวนาน อันนี้ก็เป็นความเชื่อ...

    ของแต่ละบุคคล เป็นเรื่องที่เอาทิษฐิ เอามานะในตัวมาแสดงกัน

    ความจริงก็คือทุกวันนี้มีคนถือศีลกินเจกันเป็นล้านๆคน เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ

    แต่อนุโมทนาในกุศลที่เขาทำไม่ดีกว่าหรือ ดีกว่าเอามานะในตนมาเพาะมาบ่ม

    ต่อกับเรื่องที่เราไม่รู้จริง.......

    ____________________
    ดูจิต.........ด้วยสติ
     
  5. MaximusDeximus

    MaximusDeximus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +117

    จริงครับ แต่ผมในฐานะชาวพุทธหากมีคนมาถามจะตอบอย่างไรไม่ให้บิดเบือนคำสอน แต่ก็ทำให้เขาเข้าใจ 'ความจริง' และไม่ใช่การไปด่าว่าเค้า
     
  6. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ไม่เคยคิดว่ากินมังสวิรัติแล้วได้บุญนะครับ
    แต่ตั้งแต่งดกินเนื้อสัตว์ มีเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ ยุงในบ้านผมไม่กัดผมเลยครับ
     
  7. vichayut

    vichayut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +661
    เข้าใจว่าความจริงว่าจริง ก็อย่างนึง....

    เข้าใจว่าความเชื่อว่าจริง ก็อย่างนึง...สังเกตุให้เห็นถึงความคิค

    ความเข้าใจของแต่ละบุคคล มันมีความเห็นต่างกันดั่งคำพระศาสดาที่ว่า

    เราไม่ขัดแย้งกับโลกดอก โลกต่างหากย่อมขัดแย้งกับเรา

    อันนี้เปรียบเป็นอุบายธรรมในสมมติบัญญัติทั้งหลาย ได้เห็นความจริง

    ใน 2 ด้านของสมมตินั้น

    __________________
    ดูจิต........ด้วยสติ
     
  8. นักรบโบราณ

    นักรบโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +973
    เจตนา เพี่อลดการเบียดเบียน....เป็นสำคัญ

    รับรู้และเข้าใจได้ตามภูมิจิต ภูมิธรรมของแต่ละท่าน

    หลายๆเรื่องยังไม่ถึงเวลาของตน.....อธิบาย ก็ยากเข้าใจ

    เช่นนั้น....จะให้ทุกคนเข้าใจเหมือนกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้
     
  9. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    การพิจารณาว่าสิ่งใด อากับกริยาใดเป็นบุญและเป็นบาบ เราชาวพุทธทั้งหลายย่อมรู้ในเหตุและผล ทั้งนี้การกินเจไม่ทานเนื้อสัตว์ ย่อมีอานิสงค์ผลบุญมากหรือน้อย หรือไม่มีเลยย่อมขึ้นอยู่กับ เจตนา การตั้งจิตอธิฐานหรือปวารณาตน หากเราตั้งเจตนาจำนงค์ไว้ดีแล้วและกระทำได้ตามนั้นย่อมเกิดผลดี อย่างแน่นอนเนื่องด้วย

    1การไม่ทานเนื้อสัตว์ ลดการฆ่าการเบียดเบียน
    2การไม่ทานเนื้อสัตว์ก่อให้เกิดการขัดเกลากิเลสสันดานในการตามใจปากตามใจการกินของเรา เป็นการทรมานกิเลสประการหนึ่งมีอานิสงค์มาก
    3การไม่ทานเนื้อสัตว์จะช่วยให้ระบบลำใส้การขับถ่ายดีทำให้สุขภาพดีขึ้นโรคภัยเบียดเบียนมีน้อย[จากงานวิจัย]
    4ในทางผู้ปฏิบัติจะทราบดีว่าการไม่ทานเนื้อสัตว์ช่วยให้กายเบาจิตเบา เวลาเจริญกรรมฐานสมาธิ จะทำได้ง่ายขึ้น เรื่องนี้เป็นความเห็นส่วนตัวกับเพื่อนที่ทานมาด้วยกันเป็นเหมือนกัน ครับ
    5การไม่ทานเนื้อสัตว์ทำให้กลิ่นตัวของเราลดลง [เป็นบางคนแต่ผมเองก็ลดลงด้วย]

    นอกจากนี้ยังมีอานิสงค์อื่นๆอีกมาก โดยปกติการถือศีลขอ้1 ปาณาติบาต นั้นหากมีการไม่ทานเนื้อสัตว์ร่วมด้วยจะมีอานิสงค์มาก เป็นปรมัตถบารมีข้อหนึ่งครับ
    สิ่งสำคัญต้องดูจิตเราเป็นสำคัญเมื่อตั้งจิตแล้ว กระทำแล้ว ผลที่ได้รับย่อมรู้อยู่แก่ผู้ปฏิบัติเป็นเช่นนี้เสมอครับ อนุโมทนาด้วยครับกับการไม่ทานเนื้อสัตว์ครับ สาธุ
     
  10. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    อนึ่งเรื่องการที่พระพุทธองค์ทรงไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะต้องห้ามทานเนื้อสัตว์ นั้นไม่ใช่สาระสำคัญ ของผู้เป็นสงฆ์สาวก ผู้เข้ามาแล้วด้วยความเป็นผู้ที่อยู่อย่างง่าย กินง่าย
    อาหารแลปัจจัยทั้งหลาย เป็น ธาตุ เป็นเครื่องบำรุงเพื่อให้ร่างกายตั้งอยู่ทรงอยู่ได้เพื่อการปฏิบัติประพฤติพรหมจรรย์ ให้ถึงพร้อม

    พระพุทธองค์จึงทรงไม่ได้กำหนดไว้ แต่ก็กำหนดไว้กันไว้ในส่วนของการฆ่าหรือเกี่ยวข้องด้วยการฆ่า ในปาณาติบาต ตามวินัยนั้นเป็นบาบ

    สุดท้ายการกล่าวอ้างหรือไม่กล่าวอ้าง ธรรมและวินัย ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธองค์ ผู้มีปัญญาพึงมีสติและใช้ ปัญญาพิจารณาให้แยบคายถี่ถ้วนและไม่ประมาทด้วยเถิดครับ สาธุครับ
     
  11. MaximusDeximus

    MaximusDeximus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +117
    ผมยอมรับว่าเริ่มงงครับ ตกลงพระอาทิตย์ที่ผมเห็นกับที่คนจีนเห็นมันดวงเดียวกันไหม
     
  12. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2012
  13. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    =====

    ผู้มีปัญญาย่อมเข้าใจและช่างเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพที่แจ่มชัดขึ้น
    และขอเสริมว่า

    เป็นพระอาทิตย์ดวงเดียวกันครับ แค่เห็นต่างกัน ที่สถานที่และเวลาครับ
    ผู้มีปัญญาย่อมพิจารณารู้ได้ถึงแก่นแท้ครับ
     
  14. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    โดยส่วนตัวคิดว่า...การกินเจย่อมเกิดผลบุญอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ลดการเบียดเบียน
    แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรจะ...เจ...ทั้งกาย วาจา และใจ ค่ะ
     
  15. ธรรมานุภาพ

    ธรรมานุภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +122
    พระอาทิตย์ที่คุณเห็นกับที่คนจีนเห็นมันดวงเดียวกันครับ แต่ด้วยความที่แต่ละคนยืนอยู่ในระยะที่ใกล้ไกลต่างกัน(บารมีหรือกำลังใจต่างกัน) จึงทำให้มองเห็นได้จำกัดตามระยะนั้น ผู้ที่มองเห็นได้ชัดเจนและรู้ทุกอย่างสมบูรณ์พร้อมก็มีแต่พระพุทธเจ้า เรื่องกินเจแล้วได้บุญมากไหมจึงเกี่ยวเนื่องกับกำลังใจของผู้กินเจคนนั้นๆ ไป (ส่วนตัวคิดว่ามีทั้งไม่ได้บุญเลยก็มี ได้บุญน้อยก็มี ได้บุญมากก็มีถ้าทำเป็น)
     
  16. pim_jai

    pim_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +568
    กินเจได้บุญไหม..ก็ต้องดูว่าอยู่ในบุญกิริยาวัตถุ10 หรือเปล่า
    บุญกิริยาวัตถุ 10

    1.ทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการบริจากทาน
    2.สีลมัย บุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล
    3.ภาวนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
    4.อปจายนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงตนเป็นคนอ่อนน้อม
    5.ไวยยาวัจจมัย บุญที่สำเร็จด้วยการขวานขวายช่วยในกิจการที่ชอบ
    6.ปัตติทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
    7.ปัตตานุโมทนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
    8.ธัมมสวนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการฟังพระสัทธรรม
    9.ธัมมเทสนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงพระธรรมเทศนา
    10.ทิฏฐุชุกรรม การกระทำความรู้ความเห็นแห่งตนให้ตรง (เชื่อว่า บาป-บุญมี ,นรก-สวรรค์มี ,ชาตินี้-ชาติหน้ามี , เชื่อหลักไตรลักษณ์ อนิจจัง-ทุกข์ขัง-อนัตตา)


    กินเจไม่ได้อยู่ในบุญกิริยาวัตถุ10 ..พิจารณาแล้วกินเจไม่ได้บุญค่ะ เรื่องศีลก็ไม่เกี่ยวเพราะคนกินเนื้อสัตว์ ไปซื้อเขามา ไม่ได้ไปฆ่าเอง อันนั้นเขาฆ่าขาย ก็ไม่มีโทษค่ะ แต่ถ้าจะกินเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพหรือกินเพื่อเหตุผลอื่นๆก็อีกเรื่องนึงค่ะ
     
  17. ธรรมานุภาพ

    ธรรมานุภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +122
    ขึ้นกับกำลังใจหรือบารมีของคนกินนะ อยู่ในบุญกิริยาวัตถุ10 นั่นแหละ เช่น ว่าด้วยการเจริญภาวนา หากคนกินเจคนนั้นตั้งใจกินเจไม่เบียดเบียนเพราะมีความรัก(เมตตา)ความปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายเห็นว่า ทั้งเราทั้งเขาเกิดมาเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนๆ กัน เราจึงไม่สร้างความทุกข์ ความลำบากให้แก่เขา ถ้าเขาทุกข์เราก็ทุกข์เหมือนเขา ถ้าช่วยเขาได้เราจะช่วยทันที(กรุณา) ถ้าเขาสุขเราก็ยินดีด้วย(มุทิตา) หากเราช่วยไม่ได้จริงๆก็ยอมรับกฎของกรรมนั้น(อุเบกขา) เรียกว่า พรหมวิหาร 4 อยู่ใน กรรมฐาน 40 กองในหมวดภาวนา (อานิสงส์ของภาวนา มากกว่าศีล และศึลมากกว่าทาน) แต่หากกำลังใจคนกินแย่ เช่น กินเจเพราะต้องการให้คนยกย่องว่าตัวเองเก่งสามารถทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำได้ยาก หวังให้คนนับหน้าถือตาว่าตัวเคร่งกว่าคนอื่นๆ ก็ลองคิดพิจารณาดูเถิด
     
  18. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    1 อะไรคือการบริจาคทาน ทานะแปลว่าการให้ อะไรคือการให้ที่ได้บุญได้กุศล อย่ามองแค่วัตถุนะครับ การให้มีมากมายหลายวิธีหลายแบบ การให้ที่ยังประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น จัดว่าเป็นทานหรือไม่ ได้บุญหรือไม่ครับ


    2 อะไรคือการรักษาศีล ทำไมการรักษาศีลจึงได้บุญได้กุศล ทำไมการไม่ฆ่าสัตว์ไม่เบียดเบียนสัตว์ให้เกิดทุกขเวทนาจึงได้บุญกุศล

    ทำไมเหตุที่เกี่ยวเนื่องด้วยการฆ่าสัตว์ทำให้สัตว์ต้องตายหรือทุขเวทนาจึงเป็นบาบ


    และทำไมเหตุที่เกี่ยวเนื่องด้วยการ ช่วยไม่ให้สัตว์ถูกฆ่า หรือ ช่วยให้การฆ่าสัตว์เบียดเบียนสัตว์ ลดน้อยลง จะมิใช้บุญ


    บุญกริยาวัตถุ10 ความหมายกว้างนะเจ้าค่ะ อย่าตีความแค่ผิวเผินนะเจ้าค่ะ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2012
  19. pim_jai

    pim_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +568
    ปัญหาการบริโภคเนื้อสัตว์ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ<!-- google_ad_section_end -->



    <!-- google_ad_section_start -->ผู้ถาม : " เรื่องการถวายอาหารพระนะครับหลวงพ่อ เวลาอุบาสิกานำอาหารไปถวายพระ แล้วก็เอาอาหารพวกเนื้อสัตว์ไปถวาย จะบาปไหมครับ...? "

    หลวงพ่อ : " ถามไม่ละเอียดนี่ อาตมาตอบไม่บาปเลยก็ได้ คือ เนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าแล้วและไปซื้อมา เราไปบังคับให้เขาฆ่าเมื่อไรละ ใช่ไหม...? "

    ผู้ถาม : " ถ้าเราไม่กินเขาก็ไม่ฆ่า "

    หลวงพ่อ : " ถ้าเขาไม่ฆ่าเราก็ไม่ซื้อ เราไม่ซื้อเขาก็ฆ่า เราไม่ซื้อคนอื่นซื้อ เขาก็ฆ่า ถ้าเราสั่งให้เขาฆ่าซิ "วันนี้ไก่ ๓ ตัวนะ" "วันนี้ขอหมูให้ฉัน ๑ ขานะ" "พรุ่งนี้จะแต่งลูกสาว เอาวัว ๓ ตัว หมู๓ ตัวนะ" อย่างนี้บาป ตั้งแต่เริ่มสั่ง พระยายมบันทึกแล้ว บันทึกตั้งแต่สั่งแล้ว ถ้าตายไปก่อน รับวัวรับหมูนะ ลงเลย "

    ผู้ถาม : " ก็หมายความว่าบาปเฉพาะ คนสั่งฆ่า กับ คนฆ่า...! "

    หลวงพ่อ : " คนไหนฆ่าสัตว์คนนั้นก็บาป คนไหนสั่งคนนั้นก็บาป เราซื้อที่เขาฆ่ามาขาย กินเท่าไรเราก็ไม่บาป เพราะไม่เป็นบาปพระพุทธเจ้าจึงไม่ห้าม ที่ไม่ห้ามเพราะว่าเขาฆ่าเป็นปกติอยู่แล้ว
    คำว่า บาป นี้แปลว่า ชั่ว บุญ แปลว่า ดี ทำชั่วแปลว่าบาป ทำดีเรียกว่าบุญ ทีนี้ชีวิตเขามีอยู่เราไปฆ่าเขา ชีวิตของเรา เราก็ไม่ต้องการให้คนอื่นเขาฆ่า ถ้าเราไปฆ่าเขาเราก็เป็นคนชั่ว ฉะนั้นถ้าเขาไปฆ่ามาแล้ว เราไปซื้อกิน อันนี้ไม่ชั่วเพราะไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า แต่ว่าถ้าเอาเนื้อมาแล้วบอก "เฮ้ย พรุ่งนี้เพิ่มหน่อยซีเว้ย" ทีนี้เอาแน่ ต้องว่ากันอย่างนี้นะ "


    ผู้ถาม : " มีคนเขาบอกว่า การฆ่าสัตว์ คนฆ่าไม่บาปเท่าไรแต่คนกินบาป และเขายังบอกอีกว่า ถ้าไม่กินแล้วใครจะฆ่า "

    หลวงพ่อ : " คิดเอาเองมากกว่า คนกินเขาไม่ได้สั่งให้ฆ่า นี่เขาฆ่าขาย ถ้ามีขายเขาก็ซื้อกิน จะไปโทษคนกินเขาไม่ได้หรอก ถ้าคนกินสั่งให้เขาฆ่าอันนี้จึงบาป ไม่งั้นพระพุทธเจ้าคงจะห้ามพระฉันเนึ้อสัตว์ นี่เขาว่ากันเอาเอง ไม่ถูกหลักเกณฑ์อะไรหรอก พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    "เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ"
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราถือเจตนาเป็นตัวกรรม"

    เจตนา แปลว่า ตั้งใจ ถ้าตั้งใจคิดจะฆ่าแล้วลงมือฆ่าอันนี้บาปแน่ "


    ผู้ถาม : " ถ้ารับประทาน อาหารมังสวิรัติ จะตัดกิเลสได้ หรือเปล่าคะ...? "

    หลวงพ่อ : " ถ้าตัดได้จริง พระพุทธเจ้าคงยอมตามที่พระเทวทัตขอพรแล้ว ฉันลองมา ๓ ปี เมื่อบวชใหม่ ๆ ฉันไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย แล้วฉันหนเดียวด้วย และฉันไม่บอกชาวบ้านด้วย ถ้าบอก ชาวบ้านก็ต้องทำอาหารลำบาก ก็ไปบิณฑบาตธรรมดา แต่เนื้อสัตว์เราไม่กิน บางวันไม่มีอะไรมาให้เลย ก็กินเกลือกับหัวหอมกินผักเป็นอาหาร ลองมา ๓ ปี ไม่เห็นกิเลสมันลดเลย แต่ว่าถ้าไม่กินได้นี่ดีนะ ฉันสรรเสริญ ถ้าเป็นฆราวาสนะ เพราะว่าจะได้ไม่กังวลเรื่องเนื้อสัตว์ จิตของเราก็ตัดบาปไปจุดหนึ่ง ใช่ไหม ...
    ในปฐมบัญญัติของสิกขาบท สังฆาทิเสส ข้อที่ ๑๐ มีเรื่องเล่าว่า พระเทวทัตเข้าไปหาพระโกกาลิกะ โอ้โฮ ... นี่อยู่อเวจีทั้งคู่ ใครไปอเวจี ไปมอง ๆ ดูนะ พระเทวทัตยีนกางแขนกางขา โกกาลิกะนั่งชันเข่า หอกเสียบสบาย ๆ แล้วก็พระกฏโมรกติสสกสะ พระที่เป็นบุตรของนางขัณฑเทวี และ พระสมุทททัต ชักชวนให้พระสงฆ์แตกกัน ใครบ้างล่ะ ... พระเทวทัต เป็นหัวหน้าโจก โกกาลิกะ รองประธาน พระกฏโมรกติสสกสะ และ พระสมุทททัตชักชวนให้สงฆ์แตกกัน พร้อมทั้งบอกแผนการที่จะเสนอแผนการให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น มี ๕ ข้อ ซึ่งเข้าใจว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไม่อนุญาต และตนจะนำข้อเสนอขึ้นประกาศแก่มหาชน

    ข้อเสนอ ๕ ข้อนั้น คือ อันนี้ฟังให้ดีนะ ข้อนี้ดีมาก เวลานี้คนที่ปฎิบัติผิดมีเยอะ ไปหลงผิดว่าไอ้ที่เราทำนี่ดีนี่หว่า ข้อเสนอของพระเทวทัต ๕ ข้อ เวลานี้พระสาวกของพระเทวทัตก็มีเยอะเหมือนกัน ถือว่า ๕ ข้อ ที่พระเทวทัตขออนุญาตนี้ นึกว่าเป็นของดีกันนัก สงสารชาวบ้าน ข้อเสนอของเทวทัต ๕ ข้อ คือ

    ๑. ภิกษุพึงอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้าน ต้องมีโทษ หมายความว่า พระทุกองค์ที่บวชแล้ว ห้ามเข้าหมู่บ้านโดยเด็ดขาด ต้องอยู่เฉพาะในป่า ห้ามโผล่หน้าเข้ามาในบ้าน

    ๒. ภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต เป็นวัตร หมายถึง ปฎิบัติ ต้องบิณฑบาตตลอดชีวิต ผู้ใดรับนิมนต์ไปฉันตามบ้านต้องมีโทษ นี้เป็นความต้องการของพระเทวทัต รู้แล้วว่าทำไม่ได้ แต่แกล้งขอ

    ๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล หมายความว่าผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขาทิ้งตามกองขยะบ้าง ตามที่ต่าง ๆ บ้าง ตามที่เขาพันผีไว้บ้าง นำมาซัก นำมาย้อม มาปะติดปะต่อเป็นจีวรจนตลอดชีวิต ผู้ใดรับจีวรที่ชาวบ้านถวายต้องมีโทษ

    ๔. ภิกษุพึงอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ผู้ใดเข้าที่มุงที่บังที่มีหลังคาต้องมีโทษ

    ๕. ภิกษุไม่พึงฉันเนึ้อสัตว์ ผู้ใดฉันต้องมีโทษ

    เห็นไหม ... การขอนี่เขาขอเพื่อเป็นการลบล้างไม่ใช่ทำได้ ภิกษุเหล่านั้นเห็นมีทางชนะร่วมด้วยว่า พระพุทธเจ้าแพ้แหง ๆ พระเทวทัตต้องชนะการเสนอญัตติแบบนี้ พระเทวทัตจึงได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลข้อเสนอ ๕ ประการนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

    "ดูก่อน เทวทัต ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ป่า ก็จงอยู่ป่า

    ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ในละแวกบ้าน ก็จงอยู่ในละแวกบ้าน

    ผู้ใดปรารถนาจะเที่ยวบิณฑบาต ก็จงเที่ยวบิณฑบาต

    ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าบังสุกุล ก็จงใช้ผ้าบังสุกุล

    ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าไตวจีวรจากฆราวาสถวาย ก็จงรับได้

    เราอนุญูาตที่นอนที่นั่ง ณ โคนไม้ตลอด ๘ เดือน หมายความว่าที่ไม่ใช่ฤดูฝน เป็นฤดูหนาว หรือฤดูแล้ง ถ้าจะไปยังงั้นก็ได้

    เราอนุญาตเนื้อสัตว์ที่บริสุทธิ์โดย ๓ ส่วน คือ

    ๑. ไม่ได้เห็นเขาฆ่า

    ๒. ไม่ได้ยินเขาฆ่าเพื่อถวายพระ

    ๓. ไม่ได้รังเกียจคิดว่า เนื้อสัตว์นึ้น่ากลัวเขาฆ่าเพื่อเรา เช่น เขาฆ่าเจาะจงเพื่อจะให้ภิกษุบริโภค

    พระเทวทัตดีใจที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ยอมรับสมเจตนาจึงได้เที่ยวประกาศให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าไม่ยอมอนุญาตข้อเสนอที่ดีของตน ทำให้คนที่มีปัญญาทราม คนไร้ปัญญูาบางคนเห็นว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มักมาก

    โอ้โฮ ... ดีจริง ๆ นะ พระผู้มีพระภาคเจ้ามักมากแล้วใครจะมักน้อยอีก แต่คนที่เข้าใจเรื่องดี กลับติเตียนพระเทวทัตเอาแล้วซิ ... นี่พระไม่ดีทำให้ชาวบ้านแตกกัน ความทราบถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้เรียกประชุมสงฆ์ ไต่สวนพระเทวทัตเป็นสัตย์แล้ว จึงได้ทรงติเตียนและทรงบัญญัติสิกขาบทว่า

    "ห้ามภิกษุพากเพียรเพื่อทำลายสงฆ์ให้แตกกัน เมื่อภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง ภิกษุทั้งหลายพึงสวดประกาศเป็นการสงฆ์เพื่อเลิกข้อประพฤตินั้นเสีย ถ้าสวดถึง ๓ วาระยังไม่เลิก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส"

    จำไว้ให้ดีนะ นี่บท ๕ ข้อนี้ ทวนเสียอีกทีนะ

    ๑. ภิกษุพึงอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้านต้องมีโทษใครเขาจะทำ

    ๒. ภิกษุพึงถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต ถูกรับนิมนต์ฉันตามบ้านต้องมีโทษ

    ๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล คือ ผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขากองทิ้งไว้ หรือผ้าห่อผีห่อคนตายตลอดชีวิต ถ้ารับผ้าที่เขาถวายต้องมีโทษ

    ๔. ภิกษุต้องอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ตลอดฤดูน้ำฤดูฝนไม่รู้ ถ้าเข้าบ้านที่มีหลังคาต้องมีโทษ

    ๕. ภิกษุไม่ฉันเนื้อสัตว์ ผู้ใดฉันมีโทษ

    ทั้ง ๕ ข้อนี้พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตนะ

    เมื่อเห็นคนด้วยเมื่อเจอะพระเขาทำอย่างนี้นะละก็ญาติโยม อย่าถือว่าเขาเป็นคนเคร่งครัดนะ ต้องถือว่าเขาเป็นคนละเมิดพระดำรัสสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แล้วกัน ... "


    ผู้ถาม : " กระผมเป็นฆราวาสกินอาหารมื้อเดียว ทำอย่างนี้โดยตลอด ไม่ทราบว่าจะมีอานิสงส์เป็นไปข้างหน้าอย่างไรครับ ... ? "

    หลวงพ่อ : " อานิสงส์ปัจจุบัน คือ
    ๑. เปลืองอาหารน้อย เพราะกินเวลาเดียว

    ๒. มีเวลาทำงานมากขึ้น ข้างหน้าต่อไปอานิสงส์ใหญ่ คือตาย

    ... ก็แค่กินเวลาเดียวยังวัดฐานะอะไรไม่ได้เลย อย่าไปนึกว่ามันดีเด่นกับใครเขานะ กินเวลาเดียว กิน ๒ เวลา กิน ๓ เวลา มีความหมายเสมอกัน สำคัญว่า "ใจตัดกิเลสได้หรือเปล่า" เขาเอากันตรงนั้น ถ้าถือแค่กินนี่มันเป็นมานะทิฏฐิ เป็นกิเลสหยาบมาก อีกอย่างหนึ่งตายเร็วมาก อย่าไปนึกว่าดีนะ และถ้านั่งคุยว่านี่ฉันกินเวลาเดียว เสร็จเลย โอ้อวด นี่เป็นมานะกิเลสพังเลย "


    ผู้ถาม : " อย่างนี้แทนที่จะไปดี ก็เลยไป... "

    หลวงพ่อ : " ก็ไปดี หมายความว่าก่อนจะไปก็เปลืองน้อย เพราะฉะนั้นอย่าถือเป็นเรื่องสำคัญนะ ไอ้กินเวลาเดียว ๒ เวลา กินเนื้อสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ นี่ อย่านะ อย่าถือเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ต้องตอบอย่าง หลวงปู่แหวน เคยมีคนมาเล่าให้ฟัง มีคนหนึ่งแกบอกหลวงปู่แหวนว่า
    "เวลานี้ผมถือมังสวิรัติครับ ไม่กินเนื้อสัตว์"

    หลวงปู่แหวนท่านบอก

    "ไอ้วัวควายกินหญู้าตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว"

    ตอบนำสมัย ไม่ไช่ทันสมัย ถ้าเรื่องเป็นความจริงตามนั้น แต่การกินไม่มีความหมายในการปฎิบัติ แต่ปฎิบัติจริง ๆ มันขึ้นอยู่กับ

    ๑. เข้าถึงสะเก็ดพระศาสนาแล้วหรือยัง

    ๒. เข้าถึงเปลือก เข้าถึงกระพี้ เข้าถึงแก่นแล้วหรือยัง

    เข้าถึงแก่นนี่ยังใช้ไม่ได้นะ ยังเป็นเหยื่อของอบายภูมิ จะต้องเข้าถึงพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ เขาวัดกันตรงนี้ อย่าไปวัตกันแค่กิน "


    ผู้ถาม : " คนทำบุญให้ทานที่กินเนื้อสัตว์ กับคนทำบุญให้ทานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ อันไหนจะได้อานิสงส์มากกว่ากันคะ ... ? "

    หลวงพ่อ : " อานิสงส์แบบไหนล่ะ อานิสงส์ไปนรก หรืออานิสงส์ไปสวรรค์ อานิสงส์มันมี ๒ อย่าง ทำบาปก็มีอานิสงส์จะลงขุมไหนแน่ ถ้าทำบุญก็มีอานิสงส์ อย่างเลวก็ไปสวรรค์ อย่างกลางไปพรหม อย่างดีที่สุดไปนิพพาน คนที่ไม่ทำบุญเลยแม้ไม่กินเนื้อสัตว์ก็มีสิทธิ์ไปอยู่กับเทวทัตได้ มีไหมคนไม่ทำบุญเลย คนที่ทำบุญไม่กินเนื้อสัตว์ อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์นะ พระที่ฉันเนื้อสัตว์ไปนิพพานนับไม่ถ้วน เขาไม่ได้กินสัตว์เป็น เขาซื้อมากินไม่มีบาป "

    ผู้ถาม : " ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็เพราะว่าไปมองเห็นเนื้อสัตว์แล้วมีเลือดมีคาว เลยกินไม่ได้เจ้าค่ะ "

    หลวงพ่อ : " อย่างนี้ไม่เป็นไร ถ้าเห็นว่าสกปรกเป็น อาหาเรปฏิกูลสัญญาอันนี้เป็นปัจจัยให้บรรลุพระอนาคามีหรือพระ อรหันต์ นี่เป็นพื้นฐานใหญู่นะ ถ้าเห็นแบบนั้นเกิดนิพพิทาญาณแล้ว นิพพิทาญาณเป็นปัจจัยให้ได้พระอนาคามี ต่อไปถ้าเว้นจริงเป็นสังขารุเปกขาญูาณ เป็นอรหันต์ คนที่จะเป็นอรหันต์ได้ ถ้าไม่คล่องในบทนี้เป็นไม่ได้ มี กายคตานุสสติ กับ อสุภกรรมฐานเป็นพื้นฐาน
    พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล ไม่เสวยและฉันเนื้อสัตว์ เป็นต้น

    ๑. ต้องไม่ฉันเนื้อสัตว์ ๑๐ ประการ มีเนื้อมนุษย์ เป็นต้น

    ๒. เนื้อนั้นจะต้องเป็นปวัตตมังสะ คือ ที่เขาขายแกงกินกันตามปกติของเขา โดยพระไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจสงสัยว่าเขาฆ่าเนื้อเจาะจงถวายตน

    ๓. ก่อนการฉันอาหารเนื้อทุกคราว จะต้องพิจารณาเสียก่อนเพื่อป้องกันไม่ไห้ฉันเนื้อต้องห้ามข้างต้น "

    ที่มา:หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอบปัญหาธรรม โดยศิวโมกข์ ต่อ (๑)
     
  20. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    สิ่งที่พระพุทธเจ้า สั่งสอนเรา ตลอดจนพระอรหันต์ พระอริยะสงฆ์ ครูและอาจารย์สอนเรา ท่านสอนให้เรารู้และเข้าใจ การตอบคำถามหรือสิ่งที่ครูอาจารย์บอกเราจึงมีให้มองหลายแง่มุม
    ไม่มีใครผิดหรือถูก เพียงแต่ว่า เราจะมองหรือคิดในแง่มุมไหนแค่นั้น สุดท้ายกระทู้นี้ก็ทำให้เราผู้ชมทั้งหลายได้ความรู้และข้อคิดเห็น ตลอดจนธรรมต่างๆมากมายนานาประการ
    ขออนุโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...